“ห้องสนิม” เรื่องเล่าผีล้านวิว ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปี 2018

ห้องสนิม” หากใครที่รักการอ่านเรื่องเล่าผีเป็นชีวิตจิตใจน่าจะผ่านหูผ่านตาเรื่องนี้มาบ้าง เพราะมันคือเรื่องเล่าผีที่น่ากลัวที่สุดเรื่องนึงในปีที่ผ่านมา โดยถูกเล่าผ่านรายการวิทยุผีชื่อดัง เจ้าของเรื่องคือคุณแป้งซึ่งนำประสบการณ์ชวนหลอนสุดในชีวิตของรุ่นพี่คนนึงชื่อ จิรา มาเล่าสู่กันฟัง และทันทีที่เรื่องนี้ถูกออนแอร์ก็ได้รับการเข้าชมคลิปและแชร์ออกไปอย่างถล่มทลาย ด้วยความน่ากลัว ความโหดดาร์คของเนื้อเรื่อง ที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในมุมหนึ่งของสังคมไทย

“ห้องสนิม” เรื่องเล่าผี ที่มียอดวิวมากที่สุดเรื่องนึงในประวัติศาสตร์

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อ 33 ปีที่แล้ว ในตอนนั้นคุณจิรา รุ่นพี่ของคุณแป้งเป็นนักศึกษาปี 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และกำลังลงเรียนในวิชาที่ศึกษาวิจัยด้านภาษาท้องถิ่น นอกจากนี้วิชาที่ว่ายังจำเป็นต้องลงภาคสนามเพื่อไปเก็บข้อมูลถึงสถานที่จริง โดยคุณจิราและเพื่อนอีก 3 คน คือ กิ๊บ นุช และวิรุณ ตกลงกันว่าจะเลือกพื้นที่หนึ่งในจ.สระแก้วเป็นเป้าหมายการค้นคว้า

เมื่อถึงวันที่ต้องออกเดินทาง คณะนักศึกษาทั้ง 4 เดินทางแต่เช้ามืดและถึงที่หมายในช่วงสายของวัน แล้วจัดแจงเช็คอินเพื่อเข้าพักในโรงแรม วันถัดมาก็ตกลงกันลงขันจ้างรถที่ทางโรงแรมให้บริการ โดยที่มีแพลนว่าจะลงภาคสนามเพื่อรวบรวมข้อมูลกันใน 2 พื้นที่คืออ.อรัญประเทศ ซึ่งมีพื้นที่ติดชายแดนและเป็นที่ตั้งของตลาดชื่อดังอย่าง “โรงเกลือ” กับอีกพื้นที่นึงคืออำเภอข้างเคียงกัน ซึ่งที่นี่เองเป็นที่มาของเรื่องเล่าอันน่าสะพรึงเกินกว่าจะจินตนาการได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆลงความเห็นกันว่าเราจะไปยังอำเภอ “ข้างเคียง” ดังกล่าวมาก่อน แล้วค่อยไปจบที่อรัญประเทศ โดยคาดหวังว่าจะได้เดินตลาดซื้อของฝากกันหลังจากเสร็จกิจธุระตอนขากลับ

หลังไปถึงอำเภอที่ว่าแล้ว จุดสำรวจแรกคือวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะจัดงานผ้าป่ากฐินอยู่ จึงแวะลงไปสักการะบูชาและทำรีเสิร์ชกันอยู่ราว 2 ช.ม. ก็ผละออกมา จนกระทั่งพบหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลออกไปนัก ก็นัดแนะกับคนขับรถที่จ้างมาว่า จะอยู่ทำงานที่หมู่บ้านแห่งนี้ 2-3 ช.ม. สักสี่โมงเย็นค่อยกลับมารับพวกตนใหม่ที่จุดนัดหมายซึ่งนัดแนะกันไว้ล่วงหน้า เพราะกว่า 30 ปีที่แล้ว ระบบโทรคมนาคมยังไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนกับตอนนี้ ยิ่งด้วยเป็นพื้นที่ห่างไกลเมืองด้วยแล้ว การนัดหมายให้ชัดเจนจึงสำคัญ

คณะนักศึกษาพากันเดินเข้าไปยังหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากวัด อย่างไรก็ตามหมู่บ้านที่ว่านับว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่เอาเรื่อง เมื่อผ่านเข้าไปจะพบกับเรือนผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นที่ทำการประกอบกิจของหมู่บ้านด้วย หากเดินเข้าไปตามทางก็จะพบว่าบ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านนี้มีสัมมาอาชีพเป็นช่างต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างเหล็ก และงานผลิตสินค้าที่ใช้ความชำนาญ ดูแล้วเป็นชุมชนตัวอย่างเลยทีเดียว นับว่าเป็นโชคดีของกลุ่มนักศึกษาที่เลือกจะมาเก็บข้อมูลวิจัยกันที่นี่ เพราะนอกจากมีวัตถุดิบข้อมูลที่สะท้อนความเป็นอยู่ของคนในชุมชนแล้ว ลูกบ้านต่างก็ยิ้มแย้มทักทายอย่างเป็นกันเอง

หลังคณะวิจัยขอความร่วมมือศึกษาและรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ผู้คนในท้องที่ ผู้ใหญ่บ้านก็มีน้ำใจชวนคณะไปรับประทานอาหารกลางวัน ตั้งวงกับข้าวกับปลากันบริเวณชานเรือนอย่างเรียบง่ายเป็นกันเอง ขณะที่เวลามีแขกไปใครผ่านมา ผู้ใหญ่ก็จะโบกมือเรียกมาแบ่งแกงพะโล้ของแกไปทาน จิราและเพื่อนเห็นภาพแบบนี้ก็รู้สึกว่าคืดไม่ผิดที่ได้มาที่นี่

กระทั่งการมาของชายคนหนึ่ง จิราและนักศึกษาสังเกตเห็นชายร่างผอมสูงท่าทางมอมแมมในชุดขาดวิ่นเป็นริ้ว ผมเพ้ากระเซิงราวคนจรจัด เดินผ่านมาจากทางเข้าหมู่บ้าน แล้วมานั่งอยู่ที่ข้างบ้านหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากที่คณะนักศึกษานั่งทานข้าวอยู่นัก ผู้ใหญ่ที่ร่วมวงอยู่ด้วยกันคงสังเกตเห็นว่าคณะนักศึกษากำลังเพ่งความสนใจไปที่ชายนิรนามที่ว่า จึงเอ่ยปากขึ้นแม้ไม่มีใครทักถาม

“หมอนี่มันชื่อเมืองมน… เมืองมนคนผีบ้าน่ะ”

“เป็นลูกชายของหมอขวัญใกล้วัดแถวๆนี้แหละ เมื่อก่อนมันก็ดูดีเป็นผู้เป็นคนอยู่หรอก”

“แต่ก่อนนับว่ามันหล่อเหลาเอาการ กระทั่งมันไปชอบพอนางโนรี ลูกสาวป้าคล้าย ช่างทำเสื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่อกหักกลับมา…”

“ก็เพราะว่านางโนรีมีเสี่ยสิบ นายหน้าค้าที่ดินที่บังเอิญมาทำกิจธุระแถวนี้มาชอบพอเค้าน่ะสิ สุดท้ายก็ตกลงปลงใจไปอยู่ด้วยกัน ลงเอยด้วยดี จนตอนนี้นางโนรีมันคงสบายไปแล้ว”

“แต่ไอ้เมืองมนน่ะสิ คงจะเฮิร์ทเอาเรื่อง ทำใจไม่ได้จนเสียผู้เสียคน เพี๊ยนจนเลเะเลือนไปเลย…”

เนื่องจากจิราและเพื่อนๆเป็นนักศึกษา ยังหนุ่มยังสาวอยู่จึงสนใจในเรื่องรักๆใคร่ๆเป็นธรรมดา เลยชวนคุยกันอย่างออกรส หนึ่งในนั้น..นุชก็ถามขึ้นแทนใจของทุกคนว่า

“แม่โนรีคนนี้คงจะสะสวยมากเลยนะ ถึงกับทำหนุ่มหลงหัวปักหัวปำ อกหักจนเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนั้น”

ทันใดนั้นเองภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็พูดขึ้นมาอย่างรู้งาน…

“หน้าตาพิลึกสิไม่ว่าหนูเอ๊ยย ไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมือง”

“เป็นผู้หญิงแท้ๆแต่สูงชะลูด แขนขาเก้งก้าง ผมก็แดงยังกับอิฐ ตาเหลืองผิวซีดๆ มีกระๆขึ้นเต็มหน้า”

จิราก็กับเพื่อนก็พูดแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า… นี่มันลักษณะของฝรั่งต่างชาติ ลูกครึ่งชัดๆ ภรรยาผู้ใหญ่ก็อธิบายเสริมเติมความว่า… ยายคล้ายแม่ของโนรี อุ้มท้องโย้ย้ายมาจากสัตหีบเมื่อหลายปีก่อนมาอยู่ที่นี่ เดิมทีบ้านนั้นยังมีตาพุ่มอาศัยอยู่ แต่หลังคลอดได้ปีนึง ตาพุ่มก็มาเสีย จนยายคล้อยต้องตกระกำเลี้ยงลูกตัวคนเดียวด้วยการหาของป่าขาย

“พอตอนหลังนางโนรีมีผัวเป็นเสี่ยนั่นแหละ ถึงได้มีเงินมาปลูกบ้านใหม่อย่างที่เห็น”

ขณะที่นั่งฟังเรื่องเล่าเมื่อครั้งอดีตของสาวผู้เป็นต้นเหตุให้ชายคนหนึ่งเสียสติ จิราก็สังเกตเห็นคนในบ้านช่างตีเหล็ก เอากับข้าวในชามไปให้ผู้ชายคนที่ว่า แต่จู่ๆเมืองมนก็เกิดร้องโหวกเหวกคุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างกับเห็นผีร้าย ปัดชามคว่ำกระเด็น แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปด้านในที่ที่ใช้เก็บข้าวของเครื่องมือช่าง ชาวบ้านต่างพากันวิ่งไปเพื่อคุมตัวเมืองมน เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะเผลอไปทำร้ายคนอื่นๆได้

วิรุณชายหนุ่มคนเดียวในคณะนักศึกษาก็เข้าไปช่วยด้วย เลยได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าเมืองมนอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเพียงใด เขานั่งขดตัวซุกอยู่กับมุมหนึ่งในห้องที่คล้ายกับตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกจับด้วยสนิมเป็นสีแดงน้ำตาลคล้ำหนา จนดูเผินๆคล้ายกับกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่ถูกฉาบไปด้วยสีชาด เมื่อสังเกตดูดีๆจะพบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากการนำแผ่นเหล็กมาก่ออย่างหยาบๆเหนือพื้นดิน โดยที่พื้นยังคงเป็นดินเปลือย ภายในห้องดูเหมือนใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์ช่างต่างๆที่ทำจากโลหะกองสุมกันอยู่ แต่มีสิ่งที่สะดุดตาในห้องสนิมเขลอะคือ ตรงกลางห้องแท่นปูนขนาดประมาณโต๊ะเล็กๆถูกก่อขึ้นมา ด้านบนนั้นมีอาวธของมีคมอย่างมีดและดาบวางสุมไขว้กันเป็นกระโจมย่อมๆ แม้ห้องที่ว่าจะดูแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับติดใจอะไรเขาไปมากกว่า สถานการณ์ของเมืองมนชายสติฟั่นเฟือนตรงหน้า ในที่สุดก็ดูเหมือนจะสงบลง ทุกคนจึงปล่อยให้เขานั่งร้องไห้อย่างเงียบๆอยู่ในห้องนั้นคนเดียว

จุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าผีที่น่ากลัวที่สุด… “คนบ้ากับห้องสนิมประหลาด”

หลังเสร็จงานเรียบร้อย ก็นั่งรอรถมารับกระทั่งได้เวลานัดหมาย แต่จนแล้วจนเล่าเวลาล่วงเลยไป 6 โมงเย็นก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีรถมารับ จึงขอยืมโทรศัพท์โทรไปยังโรงแรมจากบ้านผู้ใหญ่ วิรุณคุยกับทางนั้นได้ความว่ารถเกิดเสียกระทันหัน และจะส่งรถคันอื่นออกไปรับแทน เนื่องจากดูท่าว่าจะใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่าที่คิด ยังไม่ทันจะได้ข้อสรุปผู้ใหญ่บ้านก็เชิญชวนด้วยอัธยาศัยว่าทำไมไม่อยู่ค้างคืนซะที่นี่เลยล่ะ เนื่องจากหมู่บ้านชุมชนแห่งนี้อยู่ห่างจากโรงแรมกว่า 30 ก.ม. อีกทั้งคืนนี้จะมีงานสังสรรค์กันภายในชุมชน เพื่อนๆฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนุก จึงตัดสินใจค้างกันที่นี่คืนนึง โดยนัดให้โรงแรมมารับในเช้าวันรุ่งขึ้นแทน

คืนนั้นคณะนักศึกษาอยู่กินเลี้ยงกับชาวบ้านกันบริเวณลานหน้าบ้านผู้ใหญ่ กระทั่งตกดึกต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน โดยที่คืนนั้นจิราและเพื่อนๆได้ภรรยาผู้ใหญ่เป็นธุระจัดห้องหับให้นอนรวมกันที่บ้านหลังหนึ่งใกล้กับเรือนผู้ใหญ่ กลางคืนที่นี่เงียบสงัดจนแทบได้ยินเสียงหายใจชัดเจน อย่างไรก็ตามก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น จิราได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกันดังตุบๆๆเป็นจังหวะช้าๆ ราวกับมีคนใช้ค้อนทุบกับผนังหรือพื้นอะไรสักอย่าง เสียงนั่นยังคงดังต่อไป และดูเหมือนต้นกำเนิดเสียงจะอยู่ห่างออกไป จิราไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรหากจะมีเสียงใครลุกขึ้นมาทำงานกลางดึก ในหมู่บ้านของช่างฝีมือเช่นที่นี่ จึงคล้อยหลับไป จนมาตื่นอีกทีเพราะอยากเข้าห้องน้ำ แต่ครั้นจะไปเข้าคนเดียวก็เกิดนึกกลัวขึ้นมา เนื่องจากห้องน้ำแยกอยู่ข้างนอกตัวบ้าน เลยปลุกนุชที่นอนอยู่ใกล้ๆลุกออกไปเป็นเพื่อน ด้านนอกทั้งมืดและเย็นเยียบ แต่สิ่งที่ปลุกเร้าสัมผัสของทั้งคู่กลับเป็นเสียงตุบๆๆ ที่ยังคงดังอยู่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่

ถึงแม้จะสงสัยอยู่ในที แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทักขึ้นหรือถามออกไป ความอยากรู้อยากเห็นบางทีก็นำมาซึ่งเรื่องยุ่งยาก กระทั่งพบว่าทางไปห้องน้ำต้องผ่าน “ห้องสนิม” ที่ทั้งคู่เห็นเมื่อกลางวัน พอมาดูอีกทีในตอนกลางคืนเช่นนี้ มันดูน่าสยดสยองกว่าเดิมมาก ตู้เหล็กผุกร่อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ที่ปกคลุมไปด้วยคราบสนิมหนาเตอะจนเหมือนถูกสาดไปด้วยสีชาดของโลหิต จนอดคิดไม่ได้ว่ามันดูไม่น่ามองเอาเสียเลย ทำไมเขาถึงไม่หาอะไรมาคลุมมาปิดมันหรือจะรื้อแล้วลงทุนทำให้มันดูดีเป็นกิจลักษณะกว่านี้ 

หังกลับจากเสร็จธุระห้องน้ำ ขากลับทั้งคู่เดินผ่านห้องสนิมอีก แต่คราวนี้ทั้งคู่กลับสังเกตเห็นรอยอะไรบางอย่างที่ผิวผนังของกล่องเหล็ก พอจ้องมองดูดีๆก็เกือบจะลืมหายใจ เพราะรอยที่บ่ามันดูราวกับเป็น “ใบหน้ามนุษย์” ที่ใหญ่โตกว่าปกติเป็นเท่าตัว ปูดโปนยื่นออกมาอย่างกับดูหนังผีสามมิติ ใบหน้านั้นดูเหมือนกับรวมเป็นแผ่นเดียวกับผนังสนิมสีชาด อ้าปากหวอแล้วส่ายไปส่ายมาเหมือนกับอะไรบางอย่างด้านในตู้พยายามที่จะทะลุออกมา ภาพที่ไม่น่าเป็นไปได้ตรงหน้าทำเอาสองสาวนักศึกษาได้แต่ยืนอึ้งงัน แม้แต่นิ้วก็ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยวตามใจคิดได้ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่แทบล้มทั้งยืน คือการปรากฏตัวโดยไม่คาดคิดของ “เมืองมน” ชายวิกลจริตที่ดูจะผูกพันกับตู้เหล็กพิศดารนี่ โผล่ออกมาจากในตู้ เขาเดินหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีราวเสียสติ ก่อนที่จะเดินหายลับไปในความมืดบนถนนยามค่ำคืน จิราส่งเสียงกรีดร้องสุดแรง แต่มันดังอยู่แต่เพียงในลำคอของเธอ ก่อนที่จะหันมาเจอนุชที่ตอนนี้นอนสลบล้มพับขาแข้งอ่อนจนลงไปกองกับพื้น

ความพยายามครั้งถัดมาของจิราสำฤทธิ์ผล เสียงร้องของเธอดังไปทั่วทุกซอกในหมู่บ้านแห่งนั้น จนชาวบ้านต่างแตกตื่นลุกขึ้นมาดูเหตุการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน อย่างไรก็ตามนุชถูกหามตัวเข้าไปปฐมพยาบาล ส่วนจิรายังช็อคจนตัวสั่นไม่อาจให้การณ์อะไรได้ กระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก นุชรู้สึกตัวและกำลังพักผ่อน จิราก็ถูกถามถึงต้นสายปลายเหตุจึงเล่าทุกอย่างตามที่พบเห็นตามลำดับ หลังเล่าเรื่องประหลาดสุดสะพรึงจบ ปรากฎว่าเป็นฝ่ายผู้ใหญ่และชาวบ้านที่ดูจะออกอาการมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่..มีบางเรื่องที่เราไม่รู้ จิรานึกคำอธิบายออกได้เพียงเท่านี้ กระทั่งเจ้าบ้านช่างเหล็กก็พูดแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบว่า 

 “จะอะไรซะอี๊กกก ก็ไอ้เมืองมนมันเลี้ยงผีน่ะสิ พอมันถูกหักอกจากนังโนรี ก็เล่นของทำคุณไสย คงนึกว่าจะทำให้นังโนรีกลับมารักกลับมาชอบมันได้ล่ะมั้ง แต่สุดท้ายของเข้าตัว จนเสียสติไปแล้วไงล่ะ!”

จิราฟังแล้วรู้สึกตำหนิลุงบ้านตีเหล็กอยู่ในที นี่เป็นเรื่องหน้าเศร้าเกินกว่าที่จะพูดล้อเลียนด้วยน้ำเสียงดูแคลนมนุษย์กันแบบนั้น มันไม่ชวนขำเลยสักนิด แต่ลุงแกยังพูดต่อไปอย่างสนุกปาก 

“เขาเอาของกินดีๆให้ก็ไม่เอา แต่กลับชอบเอาหนูกบไปนั่งกินในห้องสนิมเขลอะนั่น แปลกคนมั้ยล่ะ”

กระทั่งผู้ใหญ่ส่งสายตาตำหนิมา ลุงแกถึงได้สงบปากสงบคำ บางทีอาจจะกังวลอยู่ในที ว่าตาลุงนี่จะเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาก็เป็นได้ ก่อนจะออกปากสรุปเหตุการณ์ว่า คงทำอะไรไม่ได้ เพราะจะไปห้ามไปปรามมันตลอดก็ไม่ได้ มันก็เดี๋ยวไปเดี๋ยวมา ไม่เป็นหลักแหล่ง แล้วมันก็มักจะแอบมาทำพิธีคุณไสยมนต์ดำของมันเป็นประจำ ปกติคนแถวนี้ไม่ค่อยไปยุ่งแล้วก็ไม่เคยเจออะไรแบบที่หนูว่า บางทีอาจจะเพราะแปลกที่แปลกถิ่นก็เลยพบเจออะไรแปลกๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่แนะนำให้กลับไปนอนพักผ่อนกัน จะเปิดไฟเอาไว้ทั้งคืนก็ไม่ว่าอะไร เดี๋ยวฟ้าสางแล้วค่อยว่ากันใหม่ จิราและเพื่อนที่เหลือก็ต้องใช้ความพยายามเต็มที่ที่จะหลับ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อสักครู่ มันทำให้เรื่องราวดีๆที่ผ่านมาทั้งวันพลันให้วับไปกับตา กระทั่งเช้าวันถัดมารถจากโรงแรมก็มารับกลับ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวในวันนี้จะได้กลายมาเป็นเรื่องเล่าผีสุดสยองที่ถูกเล่าผ่านรายการชื่อดังในอีก 30 ปีถัดมา

การกลับไปยังหมู่บ้านเจ้าปัญหาอีกครั้ง…

หลังกลับมาถึง ปรากฎว่านุชถึงจับไข้จนนอนซม จึงวางแผนกันว่าจะให้กิ๊บอยู่เก็นเพื่อนคอยเฝ้าไข้นุชอยู่ที่นี่ ส่วนจิราและวิรุณจะไปลงพื้นที่ทำในส่วนที่เหลือตามแผนเดิม โดยจะออกไปพบปะกับผู้คนในหมู่บ้านข้างเคียงอื่นๆ แต่ก็เกิดเรื่องน่าแปลกขึ้น ไม่ว่าจะบังเอิญหรือเป็นโชคชะตา เราสองคนก็จำต้องกลับไปยังหมู่บ้านช่างฝีมือนั่นกันอีก เนื่องจากพอจะไปหมู่บ้านอื่นๆก็มีเหตุไม่อำนวยจนเป็จอันต้องเปลี่ยนแผน อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง มันช่างต่างกับครั้งแรกอย่างมาก ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะสัมผัสถึงบรรยากาศอันอึดอัดราวกับมีมวลสารดำมืดลอยอยู่ในอากาศ จนแทบหายใจไม่ออก โดยเฉพาะห้องเหล็กคลุกสนิมนั่น ต่อให้มองจากไกลๆยังรู้สึกได้ถึงความสยดสยอง ราวกับมันเป็นที่กักเก็บสิ้งลี้ลับชวนขนลุกที่รอวันจะแหกมันออกมา กระนั้นการกลับมาอีกครั้ง จิราก็ไม่เห็นวี่แววของนายมนเลย 

กระทั่งวันนี้งานก็เสร็จเป็นไปตามแผน จิรากับเพื่อนนั่งรอรถมารับจากบ้านผู้ใหญ่ แต่เหตุการณ์เหมือนกับกรอเทปกลับไปเมื่อวาน เพราะรถมาช้า พอโทรไปสอบถามก็ได้เรื่องเช่นเคย…รถเสียมารับไม่ได้ แต่จิราก็ยืนยันหนักแน่นว่า ตนจะไม่ยอมค้างคืนอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้กลับวันนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน อย่าไงรก็ตามนักศึกษาทั้งสองก็ทำได้แค่นั่งรอพลางพลิกเปิดเอกสารงานวิจัยในมือคร่าเวลาไปเรื่อยๆเท่านั้น และแล้วเหตุการณ์สุดสะพรึงก็เริ่มต้นคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว เสียงตุ๊บบ…ตุ๊บบ…ตุ๊บบ คล้ายค้อนกระทบกับปูน เป็นจังหวะจะโคน ดังขึ้นมาเหมือนกับเมื่อคืน เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้วมันทั้งรุนแรง และหนักแน่นกว่ากันมาก สลับกับเสียงกระแทกของทุบโลหะดังโครมครามไปทั่ว 

พอจิรากับวิรุณกวาดสายตาไปทางต้นเสียง ก็พบกับนายมนคนเพี้ยนนั่นเอง ที่มาพร้อมกับขวานผ่าฟืนอันใหญ่ กำลังจามลงไปที่ผนังของตู้เหล็กสนิมกินจนมันฉีกออกเป็นรู นายมนเข้าไปข้างในแล้วเงื้อมือขึ้นเหนือหัว ทั้งสับทั้งทุบแท่นปูนหล่อตรงกลางห้องสนิมทีแล้วทีเล่า โดยที่ไม่อาจเข้าใจความหมายของการกระทำ ชาวบ้านเองก็เริ่มออกมามังดูกันมากขึ้นเรื่อยๆ พลางซุบซิบกันโดยที่ไม่มีใครกล้าพอที่จะไปขวางทางน้ำเชี่ยวที่มีของมีคมอยู่ในมือ กระทั่งแท่นปูนพังทะลายลงไปกองกับพื้น ตอนนั้นจิรากับเพื่อนฝ่าไทยมุงมุดเข้าไปได้ถึงแถวหน้า ทันเห็นเหตุการณ์สุดประหลาดครั้งนั้นอย่างเต็มตา

หลังจากที่แท่นปูนหล่อแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จู่ๆก็มีเศษกระดาษกับเศษผมกองหนึ่งหลุดร่วงออกมาด้วย ทันทีที่นายมนเห็นมัน ก็กุลีกุจอเข้าไปรวบรวมไว้ในมือยกขึ้นมาไว้แนบออกแล้วร้องไห้เป็นสายฝนราวกับเด็กๆ จิราทันสังเกตเห็นว่า…เส้นผมเหล่านั้นมีสีน้ำตาลแดง อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะไม่มีคนทันสังเกตเห็นหรือให้ความสนใจเศษกระดาษที่หลุดออกมาพร้อมกัน จิราเก็บขึ้นมาคลี่แล้วพบข้อความลายมือที่ทำให้รู้สึกเย็นเยียบไปทั่วแผ่นหลัง

“โนรีน้อย ลอยลม ชมแมกไม้

อิงเสียงคล้าย กังวาล ขับขานใส

เพลงมนต์พี่ ดั่งศรรัก ปักฤทัย

ขอฝากฝัง กายใจ… ให้เมืองมน”

แม้จิราอ่านเพียงรอบเดียวก็ทำให้มันตราตรึงอยู่ในความทรงจำมาจนทุกวันนี้ บอกตรงๆว่าไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี มันมีความรู้สึกที่แตกต่างขัดแย้งกันตีมวนอยู่ในท้อง เรื่องนี้มีสิ่งไม่ปกติผิดแผกไปซ่อนอยู่..ใช่มั้ย? อย่างไรก็ตามจิรารู้ว่าคนที่ต้องการกระดาษแผ่นนี้ที่สุดคือเมืองมน จึงย่อตัวลงแล้วส่งให้เขา พอได้เห็นนายมนใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกเวทนาเป็นยิ่งนัก นี่ไม่ใช่สีหน้าแววตาของคนที่อาลัยตายอยากในรักธรรมดา แต่กลับอ่อนล้าราวกับสูยเสียความเป็นมนุษย์ไปจนหมดสิ้น สิ่งที่อยู่ตาหน้าของคนที่ชื่อเมืองมน คงจะมีเพียงความมืดมิดขวางทางอยู่ นายมนรับกระดาษไปอย่างว่าง่าย จากนั้นก็เหมือนกับคนหมดห่วงหมดธุระ เขาวิ่งหนีออกไป แล้วทะลุหายเข้าไปกับพงป่าพงหญ้าข้างทาง

แม้บุคคลต้นเรื่องจะไม่อยู่ที่ตรงนั้นแล้ว แต่พอมองไปยังหมู่ฝูงชน ความวุ่นวายก็ยังไม่ได้งหายไปในทันที กลับกันตอนนี้สายตาแทบทุกคู่กลับหันไปจับจ้องเอาที่ “ยายคล้าย” ช่างทำเสื่อแม่ของโนรี อดีตคนรักเก่าของเมืองมนนั่นเอง ยายคล้ายเบิกตาโพลงจ้องมองดูแท่นปูนที่บางส่วนผุผังลงมาเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย เพ่งดูอยู่อย่างนั้นราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงอีกฝั่ง ถ้าแท่นปูนนั่นมีชีวิต มันคงจะเดินหลีกสายตาของยายคล้ายไปแล้ว ท่ามกลางความอลม่านของชาวบ้านที่เริ่มจับกลุ่มกันซุบซิบนินทากันอย่างออกรสรอบๆห้องสนิมนั่น อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์แต่ละบ้านก็แยกย้ายกันไปคนละทาง คณะที่สองนักศึกษากลับมานั่งรอรถในห้องรับรอง ดูเหมือนคืนนี้จะเงียบเชียบกว่าปกติ ไม่มีงานสังสรรค์ใดๆ อีกทั้งพอเริ่มมืดได้ไม่นาน ชาวบ้านต่างพากันปิดบ้านปิดช่องจนเงียบไปทั้งซอย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนอย่างเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงพูดคุย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นชวนให้สงสัยและน่าตั้งคำถามอย่างยิ่ง พอคิดดูดีๆแล้ว มีเหตุผลเดียวที่อธิบายเรื่องนี้ได้คือ…ทุกคนคงจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องทั้งหมดกันดี

ในระหว่างการรอคอยที่ไม่สิ้นสุด จิราก็จัดเก็บข้าวของมารวมให้เป็นระเบียบไปพลาง เพื่อที่จะได้เสียเวลาน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เวลาที่รถมาถึง ความรู้สึกแปลกๆที่ประเดประดังเข้ามา อยากจะไล่ออกไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้นี้ มันทำให้ค่ำคืนนี้ดำเนินไปอย่างหวาดระแวง ไม่ใช่เพราะว่าเกิดรู้สึกกลัวผี คุณไสย หรือชายวิกลจริต แต่กลับเป็นอย่างอื่นที่ยังซ่อนตัวอยู่ภายใต้เรื่องเล่าสุดพิศดารในหมู่บ้านนี้ต่างหาก อย่างไรก็ตาม สองวันมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจนทำให้จิรารู้สึกเหนื่อยล้า และฟลุบหลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และปล่อยเรื่องราวชวนหัวทิ้งไว้เบื้องหลัง ได้กลับไปที่โรงแรมเมื่อไหร่ ก็คงจะดี

กระทั่งจิราก็รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกเงียบสงัด นาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีหนึ่งแล้ว จิราไม่ได้ตื่นเพราะอยากเข้าห้องน้ำหรือได้ยินเสียงรถมารับ แต่เป็นเพราะมือเย็นเยียบข้างหนึ่งมาจับที่ขาของเธอ ท่ามกลางห้องที่มืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามากลางห้อง สิ่งที่จิราพบคือผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง จิราไม่เคยเห็นเธอมาก่อนในหมู่บ้านแห่งนี้ แม้เธออยู่ในชุดที่มีผ้าคลุมจนทำให้มองเห็นหน้าตาได้ไม่ชัด

 “รถรับส่งมาถึงแล้ว รีบไปจากที่นี่เถอะจ๊ะ”

ไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร แต่มันกลับทำให้จิรารู้สึกเชื่อใจและปฏิบัติตามโดยไม่ถาม จะว่าเพราะเธอรอคอยรถมาตลอดวันก็คงใช่ แต่เหนือกว่านั้นคือคำพูดที่ว่าให้รีบออกไปต่างหาก ที่เป็นตัวเร่งให้เธอรีบ หลังปลุกวิรุณให้ตื่นแล้วพากันจัดแจงช่วยกันแบกสัมภาระ ก็เดินตามหญิงนิรนามออกไปจากห้องโดยไม่คิดแม้แต่จะเปิดไฟ และทำฝีเท้าให้เงียบที่สุด ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ทำแบบนั้น แต่พอมาคิดดูในภายหลัง ต้องบอกว่ามันเป็นการกระทำที่ตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุด กระทั่งเดินฝ่าความมืดยามราตรีออกมาได้ถึงถนนใหญ่ปากทางเข้า ก็พากันเดินข้ามเข้าไปยังวัดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้หญิงคนนั้นยังคงเดินนำทางไปโดยไม่แม้แต่จะหยุดเดินหรือหันกลับมาดู ในตอนนั้นจิราสังเกตเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างสูงทีเดียว 

ในที่สุดก็เดินเข้ามาเกือบจะท้ายวัด ก็พบว่ามีรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่ใต้ต้นมะขามห่างออกไป คนขับคือลุงคนเดียวกับที่เคยมารับ-ส่งยืนรออย่างกระวนกระวาย 

 “รถอยู่ตรงนั้น… ขึ้นรถแล้วรีบไปเลยนะจ๊ะ เวลาไม่มีแล้ว”

 “พอรถออกไปแล้ว…อย่ากลับมาที่นี่อีกนะ”

ผู้หญิงคนนั้นบอกกับนักศึกษาทั้งคู่แบบนี้ อย่างไรก็ตามจิรากับวิรุณเร่งวิ่งไปขึ้นรถอย่างเร็วที่สุด คนขับก็รีบขับออกมาทันที รถค่อยๆห่างออกมาจากใต้ต้นมะขาม จิรานึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณหญิงสาวคนนั้น จึงหันกลับมามอง แต่แล้วสิ่งที่เธอเห็นมันกลับทำให้เธอขนลุกไปทั่วร่าง นั่นเพราะใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั่น เผยออกให้เห็นใบหน้าสะสวยนัยน์ตาเศร้า กับผมหยักศกสีน้ำตาลแดง

บทสรุปสู่เรื่องเล่าของคนที่อาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องผี…

แต่ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวออกจากวัด ลุงคนขับก็พูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสนิท คำถามที่ทำเอาจิรารู้สึกเหมือนมีเข็มมาจี้อยู่ที่หลังจนขนลุกยิ่งกว่าเมื่อกี้ 

“แท่นปูนในห้องสนิม โดนทุบแล้วเหรอ?”

ในขณะที่จิรากับวิรุณยังคงอึ้งจนพูดไม่ออกอยู่นั้น ลุงคนขับก็พูดต่อโดยไม่ได้รอฟังคำตอบ… “ลุงน่ะรู้มาตลอด… ลุงรู้เยอะกว่าที่พวกหนูรู้อีก” จากนั้นแกก็เริ่มเล่าออกมาเป็นช็อตๆอย่างต่อเนื่องราวกับระบายความอัดอั้นตันใจ เรื่องราวเบื้องหลังของหมู่บ้านช่างฝีมือที่จิราจะไม่มีวันลืมได้ลง

“ข่าวลือที่ว่าแม่โนรีลูกสาวยายคล้าย ย้ายไปอยู่กับเสี่ยนายหน้าค้าที่ดินนั่น ไม่เป็นความจริง”

 “แม่โนรีไม่ได้ย้ายหรือหายไปไหน แต่อยู่ในผนังเหล็กขึ้นสนิมน่ากลัวนั้นนั่นแหละ!”

สารภาพได้ว่าไม่ว่าใครก็คงไม่นึกว่าเรื่องมันจะมาลงเอยกันแบบนี้ จิราฟังไปพลางคิดทบทวนไปพลาง นี่มันเรื่องจริงเหรอ..น่ากลัวอะไรขนาดนี้ 

“ลุงรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ ก็เมื่อก่อนลุงเคยเป็นลูกมืออยู่ในหมู่บ้านนั้น.. บ้านที่เป็นช่างเหล็กนั่นแหละ”

 “เดิมทีแม่โนรีนั่นน่ะมีคนรักอยู่แล้ว ก็คือเมืองมนคนวิกลจริตนั่นแหละ ตอนนั้นหนุ่มสาวด้วยกันทั้งคู่ ก็จีบกันไปกันมา ก็ชอบพอรักใคร่กันมาก เดิมทีแม่โนรีนั่นไม่ได้ร่ำเรียนเขียนหนังสือกับเขาหรอก แต่ไอ้หน่มเมืองมนนั่นแหละที่เป็นคนสอน กระทั่งเห็นว่าแม่โนรีสามารถแต่งกลอนล้อกันไปมาได้ เรียกว่ารู้จักมักจี่กันมาตั้งแตเด็ก”

“กระทั่งการมาของไอ้เสี่ยคนนั้นนั่นแหละ มันเป็นแขกของผู้ใหญ่ บังเอิญไปเห็นแม่โนรีก็เลยนึกอยากได้มาทำเมียน่ะสิ แต่ผู้หญิงเขามีคนรักอยู่แล้วก็ไม่ยอมน่ะสิ กระทั่งวันนึงเกิดปากเสียงกันยกใหญ่ แล้วไม่รู้มันคิดยังไง ไอ้เสี่ยคนนั้นก็ชักปืนออกมา โดนแม่โนรีสิ้นใจคาที่เลย”

“คนในชุมชนนั้นก็เกรงบารมีเสี่ยกัน เลยไม่มีใคริดปริปากพูด ใครขัดขืนผู้มีอิทธิพลก็คงไม่พ้นชะตากรรมเดียวกันกับนางโนรีนั่นแหละ แต่กว่านั้นคือเสี่ยมันมีเงินมันก็ใช้เงินนั่นปิดปากคน อย่าว่าแต่จ้างไม่ใหพูด นาทีนั้นแม้แต่ช่วยกันอำพรางยังเป็นไปได้เลย”

 “รู้มั้ยว่าก็ชาวบ้านละแวกนั้นนั่นแหละ ที่ช่วยกันปิดบังหลักฐานด้วยการชำแหละร่างแม่โนรีเป็นชิ้นๆ แล้วอำพรางด้วยการเอาเศษซากไปเล็กซากน้อยไปลงเตาหลอมรวมกับเหล็ก ได้ออกมาเป็นแผ่นเหล็กน่าสยดสยองแผ่นเบ้อเริ่ม”

“ส่วนเสื้อผ้ากับกระดูกก็เอาไปเผา แล้วก็โบกปูนทับ ส่วนแผ่นเหล็กที่ว่าก็เอามาก่อผนังเป็นกล่องครอบแท่นปูนไว้ จนกลายมาเป็นห้องสนิมน่ากลัว ส่วนแท่นนั่นหนูน่าจะเคยเห็นแล้ว มีมีดอาคมปลุกเสกวางไว้บนนั้นเพื่อขังวิญญาณแค้นเอาไว้ยังไงล่ะ”

จิราได้ฟังแล้วก็รู้สึกพะอืดพะอมปนสยอง แต่พอคิดตามก็เห็นภาพเป็นฉากๆ กระดาษที่มีกลอนเขียนด้วยลายมือนั่นคงเป็นของโนรีที่เขียนให้นายเมืองมนสินะ จิราจำได้ว่าเคยเห็นในหนังหรือละคนย้อนยุค ที่สาวๆจะเอาสิ่งของเล็กๆอย่างม้วนกระดาษ หรือดอกไม้พันไว้ที่ปลายเส้นผม ส่วนสาเหตุทีเมืองมนปฏิเสธที่จะรับอาหารจากชาวบ้านแถวนั้น คงเป็นเพราะเขาเห็นเหตุการณ์กับตาตัวเอง

 “ลุง! แล้วแม่เค้าล่ะ แม่เค้าก็ยังอยู่ดีไม่ใช่เหรอ” วิรุณออกปากถามขึ้นมา

 “แม่มันนั่นแหละตัวดี  เป็นคนลงมือหั่นด้วตัวเองด้วยซ้ำ ยายคนนั้นไม่ได้รักหรือเห็นว่าเป็นลูกของตัวเองด้วยซ้ำ” ลุงพูดอย่างมีอารมณ์

 “มันไม่ได้ตั้งใจจะท้องตั้งแต่แรกแล้ว กลับกันเพราะว่าท้องนี่แหละ เลยต้องซมซานกลับมาบ้านนอกแบบนี้ วันๆก็เอาแต่ด่าทอทุบตีนางโนรี ตอนหลังได้เงินจากเสี่ยนั่นแหละ เลยเอามาปลูกบ้านหลังใหม่ได้”

 “บอกตามตรงว่าคนแถวนั้นมันเพี้ยนกันไปหมด ลุงเองก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน เลยหนีออกมาทำงานตามอู่ซ่อมรถในเมือง กระทั่งได้มาเป็นคนขับรถอย่าตอนน้ีนี่แหละ”

เรื่องราวที่ได้ฟังมามันช่างมืดมน ดำดิ่ง อะไรขนาดนี้ จิราอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีมากๆที่ออกมาจากหมู่บ้านวิปลาสนั่นได้อย่างปลอดภัย และดูเหมือนว่าเธอไม่ได้คิดเกินเลยไปเลย เพราะขณะที่รถต้องไปยูเทิร์นเพื่อวกกลับรถเข้าเมือง จำเป็นต้องผ่านหน้าทางเข้าหมู่บ้านนั่นอีกหน และทันทีที่จิรามองผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน  ต้องรู้สึกราวกับจิตใจดับวูบ ภาพที่เห็นคือมีแสงของดวงไฟจากคบเพลิงนับสิบๆดวง ก่อตัวส่องสว่างอยู่ท่ามกลางถนนที่มืดมิด คล้ายกับชาวบ้านกำลังออกตามหาอะไรหรือใครบางคนอยู่กันอย่างชุลมุน อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ว่า…บางทีสิ่งที่พวกชาวบ้านกำลังค้นหา  อาจเป็นเธอเองก็ได้! นาทีนั้นหากเลือกได้จิราคงอยากเจอผีมากกว่าที่จะเจอคนพวกนั้นอีก

หลังกลับไปถึงโรงแรมกลางดึก ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบกับคุณพ่อของนุชมารออยู่ที่โรงแรมด้วยแล้ว แม้ว่านุชจะไม่สบายแต่ก็ไม่ได้อาการไม่ดีถึงกับฉุกเฉิน จนคุณพ่อของนุชเล่าให้ฟังว่า ตัวเองรีบขับรถมาจากกรุงเทพด้วยตัวเอง เพราะมีผู้หญิงลูกครึ่งมาเข้าฝัน บอกว่าลูกอยู่ในอันตราย กำลังตะเกิดเรื่องน่ากลัว ให้รีบไปรับกลับทันที

เราพากันตรงกลับกรุงเทพตั้งแต่ฟ้าสาง โดยที่ต้องยกเลิกแผนที่วางไว้ก่อนหน้า และไม่ได้แวะที่ไหนอีก บทเรียนที่มีค่าที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่งานวิจัยหรือข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา แต่เป็นข้อคิดเตือนใจต่างหาก ว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าผีสางใดๆ ก็คือคนด้วยกันเองนี่แหละ เรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นราวกับไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์พึงทำต่อกัน มันถูกฝังความจริงให้จมลงไปในดินโดยที่ไม่มีความยุติธรรมที่ไหนจะขุดค้นมันพบได้ และเรื่องนี้ก็คงกลายเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าลือได้เท่านั้น ปัจจุบันนี้ก็ไม่ทราบว่าห้องสนิมนั่นจะยังคงอยู่ให้เห็นหรือไม่ และนี่ก็คือเรื่องเล่าผีที่น่ากลัวที่สุดเรื่องนึงของรายการ

ขอบคุณเรื่องเล่าผี : ห้องสนิม คุณแป้ง

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีเดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์