เดลิเวอร์…หลอน ออเดอร์เขย่าขวัญ

เรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้เกิดขึ้นตอนที่ผมต้องขับรถไปส่งอาหารที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว แต่ผมก็ยังทำงานอยู่ อย่างที่ผมบอกว่ายิ่งทำก็ยิ่งได้เงินเยอะ ถ้าขยันซะอย่างยังไงซะก็ไม่อดตาย แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นหลังจากที่ผมกดรับออเดอร์หนึ่ง เพราะร้านอาหารที่ต้องไปรับกับที่อยู่ของลูกค้าค่อนข้างไกลกัน (ปกติผมไม่เคยผ่านเส้นทางนั้นมาก่อน) จึงได้แต่วิ่งไปตามที่ GPS บอก

หนทางนอกเมืองเริ่มเปรี่ยวและมืดลงตามลำดับ ตึกรามบ้านช่องต่างๆของคนแถวนี้ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว  จนเมื่อผมขี่มาถึงหน้าหมู่บ้านพบกับป้อมยามเหงาๆอยู่ป้อมหนึ่งที่ภายในนั้นไม่มีการใช้งานแล้ว หลายๆหมู่บ้านก็กลายเป็นแบบนี้เสมอ ในอดีตอาจจะเคยรุ่งเรือง แต่ปัจจุบันก็ดูซบเซาและหงอยเหงามาก  ผมเช็คที่อยู่ดูอีกทีในมือถือโดย GPS บอกหนทางและซอยต่างๆอย่างละเอียด  ผมจึงขี่รถไปตามถนนได้ไม่ยากนัก

ข้อสังเกตของหมู่บ้านนี้ก็คือ  หมู่บ้านนี้กว้างใหญ่มาก แบ่งเป็นซอกซอยซ้ายทีขวาที  บ้านบางหลังก็ยังสร้างไม่เสร็จ  ผู้คนส่วนใหญ่ก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว  ดูๆไปก็น่าขนลุกเหมือนกัน  จนเมื่อผมขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของลูกค้า  ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน แยกออกมาในซอยตันแห่งนี้  ทางซ้ายทั้งขวามีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง  แต่ละหลังก็ปิดไฟมืดหมดแล้ว  ผมแจ้งเตือนลูกค้าว่าตอนนี้มาถึงแล้ว  ครู่ต่อมาลูกค้าคนนี้ก็ตอบกลับมาว่า  ให้แขวนอาหารไว้ที่หน้าประตูได้เลย

มันดูแปลกมาก  ผมจึงพิมพ์ถามกลับว่าลูกค้าไม่เช็คสินค้าหน่อยหรือ  แต่เขาก็ตอบกลับมาว่า  ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ เเค่แขวนไว้ที่ประตูรั้วก็พอ

เอาไงก็เอากัน  ยังไงลูกค้าคนนี้ก็ตัดเงินผ่านบัตรเครดิตอยู่แล้ว  ถ้าเขาต้องการให้นำอาหารไว้ตรงไหนก็ต้องตามใจเขา  ผมจึงเดินสะพายกล่องอาหารไปที่บ้านหลังนั้น  แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าบ้านหลังนี้  มีถุงอาหารมากมายแขวนอยู่ที่ประตูรั้ว  กองขยะที่พื้นมีทั้งถุงพลาสติกและกล่องโฟมมากมายกองอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด  เหมือนว่าคนที่กินอาหารแกะกินแล้วทิ้งไว้ตรงนี้  บางส่วนก็เน่าส่งกลิ่นเหม็น

ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ กลางบ้านในส่วนของโรงจอดรถ มีชุดเก้าอี้ม้าหินอ่อนตั้งไว้และบนโต๊ะนั้นก็มีกระถางธูปปักอยู่  อีกทั้งบ้านหลังนี้ยังคล้องโซ่กุญแจจากภายนอก  ซึ่งก็ไม่น่าจะมีใครอยู่จริงๆ  ดูไปแล้วก็แปลกพิลึก 

ผมรีบพิมพ์ถาม  เพื่อยืนยันบ้านเลขที่ (ที่จริงอยากจะถามว่าทำไมบ้านรกขนาดนี้  แต่อาชีพของผมคงจะพูดแบบนั้นไม่ได้)  สักพักเขาก็พิมพ์กลับมายืนยัน ว่าบ้านเลขที่นี้แน่นอนให้วางอาหารไว้แล้วไปได้เลย  ผมจึงรีบแขวนถุงอาหารไว้ตามที่เขาต้องการ  จากนั้นก็รีบกลับมาที่รถ  จู่ๆก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ตะโกนเรียกผมมาจากบ้านฝั่งตรงข้าม  พอหันไปมองพบว่าเป็นลุงคนหนึ่ง  แกถามผมว่ามาทำอะไรดึกๆดื่นๆแถวนี้

ผมจึงเดินไปหาแก  ผมบอกกับลุงว่าผมนำอาหารมาส่งให้คนที่บ้านหลังนั้น  แต่เจ้าของไม่อยู่ให้ผมไปเอาไว้  มาลงแกได้ฟังผมพูด  ลุงแกก็ชมผมด้วยว่าขยันจริงๆ  จากนั้นแกก็พูดในสิ่งที่ทำให้ผมต้องตกใจ

ลุงแกบอกว่า  มาส่งอาหารให้ผีในบ้านหลังนั้นอีกแล้วสินะ  ผมใจหายวาบ  คิดไม่ถึงว่าลุงจะพูดประโยคนี้  จนผมต้องถามซ้ำว่าลุงพูดอะไรเมื่อสักครู่

ลุงแกจึงบอกว่าบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่มานานแล้ว  เจ้าของบ้านตายกันไปหมดแล้วทั้งหลังเลย  ผมจึงบอกลุงแกว่ามีคนให้ผมนำอาหารมาส่งที่นี่จริงๆ  ลุงแกก็เลยบอกว่าน่าจะเป็นลูกชายของเจ้าของบ้านที่ทำงานอยู่ที่จังหวัดอื่น แล้วมักจะสั่งอาหารมาเซ่นพ่อแม่พี่น้องเป็นประจำ นานๆครั้งจะมาทำความสะอาดสักทีช่วงตอนกลางวัน 

ผมขาอ่อนขนลุกซู่ตอนฝังลุงอธิบาย  จากนั้นลุงก็พูดขึ้นมาว่า  ตอนนี้พี่อยู่ในบ้านหลังนั้นก็กำลังกินอาหารอยู่  ลุงแกไม่พูดเปล่า พลางมองข้ามไหล่ผมไปยังบ้านหลังนั้น  ผมยืนเกร็งตัวสั่นไม่กล้าหันไปมองแบบลุง  แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีเสียงของอะไรสักอย่างกำลังแย่งกันฉีกถุงอาหาร และกินส่งเสียงดังมาถึงตรงนี้ 

ผมถามลุงว่าตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี  ลุงแกก็บอกง่ายๆว่าให้กลับบ้าน  ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งรีบยกมือไหว้ขอบพระคุณคุณลุง  ที่ลงช่วยเตือนสติ  จากนั้นก็กระโดดควบรถใส่หมวกกันน็อคแล้วสตาร์ทรถ  แต่ลุงก็ตะโกนกลับมาว่าอย่ารีบนะเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
คิดๆไป ลุงแกก็ดีใจหาย อีกทั้งยังน่าสงสาร ที่ต้องมาอยู่บ้านตรงข้ามกับบ้านผี  จนเมื่อผมหันไปไหว้ขอบคุณลุงอีกครั้ง  ลุงแกก็พูดขึ้นมาว่า  ถ้าครั้งหน้ามาส่งที่บ้านผีอีกก็ช่วยหยิบของติดไม้ติดมือมาฝากลุงบ้าง เพราะลูกหลานไม่ทำบุญมาให้นานแล้ว

ผมขนหัวลุกอีกรอบ  หันไปมองลุงทันที และสภาพของลุงตอนนี้ผอมจนหนังติดกระดูก ตาลึกกลวงโบ๋ ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ชัดๆ  แต่นี่ไม่ใช่ซอมบี้ นี่คือผีลุงอย่างแน่นอน

ส่วนที่บ้านหลังนั้นของลูกค้า ก็มีอะไรบางอย่างกำลังเขย่าและขยับประตูลูกกลอนเหมือนพยายามจะออกมาให้ได้ ซึ่งทันทีที่ผมหันไป ก็เห็นเงาดำสี่เงา ดวงตาส่องสว่างสะท้อนกับแสงจันทร์ในตอนนี้ และเงาพวกนี้ดูเหมือนจะเป็นพ่อแม่ลูกเหมือนที่ลุงแกบอก แต่ปัญหาก็คือเงาทุกเงาไม่มีขา

ผมจึงบิดหนีออกมาด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วไม่กล้าหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีก

หลายวันต่อมา จึงรู้จากพี่ๆที่ทำงานแบบเดียวกัน ที่เล่าให้ผมฟังว่าบ้านหลังนั้นไม่มีใครก็รับออเดอร์กันสักคน  คนแถวนี้เขารู้จักกันดี