เรื่องเล่าผี | อาศัยในบ้านกระสือ

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้มาจากคุณนิ่ม คุณนิ่มบอกว่ามันเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาในจากรุ่นสู่รุ่น คุณนิ่มฟังมาจากคุณพ่อ คุณพ่อของคุณนิ่มก็รับฟังต่อมาจากคุณย่า และคุณย่าทวดตามลำดับ ย้อนกลับไปราว 50 ปีก่อน ในสมัยที่บ้านเมืองยังไม่ได้พัฒนาจนเจริญขนาดทุกวันนี้ ความเชื่อเรื่องภูตผีเป็นเรื่องที่ไม่ใครเล่า ไม่มีใครพูดหลังตะวันตกดินกัน ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่พิสูจน์ได้ลำบากเหล่านี้ มันมากกว่าในทุกวันนี้มากๆ

หมู่บ้านแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ที่ซึ่งคุณย่าทวดของคุณนิ่ม อยู่ในสมัยสาวๆก็เช่นกัน คุณย่าทวดมีชื่อว่า ‘ย่าแจ่ม’ แถวนั้นมีเสียงเล่าลือกันว่า…พักนี้มีคนพบเจอ ‘ผีกระสือ’ ออกอาละวาดในหมู่บ้าน บ้างก็ว่าพบเจอแสงสว่างวูบวาบลอยไปมากลางทุ่งนายามค่ำคืน บ้างก็ว่ามีคนพบเจอซากปฏิกูลเลอะเทอะราวกับถูกตัวอะไรมาคุ้ยเขี่ย บ้างก็ว่าได้ยินเสียงกึงกังอยู่ใต้ถุนบ้านยามที่คนในบ้านหลับกัน ชาวบ้านค่อนข้างมั่นใจมาก ว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ มีสิ่งที่เรียกว่ากระสืออยู่ แต่…ไม่รู้ว่าร่างจริงเป็นใคร

อยู่มาวันหนึ่งย่าแจ่มไปตกหลุมรักชอบพอกันกับ ‘ปู่เฉลิม’ ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นหนุ่มจากหมู่บ้านข้างๆ กระทั่งทั้งคู่ตกลงอยู่กินร่วมกัน ย่าแจ่มก็เลยต้องย้ายไปร่วมหอกับสามีที่บ้านปู่เฉลิม บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น สภาพค่อนข้างเก่าปอนพอดู ท่าทางคงถูกสร้างมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ย่าแจ่มรู้สึกสะดุดอยู่ในใจ กลับเป็นกลิ่นเหม็นอับของอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน บ้านหลังนี้ นอกจากตัวปู่เฉลิมแล้วยังมี ‘ยายหอม’ แม่ของแกอยู่อาศัยด้วยอีกคน

ในคืนแรกที่เป็นสมาชิกในบ้านหลังใหม่ อาจด้วยเพราะว่าแปลกที่แปลกทาง ทำให้ย่าแจ่มตื่นขึ้นมากลางดึก ด้วยความรู้สึกหนาวๆเล็กน้อย เมื่อมองไปทางปู่เฉลิมแกก็นอนหลับอยู่ข้างกัน แต่เมื่อย่าแจ่มกำลังจะล้มตัวลงนอนต่อ สายตาก็ดันไปสะดุดเข้ากับสิ่งผิดปกติบางอย่าง หน้าต่างไม้บานหนึ่งแง้มเผยอออกไปด้านนอก ย่าแจ่มรู้ที่มาของลมหนาวที่เล็ดลอดเข้ามาแล้ว เลยมุดออกมาจากมุ้งตรงไปที่หน้าต่างบ้านนั้น เพื่อจะปิดลงกลอนให้สนิท ทันใดนั้นเองย่าแจ่มก็หยุดเท้าชะงัก เพราะสังเกตเห็นแสงสีแดงวูบวาบๆ ลอดผ่านเข้ามากระทบบานหน้าต่าง…

‘แสงสีแดงวูบวาบ’ มันทำให้ย่าแจ่มนึกถึงเรื่องเล่าที่ชาวบ้านเค้าลือกัน… ‘มันมีกระสือในหมู่บ้านเรา แต่ไม่มีใครรู้ตัวตน’ ย่าแจ่มหันหลังแล้วรีบมุดกลับเข้าไปขดตัวในมุ้งด้วยความกังวล กระทั่งมีเสียง ‘ปังง’ ดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงัดของค่ำคืนในชนบท ย่าแจ่มที่จ้องมองไปที่หน้าต่างไม่คลาดสายตาตั้งแต่เมื่อครู่ ไม่สามารถสะกดความสั่นอันเนื่องมาจากความกลัวได้อีกต่อไป เสียงดังปังเมื่อครู่นี่ มันเกิดจากเสียงหน้าต่างบานนั้น ถูกปิดกลับเข้ามาโดยใครบางคนจากด้านนอก และมันไม่ใช่หัวขโมยแน่ เพราะคงไม่มีใครลงทุนปีนขึ้นมาทำอะไรลับๆล่อๆถึงชั้น 2 ได้

ย่าแจ่มเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าเช้านี้แกดูอิดโรยเนื่องจากคงได้นอนไม่กี่ชั่วโมง ย่าแจ่มเล่าเรื่องประหลาดให้ปู่เฉลิมฟัง แต่ดูเหมือนปู่เฉลิมแกจะไม่ได้เห็นว่าเป็นสาระอะไร บทสนทนาเรื่องนี้ก็เลยจบไปแบบไม่ได้สานต่อ นอกจากทำกับข้าวกับปลาแล้ว ในฐานะสะใภ้ของบ้าน ย่าแจ่มก็ยังต้องทำงานบ้านด้วย ในช่วงสายระหว่างที่แกกวาดบ้านอยู่ ก็พบเข้ากับหยดเลือดปริศนาเป็นดวงๆตามพื้นไม้ ย่าแจ่มมองโลกในแง่ดีว่า คงมีใครไปเผลอเหยียบอะไรเข้าจนได้แผลกระมัง

ย่าแจ่มอยู่ในบ้านแทบทั้งวัน ในขณะที่ปู่เฉลอมออกไปทำงานข้างนอก แต่ที่น่าประหลาดใจคือ…ยายหอม แกไม่เคยออกมาจากห้องนอนบนชั้น 2 เลย ดูเหมือนแกอยากจะนอนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เข้าใจได้ว่า แม่สามีตนนั้นอายุก็มากโข เป็นไปได้ว่าต้องการพักผ่อนมากกว่าคนหนุ่มสาว แต่ย่าแจ่มก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เลยขึ้นไปตามแกลงมากินข้าว

“แม่ ไม่ลงมากินข้าวเหรอจ้ะ นี่ก็เที่ยงแล้ว”

“เอ็งกินเถอะะ… ข้ากินแล้ว”

ย่าแจ่มก็สงสัยนิดหน่อย แกอยู่แต่ในห้องแล้วไป ‘กิน’ มาตอนไหน แต่ก็ไม่ได้เว้าซี้อะไร ด้วยเข้าใจว่าแกคงยังไม่หิว เลยตอบไปพอเป็นพิธี ตกเย็นย่าแจ่มยืนทำกับข้าวมือเย็นอยู่ในครัว ก็รู้สึกสะดุ้งตกใจขึ้นมา เพราะยายหอมเข้าหาอย่างกระทันหัน ย่าแจ่มก็ทักถามว่า “แม่หิวแล้วเหรอจ้ะ” แต่ดูเหมือนแกไม่ได้มาหาของกิน แกบอกว่าจะมาช่วยทำกับข้าว ทันทีที่แกเดินเข้ามาใกล้ ย่าแจ่มก็แทบเบือนหน้าหนี จากกลิ่นสาบที่โชยออกมาจากตัวแก อดแปลกใจไม่ได้ว่าแกไม่ยอมอาบน้ำหรืออย่างไรกัน อย่างไรก็ตามสภาพของยายหอมในช่วงเย็นกลับดูแข็งขันขึ้นมา

ช่วงหัวค่ำปู่เฉลิมก็กลับมาร่วมวงอาหารกับสมาชิกคนอื่น หลังกินเสร็จเรียบร้อย ย่าแจ่มก็ไปล้างจานล้างชามเก็บเข้าที่ จู่ๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทั้งๆที่พึ่งจะทุ่มเศษๆ เลยกะว่าจะนอนแต่หัวค่ำแล้วกันคืนนี้ พอขึ้นไปบนชั้นสอง ก็พบว่าปู่เฉลิมนอนหลับเป็นตายอยู่ก่อนแล้ว พอหัวถึงหมอนย่าแจ่มก็หลับตามไปติดๆ จนกระทั่งตื่นมาตอนเช้า ย่าแจ่มก็ลงบันไดเพื่อตระเตรียมสำหรับมื้อเช้า จังหวะนั้นเองก็ได้กลิ่นคาวเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แกอดสงสัยไม่ได้ว่าใครมาทำอะไรไว้แถวนี้ แต่ก็ไม่พบต้นสายปลายเหตุ เหตุการณ์ประหลาดๆในบ้านหลังนี้ดำเนินไปเป็นกิจวัตรอยู่ราว 2 สัปดาห์ ย่าแจ่มกับปู่เฉลิมต่างก็สุขีอัตตานัง ไม่เคยได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ยามค่ำคืนเลย

ความอมทุกข์ของย่าแจ่ม เป็นเหตุให้แกออกไปพบปะกับเพื่อนฝูงในเวลากลางวัน ยามที่ว่างเว้นจากงานบ้านแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องที่แกเล่าให้เพื่อนพ้องน้องพี่ฟังดูจะสร้างความวิตกกังวลให้ผู้ฟังพอควร เลยได้รับการแนะนำว่า มีหมอธรรมท่านนึงแกเก่งกล้ามากอยู่ เลยพากันไปพบแกที่สำนัก พอย่าแจ่มเล่าเรื่องทุกอย่างซ้ำอีกหนึ่งรอบให้หมอธรรมฟัง เสียงหงุดหงิดระคนโมโห ก็หลุดออกมาจากปากแก

“ถึงขนาดนี้ นี่เอ็งอยู่เข้าไปได้ยังไง?!”

ย่าแจ่มกับเพื่อนๆก็พากันสงสัยระคนตกใจ ที่พ่อหมอว่ามาหมายถึงอะไร? หมอธรรมเจ้าสำนักก็แนะนำให้ย่าแจ่มปฏิบัติตามดังนี้

“คืนนี้เอ็งห้ามกินข้าวปลาอาหารเด็ดขาด น้ำก็ห้ามดื่ม ประตูและหน้าต่าง ให้ลงกลอนปิดสนิททุกบาน แล้วเอ็งจะได้รู้เอง”

คืนนั้นย่าแจ่มปฏิบัติตามคำสั่งของหมอธรรมทุกอย่าง แกทำท่าทางเป็นเคี้ยวข้าว พอคลาดสายตาก็คายทิ้งลงโถ น้ำก็ไม่ดื่ม หลังจากปู่เฉลิมหายเข้าห้องนอนไปแเล้วแกก็ล้างถ้วยชามตามปกติ น่าแปลกว่าวันนี้ย่าแจ่มไม่รู้สึกง่วงเหมือนในทุกวันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แกก็แกล้งทำเป็นเข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนอย่างเคย ในห้องยายหอมกับปู่เฉลิมนอนหลับอยู่ก่อนแล้ว ก่อนย่าแจ่มจะเข้ามุ้งก็ไม่ลืมจะปิดประตูหน้าต่าง ลงกลอนแน่นหนาจนครบทุกบาน

‘ตึงๆ ตึงๆๆๆ…!’

‘ตึงๆ ตึงๆๆๆๆๆๆๆ !!’

ย่าแจ่มที่เบิกตาโพลงท่ามกลางความมืดสลัว จ้องมองหน้าต่างมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เสียงเมื่อครู่คือเสียงที่แกรอคอยอยู่หลายชั่วโมง แต่แล้วภาพที่ไม่คาดคิด ก็ทำเอาย่าแจ่มแทบช็อค เมื่อตรงหน้าแกห่างไปเพียง 5-6 ก้าว มีหัวของยายหอมลอยอยู่ ส่วนล่างลงมาถูกสีแดงฉานวูบวาบ ส่องแสงจ้าจนมองไม่เห็นว่าเป็นอะไร กำลังเอาหัวโขกไปที่หน้าต่างบ้านหนึ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ‘ตึงๆๆๆๆๆ’ ทำกลางความมืดและเงียบสะงัด เสียงไม้ของบานหน้าต่างกระทบกับกลอน ยิ่งดังกังวานจนหลอนเข้าไปในหู ย่าแจ่มกลัวจนน้ำตาเล็กออกมา พยายามหันไปปลุกปู่เฉลิม แต่แกก็ไม่แม้แต่จะขยับเพียงเล็กน้อย หลับสนิทราวกับตาย

ย่าแจ่มได้แต่สะอื้นอย่างสิ้นหวังอยู่ในมุ้ง ดูเหมือนเสียงสะอื้นจะดังพอที่ยายหอมจะได้ยินแล้ว เพราะดวงไฟวูบวาบเริ่มเข้ามาใหล้กับมุ้งย่าแจ่มเข้าไปทีละก้าวๆ ก่อนจะวนไปมาอยู่รอบๆ แสงสีแดงสะท้อนกับมุ้งผ้าฝ้ายสีขาว จนเหมือนกับถูกย้อมไปด้วยเลือด ย่าแจ่มหลับตาพนมมือ ท่องบทสวดเป็นพัลวัน

“มึงงง…เป็นคนปิดหน้าต่างกูเหรออออ~”

สิ้นคำนั้น ราวกับถูกฟ้าฟาด สติของย่าแจ่มดับวูบไปในทันที แกมารู้ตัวอีกทีก็ช่วงสายๆ วันนี้ปู่เฉลิมไม่ได้ออกไปทำงาน ดูเหมือนแกจะเป็นห่วงอาการของย่าแจ่ม ย่าแจ่มก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ปู่เฉลิมฟัง แล้วก็ขอตัวเก็บข้าวของกลับไปอยู่บ้านแม่ตัวเองที่หมู่บ้านข้างๆตามเดิม ไม่รู้ว่าปู่เฉลิมระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนบ้างรึไม่ อย่างไรก็ตาม ปู่เฉลิมก็เลือกที่อยู่ดูแลแม่แก และนั่นก็เป็นจุดจบของความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ทำให้ต้องเลิกลากันไป ด้วยเรื่องวุ่นๆของวัยรุ่นฟันน้ำนม สุดท้ายคุณนิ่มก็เลยไม่ได้เป็นทายาทคุณยายหอม ถือว่าโชคดีไป เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : theHouse.online