เรื่องหลอนในคืน 4 กรกฎาคม: ผีที่ไม่ควรลืม

### เนื้อหาหลัก ตอนที่ 1: คืนที่ 4 กรกฎาคมอาถรรพ์ในคืนที่ทุกคนรอคอย วันที่ 4 กรกฎาคม อาจฟังดูเป็นวันสงบสุขที่เต็มไปด้วยแสงไฟและเสียงระเบิดจากดอกไม้ไฟ แต่มีเรื่องราวแปลกประหลาดที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับวันนี้ วันหนึ่งในเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่ผู้คนต่างสนุกสนานชื่นชมการเฉลิมฉลอง มีใครบางคนที่ไม่ได้มีความสุขเช่นนั้น การเฉลิมฉลองครั้งนี้กลับกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีใครสามารถลืมได้มีคนบอกเล่าเกี่ยวกับการปรากฏตัวของ วิญญาณในคืน 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “เชอรี่” เชอรี่คือหญิงสาวที่เสียชีวิตในวันที่ 4 กรกฎาคม ในสมัยโบราณ เธอเป็นคนมีชื่อเสียงในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่น่าเศร้าที่ความรักของเธอถูกทำลายเมื่อคนรักของเธอหายไปในสงครามคืนที่เธอตัดสินใจที่จะตามหาคนรัก มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างในคืนรก แต่แทนที่จะพบสิ่งที่หวังไว้ เชอรี่มักจะพบกับ สิ่งเหนือธรรมชาติ สัตว์ต่างๆ ที่กลายเป็นวิญญาณคอยกระซิบบอกเธอว่า คนรักของเธอนั้นตายไปแล้ว และความรักที่เธอมีต่อเขาก็ไม่อาจกลับคืนมาได้ ตั้งแต่นั้นมา ในทุกๆ วันที่ 4 กรกฎาคม ผู้คนที่อยากสนุกสนานมักจะได้รับการเตือนจากเสียงไม่รู้ที่มาของลม และสายตาของเชอรี่ที่สาดมาจากความมืด เสมือนกับว่าหญิงสาวกำลังมองหาความรักและความสงบสุขในคืนที่เต็มไปด้วยความสุขนี้ผู้ที่เคยไปที่บ้านเก่าของเชอรี่ในค่ำคืน 4 กรกฎาคม จะบอกเล่าว่า พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความเศร้าโศกและความคาดหวังของเธอในอากาศ ปรากฏการณ์นี้ทำให้คนรอบข้างรู้สึกถึงการมีอยู่ของวิญญาณที่เฝ้ารอ ไม่ว่าจะาร์บอเรื่องแค่ไหน ก็ยังมีคนจำนวนมากที่หวาดกลัวไม่กล้าไปที่นั้นอีกต่อไป### เนื้อหาหลัก ตอนที่ 2: เทศกาลปีนี้ที่แตกต่างในปีนี้ วัน 4 กรกฎาคม จึงเป็นวันสำคัญที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากขึ้น เพราะมีข่าวลือแตกกระจายว่า เชอรี่กลับมาอีกครั้งในคืนที่มีการเฉลิมฉลองนี้ ขณะที่ผู้คนเตรียมพร้อมสำหรับการฉลองและแสดงไฟประดับทุกประเภท มีผู้คนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจจะมาท้าทายความเชื่อว่า เชอรี่ยังมีชีวิตอยู่กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งตัดสินใจที่จะแก้ไขตำนานนี้ พวกเขาตั้งใจจะไปที่บ้านเก่าของเชอรี่ในคืน 4 กรกฎาคม ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยแสงสีสันจากดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า แต่ใต้อารมณ์ของสนุกสนานเหล่านั้น กลับมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงที่หมาย ท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับแลดูแปลกประหลาด หน้าบ้านเก่าแก่ของเชอรี่มีบรรยากาศที่หนาวเหน็บอย่างไม่เคยมีมาก่อน เสียงของลมพัดเบาๆ ฟังดูคล้ายเสียงระบายความเศร้าของหญิงสาวในอดีต แสงจากดอกไม้ไฟที่ส่องถึงที่ทำให้ความอดสูนี้โดดเด่นยิ่งขึ้นขณะที่กลุ่มวัยรุ่นเริ่มตั้งใจจะทำพิธีกรรมเพื่อลองเรียกเชอรี่ขึ้นมา คำพูดของพวกเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าสยดสยอง ในขณะเดียวกันที่พวกเขาเป็นกลุ่มที่สดใสกลับมีลมหายใจที่เย็นเหน็บผสมผสานเข้ากับความเศร้าของคืน 4 กรกฎาคม นี้ เสียงที่ร้องเรียกของพวกเขาถูกกั้นด้วยเสียงของหญิงสาวทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจงานเฉลิมฉลองเตือนถึงความคิดที่ว่าการค้นหาความจริงอาจทำให้พวกเขาไม่หลุดพ้นจากเงาของความตาย มันไม่ใช่แค่เรื่องของช่วงเวลา แต่เป็นการเดินตามทางที่ถูกห้าม และในขณะนี้ ที่ที่ได้ริเริ่มพิธีกรรมอาถรรพ์ กลับกลายเป็นที่ซึ่งชีวิตจะไม่เหือนเดิมอีกต่อไป### บทสรุป: เล่าขานซ้ำในคืน 4 กรกฎาคมเรื่องราวของเชอรี่และคืนนี้ในวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นถึงอำนาจของความรักและการสูญเสียที่ไม่อาจลบล้าง โดยเฉพาะในคืนที่มีมวลมนุษย์รวมกันเพื่อตลึงในความสุข แต่ก็ไม่อาจลืมเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้น ในคืนที่มีการเฉลิมฉลองเช่นนี้ กลับเป็นคืนที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสยองประสบการณ์ของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นสร้างการตระหนักให้ผู้อื่นได้เข้าใจว่า แม้ในคืนที่เต็มไปด้วยความสุข ความเศร้าโศกสามารถแฝงอยู่ในเมฆหมอกของความเป็นอยู่ชีวิตประจำวันได้ และทุกครั้งที่คืน 4 กรกฎาคม มาถึง ควรมองมันด้วยความระมัดระวัง สำคัญมากกว่าแค่การเฉลิมฉลอง แต่ยังหมายถึงการเรียกคืนคติด้วยความรักที่เรามีต่อกันในที่สุด ทุกคนต่างเฝ้ารอให้ถึงค่ำคืนนี้อีกครั้ง รอจะค้นพบเรื่องราวใหม่ที่น่าหวาดหวั่น แต่ก็ยังไม่ลืมถึงความจริงที่เบื้องหลังความสนุกนั่นเอง คงจะเราได้ยินเสียงเชอรี่ในคืน 4 กรกฎาคม ที่ยังคงสะท้อนในใจของผู้ที่ได้เห็นงานเฉลิมฉลองนั้นไปอีกนานถ้าคุณรู้สึกถึงความรู้สึกนี้ จะมีอีกหนอสำหรับคืนนี้ที่ 4 กรกฎาคม ที่ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่

ghoststory

05/07/2025

ตำนานเฮี้ยนของตั้มวิชญะจารุจินดา

เรื่องราวของตั้มวิชญะจารุจินดา เริ่มต้นขึ้นในหมู่บ้านหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของป่าใหญ่ ในค่ำคืนหนึ่ง เมื่อเดือนเต็มดวงส่องแสงจ้า เป็นคืนที่ผู้คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงกระซิบเล่าเรื่องขึ้นมาอย่างน่ากลัวเกี่ยวกับตั้มวิชญะจารุจินดา ผู้ที่เคยเป็นคนธรรมดา ก่อนจะกลายเป็น วิญญาณที่ไม่สงบ ตัวเขาได้รับการกล่าวถึงในฐานะที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่ด้วยพลังที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้เขาเผชิญกับชะตากรรมที่น่าสยดสยองตั้มวิชญะจารุจินดา เป็นเด็กหนุ่มผู้มีพลังจิตที่เหนือธรรมชาติ เขาสามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มีการทำนายอนาคตได้ แต่ความสามารถนี้กลับมาพร้อมกับความเลวร้าย เพราะทุกครั้งที่เขาทำนายอะไร แสดงว่าสิ่งนั้นจะต้องเกิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อตั้มเริ่มเห็นวิญญาณที่ล่องลอยอยู่รอบตัวเขา มันส่งผลให้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล และความกลัวที่มีอำนาจสุดท้ายเขาพบวิญญาณหนึ่งที่ต้องการคำตอบ ตั้มพยายามจะสื่อสาร แต่กลับพบว่ามันเป็นความผิดพลาดที่เลวร้าย วิญญาณนั้นสั่งให้เขาต้องทำสิ่งที่เขาไม่ต้องการการต่อสู้เกิดขึ้นในจิตใจของเขาและทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาดแยกตัวออกจากผู้อื่นจะกระทบอย่างมากเมื่อความจริงเปิดเผยออกมาตั้มวิชญะจารุจินดา แต่ละคืนเขาเห็นภาพของการเสียชีวิตของคนที่ไม่รู้จัก รู้ว่าตัวเองไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ ความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าเริ่มพอกพูนขึ้น จนในที่สุดเขาได้ตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองในวันแรม 15 ค่ำ บนเขาที่เขาเคยเล่นในวัยเด็ก เสียงที่ทุกคนได้ยินในคืนหมู่บ้านนั้นสั่นสะเทือนจิตใจเพราะมันเกิดจากการจากไปของจิตที่ยังดองดึง วิธีที่เขาจากไปทำให้วิญญาณของเขากลายเป็นของเล่นของวิญญาณอื่น ในขณะที่คนในหมู่บ้านเคยชินกับเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความสยดสยอง จนกระทั่งเป็นเรื่องที่ถูกเล่าขานมาถึงวันนี้ตตั้มวิชญะจารุจินดา ยังเป็นที่กล่าวถึงในสถานที่ต่างๆ เพราะเชื่อกันว่า คนที่ได้รับพลังจิตหรือสามารถเห็นวิญญาณมีโอกาสสูงที่จะพบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด และบางคนถึงขั้นเกิดประสบการณ์ที่หลอนอย่างรุนแรง

ghoststory

05/07/2025

Del Monte ล้มละลาย: เรื่องผีที่ไม่มีวันตาย

ในคืนที่ฝนตกพรำ เสียงฟ้าร้องก้องไปทั่วท้องฟ้า Del Monte ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางจากฟางเส้นที่ล้มละลาย แต่ทำไมความล้มละลายนี้ถึงได้กลายเป็น เรื่องเล่าผี ที่เย้ายวนใจ? เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นจากโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องที่สูงตระหง่าน การผลิตที่เคยเฟื่องฟู โหดร้ายต่อเสียงสะเทือนใจของผู้คนมากมาย ในคืนหนึ่ง เสียงที่น่าสะพรึงกลัวดังก้องไปทั่วโรงงาน ผลิตภัณฑ์ที่เคยสร้างชื่อเสียงดังไกล และเปลี่ยนสถานที่นี้ให้กลายเป็น ความยิ่งใหญ่。」 ตั้งแต่หัวค่ำหลังจากที่ประกาศว่า Del Monte ล้มละลาย มีกลุ่มบุคคลที่กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่เคยสัมผัสบรรยากาศของโรงงานรู้สึกได้ถึง ความน่าสะพรึงกลัว เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาใกล้ เราจะเห็นว่าวิญญาณของคนงานที่ไม่สามารถส่งลูกหลานไปเรียนหรือสร้างอนาคตที่ดีกว่า ได้วนเวียนอยู่ในซากอาคารที่เคยเป็นสถานที่ทำมาหากิน แต่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่หลอน เมื่อมีการเล่าเรื่องข้าวของถูกโยนทิ้ง ว่ามีเสียงพูดคุยแผ่วเบา ซ้ำร้ายกว่านั้น ยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กที่ถูกทอดทิ้งในโลกนี้ เสียงที่ทำให้หัวใจเราหดตัวลง…การล้มละลายไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น มีพร้อมกับวิญญาณของคนที่เรามองไม่เห็นอาศัยอยู่ใน del monte แต่เมื่อหลาย ๆ คนได้ฟังเรื่องนี้ จึงได้รู้จักกับทางคำว่า “ล้มละลาย” ว่าไม่เพียงแต่เป็นแค่การหมดตัว ทางกฎหมาย หรือความไม่สามารถชำระหนี้ แต่ยังเป็นการสิ้นสุดชีวิต สิ้นสุดความหวังและอนาคตคืนนั้นอากาศเย็นลง เริ่มมีไฟฟ้าเปิดในโรงงาน ที่นั่น ผู้คนสังเกตเห็นว่า มีเงาคล้ายมนุษย์เดินไปมา ความเคว้งคว้างของโลกที่พวกเขารู้จัก มันกลายเป็น ความหลอน ที่น่ากลัวเข้าขั้น【อ่านข้อความเต็ม การล้มละลายที่ไม่ต้องการความยุติธรรมอีกต่อไปอีกแล้ว ไม่เพียงแต่คนงานที่ถูกทอดทิ้ง แต่ยังมีเลขจำนวนหนี้ที่รบกวนจิตใจเราหมายเลขที่ถูกฝังอยู่ในใจ ทุกครั้งที่สนทนา เกิดเป็นคำถาม ทำไมเราถึงต้องอยู่ในสภาพที่ไร้ค่าแบบนี้? ในไม่ช้า สิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็น เรื่องเล่าผี ที่ถูกขับเคลื่อนจากเหตุการณ์ล้มละลาย ตั้งแต่เวลาที่ผ่านไป เพื่อนฝูงเริ่มแชร์เรื่องราวที่ไม่สามารถบอกเล่าให้ใครฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กที่เดินเล่นในโรงงาน เรียกร้องหาความรักที่ถูกลืมไป ความเป็นจริงของการล้มละลายอาจจะมาจากสิ่งที่ต้องการสะท้อนสังคม แต่ตอนนี้เมื่อมีคำว่า “Del Monte ล้มละลาย” ท่องไปในโลกออนไลน์ มันจะกลับมากดดันและหลอกหลอนทุกคนที่เคยผ่านมาในโรงงานนี้

ghoststory

05/07/2025

เดลิเวอร์…หลอน ออเดอร์เขย่าขวัญ

เรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้เกิดขึ้นตอนที่ผมต้องขับรถไปส่งอาหารที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว แต่ผมก็ยังทำงานอยู่ อย่างที่ผมบอกว่ายิ่งทำก็ยิ่งได้เงินเยอะ ถ้าขยันซะอย่างยังไงซะก็ไม่อดตาย แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นหลังจากที่ผมกดรับออเดอร์หนึ่ง เพราะร้านอาหารที่ต้องไปรับกับที่อยู่ของลูกค้าค่อนข้างไกลกัน (ปกติผมไม่เคยผ่านเส้นทางนั้นมาก่อน) จึงได้แต่วิ่งไปตามที่ GPS บอก

หนทางนอกเมืองเริ่มเปรี่ยวและมืดลงตามลำดับ ตึกรามบ้านช่องต่างๆของคนแถวนี้ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว  จนเมื่อผมขี่มาถึงหน้าหมู่บ้านพบกับป้อมยามเหงาๆอยู่ป้อมหนึ่งที่ภายในนั้นไม่มีการใช้งานแล้ว หลายๆหมู่บ้านก็กลายเป็นแบบนี้เสมอ ในอดีตอาจจะเคยรุ่งเรือง แต่ปัจจุบันก็ดูซบเซาและหงอยเหงามาก  ผมเช็คที่อยู่ดูอีกทีในมือถือโดย GPS บอกหนทางและซอยต่างๆอย่างละเอียด  ผมจึงขี่รถไปตามถนนได้ไม่ยากนัก

ข้อสังเกตของหมู่บ้านนี้ก็คือ  หมู่บ้านนี้กว้างใหญ่มาก แบ่งเป็นซอกซอยซ้ายทีขวาที  บ้านบางหลังก็ยังสร้างไม่เสร็จ  ผู้คนส่วนใหญ่ก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว  ดูๆไปก็น่าขนลุกเหมือนกัน  จนเมื่อผมขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของลูกค้า  ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน แยกออกมาในซอยตันแห่งนี้  ทางซ้ายทั้งขวามีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง  แต่ละหลังก็ปิดไฟมืดหมดแล้ว  ผมแจ้งเตือนลูกค้าว่าตอนนี้มาถึงแล้ว  ครู่ต่อมาลูกค้าคนนี้ก็ตอบกลับมาว่า  ให้แขวนอาหารไว้ที่หน้าประตูได้เลย

มันดูแปลกมาก  ผมจึงพิมพ์ถามกลับว่าลูกค้าไม่เช็คสินค้าหน่อยหรือ  แต่เขาก็ตอบกลับมาว่า  ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ เเค่แขวนไว้ที่ประตูรั้วก็พอ

เอาไงก็เอากัน  ยังไงลูกค้าคนนี้ก็ตัดเงินผ่านบัตรเครดิตอยู่แล้ว  ถ้าเขาต้องการให้นำอาหารไว้ตรงไหนก็ต้องตามใจเขา  ผมจึงเดินสะพายกล่องอาหารไปที่บ้านหลังนั้น  แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าบ้านหลังนี้  มีถุงอาหารมากมายแขวนอยู่ที่ประตูรั้ว  กองขยะที่พื้นมีทั้งถุงพลาสติกและกล่องโฟมมากมายกองอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด  เหมือนว่าคนที่กินอาหารแกะกินแล้วทิ้งไว้ตรงนี้  บางส่วนก็เน่าส่งกลิ่นเหม็น

ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ กลางบ้านในส่วนของโรงจอดรถ มีชุดเก้าอี้ม้าหินอ่อนตั้งไว้และบนโต๊ะนั้นก็มีกระถางธูปปักอยู่  อีกทั้งบ้านหลังนี้ยังคล้องโซ่กุญแจจากภายนอก  ซึ่งก็ไม่น่าจะมีใครอยู่จริงๆ  ดูไปแล้วก็แปลกพิลึก 

ผมรีบพิมพ์ถาม  เพื่อยืนยันบ้านเลขที่ (ที่จริงอยากจะถามว่าทำไมบ้านรกขนาดนี้  แต่อาชีพของผมคงจะพูดแบบนั้นไม่ได้)  สักพักเขาก็พิมพ์กลับมายืนยัน ว่าบ้านเลขที่นี้แน่นอนให้วางอาหารไว้แล้วไปได้เลย  ผมจึงรีบแขวนถุงอาหารไว้ตามที่เขาต้องการ  จากนั้นก็รีบกลับมาที่รถ  จู่ๆก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ตะโกนเรียกผมมาจากบ้านฝั่งตรงข้าม  พอหันไปมองพบว่าเป็นลุงคนหนึ่ง  แกถามผมว่ามาทำอะไรดึกๆดื่นๆแถวนี้

ผมจึงเดินไปหาแก  ผมบอกกับลุงว่าผมนำอาหารมาส่งให้คนที่บ้านหลังนั้น  แต่เจ้าของไม่อยู่ให้ผมไปเอาไว้  มาลงแกได้ฟังผมพูด  ลุงแกก็ชมผมด้วยว่าขยันจริงๆ  จากนั้นแกก็พูดในสิ่งที่ทำให้ผมต้องตกใจ

ลุงแกบอกว่า  มาส่งอาหารให้ผีในบ้านหลังนั้นอีกแล้วสินะ  ผมใจหายวาบ  คิดไม่ถึงว่าลุงจะพูดประโยคนี้  จนผมต้องถามซ้ำว่าลุงพูดอะไรเมื่อสักครู่

ลุงแกจึงบอกว่าบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่มานานแล้ว  เจ้าของบ้านตายกันไปหมดแล้วทั้งหลังเลย  ผมจึงบอกลุงแกว่ามีคนให้ผมนำอาหารมาส่งที่นี่จริงๆ  ลุงแกก็เลยบอกว่าน่าจะเป็นลูกชายของเจ้าของบ้านที่ทำงานอยู่ที่จังหวัดอื่น แล้วมักจะสั่งอาหารมาเซ่นพ่อแม่พี่น้องเป็นประจำ นานๆครั้งจะมาทำความสะอาดสักทีช่วงตอนกลางวัน 

ผมขาอ่อนขนลุกซู่ตอนฝังลุงอธิบาย  จากนั้นลุงก็พูดขึ้นมาว่า  ตอนนี้พี่อยู่ในบ้านหลังนั้นก็กำลังกินอาหารอยู่  ลุงแกไม่พูดเปล่า พลางมองข้ามไหล่ผมไปยังบ้านหลังนั้น  ผมยืนเกร็งตัวสั่นไม่กล้าหันไปมองแบบลุง  แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีเสียงของอะไรสักอย่างกำลังแย่งกันฉีกถุงอาหาร และกินส่งเสียงดังมาถึงตรงนี้ 

ผมถามลุงว่าตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี  ลุงแกก็บอกง่ายๆว่าให้กลับบ้าน  ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งรีบยกมือไหว้ขอบพระคุณคุณลุง  ที่ลงช่วยเตือนสติ  จากนั้นก็กระโดดควบรถใส่หมวกกันน็อคแล้วสตาร์ทรถ  แต่ลุงก็ตะโกนกลับมาว่าอย่ารีบนะเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
คิดๆไป ลุงแกก็ดีใจหาย อีกทั้งยังน่าสงสาร ที่ต้องมาอยู่บ้านตรงข้ามกับบ้านผี  จนเมื่อผมหันไปไหว้ขอบคุณลุงอีกครั้ง  ลุงแกก็พูดขึ้นมาว่า  ถ้าครั้งหน้ามาส่งที่บ้านผีอีกก็ช่วยหยิบของติดไม้ติดมือมาฝากลุงบ้าง เพราะลูกหลานไม่ทำบุญมาให้นานแล้ว

ผมขนหัวลุกอีกรอบ  หันไปมองลุงทันที และสภาพของลุงตอนนี้ผอมจนหนังติดกระดูก ตาลึกกลวงโบ๋ ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ชัดๆ  แต่นี่ไม่ใช่ซอมบี้ นี่คือผีลุงอย่างแน่นอน

ส่วนที่บ้านหลังนั้นของลูกค้า ก็มีอะไรบางอย่างกำลังเขย่าและขยับประตูลูกกลอนเหมือนพยายามจะออกมาให้ได้ ซึ่งทันทีที่ผมหันไป ก็เห็นเงาดำสี่เงา ดวงตาส่องสว่างสะท้อนกับแสงจันทร์ในตอนนี้ และเงาพวกนี้ดูเหมือนจะเป็นพ่อแม่ลูกเหมือนที่ลุงแกบอก แต่ปัญหาก็คือเงาทุกเงาไม่มีขา

ผมจึงบิดหนีออกมาด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วไม่กล้าหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีก

หลายวันต่อมา จึงรู้จากพี่ๆที่ทำงานแบบเดียวกัน ที่เล่าให้ผมฟังว่าบ้านหลังนั้นไม่มีใครก็รับออเดอร์กันสักคน  คนแถวนี้เขารู้จักกันดี

Admin

23/03/2022

เรื่องเล่าผี | อาศัยในบ้านกระสือ

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้มาจากคุณนิ่ม คุณนิ่มบอกว่ามันเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาในจากรุ่นสู่รุ่น คุณนิ่มฟังมาจากคุณพ่อ คุณพ่อของคุณนิ่มก็รับฟังต่อมาจากคุณย่า และคุณย่าทวดตามลำดับ ย้อนกลับไปราว 50 ปีก่อน ในสมัยที่บ้านเมืองยังไม่ได้พัฒนาจนเจริญขนาดทุกวันนี้ ความเชื่อเรื่องภูตผีเป็นเรื่องที่ไม่ใครเล่า ไม่มีใครพูดหลังตะวันตกดินกัน ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่พิสูจน์ได้ลำบากเหล่านี้ มันมากกว่าในทุกวันนี้มากๆ

หมู่บ้านแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ที่ซึ่งคุณย่าทวดของคุณนิ่ม อยู่ในสมัยสาวๆก็เช่นกัน คุณย่าทวดมีชื่อว่า ‘ย่าแจ่ม’ แถวนั้นมีเสียงเล่าลือกันว่า…พักนี้มีคนพบเจอ ‘ผีกระสือ’ ออกอาละวาดในหมู่บ้าน บ้างก็ว่าพบเจอแสงสว่างวูบวาบลอยไปมากลางทุ่งนายามค่ำคืน บ้างก็ว่ามีคนพบเจอซากปฏิกูลเลอะเทอะราวกับถูกตัวอะไรมาคุ้ยเขี่ย บ้างก็ว่าได้ยินเสียงกึงกังอยู่ใต้ถุนบ้านยามที่คนในบ้านหลับกัน ชาวบ้านค่อนข้างมั่นใจมาก ว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ มีสิ่งที่เรียกว่ากระสืออยู่ แต่…ไม่รู้ว่าร่างจริงเป็นใคร

อยู่มาวันหนึ่งย่าแจ่มไปตกหลุมรักชอบพอกันกับ ‘ปู่เฉลิม’ ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นหนุ่มจากหมู่บ้านข้างๆ กระทั่งทั้งคู่ตกลงอยู่กินร่วมกัน ย่าแจ่มก็เลยต้องย้ายไปร่วมหอกับสามีที่บ้านปู่เฉลิม บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น สภาพค่อนข้างเก่าปอนพอดู ท่าทางคงถูกสร้างมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ย่าแจ่มรู้สึกสะดุดอยู่ในใจ กลับเป็นกลิ่นเหม็นอับของอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน บ้านหลังนี้ นอกจากตัวปู่เฉลิมแล้วยังมี ‘ยายหอม’ แม่ของแกอยู่อาศัยด้วยอีกคน

ในคืนแรกที่เป็นสมาชิกในบ้านหลังใหม่ อาจด้วยเพราะว่าแปลกที่แปลกทาง ทำให้ย่าแจ่มตื่นขึ้นมากลางดึก ด้วยความรู้สึกหนาวๆเล็กน้อย เมื่อมองไปทางปู่เฉลิมแกก็นอนหลับอยู่ข้างกัน แต่เมื่อย่าแจ่มกำลังจะล้มตัวลงนอนต่อ สายตาก็ดันไปสะดุดเข้ากับสิ่งผิดปกติบางอย่าง หน้าต่างไม้บานหนึ่งแง้มเผยอออกไปด้านนอก ย่าแจ่มรู้ที่มาของลมหนาวที่เล็ดลอดเข้ามาแล้ว เลยมุดออกมาจากมุ้งตรงไปที่หน้าต่างบ้านนั้น เพื่อจะปิดลงกลอนให้สนิท ทันใดนั้นเองย่าแจ่มก็หยุดเท้าชะงัก เพราะสังเกตเห็นแสงสีแดงวูบวาบๆ ลอดผ่านเข้ามากระทบบานหน้าต่าง…

‘แสงสีแดงวูบวาบ’ มันทำให้ย่าแจ่มนึกถึงเรื่องเล่าที่ชาวบ้านเค้าลือกัน… ‘มันมีกระสือในหมู่บ้านเรา แต่ไม่มีใครรู้ตัวตน’ ย่าแจ่มหันหลังแล้วรีบมุดกลับเข้าไปขดตัวในมุ้งด้วยความกังวล กระทั่งมีเสียง ‘ปังง’ ดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงัดของค่ำคืนในชนบท ย่าแจ่มที่จ้องมองไปที่หน้าต่างไม่คลาดสายตาตั้งแต่เมื่อครู่ ไม่สามารถสะกดความสั่นอันเนื่องมาจากความกลัวได้อีกต่อไป เสียงดังปังเมื่อครู่นี่ มันเกิดจากเสียงหน้าต่างบานนั้น ถูกปิดกลับเข้ามาโดยใครบางคนจากด้านนอก และมันไม่ใช่หัวขโมยแน่ เพราะคงไม่มีใครลงทุนปีนขึ้นมาทำอะไรลับๆล่อๆถึงชั้น 2 ได้

ย่าแจ่มเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าเช้านี้แกดูอิดโรยเนื่องจากคงได้นอนไม่กี่ชั่วโมง ย่าแจ่มเล่าเรื่องประหลาดให้ปู่เฉลิมฟัง แต่ดูเหมือนปู่เฉลิมแกจะไม่ได้เห็นว่าเป็นสาระอะไร บทสนทนาเรื่องนี้ก็เลยจบไปแบบไม่ได้สานต่อ นอกจากทำกับข้าวกับปลาแล้ว ในฐานะสะใภ้ของบ้าน ย่าแจ่มก็ยังต้องทำงานบ้านด้วย ในช่วงสายระหว่างที่แกกวาดบ้านอยู่ ก็พบเข้ากับหยดเลือดปริศนาเป็นดวงๆตามพื้นไม้ ย่าแจ่มมองโลกในแง่ดีว่า คงมีใครไปเผลอเหยียบอะไรเข้าจนได้แผลกระมัง

ย่าแจ่มอยู่ในบ้านแทบทั้งวัน ในขณะที่ปู่เฉลอมออกไปทำงานข้างนอก แต่ที่น่าประหลาดใจคือ…ยายหอม แกไม่เคยออกมาจากห้องนอนบนชั้น 2 เลย ดูเหมือนแกอยากจะนอนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เข้าใจได้ว่า แม่สามีตนนั้นอายุก็มากโข เป็นไปได้ว่าต้องการพักผ่อนมากกว่าคนหนุ่มสาว แต่ย่าแจ่มก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เลยขึ้นไปตามแกลงมากินข้าว

“แม่ ไม่ลงมากินข้าวเหรอจ้ะ นี่ก็เที่ยงแล้ว”

“เอ็งกินเถอะะ… ข้ากินแล้ว”

ย่าแจ่มก็สงสัยนิดหน่อย แกอยู่แต่ในห้องแล้วไป ‘กิน’ มาตอนไหน แต่ก็ไม่ได้เว้าซี้อะไร ด้วยเข้าใจว่าแกคงยังไม่หิว เลยตอบไปพอเป็นพิธี ตกเย็นย่าแจ่มยืนทำกับข้าวมือเย็นอยู่ในครัว ก็รู้สึกสะดุ้งตกใจขึ้นมา เพราะยายหอมเข้าหาอย่างกระทันหัน ย่าแจ่มก็ทักถามว่า “แม่หิวแล้วเหรอจ้ะ” แต่ดูเหมือนแกไม่ได้มาหาของกิน แกบอกว่าจะมาช่วยทำกับข้าว ทันทีที่แกเดินเข้ามาใกล้ ย่าแจ่มก็แทบเบือนหน้าหนี จากกลิ่นสาบที่โชยออกมาจากตัวแก อดแปลกใจไม่ได้ว่าแกไม่ยอมอาบน้ำหรืออย่างไรกัน อย่างไรก็ตามสภาพของยายหอมในช่วงเย็นกลับดูแข็งขันขึ้นมา

ช่วงหัวค่ำปู่เฉลิมก็กลับมาร่วมวงอาหารกับสมาชิกคนอื่น หลังกินเสร็จเรียบร้อย ย่าแจ่มก็ไปล้างจานล้างชามเก็บเข้าที่ จู่ๆก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทั้งๆที่พึ่งจะทุ่มเศษๆ เลยกะว่าจะนอนแต่หัวค่ำแล้วกันคืนนี้ พอขึ้นไปบนชั้นสอง ก็พบว่าปู่เฉลิมนอนหลับเป็นตายอยู่ก่อนแล้ว พอหัวถึงหมอนย่าแจ่มก็หลับตามไปติดๆ จนกระทั่งตื่นมาตอนเช้า ย่าแจ่มก็ลงบันไดเพื่อตระเตรียมสำหรับมื้อเช้า จังหวะนั้นเองก็ได้กลิ่นคาวเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แกอดสงสัยไม่ได้ว่าใครมาทำอะไรไว้แถวนี้ แต่ก็ไม่พบต้นสายปลายเหตุ เหตุการณ์ประหลาดๆในบ้านหลังนี้ดำเนินไปเป็นกิจวัตรอยู่ราว 2 สัปดาห์ ย่าแจ่มกับปู่เฉลิมต่างก็สุขีอัตตานัง ไม่เคยได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ยามค่ำคืนเลย

ความอมทุกข์ของย่าแจ่ม เป็นเหตุให้แกออกไปพบปะกับเพื่อนฝูงในเวลากลางวัน ยามที่ว่างเว้นจากงานบ้านแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องที่แกเล่าให้เพื่อนพ้องน้องพี่ฟังดูจะสร้างความวิตกกังวลให้ผู้ฟังพอควร เลยได้รับการแนะนำว่า มีหมอธรรมท่านนึงแกเก่งกล้ามากอยู่ เลยพากันไปพบแกที่สำนัก พอย่าแจ่มเล่าเรื่องทุกอย่างซ้ำอีกหนึ่งรอบให้หมอธรรมฟัง เสียงหงุดหงิดระคนโมโห ก็หลุดออกมาจากปากแก

“ถึงขนาดนี้ นี่เอ็งอยู่เข้าไปได้ยังไง?!”

ย่าแจ่มกับเพื่อนๆก็พากันสงสัยระคนตกใจ ที่พ่อหมอว่ามาหมายถึงอะไร? หมอธรรมเจ้าสำนักก็แนะนำให้ย่าแจ่มปฏิบัติตามดังนี้

“คืนนี้เอ็งห้ามกินข้าวปลาอาหารเด็ดขาด น้ำก็ห้ามดื่ม ประตูและหน้าต่าง ให้ลงกลอนปิดสนิททุกบาน แล้วเอ็งจะได้รู้เอง”

คืนนั้นย่าแจ่มปฏิบัติตามคำสั่งของหมอธรรมทุกอย่าง แกทำท่าทางเป็นเคี้ยวข้าว พอคลาดสายตาก็คายทิ้งลงโถ น้ำก็ไม่ดื่ม หลังจากปู่เฉลิมหายเข้าห้องนอนไปแเล้วแกก็ล้างถ้วยชามตามปกติ น่าแปลกว่าวันนี้ย่าแจ่มไม่รู้สึกง่วงเหมือนในทุกวันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แกก็แกล้งทำเป็นเข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนอย่างเคย ในห้องยายหอมกับปู่เฉลิมนอนหลับอยู่ก่อนแล้ว ก่อนย่าแจ่มจะเข้ามุ้งก็ไม่ลืมจะปิดประตูหน้าต่าง ลงกลอนแน่นหนาจนครบทุกบาน

‘ตึงๆ ตึงๆๆๆ…!’

‘ตึงๆ ตึงๆๆๆๆๆๆๆ !!’

ย่าแจ่มที่เบิกตาโพลงท่ามกลางความมืดสลัว จ้องมองหน้าต่างมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว เสียงเมื่อครู่คือเสียงที่แกรอคอยอยู่หลายชั่วโมง แต่แล้วภาพที่ไม่คาดคิด ก็ทำเอาย่าแจ่มแทบช็อค เมื่อตรงหน้าแกห่างไปเพียง 5-6 ก้าว มีหัวของยายหอมลอยอยู่ ส่วนล่างลงมาถูกสีแดงฉานวูบวาบ ส่องแสงจ้าจนมองไม่เห็นว่าเป็นอะไร กำลังเอาหัวโขกไปที่หน้าต่างบ้านหนึ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ‘ตึงๆๆๆๆๆ’ ทำกลางความมืดและเงียบสะงัด เสียงไม้ของบานหน้าต่างกระทบกับกลอน ยิ่งดังกังวานจนหลอนเข้าไปในหู ย่าแจ่มกลัวจนน้ำตาเล็กออกมา พยายามหันไปปลุกปู่เฉลิม แต่แกก็ไม่แม้แต่จะขยับเพียงเล็กน้อย หลับสนิทราวกับตาย

ย่าแจ่มได้แต่สะอื้นอย่างสิ้นหวังอยู่ในมุ้ง ดูเหมือนเสียงสะอื้นจะดังพอที่ยายหอมจะได้ยินแล้ว เพราะดวงไฟวูบวาบเริ่มเข้ามาใหล้กับมุ้งย่าแจ่มเข้าไปทีละก้าวๆ ก่อนจะวนไปมาอยู่รอบๆ แสงสีแดงสะท้อนกับมุ้งผ้าฝ้ายสีขาว จนเหมือนกับถูกย้อมไปด้วยเลือด ย่าแจ่มหลับตาพนมมือ ท่องบทสวดเป็นพัลวัน

“มึงงง…เป็นคนปิดหน้าต่างกูเหรออออ~”

สิ้นคำนั้น ราวกับถูกฟ้าฟาด สติของย่าแจ่มดับวูบไปในทันที แกมารู้ตัวอีกทีก็ช่วงสายๆ วันนี้ปู่เฉลิมไม่ได้ออกไปทำงาน ดูเหมือนแกจะเป็นห่วงอาการของย่าแจ่ม ย่าแจ่มก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ปู่เฉลิมฟัง แล้วก็ขอตัวเก็บข้าวของกลับไปอยู่บ้านแม่ตัวเองที่หมู่บ้านข้างๆตามเดิม ไม่รู้ว่าปู่เฉลิมระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนบ้างรึไม่ อย่างไรก็ตาม ปู่เฉลิมก็เลือกที่อยู่ดูแลแม่แก และนั่นก็เป็นจุดจบของความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ทำให้ต้องเลิกลากันไป ด้วยเรื่องวุ่นๆของวัยรุ่นฟันน้ำนม สุดท้ายคุณนิ่มก็เลยไม่ได้เป็นทายาทคุณยายหอม ถือว่าโชคดีไป เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : theHouse.online

Admin

30/01/2022

แฮร์พีซอาถรรพ์…ผมต่อที่มาจากคนตาย

เรื่องเล่าผีที่ผู้ใช้เฟสบุ๊คท่านหนึ่ง นำมาเล่าไว้ในกลุ่มเรื่องผี เกี่ยวกับประสบการณ์สยองของปิ่น หลานสาวของผู้ใช้เฟสบุ๊คท่านนี้ พบเจอเมื่อครั้งไปซื้อมัดผมมาจากร้านขาย โดยปกติแล้วการต่อผมจากช่อผมแท้ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด การซื้อ-ขายผมแท้ แม้กระทั่งการไว้ผมยาวเพื่อตั้งใจตัดขายก็เป็นเรื่องทั่วไปสำหรับสาวๆ แต่นั่นต้องเกิดจาก “ความยินยอม” ของเจ้าของเดิม แน่นอนว่า…ไม่มีใครนึกอยากจะไป “ตัดผม” จากบนศีรษะของสาวคนใดตามอำเภอใจได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าช่อผมถูกขโมยมาจาก “ศพ” นั่นก็อีกเรื่อง…

ปกติแล้ว… “น้องปิ่น” จะไว้ผมยาวแค่เพียงประบ่า เนื่องด้วยน้องกำลังเรียนอยู่ปี 1 ที่มหาวิทยาลัยในกทม. พร้อมๆกับที่ต้องทำงานส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วย เนื่องจากบิดาผู้เคยเป็นเสาหลักครอบครัวมาด่วนจากไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน การเลือกที่จะไม่ไว้ผมยาว มันทำให้ปิ่นคล่องตัว กระฉับกระเฉงในการทำอะไรหลายๆอย่างมากกว่า ซ้ำไม่ต้องมานั่งดูแล นั่งรอเป่าผมให้แห้งเป็นครึ่งๆชั่วโมง

งานพาร์ทไทม์ที่ปิ่นทำนั้น เป็นงาน PR แนะนำและขายสินค้าในบู๊ทเล็กๆของห้างสรรพสินค้าหนึ่ง ด้วยความที่ปิ่นมีรูปร่างดี ผิวพรรณขาว หน้าตาน่ารัก พูดจาเก่ง ก็ไม่แปลกที่น้องจะไปด้วยสวยกับอาชีพนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งน้องได้รับมอบหมายให้ขายสินค้าตัวใหม่ ซึ่งเป็นบู๊ทผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม แม้ว่าผมประบ่าดำขลิบเป็นเงาของปิ่นจะดูเหมาะกับเธอแค่ไหน แต่ด้วยตัวงานพรีเซนท์ ถ้าคนขายเข้ากับผลิตภัณฑ์ย่อมทำให้ผู้บริโภครู้สึกคล้อยตามมากกว่า

ไม่ว่าเรื่องนี้จะส่งผลต่อยอดขายจะจริงหรือไม่ ปิ่นก็ได้รับการแนะนำจากผู้จัดการให้ไปต่อผมมาอยู่ดี แม้ไม่ได้เป็นการบังคับก็ตาม แต่ในช่วงเวลาที่เธอไม่พร้อมที่จะเสี่ยงต่อการเสียงาน ปิ่นเลยตบปากรับคำไป ในบ่ายแก่ๆวันหนึ่งที่ไม่มีคาบเรียน ปิ่นไปเดินหาซื้อของในย่านตลาดการค้าของเบ็ดเตล็ด ที่พูดชื่อไปทุกคนโดยเฉพาะแม่ค้ารู้จักเป็นอย่างดี

ในทีแรกเธอไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาซื้อทันที จนกระทั่งเดินผ่านร้านขายช่อผมแฮร์พีซเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง ร้านนี้มีขนาด 1 คูหา แต่มีช่อผมแบบต่างๆ ห้อยแขวนให้เลือกอยู่แน่นร้าน ทั้งผมเทียม ผมแท้ หลากหลายราคา ปิ่นใช้มือแหวกเลือกอยู่สักพัก ก็ไปสะดุดตากับเจ้ามัดผมยาวสีดำขลับ ความยาวประมาณ 30 นิ้ว ปิ่นลองยกขึ้นมาทาบดู คาดว่าเมื่อนำมาต่อแล้ว…คงจะได้ผมยาวเลยกลางหลังเธอพอดี เลยสอบถามกับแม่ค้าเจ้าของร้าน

“น้องตาถึงมากเลยน้าา ตัวนี้ผมแท้มาใหม่เลย พี่ว่าเหมาะกับน้อง”

“เท่าที่ดู เอ่อ…น้องเหมาหมด 6 มัดเลยแล้วกัน ปกติพี่คิด 3000+ แต่… อันนี้พี่คิด 1500 พอ”

ปิ่นไม่ได้เอะใจกับความแห้งผากเล็กๆในน้ำเสียง เว้นแต่ความรู้สึกที่คะยั้นคะยอขายเกินพอดีเล็กน้อย แต่เธอเองก็ชื่อได้ว่าทำงานค้าขาย การหว่านล้อมลูกค้าเป็นเทคนิคพื้นฐานอยู่แล้ว ในที่สุดเธอก็ซื้อมาในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด

หลังเสร็จจากงานพาร์ทไทม์ เธอกลับถึงบ้านราว 3 ทุ่มครึ่ง ปิ่นอาศัยอยู่กับน้าวิภา…คุณแม่ของน้อง คืนนี้เธอก็ทักทายแม่อย่างทุกครั้งที่ทำเมื่อกลับบ้าน ก่อนจะปลีกตัวไปอาบน้ำ ในขณะที่น้าวิภาเองก็รู้ว่าน้องมีภาระทั้งเรื่องเรียน และเรื่องงาน เธอจึงเตรียมกับข้าวกับปลาให้ลูกสาวคนเดียวเสมอ สิ่งที่แปลกไปอย่างเดียวในคืนนี้คือ คำถามของน้าวิภา…

“หนูเป็นเพื่อนปิ่นเหรอลูก… อ้าวๆ เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ”

“อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อน แม่ทำอาหารไว้เยอะเลย”

ปิ่นนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอาผ้าขนหนู่นุ่งกระโจมอกแล้วโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ ทักไปหาน้าวิภาผู้เป็นมารดาของตน

“แม่… เมื่อกี้ แม่คุยกับใคร?”

กระทั่งน้าวิภาก็เล่าให้ปิ่นฟังว่า… เมื่อครู่ตอนจะปิดประตู เธอเห็นหญิงสาวผมสั้น ยืนอยู่แถวหน้าห้อง เข้าใจว่าเป็นเพื่อนลูกสาว เลยชวนเข้ามานั่งในบ้าน แต่ปิ่นยืนยันเสียงแข็งว่าเธอมาคนเดียว! อย่างไรก็ตามน้าวิภาก็ทึกทักไปว่า คงเป็นแขกที่มาเยี่ยมห้องข้างๆ หรือห้องไหนสักห้องแถวนี้กระมัง ตอนนี้เอง…ผู้หญิงคนที่ว่าก็หายไปแล้วด้วย

ระหว่างทานข้าวกันที่โต๊ะกลางห้องโถง ปิ่นก็เล่าเรื่องที่ตนซื้อมัดผมมา น้าวิภาก็ถามว่าซื้อมาทำไม ปิ่นก็ตอบว่าหนูได้งานขายบู๊ทผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ที่ทำงานเค้าอยากได้คนผมยาว จากนั้นปิ่นก็เดินถือมัดผมทั้ง 6 มัด ขึ้นทาบกับผมเธอให้น้าวิภาดู ประจวบเหมาะกับที่ด้านหลังโต๊ะทานข้าว มีกระจกบานใหญ่แขวนอยู่ บางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนบนนั้น ทำให้น้าวิภาละสายตาชื่นชมลูกสาวไปมองกระจกด้วยสีน้าตกใจแว่บหนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังขวับไปมองรอบๆห้อง

“แม่! เป็นอะไร? นี่มันไม่สวยเหรอ?”

“ปะ…เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวหนูเองก็รีบเข้านอนเถอะ”

ไม่รู้ว่าน้าวิภาเห็นอะไร ตัวปิ่นเองก็ไม่ได้ติดใจสงสัย หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็พากันเข้านอน กระทั่งปิ่นตื่นมากลางดึก นาฬิกาที่หัวเตียงบอกเวลาตี 2 สาเหตุคงมาจากส้มตำปูปลาร้าเผ็ดมากที่เธอทานเมื่อกลางวัน ทำให้เกิดปวดท้องขึ้นมากระทันหัน เลยลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ

ระหว่างที่เธอทำธุระอยู่นั่นเอง กระจกเหนืออ่างล้างหน้าในห้องน้ำ ได้สะท้อนภาพผิดปกติบางอย่าง มันเป็นกลุ่มเส้นสายสีดำขลับค่อยๆไต่ตามผนังสีครีมดานหลัง ลงมาจากทางบนเพดาน ก่อนที่เธอจะทันได้นึกคิดอะไร เสียงกระซิบแผ่วเบา…แต่ลากยาวแหลม จนกังวาลในหูเธอถึงทุกวันนี้ก็ดังขึ้น

“อยาก~ผม~ยาว~เหรอออ… ทำ~ไม~มึงงง~ ไม่ไว้เองงงง !!”

ปิ่นสะดุ้งโหยง! รีบวิ่งออกจากห้องน้ำแทบไม่ทัน มองซ้ายมองขวาหาต้นเสียง แล้วตรงกลับไปที่ห้องนอนทันที ถึงเตียงก็โผเข้าหาน้าวิภา แต่กว่าจะรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่ผู้เป็นมารดาของตน ก็เผลอกอดไปซะแน่น ร่างที่เมื่อครู่นอนตะแคงหันหน้าไปทางตรงข้ามกับปิ่น บัดนี้ค่อยๆบิดช่วงลำคอขึ้นไปหันกลับมาจ้องปิ่นเขม็ง นัยตาเป็นสีแดงกำปูดโปน ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเธอ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบในลำคอว่า…

“เอาผมกู…ไปทำมายยย เอาคืนมาาาาา”

สิ้นคำผีทวงของ หัวของผู้หญิงคนนั้นก็กลิ้งหลุนๆ หลุดออกจากบ่า ตกลงไปข้างเตียง ปิ่นที่เห็นทุกเหตุการณ์ทำได้เพียงแค่แผดเสียง ‘กรี๊ดดดด’ สุดแรง ราวกับลูกแมวที่ถูกปิดประตูตี เธอร้องอยู่สักพักเสียงก็ขาดหายไปในลำคอ บัดนี้ร่างของเธอทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วงลงไปกองบนเตียง ในระหว่างที่เธอหมดสติสัมปชัญญะไป เธอก็ฝัน…

ในนิมิต…ปิ่นเห็นภาพบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นภาพบนถนนแห่งหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวในชุดพนักงานออฟฟิศ กำลังข้ามถนนตรงทางม้าลาย แต่จู่ๆก็มีรถจักรยานยนต์จากไหนไม่ทราบ พุ่งเข้ามาชนเธอ ทางมาลายถูกย้อมด้วยสีแดงชาด ผู้หญิงคนนั้นก็สิ้นลมในทันที แล้วภาพก็เลือนหายไป…ปรากฏเป็นอีกภาพหนึ่งขึ้นมาแทน ร่างของผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่บนเตียงในห้องที่คล้ายกับโรงพยาบาล ระหว่างนั้นก็มีมือใครบางคนยื่นเข้ามาบรรจงใช้กรรไกรคมกริบตัดผมเงาดำของเธอ ห่อนจะนำลงหย่อนลงไปในถุงพลาสติคซิปล็อค แล้วยื่นให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งรับไป

ในฝันปิ่นรู้สึกตัว กำลังมองภาพที่ฉายเป็นเหตุการณ์ราวกับกำลังชมภาพยนตร์ เธอคิดทบทวนสิ่งที่เห็นเมื่อครู่… หรือว่าช่อผมที่เธอพึ่งได้มาเมื่อช่วงบ่าย จะมีภูมิหลังที่มาที่ไปแบบนี้กันแน่ แต่ยังไม่ทันได้เข้าใจอะไรท่องแท้ จู่ๆร่างไร้วิญญาณของสาวผมยาว ที่บัดนี้ถูกตัดจนสั้นเสมอหู ลุกพรวดขึ้นมานั่งตรงทำมุมฉากกับเตียง พร้อมๆกับยกแขนขึ้นมาชี้นิ้วไปทางปิ่นที่ยืนดูอยู่

“ถูกต้อง! นี่เป็นผมของกู!”

ปิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง เหงื่อกาฬไหลพลั่กโทรมกาย มองไปข้างๆพบน้าวิภายืนมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ข้างๆ น้าวิภานำสร้อยพระมาห้อยคอลูกสาว พร้อมกล่าวกับเธอ

“แม่ว่า…หนูต้องเอาผมไปคืนเค้าแล้วล่ะ เอาไปฟังที่วัดแล้วจุดธูปบอกเค้า”

“ท…ทำไมแม่รู้ล่ะคะ?” ปิ่นถามผู้เป็นมารดาด้วยสีหน้าระคนสงสัย

“ก็เมื่อกี้แม่ตกใจที่เห็นหนูร้องโวยวาย จนนึกว่าละเมอฝันร้าย แม่เลยลุกจะไปหยิบพระเครื่องกับฝ้ายผูกข้อมือมาคล้องให้หนู”

“จังหวะนั้นก็มีเสียงมาเคาะหน้าห้องเรา แม่ส่องออกไปทางบานเกล็ด ก็เจอผู้หญิงที่แม่เล่าให้ฟังเมื่อค่ำนั่นแหละ บอกกับแม่ว่า… ให้หนูเอาผมไปไว้ที่วัด ฝังดินในป่าช้า เค้าไม่ได้อนุญาตให้ใครเอาไป มันเป็นของของเค้า”

“ล…แล้ว แม่ตอบเค้าไปว่ายังไง”

“แม่กำลังจะเอ่ยปากถามต่อ จังหวะนั้นเค้าก็เดินลากขาหายไปจากหน้าประตูซะแล้ว”

สรุปคืนนั้นปิ่นกับแม่ก็ไม่ได้กลับไปนอนที่เตียงอีกเลย กระทั่งรุ่งเช้าก็พากันไปที่วัด บอกพระขอให้ทางวัดช่วยเหลือนำช่อผมดำเงายาว 30 นิ้ว ลงไปฝังดินในป่าช้า แล้วทำบุญถวายสังขทานกรวดน้ำให้หญิงผู้เป็นเจ้าของมัดผมตัวจริง โดยที่สุดท้ายก็ไม่ทราบว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่ก็ดีแล้ว ที่ปิ่นและน้าวิภาไม่ได้เจอเธออีก ส่วนเรื่องผมยาว ปิ่นเลือกที่จะไปซื้อผมจากคนที่เลี้ยงผมไว้ขาย ตัดกันสดๆต่อหน้าไปเลยดีกว่า… เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : ผู้ใช้เฟสบุ๊ค หาญ ใจสิงห์

Admin

27/01/2022

วิญญาณจากจักรวาลคู่ขนาน…เจอผีตัวเองอีกคน

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของสมาชิกเว็บดังท่านนึง ถ่ายทอดเรื่องราวเอาไว้ในเว็บบอร์ดนั้น เรื่องเริ่มต้นจากการนอนบนเตียงไม้เก่า พอตื่นขึ้นมาก็ถูกวิญญาณที่ ‘หน้าเหมือนตัวเอง’ ตามติด ปรากฎว่าวิญญาณนั้นแท้จริงแล้วเป็นตัวเองเมื่อชาติก่อนที่ยึดติดกับปมบางอย่าง จนไม่ไปผุดไปเกิด

โดยส่วนตัวแล้ว เราไม่ได้เป็นคนที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือว่าผีสาง ไม่สิ เราไม่ได้ไม่เชื่อ แต่เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นสักครั้งนี่นา จะให้รู้สึกกับเรื่องที่ไม่เคยพบเจอ มันก็ไม่สนิทใจ อย่างไรก็ตาม คืนนึงในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ความเชื่อของเราได้ถูกสั่นคลอนเป็นครั้งแรก

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน พี่ชายที่ปกติไม่ค่อยได้มีโอกาสพบปะกัน ตั้งแต่เขามีการมีงานแล้วแยกบ้านออกไป โทรมาหาเรา พี่ชายเรามักจะชอบไปซื้อที่ดินหรือบ้านมือสองถูกๆ มาปรับปรุงใหม่ หรือที่ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า “รีโนเวท” นั่นแหละ เรื่องที่โทรมาในวันนั้นคือจะชวนเราไปดูบ้านที่พึ่งซื้อเป็นเพื่อน

เป้าหมายปลายทางอยู่ในต่างจังหวัด บอกตามตรงว่า…ถึงแม้เราจะว่างๆอยู่ก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้พิศมัยกับกิจกรรมอย่างการไปเยี่ยมชมบ้านมือสองเก่าคร่ำครึ หากแต่สิ่งที่เราคาดหวังคือของแถมต่างหาก การได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด พักผ่อนทานของอร่อย คงช่วยเยียวยาความน่าเบื่อของวันหยุดยาวได้บ้าง

บ้านหลังที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นบ้านไม้ทรงไทยยกสูง อย่างกับออกมาจากหนังพีเรียด เราค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่นี่ไม่ได้ดูแย่อย่างที่คิด พอถามพี่ชาย พี่ชายก็บอกว่า หลังนี้ไม่ได้จะซื้อมาขายต่อทำกำไร แต่ตัวเองอยากได้ไว้ใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของครอบครัวเรา หืมม…พี่ชายที่ร้อยวันพันปีจะโผล่หน้ามาสักที ก็มีมุมแบบนี้เหมือนกัน

ระหว่างเดินชมห้องต่างๆพบว่า มีห้องนอนอยู่ 4 ห้อง ส่วนใหญ่ในห้องก็ดูโล่งๆ เนื่องจากยังไม่ได้ปรับปรุงตกแต่ง แต่ 1 ในนั้นมีเตียงนอนไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ที่ประดับด้วยลวดลายแกะสลักที่พนักหัวเตียง และปลายเตียง แม้มันจะเป็นของเก่าที่ปกติแล้วเราไม่ได้มีรสนิยมชมชอบอะไรทำนองนี้ แต่เตียงไม้หลังนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดเราอย่างบอกไม่ถูก

“ได้ยินมั้ยๆ เป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดเลยนะ เดี๋ยวเราจะกลับกันแล้ว”

เสียงพี่ชายดังมาจากข้างๆ ทำให้เราสะดุ้งตื่น เราเผลอหลับบนเตียงไม้ที่ว่านั่นไปตอนไหนก็ไม่รู้…ระหว่างที่พี่ออกไปซื้อของกินแล้วทิ้งเราไว้ที่บ้าน นอนลงไปทั้งที่พื้นมันแข็ง อย่างไรก็ตาม คงต้องขอบคุณเสียงปลุกที่แสบโสตประสาท เพราะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เราพึ่งจะฝันแปลก แปลกมากๆ แต่พยายามจะตื่นยังไงก็ไม่ตื่น

เราเล่าเรื่องความฝันนี้ให้ครอบครัวฟังในภายหลัง ไม่ใช่หลังกลับจากทริปนั้นทันที แต่เป็นหลังจากที่เราเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล บางอย่างที่เราอาจ “บังเอิญ” นำติดตัวกลับมาด้วย คืนนั้นเราเข้านอนตามปกติที่บ้าน แต่แล้วก็รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก จะว่าไปมันก็เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่เรามั่นใจว่าคราวนี้ไม่ได้ฝันแน่ๆ เรารู้สึกได้ถึง “แรงกดทับที่มองไม่เห็น” เราพยายามจะลุกขึ้นนั่งด้วยแรงทั้งหมดที่มี อย่าว่าแต่นั่งเลย ขยับสักเซ็นยังไม่มี แถมยิ่งพยายามฝืนเท่าไหร่ มันยิ่งเจ็บมากขึ้น เหมือนมีใครมานั่งทับเราไว้

ครั้งแรกก็เข้าใจว่าคงเป็นอาการเหน็บชา หรืออาจจะปลายประสาทอักเสบ แต่หลังจากคืนนั้นมาก็มีอาการแบบนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง จนเริ่มจะเอนเอียงไปทางเรากำลังถูกผีอำรึเปล่า ย้อนกลับไปเรื่องความฝันที่บ้านหลังนั้น ฝัน…ที่ประหลาดเอามากๆ ในซีนนั้นเราฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนหนุนอยู่บนตักของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง พอเราจ้องมองดูชัดๆก็รู้สึกใจหาย เพราะคนที่นอนอยู่ดูมุมไหนมันก็คือ…ตัวเราเองชัดๆ ในชุดเดียวกันกับที่สวมไปบ้านหลังนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เราแทบช็อคคือใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งต่างหาก ใบหน้าของเธอเหมือนคนที่นอนอยู่ราวกับแกะสลักขึ้นมาจากช่างคนเดียวกัน ใช่แล้ว…หน้าเธอคนนั้นก็เหมือนเราไม่มีผิด!

หลังเราเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ทางครอบครัวก็เริ่มมีอาการวิตกกังวล โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นหลังจากที่เรามีอาการคล้ายถูกผีอำ แต่ตัวละครที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นหลังจากนี้คืออาของเพื่อนเราเอง เรื่องมันเริ่มจากที่แม่เราเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนสนิทของเราฟัง จริงๆแล้วแม่ก็แค่เป็นห่วงเลยอยากให้ช่วยดูๆเราด้วย วันหนึ่งกิ่งก็พาเราไปหาอาของกิ่งที่บ้าน ถึงแม้ตามศักดิ์แล้วจะเป็นอาแท้ๆของกิ่ง แต่ด้วยความที่อายุอานามยังไม่มากนัก และความสนิทสนมประมาณหนึ่ง เราเลยเลยอาของกิ่งว่าพี่แทน…

พี่เนมบอกว่า…พี่รู้จักอาจารย์ที่นับถืออยู่ท่านนึง เป็นผู้เชี่ยวชาญไสยเวท หรือจะเรียกว่าหมอผีก็คงจะได้ อาจารย์ท่านนี้อยู่ที่สุรินทร์ ซึ่งอำเภอนี้มีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เรียกได้ว่าเป็นละแวกชุมนุมของผู้วิเศษเหมือนกับตรอกไดแอคกอน ในแฮร์รี่พอตเตอร์เลยทีเดียว

บอกตามตรงว่า…ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงไม่สนใจ อันที่จริงเราไม่ชอบแม้แต่ดูดวงด้วยซ้ำ แต่สถานการณ์ที่เจอตอนนี้ มันคงเกินจุดที่จะแบกรับคนเดียว อย่างไรก็ตาม เราเองก็ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปไกลขนาดนั้น พี่เนมเลยบอกว่า เดี๋ยวให้เป็นธุระของเค้าเอง เราเองก็แบ่งรับแบ่งสู้ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อดสงสัยไม่ได้ว่า แค่คุยทางโทรศัพท์ บอกชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด มันจะช่วยได้จริงหรือ? แต่พี่เนมยังคงยืนยันว่เสียงแข็งา…ที่นี่คือฮอกวอร์ตเมืองไทย เราเองก็ลำบาก คงต้องหวังพึ่งอย่างเดียว

หลังจากนั้น เราเองยังมีอาการผีอำอยู่อย่างต่อเนื่อง มีช่วงนึงเราเลือกที่จะเปลี่ยนเวลานอน คือนอนตอนกลางวัน ตื่นกลางคืนแทน แต่ที่แย่คือมันก็อำเราได้แม้แต่กลางวัน หนักเข้าก็เริ่มได้ยินเสียงเรียก “ชื่อเรา” ดังมาจากใต้เตียง ช่วงนั้นเลยเป็นช่วงที่เราแม่นคาถาชินบัญชรมาก มากขนาดที่ว่าแรปแบบใส่บีตเป็นเพลงได้ เพราะต้องท่องทุกครั้งเวลามีอาการ

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ มีสายที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา… เป็นอาจารย์จากตรอกไดแอคกอนนั่นเอง

“เอาล่ะ หมอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดมาแล้ว หนูฟังดีๆนะ สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้อาจจะเชื่อยาก แต่มันคือความจริง”

“ค่ะ” เรารับฟังอย่างว่าง่าย

“เหตุการณ์ที่หนูประสบอยู่ มันคือการ…นอนทับที่ตัวเองตาย ที่ที่หนูเคยใช้ลมหายใจสุดท้ายเมื่อชาติที่แล้ว”

“เตียงที่หนูไปนอนในบ้านที่ต่างจังหวัดนั่นไง ชาติที่แล้วหนูเคยตายตรงนั้น แต่วิญญาณของหนูยังสถิตย์อยู่ในเตียงนั่นมาถึงปัจจุบันเพราะคำสัญญา”

“ว่าไงนะค?! แล้วหนูไปสัญญาอะไรกับใคร”

“หนูสัญญากับตัวเองและคนรัก คนรักหนูไปรบในสงครามแล้วไม่ได้กลับมา หนูเลยตั้งจิตอธิษฐานอย่างแรงกล้า ว่าหนูจะอยู่ที่นี่ ตรงนี้ รอจนกว่าเค้าจะกลับมาพบกันอีก”

“เดี๋ยวนะคะ แล้ว…พอตายในชาติที่แล้ว แล้ววิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิดเป็นหนูเหรอ??”

“วิญญาณบางคนมีได้มากกว่าหนึ่งนะ ดวงจิตมีได้มากกว่าหนึ่งดวง หนูรู้จักโรคหลายบุคลิกที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า มัลติเพิ้ล เพอร์ซันนอล ดิสซอเดอร์มั้ยล่ะ? นั่นแหละเหตุผล”

“โอเค สมมติว่าวิญญาณอีกดวงของหนูอยู่ตรงนั้น แล้วเค้าต้องการอะไรจากหนู”

“เค้ารอแฟนเค้ามานับศตวรรษ การที่หนูไปนอนตรงนั้น มันเหมือนเป็นทริกเกอร์ทำให้เค้าตื่นขึ้นมา บางที…เค้าอาจจะอยากได้กายหยาบไปหาแฟนของเค้า”

“ที่ผ่านมาหนูมีแฟน ก็รักๆเลิกๆ หมอพูดถูกมั้ย? หนูคบกับใครก็ต้องเลิกทุกราย ทุกอย่างมันเพราะพันธนการจากอดีตชาตินี่แหละ ที่สำคัญคือเค้าเจอแฟนเค้าในชาตินี้แล้ว”

บอกตามตรง…ฟังจบเราก็ช็อคไปเลย นี่เรากำลังดูละครหลังข่าวอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจอกับนตัว ได้ยินกับหูมาหลายสัปดาห์ เราคงคิดว่า…หมอนี่เป็นนักต้มตุ๋นไปแล้ว อย่างไรก็ตามเราก็พยายามจะสอบถามถึงวิธีแก้ไข อาจรย์บอกว่า…ความมุ่งมั่นเค้าแรงกล้ามาก เค้าไม่ยอมไปจากเราง่ายๆแน่ เค้าก็คือเรา เราก็คือเค้า เพียงแต่มาจากคนละห้วงเวลา ห้วงมิติ ห้วงจักรวาลกัน มันตัดกันไม่ขาด

อาจารย์บอกว่าลำดับแรก ให้ไปไหว้พระ 9 วัด อธิษฐานขอถอนคำสัญญาจากชาติที่แล้ว คำมั่นใดๆที่เคยสัญญาจากชาติใด พบใด ชาตินี้เราไม่ได้รับรู้ด้วย ขอแคนนเซิลให้หมด จากนั้นให้ไปปฏิบัติธรรมห่มขาว อย่างต่ำ 7 วัน เราต่อรองกับอาจารย์ ขอเป็นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้เหรอ แต่อาจารย์บอกว่า… “เค้าไม่ได้มาเพื่อต่อรอง” บุญธรรมดาเค้าไม่ยอมรับไปหรอก

เราไปปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำที่วัด ก็รู้สึกได้ว่าอาการผีอำเราตอนนอนเริ่มหายไป แต่ในระหว่าง 7 วันก็พบเจอเหตุการณ์แปลกๆบ้าง เช่น เห็นเงาดำตะคุ่มแอบมองมาจากหลังต้นไม้บ้าง หรือบางทีเวลาที่ส่องหรือเดินผ่านกระจก เรารู้สึกเหมือนกับว่า ภาพที่สะท้อนบนนั้น ไม่ใช่ตัวเรา มันมีบางอย่างที่ขัดๆอยู่เล็กๆ

กระทั่งวันแห่งพันธะสัญญามาถึง เย็นวันนั้นพี่เนมโทรศัพท์มาหาเราแต่ไม่ได้รับ มีมิสคอลขึ้นมา 4-5 สาย ดูเหมือนจะมีเรื่องด่วน บางทีอาจจะเป็นความคืบหน้าจากอาจารย์ก็ได้ เราเลยโทรกลับไป

“พี่ไปคุยกับอาจารย์ที่สำนักมาแล้วนะ อาจารย์ทำพิธีเรียกดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นมาหา”

“ยังไงคะ เรียกมาพบได้ด้วยเหรอ”

“เรารู้จักกุมารทองใช่ไหมล่ะ อาจารย์ท่านมีบริวารมาก ท่านก็ให้น้องๆพวกนั้นไปตามตัวมา”

มันก็คงจะเหมือนกับเอลฟ์ประจำบ้านล่ะมั้ง…อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ตอบอะไร แต่ฟังต่อ

“แล้วรู้มั้ยว่าพี่เจออะไร ผู้หญิงไงล่ะ ผู้หญิงคนนั้น…หน้าตาเหมือนเราอย่างกับแกะ”

ใช่จริงๆสินะ มีตัวเรา “อีกคนนึง” มาปรากฎตัวบนโลกนี้ แต่สิ่งที่ชวนตะลึงมากกว่านั้นคือ หลังจากผู้หญิงคนนั้น…ตัวเราเองอีกคนมานั่งอยู่ในตำหนัก ก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ แล้วบอกว่า…

“กูทนรอ รอของกูมาตั้ง 290 ปี จะมาให้กูไปเหรอ…ไม่มีทาง!”

“ทำไมเอ็งต้องหาทางผลักไสกูด้วย ไม่ใช่เอ็งเหรอที่สัญญากับกูไว้ ว่าจะรักกูคนเดียว จะกลับมาหากู…”

“บุญเบิญอะไร…กูไม่เอาทั้งนั้น ไม่เอาทั้งน้านนน”

แล้วเทียนทุกเล่มก็ดับพรึ่บพร้อมๆกัน กระทั่งลูกศิษย์อาจารย์ฉายไฟส่องเข้ามา จึงเห็นว่าตัวเราอีกคนหายไปแล้ว

มันช่าง “บังเอิญ” อะไรขนาดนี้ หรือความจริงแล้วมันเป็นชะตากรรม ถึงตรงนี้ความจริงก็ปรากฏ ผู้ชายที่เคยสัญญากับตัวเราเมื่อชาติที่แล้ว คนรักที่ตัวเราอีกคนรอคอยมานานเกือบ 3 ศตวรรษ คือ…พี่เนมนี่เอง

หลังจากนั้นเราปรึกษากันได้ความว่า ต้องทำบุญใหญ่ให้เค้าโดยที่ทั้งเรากับพี่เนมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ทำบุญร่วมกัน …

Admin

22/01/2022

“อย่าหาว่าอาตมาสอน” เมื่อพระโทรสอนผีให้มูฟออน…

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่คุณกวินท์ พบเจอมาตอนที่เคยไปบวช ณ วัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ย้อนกลับไปราว 5-6 ปีก่อน คุณกวินท์เล่าว่า…ตนเลือกบวชที่วัดแห่งนี้เพราะคุณแม่แนะนำมา ข้อดีคือไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย ตรงตามที่คุณกวินท์ต้องการบรรยากาศก็ร่มรื่นเงียบสงบ

เรื่องมันอยู่ตรงนี้ คุณกวินท์ต้องไปนอนในกุฏิเก่าล่วงหน้าหนึ่งคืน ก่อนที่จะเข้าพิธีอุปสมบทในเช้าถัดไป 

กุฏิหลังเก่าที่ว่านี้เป็นกุฏิที่ทำจากไม้ 2 ชั้น ถึงแม้ว่าสีที่เคยทาไว้จะเริ่มหลุดลอก แต่โดยรวมของอาคารก็ยังมีสภาพที่สมบูรณ์ ชวนให้นึกว่ามีเสน่ห์ในแบบของเก่า 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพระรูปอื่นได้ย้ายไปจำวัดในกุฏิหลังใหม่ ซึ่งทางวัดยังคงวุ่นวายเกี่ยวกับการจัดแจงข้าวของต่างๆอยู่ ที่กุฏิไม้หลังนี้จึงมีเพียงคุณกวินท์อยู่คนเดียว

คุณกวินท์ไม่ได้เป็นคนกลัวผี เนื่องจากว่าตนเองก็ไม่เคยเห็น การอยู่คนเดียวในวัดเลยไม่ใช่ปัญหาอะไร ทั้งกุฏิหลังนี้ก็อยู่ข้างกุฏิใหม่ ยกเว้นโทรศัพท์สีฟ้าตุ่นที่ตั้งอยู่ตรงระเบียงชั้น 2

คืนนั้นคุณกวินท์ฝึกท่องบทสวดต่างๆ ที่พระรุ่นพี่แนะนำก่อนหน้าไปจนถึงประมาณสี่ทุ่ม ก็เตรียมตัวเข้านอน ไม่นานก็หลับสนิทจนกระทั่งถูกปลุกโดยเสียงโทรศัพท์

กริ๊งงงงงง…กริ๊งงงงงง…กริ๊งงงงงง…

คุณกวินท์ที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาบอกเวลา 00:30 ในใจไม่ได้คิดอะไรนอกจากสงสัยว่ามีใครที่ไหนบ้างจะโทรเข้ากุฏิวัดหลังเที่ยงคืน? แต่อาจจะเป็นสายจากพระรุ่นพี่ที่ตึกข้างๆก็เป็นได้ จึงลุกออกไปรับ

ค…ครับบ?

พรืดดดดดด…พรืดดด…

เสียงที่ตอบมาจากปลายสายทำคุณกวินท์รู้สึกแปลกใจ ไม่ใช่สายจากพระในวัดแน่ เสียงที่ว่านั้นทั้งแหบและพร่า บวกกับมีเสียงหายใจแรงฟืดฟาดอยู่ตลอด

“ขอคุยกับพระหน่อยยยยย…”

คุณกวินท์ตอบไปว่า ตอนนี้คงไม่ได้เนื่องจากดึกมากแล้ว หากมีธุระอะไรไว้โทรมาตอนเช้าแล้วกัน แต่ปลายสายไม่ยอม

“ผมต้อง…จะคุย..ยย…เดี๋ยวนี้…”

คุณกวินท์คิดอยู่สักพักว่าจะจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง แต่สุดท้ายก็เดินไปตามพระรุ่นพี่ที่ตึกข้างๆ 

ทันทีที่คุณกวินท์แจ้งให้หลวงพี่ทราบ ดูเหมือนหลวงพี่จะรู้จักปลายสายอยู่แล้ว เลยไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร รวมทั้งไม่ได้ซักถามคุณกวินท์มากมาย ก่อนจะเดินตามคุณกวินท์ไปรับสาย

เมื่อเดินถึงชั้น 2 ของกุฏิ หลวงพี่บอกกับคุณกวินท์ว่า “โยมไปนอนเถอะ อาตมาจัดการเอง พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของโยม” 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากกลางคืนนั้นเงียบสงัด อีกทั้งความที่กุฏิหลังนี้ว่างเปล่าโล่งจนราวกับถูกยกเค้า เลยทำให้บทสนทนาโทรศัพท์ด้านนอก ก้องกังวาลจนพอจะได้ยิน ว่าหลวงพี่สัญญากับปลายสายว่าจะตามใครบางคนมาพบให้

เย็นวันถัดมา หลังคุณกวินท์เข้าพิธีเรียบร้อย และร่วมทำวัตรเย็นกับพระรูปอื่น หลวงพี่รูปเดิมก็เข้ามาบอก…

“คืนนี้อาจจะมีสายโทรมากลางดึกอีก รบกวนรับสายให้ด้วย” 

คืนนั้นก็มีสายโทรเข้ามาจริงๆ ในเวลาเดิมคือ เที่ยงคืนเศษๆ  ปลายสายยังเป็นเสียงผู้ชายคนเดิม แหบๆ ขาดๆ แต่ที่ต่างไปคือคราวนี้ไม่ได้ร้องขอคุยสายกับคนอื่น แต่เหมือนจงใจคุยกับคุณกวินท์

“พระ… ไหน…สัญญากับผมแล้ว…ไง ว่าจะตามนังนั่นมาพบผมมม”

คุณกวินท์ก็งง ว่าพูดถึงเรื่องอะไร ตนไม่ทราบ เลยบอกว่าเป็นพระคนละรูป เดี๋ยวจะไปตามหลวงพี่มาพูดด้วย ก่อนที่จะพักสายไว้ 

ในจังหวะนั้นเอง…ที่คุณกวินท์รับรู้หน้าตาของสิ่งที่เรียกว่า “ความกลัว” เป็นครั้งแรก สิ่งที่คุณกวินท์พบไม่ใช่ฉากอะไรที่ชวนขนลุก แต่ได้พบความจริงว่า โทรศัพท์เครื่องนั้นไม่ได้ต่อสายเอาไว้! มันเพียงถูกว่างไว้บนแท่นยกสูงที่ปูพรมเสียวเหลืองแก่ไว้ ราวกับเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก 

“มันต้องมีอะไรผิพลาดแน่ๆ” คุณกวินท์คิดในใจ ก่อนจะเอื้มมือไปยกโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้น เพื่อจะพิสูจน์ว่ามันต้องมีสายซ่อนอยู่ด้านหลัง ด้านล่าง แต่…มันก็ไม่มี!

“ฮิๆๆๆๆๆ ฮ่าาๆๆๆ”

เสียงดังเล็ดลอดออกมาจากหูโทรศัพท์ที่วางพักไว้…

“ทำเป็นเรื่องประหลาดไปได้ ยังไม่ชินรึ พระ”

เท่านั้นแหละ คุณกวินท์รวบจีวรให้กระชับแล้วรีบจ้ำออกจากกุฏิไปหาหลวงพี่

“โครมๆๆๆๆ”

“หลวงพี่ๆ ตื่นๆๆ มีเรื่องแล้วครับ”

คุณกวินท์เล่าให้หลวงพี่ฟังจบ ท่านก็ออกไปที่กุฏิไม้ แต่คราวนี้บอกกับพระรุ่นน้องที่พึ่งบวชมาใหม่ๆว่า “คราวนี้ท่านอยู่ฟังด้วยกันนี่แหละ”

หลวงพี่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่ได้แนบกับหู แต่ยกขึ้นมาถือไว้เพื่อให้คุณกวินท์ได้ยินด้วยแม้ว่าเสียงปลายสายจะฟังยาก แต่จับใจความได้ประมาณนี้

“ว่าไงโยมจุ่ม…ยังไม่ปล่อยวางเรื่องโยมติ๊กอีกหรือ”

“จะให้ปล่อยวาง…อะไรท่าน ในเมื่อร่างผ…ผม ต้องนอนหนาวเหน็บ อย่าง…โดดเดี่ยวในโลง… ตอนที่นังนั่นกำลัง…นอนสบายกับแฟนใหม่…”

จนถึงตอนนี้หน้าของคุณกวินท์ถอดสี ราวกับกำลังจะเป็นลม พลันหันมองหน้าพระรุ่นพี่ หลวงพี่ก็ได้แต่พยักหน้า คล้ายบอกว่าให้ฟังต่อไป

“โยม…อย่าหาว่าอาตมาสอน เลยนะ”

“ตอนโยมยังกินอยู่ร่วมกัน โยมติ๊กก็ดูแลโยมจุ่มอย่างดีทุกอย่างไม่ใช่หรือ”

“แต่โยมจุ่ม ตัวโยมเองเอาแต่เมาหัวราน้ำทุกวี่วัน จนทะเลาะเบาะแว้งกับโยมติ๊กไม่ขาด ในที่สุดเขาก็ต้องไป”

“ตอนนี้โยมจุ่มก็อยู่กันคนละโลกกับเขาแล้ว โยมต้องปล่อยวาง อโหสิกรรมแก่กันเถิด”

“อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย…”

คืนนั้นคุณกวินท์ได้ข้อสรุปหลายประการ เริ่มจาก…ประการแรก เรื่องของโยมจุ่ม และโยมติ๊กเดิมสองคนนี้อยู่กินฉันท์สามีภรรยา โดยที่อายุอานามห่างกันกว่าสิบปี 

ว่าไปมันก็เป็นเรื่องชาวบ้านๆธรรมดานี่แหละ ถ้าหากว่า…คู่กรณีไม่ใช่คนกับผี 

ลุงจุ่มคนผัวเมาหยำเป มีปากเสียงกับเมีย จนผู้หญิงก็หนีไปคบค้ากับหนุ่มคนอื่น ในขณะที่ตัวลุงจุ่มเองก็มีปัญหารุมเร้า ร่างกายก็ไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องจากไปอย่างโดดเดี่ยว ศพก็ตั้งอยู่ในศาลาวัดเดียวกันนั่นเอง 

แต่ลุงจุ่มยังไม่ปล่อยวาง จะด้วยรักหรือชังก็ไม่ทราบ ต้องการให้นางติ๊กมาขอขมาศพเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นคำขอที่หลวงพี่ตบปากรับคำ แต่พอไปบอกโยมติ๊ก โยมติ๊กก็เกิดกลัวหรือละอายใจอย่างไร เลยไม่กล้ามาเคารพ นำมาซึ่งโทรศัพท์สายปริศนากลางดึกดังกล่าว

ประการที่สองคือ ความจริงของโทรศัพท์ปริศนา ที่ใช้งานได้ทั้งๆที่ไม่เสียบสาย หลวงพี่บอกว่า “มันก็เป็นอย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ” 

เดิมทีโทรศัพท์เครื่องนี้เจ้าอาวาสวัดท่านเคยเป็นคนดูแล ว่ากันว่าเป็นของปลุกเสก เป็นเครื่องมือสื่อกลางกับวิญญาณ โดยปกติมันไม่เคยดัง มันจะดังก็ต่อเมื่อมีคน(ผี) ต้องการความช่วยเหลือ และครั้งนี้ก็ไม่ใช่หนแรก

กระทั่งเจ้าอาวาสท่านอาพาธ หลวงพี่ท่านนี้ซึ่งเป็นศิษย์มีแวว จึงได้รับความไว้วางใจให้ดูแลต่อจะว่าไปโทรศัพท์เครื่องนี้ก็คือ “ศูนย์บรรเทาทุกข์ผี” ดีๆนี่เอง

Admin

13/01/2022

เหตุจากมาม่า ผีตัวเปียกมาหลอก

สมัยที่ “คุณนัท” ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้วต้องไปฝึกงานตามโรงแรม ก็มักจะยกแก๊งกันไปฝึกงานที่ภูเก็ต แล้วก็ไปอาศัยบ้านว่างๆของคนที่เพื่อนรู้จักนอน เค้าไม่คิดค่าเช่าเลย คิดเพียงค่าน้ำค่าไฟ แต่สิ่งที่แปลกก็คือบ้านหลังนี้เป็นหลังเดียวในหมู่บ้านที่ไม่มีศาลพระภูมิ แต่เพื่อนๆก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มีแต่คุณนัทที่รู้สึกไม่ค่อยดีอยู่คนเดียว ก็เลยชวนเพื่อนจุดธูปไหว้เจ้าที่

ผ่านไปเดือนนึงก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ มีแค่ความรู้สึกเหมือนโดนจ้องอยู่ตลอดเวลาของคุณนัทเพียงคนเดียว วันนึงทั้งแก๊งก็ยกพวกไปเที่ยวกันในตัวเมือง แต่พอขากลับเพื่อนคุณนัทเป็นคนขับ พอขับมาจะถึงบ้านแทนที่จะจอดรถกลับขับเลยตัวบ้านไปเลย

คุณนัทก็สงสัยว่าจะขับเลยบ้านทำไม ลืมบ้านตัวเองหรอ เพื่อนก็ถามกลับว่าเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวๆนั่งหน้าบ้านมั้ย.. ซึ่งคุณนัทไม่เห็นว่ามีใครเลย พอขับวนกลับมาดูอีกรอบคุณนัทก็ลงไปดูเองกับตา ก็ไม่เห็นมีใคร เพื่อนก็เลยขับเข้ามาจอดตามปกติ

ขณะที่ทุกคนลงจากรถเตรียมจะเข้าบ้านนั้นเอง หมวกกันน๊อคที่วางคว่ำไว้อยู่แถวนั้น อยู่ดีๆก็หงายขึ้นมาเองเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีลมหรืออะไรไปสัมผัสเลย ทุกคนตกใจก็รีบวิ่งเข้าบ้านกันหมด คืนนั้นระหว่างที่นอนๆอยู่คุณนัทก็ฝันว่าลงไปต้มมาม่าแล้วมานั่งกินตรงห้องนั่งเล่น กินเสร็จก็จะมานอน ตอนนั้นเองก็เห็นผู้หญิงคนนึงใส่ชุดคนไข้ของโรงพยาบาล ผมยาวปิดหน้า มายืนชี้หน้าบอกว่า พวกมึงเก็บให้หมดเลยนะ เดี๋ยวนี้เลย แล้วคุณนัทก็ตื่น

ตื่นมาก็เห็นว่าบ้านตัวเองนั้นรกมากเพราะอยู่กันตามประสาชายหนุ่ม เลยเข้าใจว่าเค้าคงมาบอกให้เก็บบ้าน แต่เพื่อนที่อยู่ข้างๆนั้นก็ตื่นอยู่เหมือนกันแล้วก็งงว่าคุณนัทเป็นอะไร เพราะคุณนัทนอนๆอยู่แล้วก็พูดว่าพวกมึงเก็บให้หมดเลยนะ แต่เสียงที่ออกมานั้นเป็นเสียงผู้หญิง ไม่ใช่เสียงคุณนัท

หลังจากเหตุการณ์นี้ทุกคนก็เริ่มกลัวๆกัน แต่คุณนัทก็บอกว่าไม่มีอะไรมากหรอก ก็เราทำบุญจุดธูปไหว้ไปแล้วนี่ ทั้งที่ในใจคุณนัทเองก็ยังหวั่นๆนั่นแหละ

วันนึงเพื่อนๆก็แยกย้ายกันไปเที่ยวแล้วไปนอนตามบ้านสาวบ้าง บ้านเพื่อนบ้าง เหลือคนนอนที่บ้านหลังนี้แค่สี่คน คุณนัทก็เหมือนจะฝันอีก แต่อารมณ์เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นเป็นผู้หญิงคนเดิมมายืนชี้หน้าด่า แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าด่าอะไร ฟังไม่ออก แล้วเธอก็ปิดประตู แล้วประตูเปิดออกอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่มีใครยืนอยู่

เออ ไม่มีคนยืนอยู่ก็จริง แต่เป็นผู้หญิงคนเดิมตัวเปียกๆ ค่อยๆคลานเข้ามาหาคุณนัทซึ่งนอนอยู่บนเตียง น้ำก็หยดมาเป็นทางเรื่อยๆ แล้วก็หายไปตรงปลายเตียง.. จากนั้นเธอก็คลานขึ้นมาบนเตียง ค่อยๆไต่ขึ้นมาบนตัวคุณนัท จากขา มาเอว จนกระทั่งเอามือกดที่ไหล่คุณนัทไว้

ตอนนั้นผมของเธอปิดหน้าอยู่ แล้วเธอก็เอามือเสยผมตัวเองขึ้น คุณนัทเห็นเป็นตาเท่าตาคนปกตินี่แหละ แต่ตาขาวทั้งดวง แล้วเธอก็ฉีกยิ้มให้ ปากกว้างจนเกือบถึงหู ฟันก็ไม่เหมือนคน แต่เป็นหยักๆเหมือนปลาฉลาม

คุณนัทตกใจแล้วเลยนึกถึงพ่อถึงแม่ถึงพระ ด้วยอำนาจของอะไรก็แล้วแต่ คุณนัทก็สลัดตัวหลุดจากภวังค์ได้ เธอคนนั้นไม่อยู่แล้ว เพื่อนก็ไม่ได้นอนอยู่ข้างๆเช่นกัน แต่เพื่อนทุกคนไปยืนกองกันอยู่ที่มุมห้อง แล้วถามมาว่ามึงชื่ออะไรวะ

คุณนัทก็งง จังหวะกำลังตกใจจากผีก็อยากให้เพื่อนมาอยู่ใกล้ๆ แต่เพื่อนดันไปอยู่ซะห่างแล้วถามอะไรแปลกๆอีก พอเคลียร์กันเสร็จ เพื่อนมั่นใจว่าคุณนัทไม่ได้เป็นอะไรแน่ก็เลยเล่าให้ฟังคุณนัทนอนๆอยู่ก็ตะโกนออกมาเป็นเสียงผู้หญิง แต่พูดภาษาอะไรไม่รู้ไม่ใช่ภาษาไทย เพื่อนๆก็เลยกลัวกัน

พอเพื่อนเล่าเสร็จก็จะเช่าพอดี คุณนัทก็มาสังเกตสภาพรอบๆตัว ปรากฎว่ามีรอยน้ำจากหน้าประตูยาวมาถึงตัวคุณนัท ผ้าห่มและที่นอนเปียกน้ำด้วย แขนสองข้างก็มีรอยช้ำเป็นรอยมือคน แสดงว่าเรื่องเมื่อคืนไม่น่าจะเป็นแค่ฝันสินะ

หลังจากนั้นไม่นานคุณนัทก็ฝึกงานเสร็จพอดีก็เอาค่าน้ำค่าไฟไปจ่ายให้เจ้าของบ้าน เลยสบโอกาสถามว่าบ้านนี้มีอะไร ทีแรกเจ้าของบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดให้ฟังว่าลูกสาวเจ้าของบ้านคนแรกเค้าป่วยแล้วลื่นล้มในห้องน้ำจนเสียชีวิต เตียงที่คุณนัทนอนก็เคยเป็นเตียงของเธอมาก่อน

แล้วที่ไม่มีศาลพระภูมิก็เพราะพอจะตั้งศาลทีไรก็ต้องมีเหตุการณ์ให้ศาลล้มศาลพังตลอดนั่นเอง

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : FB เรื่องลี้ลับ ตำนาน ประวัติศาสตร์

Admin

14/07/2020

เรื่องผีจากศิลปินดัง..สยองที่หนองจอก

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่นักร้อง R&B สายหมีชื่อดังอย่าง “ป๊อบ ปองกูล สืบซึ้ง” ได้นำมาเล่าในรายการ “Campปลิ้น” ซึ่งเป็นรายการวาไรตี้ของโคตรคูลแชแนล ที่มีธีมเป็นการออกแคมป์เดินป่าและก่อกองไฟเสมือน และในตอนหนึ่งที่ได้มีการเล่าเรื่องผีรอบกองไฟกัน โดยเรื่องเล่าของคุณป๊อบนั้น พูดถึงเรื่องราวที่มีจุดเริ่มต้นจากความทรงจำในวัยเด็ก เคยเดินทางผ่านถนนตัดใหม่เส้นหนองจอกเข้ากรุงเทพฯ ในยามวิกาล ซึ่งในสมัยนั้นทางยังคงเปลี่ยวมาก จู่ๆก็พบเจอกับสิ่งที่ชวนตกตะลึง แต่ด้วยความที่ยังเด็กก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มันยังเป็นภาพจำที่ฟังลึกอยู่ในในเสมอมา จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อโตขึ้น แล้วมีโอกาสได้กลับไปยังถนนเส้นนั้น เหตุการณ์สยองขวัญที่กลับมารื้อฟื้นความทรงจำ…ก็ได้เริ่มขึ้น!

เรื่องเล่าสยองขวัญ: เรื่องสยองที่หนองจอก

ผู้เล่า: ป๊อบ ปองกูล

ที่มาเรื่องเล่าผี: Campปลิ้น โคตรคูล channel

ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยที่คุณป๊อบยังอยู่ในชั้นปฐมศึกษา เนื่องจากตอนนั้นยังอาศัยอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี และมีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามคุณแม่เข้ากรุงเทพอยู่บ่อยๆ คืนหนึ่งคุณแม่ของคุณป๊อบได้เลือกที่จะใช้เส้นทางสายหนองจอก เพื่อจะลัดการเดินทางเข้ากรุงเทพ คุณป๊อบเล่าว่าสมัยนั้นทางเส้นนี้พึ่งตัดได้ไม่นาน ทำให้ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมจากผู้ใช้ถนนหนทางในช่วงเวลานั้น ทางจึงค่อนข้างจะเปลี่ยวร้างผู้คน หากพูดให้เห็นภาพกว่านั้นคือ บางทีตลอดการเดินทางไปกรุงเทพ อาจจะไม่เจอรถร่วมทางเลยสักคันก็มีเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม…ไม่ว่าจะโชคร้ายหรือโชคดี คืนนั้นก็มีรถร่วมทางสายเดียวกันคันหนึ่ง หลังจากคุณป๊อบตื่นขึ้นมาที่เบาะหลังในช่วงกลางดึก เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้านข้างแถวหลังผู้โดยสารของรถเก๋ง ก็พบกับรถกระบะโฟร์วีลคันหนึ่ง ทุกอย่างก็ดูปกติดีทุกอย่างเว้นก็แต่เพียง…บนรถคันนั้นกลับมีร่างของใครบางคน ยืนเกาะรถโต้ลมอยู่ด้านข้าง ราวกับกำลังโต้คลื่นอยู่บนเสริ์ฟบอร์ดก็ไม่ปาน! ยิ่งในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้ มันทำให้ภาพตรงหน้ายิ่งดูประหลาดจนชวนขนลุก คุณป๊อบเอ่ยปากถามแม่ด้วยความสงสัย “แม่…นั่นอะไรอ่ะ” แต่คุณแม่ของเขาไม่ได้ให้คำตอบกลับมา บอกเพียงแต่ว่า “ไม่ต้องถาม” แล้วรีบตบเกียร์เร่งรถขึ้นจนแซงทิ้งรถคันดังกล่าวหายไปในความมืด…

ผ่านไปสิบกว่าปี เรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะห่างหายไปจากความทรงของคุณป๊อบ แต่ความจริงแล้ว “ไม่เลย” มันยังคงเป็นภาพจำที่ฝังลึกอยู่ในซอกหลืบของจิตใจ ในวันที่คุณป๊อบกลายมาเป็นนักร้องแล้ว ก็มีโอกาสได้ร่วมเดินทางกลับไปร่วมงานบวชของเพื่อนที่จังหวัดปราจีนร่วมกับเพื่อนๆอีกจำนวนหนึ่งจากกรุงเทพ ทุกอย่างหมุนกลับมาอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในช่วงกลางคืน และเส้นทางสายหนองจอก ระหว่างที่เดินทางมาด้วยรถส่วนบุคคลผ่านทางนี้ คุณป๊อบก็เกิดนึกถึงความทรงจำสมัยเด็กขึ้นมาได้ ก่อนจะออกปากเล่าให้เพื่อนๆในรถฟัง เพื่อเป็นการคร่าเวลา “เห้ย..พวกเมิง กรุมีเรื่องจะเล่าให้ฟังว่ะ”

คุณป๊อปก็เล่าเรื่องที่เคยพบเจอในถนนแถบนี้ให้ฟัง เนื่องจากจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ารถเดินทางมาใกล้กับจุดเกิดเหตุในวันนั้นพอดี สร้างความตื่นเต้นครื้นเครงในหมู่คณะ แต่พอเล่าจบ…ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จู่ๆรถที่เดินทางอย่างคล่องแคล่วมาตลอดทางก็ทำท่าจะดับลงอย่างกระทันหัน คุณป๊อบเลยบอกให้เพื่อนพยายามประคองรถไปจอดเข้าข้างทางก่อนโค้งใหญ่ด้านหน้า สองข้างทางมืดไปหมดมีเพียงแสงไฟสลัวๆ อย่าว่าแต่เคหะสถานหรือร้านสะดวกซื้อ รถสักคันที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็น คุณป๊อบกับเพื่อนพากันลงมาจากรถ ช่วยกันดูว่าเครื่องยนต์มีปัญหาอะไรรึเปล่า หม้อน้ำแห้งมั้ย ยืนชุลมุนกันอยู่ตรงนั้นกว่าครึ่งชั่วโมง

ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างอยู่บ้าง ที่จู่ๆก็มีรถแท็กซี่ขับผ่านทางมาพอดี แล้วไถ่ถามว่ารถเป็นอะไร เสียหรือ? คุณป๊อบจึงเข้าไปคุยและอธิบายเหตุการณ์ และต้องการนั่งรถไปตามช่างมาช่วยดู แต่คุณลุงขับแท็กซี่ตกลงที่จะช่วยเหลือด้วยการลากรถไปในเขตชุมชน คงมีแค่ทางนี้เท่านั้น ในที่สุดทั้งแท็กซี่และรถของคุณป๊อบก็ออกมาถึงหน้าสถานีตำรวจใกล้ๆได้อย่างปลอดภัย ก็ขอบคุณคุณลุงกันยกใหญ่ โดยลุงบอกไว้ว่า “ถ้าลุงไม่ช่วยก็ไม่รู้จะรอดมั้ย แถวนี้โจรก็มี ผีก็ดุ” ทันใดนั้นจู่ๆรถที่นิ่งสนิทไม่มีที่ท่าว่าจะกลับมาวิ่งได้อีก ก็เกิดสตาร์ทติดขึ้นมาเสียเฉยๆ ราวกับไม่เคยดับมาก่อน

หลังจากเหตุการณ์ชวนพิศวงผ่านพ้นไป ทุกคนก็เตรียมตัวเดินทางออกจากหน้าสถานีตำรวจเพื่อไปปราจีนบุรีกันอีกครั้ง แต่ระหว่างนั้นก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นบทสนทนากันอีกครั้ง “เชี่ยย…เมื่อกี้แมร่งอะไรวะ อยู่ๆก็ดับเฉยเลย” รถยังไม่ทันออกไปได้เท่าไหร่จู่ๆก็มีหมาดำทมิฬตัวใหญ่ กระโดดผ่านตัดหน้ารถไป ทำให้เพื่อนที่ขับต้องเบรคกระทันหัน “เอี๊ยยยยยยยยยยด~” เรียกว่าหน้าคะมำกันอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย! “เห้ยย เชี่ยยอะไรอีกวะเนี่ย…”

“แต๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน~”

เสียงของแตรรถดังค้างออกมายาวๆ โดยที่เมื่อของเพื่อนที่ขับ ไม่ได้อยู่บนพวงมาลัยด้วยซ้ำ! มันดังขึ้นมาเองได้ยังไงก็ไม่มีใครทราบ สิ่งเดียวที่ทราบคือ “เราหยุดพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า” ก่อนจะยกมือขอโทษขอโพย อะไรก็ตามที่อาจจะมีตัวตนแต่มองไม่เห็น… ตลอดการเดินทางที่เหลือ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย และในที่สุดก็เดินทางถึงที่หมายทันเวลา อย่างไรก็ตามหลังเข้าร่วมพิธีอุปสมบทในวันถัดไป เพื่อนๆของคุณป๊อบที่ร่วมทางมาด้วยกันตกลงจะค้างที่ต่างจังหวัดอีกคืน จึงสีเพียงคุณป๊อบที่ขอตัวกลับในเย็นวันนั้น เนื่องจากคืนนี้มีงานต้องขึ้นร้องเพลง

ขากลับเส้นทางเดิม คุณป๊อบแทบจำจะจุดเกิดเหตุได้อย่างละเอียด พอใกล้จะถึงจุดที่ว่าก็อดกลืนน้ำลายลงคอด้วยความสะพรึงไม่ได้ อย่างไรก็ตามคุณป๊อบก็ยกมือขึ้นไว้และบีบแตรเมื่อผ่านบริเวณจุดที่รถเคยดับกระทันหัน และรู้สึกโล่งใจที่ไม่เกิดขึ้นอีกในวันนี้ แต่… ไม่ทันจะโล่งใจได้นานก็เกิดตัวเย็นเฉียบกระทันหัน สายตาจับจ้องเขม็งไปที่อะไรบางอย่างตรงมุมโค้งข้างหน้า ภาพที่เห็นทำเอาคุณป๊อบแทบหยุดหายใจ เพราะบริเวณมุมโค้งที่เลยจากจุดที่คุณป๊อบรถเสียเมื่อคืนไม่มาก และคุณป๊อบกับเพื่อนใช้เวลาเดินสำรวจไปมาเพื่อมองหารถที่ผ่านมาบ้าง มองหาคนบ้างอยู่ร่วมชั่วโมง โดยไม่พบอะไรที่ติดใจหรือผิดสังเกต บัดนี้ที่มุมโค้งนั้นกลับมีศาลขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มันใหญ่ขนาดที่ว่าแม้ไม่ตั้งใจมองก็สามารถสังเกตเห็นได้ เป็นไปไม่ได้ที่เมื่อคืนจะไม่มีใครรู้สึกถึงเลย…. เว้นแต่ว่า จะโดนเข้าให้แล้ว และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

06/07/2020
1 2 3