นศ.หลงป่าบนภูกระดึง ที่ออนแอร์ในรายการ ‘ตีสิบ’ เมื่อ 20 ปีก่อน

เรื่องหลอนในตำนาน ที่โด่งดังมากเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เรื่องจากรายการตีสิบ ประสบการณ์ลี้ลับ ที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านรังสิต ได้ไปเจอมาที่ภูกระดึง ระบุว่า เรื่องเกิดขึ้นจากการที่พวกเขานัด กันไป ท่องเที่ยว พักแรม ที่ภูกระดึง จ.เลย จนกระทั่งนำมาซึ่งเหตุการณ์ขนหัวลุกที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ซึ่งเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในเวลาที่เทปนั้นได้ออกอากาศ

ย้อนดูเรื่องผี Pantip เมื่อสมาชิกคนหนึ่งถามถึงเรื่องเล่าหลอนที่เคยออกในรายการดัง

การมาเที่ยวภูกระดึงในครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 10 คนที่เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากเห็นว่าเป็นการมาเที่ยวกันเองของกลุ่มวัยรุ่น หนึ่งในขณะก็ได้พูดถึงว่าก่อนจะมามีญาติผู้ใหญ่เป็นห่วงอยู่เช่นกัน อยากให้ระมัดระวังตัว มีสติไม่คึกคะนองกันจนเลยเถิด อีกทั้งยังกำชับว่าให้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง บอกเจ้าป่าเจ้าเขาด้วย แต่พอไปถึงที่จริงๆด้วยความตื่นเต้นตามประสา ก็ทำให้ลืมและละเลยคำเตือนในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มจะมีเพื่อนคนหนึ่งที่ออกจะห้าวกว่าคนอื่นเขา บอยเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อในเรื่องภูติผี หรือความเชื่ออาถรรพ์ใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งยังคึกคะนองพูดจาดผงผางตลอดทาง ยิ่งอยู่ในสถานที่แปลกหูแปลกตา บอยก็ยิ่งโชว์ของด้วยการพูดท้าทายสิ่งที่มองไม่เห็นบ้าง ใช้คำหยาบคายบ้าง เข้าทำนองที่ว่าไม่เชื่อ แต่จะลบหลู่ และแม้ว่าเพื่อนรูปทริปจะพยายามห้ามปรามเป็นระยะ ก็ไม่ต่างจากโยนฟืนเข้ากองไฟ บอยยิ่งทวีความกล้าจนคำพูดที่ออกมานั้นไม่สามารถพูดออกอากาศในรายการได้

กระทั่งระหว่างที่เดินเที่ยวเข้าป่าชมน้ำตกในป่ากันอยู่นั้น จู่ๆก็เกิดรู้สึกตัวกันว่า พวกตนน่าจะหลงทางเข้าให้แล้ว พยายามจะหาทางกลับก็ไม่เจอ ตอนนั้นเริ่มจะมีเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันแล้ว ว่าถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นพิโรธเอารึเปล่า ผู้นำทริปที่เป็นรุ่นพี่อายุเยอะที่สุดในกลุ่มก็เริ่มไม่สบายใจกับการกระทำที่คึกคะนองของน้องๆ จนเดินไปเจอต้นไม้ขนาดใหญ่มากต้นหนึ่งข้างหน้า จึงยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ขอขมาลาโทษ อย่างที่ยายของเขาเคยเตือนไว้ก่อนมาเที่ยว

หลังจากความพยายามพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เดินไปได้อีกสักพักก็พบกับไม้สีแดงประหลาดที่มีปลายไม้ม้วนงอดูราวกับไม้เท้าของผู้วิเศษ รุ่นพี่คนนั้นก็มองว่านี่อาจเป็นความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วบอกให้คณะเดินทางไปตามทิศทางที่ปลายไม้นั้นชี้ไป โดยที่ได้นำไม้แท่งนั้นเดินมาด้วยกัน กระทั่งไม่นานนัก กลุ่มนักศึกษาก็สามารถเดินออกมาพ้นเขตป่าได้จริง…

หลังหลุดออกมาจากป่าแล้วในช่วงเย็น กลุ่มนักศึกษาก็คลายกังวลและเริ่มเดินเที่ยวกันต่อ โดยจุดหมายคือผาหล่มสักเพื่อที่จะรอดูวิวทิวทัศน์ในช่วงเวลาตะวันตกดิน เมื่อไปถึงก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่มารอชมเช่นเดียวกัน ในระหว่างนั้นเพื่อนร่วมทริปก็ต่างพากันพักผ่อนตามอัธยาศัย บ้างก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปกัน บ้างก็นั่งพักคุยกันอย่างใจเย็น บ้างกจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องประสบการณ์ที่ทำให้เหงื่อตกเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีอยู่คนนึงที่ดูเหมือนจะยังมีแรงเหลือเฟือที่จะทำอะไรห่ามๆได้อยู่…

ไม่มีใครรู้ว่าบอย..คิดอะไรอยู่ จู่ๆเขาก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังลั่นอย่างหยาบคายว่า “ค” .. “ว” .. “ยยยย” ออกไปทางหน้าผาหล่มสัก จากนั้นก็เงี่ยหูเพื่อฟังเสียงที่สะท้อนกลับมาเหมือนในละคร

หลังจากพออกพอใจ บอยก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากระทันหัน โดยบอยบอกกับเพื่อนๆว่า รู้สึกเหมือนถูกสายตาแหลมคมจ้องมองไปที่เขา มีใครเห็นบ้างไหม บอยเข้าใจว่าอาจมีวัยรุ่นกลุ่มอื่นที่ส่งสายตาไม่พอใจมาก็ได้ เรียกว่าพร้อมบวกเต็มที่ แต่ถ้าถามกันจริงๆ ตอนนั้นมันก็คงไม่แปลกที่จะมีคนไม่พอใจการกระทำของบอย เราไม่ทันคิดถึงเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นเลย

หลังจากตะวันลับขอบฟ้าเรียบร้อยไปได้สักพัก ความมืดก็เข้ามาแทนที่อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว นักศึกษากลุ่มนี้ก็ใช้เส้นทางเรียบผาเพื่อที่จะกลับไปยังที่ทำการอุทยาน ในความจริงต้องเรียกว่าเดินตามๆนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นกันไปถึงจะถูก เพราะพวกเขาเองก็ไม่เคยมีใครในกลุ่มมีประสบการณ์มาเที่ยวที่นี่มาก่อน อีกทั้งยังไม่มใครพกไฟฉายหรือเครื่องส่องสว่างอื่นๆกันมา เลยต้องพยายามเกาะกลุ่มเดินอยู่ระหว่าง นักท่องเที่ยงกลุ่มหน้าที่มีไฟฉายนำทาง

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าเมื่อเดินตามไปเรื่อยๆ แสงไฟจากนักท่องเที่ยวกลุ่มที่อยู่ด้านหน้า ก็ค่อยๆห่างออกไปทุกที และแม้ว่าพวกนักศึกษาจะเร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน แต่ว่าก็ไม่สามารถจะตามทัน จนกระทั่งแสงจากกลุ่มหน้าหายลับตาไปแล้ว ในขณะที่เมื่อหันไปดูทางด้านหลัง ก็ไม่พบนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆที่ควรจะเดินตามกันมาอีกเช่นกัน ดูราวกับว่ามีเพียงพวกเขาที่เหลืออยู่ท่ามกลางความมืดกลุ่มเดียว นักศึกษากลุ่มนี้จึงรีบเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

กระทั่งเดินไปจนถึงร้านค้าของชำระหว่างทาง จึงได้สอบถามถึงเส้นทางกลับไปที่ทำการฯ อีกทั้งยังขอซื้อเทียนเพื่อใช้เป็นแหล่งของแสงสว่าง แต่ปรากฏว่าที่ร้านขายให้ได้เพียงแค่ 2 เล่ม เพราะของเหลือแค่นั้น นอกจากนี้ทีชางร้านค้าก็ยังแนะนำให้เดินกลับไปด้วยเส้นทางลัด เนื่องด้วยเห็นว่าดึกและมืดค่ำมากแล้ว (น่าจะเป็นเส้นทาง ผานาน้อย – องค์พุทธเมตตา) กระทั่งชาวคณะก็ออกเดินทางกันต่อทันที

ในช่วงแรกของเส้นทาง กลุ่มนักศึกษาจะเดินเรียงหน้ากระดานกันไป 4 คน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยิ่งเดินไปเรื่อยๆก็พบว่าเส้นทางค่อยๆแคบลงๆ บีบให้พวกเขาไม่สามารถเดินเกาะกลุ่มหรือหน้ากระดานไปด้วยกันได้แล้ว จึงเปลี่ยนไปเดินเป็นแถวเรียงหนึ่ง โดยที่มีหัวแถวเป็นผู้ถือเทียนนำทาง และมีบอยผู้ที่อยู่รั้งท้ายแถวเป็นคนถือเทียนอีกเล่ม และเนื่องจากวิสัยทัศน์ต้องเรียกว่าคับแคบมากๆด้วยความสูงของหญ้าที่บดบังจนเกือบสูงเท่าคน ในขณะที่มีหมอกลอยต่ำ ในค่ำคืนที่แทบไม่มีแสงดาว ระยะการมองเห็นจึงมีเพียงแค่รัศมีของแสงเทียนสองเล่มเท่านั้น โดยที่ทางกลุ่มมีวิธีเช็คจำนวนสมาชิกด้วยการผลัดกันนับยอด 1…2…3… 10 อยู่เป็นระยะ ตามแบบฉบับของการเค้าค่ายเดินป่า เพื่อที่หากมีสมาชิกหายไปหรือเพิ่มเข้ามา(?) จะได้รู้ตัว…

ในขณะที่กลุ่มนักศึกษาเดินไปตามเส้นทาง พวกเขาต่างรู้สึกตัวกันตลอด ถึงบางสิ่งที่ดูไม่ชอบมาพากล คือมีเสียงที่ราวกับว่าใครบางคนกำลังเอามือลูบราไปตามแนวต้นหญ้าเล่นไปตามทาง ซึ่งในเวลาแบบนั้นคงไม่มีใครในหมู่นักศึกษาที่จะสบายอารมณ์พอจะทำแบบนั้น แต่แม้ว่าจะรู้สึกกันได้ทุกคน ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักเรื่องนี้ขึ้นมาสักคน จนกระทั่งมีนักศึกษาคนหนึ่งกระซิบกระซาบว่า ตนเห็นเงาอะไรบางอย่างรูปร่างคล้ายคน แต่ตัวใหญ่กว่าคนปกติทั่วไปมาก นั่งกอดเข่าอยู่ภายในแนวหญ้าอยู่แวบหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็ถูกบอยที่รั้งท้ายตามมาเบิ๊ดโหลกเข้าให้ทีหนึ่ง ก่อนจะปรามว่า ไหน? กรุไม่เห็นจะเห็นใครเลย… แม้ว่าในภายหลังจะมีนักศึกษาในกลุ่มอีกหลายคนให้การคล้ายกันว่า พบเห็นเงานิรนามลักษณะสูงใหญ่เช่นกัน หากแต่เพราะทัศนวิสัยที่คับแคบ และก็ไม่มีใครที่ได้เห็นแล้วจะใจกล้าบ้าบิ่นพอที่จะเหลียวกลับไปดูอีก

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ…ทางข้างหน้าตอนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนเรียกันว่า “ทาง 3 แพร่ง” นอกเหนือไปจากเส้นทางที่เดินผ่านกันมา ด้านหน้าจำเป็นต้องเลือกว่าจะไปทางซ้าย หรือขวา… ในจังหวะนั้นเอง คณะเดินทางก็หยุดพักเพื่อนับยอดเช็คจำนวนกัน น่าแปลกที่คราวนี้นับได้เพียงถึงแค่ 9… พอมองหาดูดีๆก็พบว่าเป็นบอยนั่นเองที่หายตัวไป ขอย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เล็กน้อย จู่ๆก็มีเสียงบอยกระซิบกระซาบกับเพื่อนใกล้ๆกันว่า ตนรู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออกกระทันหัน แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่งหน้าขวาน ทุกคนใจจดจ่อแต่กับทางข้างหน้า จนคิดกันไปว่าบอยคงนึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมาได้อีกกระมัง เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก กระทั่งตอนนี้รู้แล้ว…ว่าบอยไม่ได้ล้อเล่น

กลุ่มนักศึกษาจึงแบ่งคนออกมาจำนวนหนึ่ง เดินย้อนกลับไปตามเส้นทางที่พึ่งจะผ่านกันมา เพื่อตามหาบอย เดินหากันอยู่สักพักหนึ่ง ก็พบบอยนอนล้มอยู่ริมทาง แต่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คือส่วนเอวลงไปของบอยหายเข้าไปในพงหญ้ารกชัฏ และดูเหมือนจะค่อยกลืนร่างบอยเข้าไปเรื่อยๆ ราวกับถูกอะไรบางอย่าง ชุดกระชากลากถูบอยเข้าไปในป่าหญ้า พอเพื่อนๆเห็นดังนั้นก็กุลีกุจอกันเข้าไปรั้งตัวบอยไว้ ส่วนคนที่วิ่งตามมาบ้างก็รีบร้อนจนไปเตะกิ่งไม้แห้งตำจนได้แผลมา

ภาพที่หลายคนเห็นตอนนั้นคือ บอยออกอาการไม่ค่อยดี มีภาวะกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ตัวแข็งทื่อ ตาเหลือกค้าง สร้างความตื่นตระหนกให้คนที่พยายามจะเข้ามาช่วยอย่างมาก แม้ว่าจะพยายามปฐมพยาบาลด้วยการบีบนวดให้คลายกล้ามเนื้อ แต่ปรากฏว่าร่างของบอยแข็งเกร็งราวกับท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น คณะนักศึกษาเลยเลือกที่จะช่วยกันแบกร่างของบอย ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าไร้สติไปเรียบร้อยแล้ว คนหนึ่งหิ้วแขน อีกคนหิ้วขา หามกันไปได้ครู่หนึ่ง กลุ่มนักศึกษาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ที่พื้นด้านหน้า… ปรากฏว่าเป็นงูตัวหนึ่งที่ทำท่าจะเลื้อยเข้ามาทางนี้

กระทั่งทั้งคณะก็ตกใจจนหยุดกึกกันหมด เจ้าสิ่งที่ดูคล้ายงูนั่นก็นิ่งตาม แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ พอลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มันกลับกลายเป็นเพียงท่อนไม้ท่อนหนึ่ง แม้ว่าทั้งเก้าคนจะให้การตรงกันว่า เมื่อกี้มันเป็นงูแน่ๆก็ตาม หลังเดินทางกันต่อไปได้สักพัก เพื่อนที่หามบอยจู่ๆก็ออกปากว่าหามไม่ไหวแล้ว หนักมากๆ เรื่องนี้ก็นับว่าแปลกมาก เพราะคนหามก็เป็นคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ขณะที่ตัวบอยก็ไม่ได้จัดว่าเป็นชายรูปร่างใหญ่อะไร ออกจะเล็กกว่ามาตรฐานชายไทยเสียด้วยซ้ำ เพื่อนอีกคนก็เลยไปช่วยซ้อน ปรากฏว่าคราวนี้บอยตัวหนักกว่าเดิม จนแม้จะใช้ถึงสามคนก็พยุงไม่ขึ้น ร่างของบอยก็ร่วงแผละลงไปกับพื้น ก่อนที่จะเริ่มชักดิ้นชักงออย่างน่ากลัว

ในระหว่างนั้นเอง นักศึกษาคนหนึ่งในกลุ่มก็สังเกตดวงไฟผ่านมาทางนี้ พอสังเกตดูดีๆก็พบว่าเป็นแสงจากโคมไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ ผู้ที่กำลังขับขี่อยู่นั้นใส่ชุดพรางคล้ายทหาร เลยโบกและตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือได้ทัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่มีใครได้ยินหรือสัมผัสถึงเสียงรถได้เลย เจ้าหน้าที่ในชุดพรางก็เรียกให้นำคนป่วยขึ้นรถทันที โดยที่มีรุ่นพี่นำกลุ่มตามขึ้นไปคอยพยุงร่างบอยกลับไป ส่วนคณะนักศึกษาที่เหลืออีก 8 คน ทางเจ้าหน้าที่แนะนำให้เดินเลี้ยวขวาที่ทางแยก 3 แพร่งที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า เพื่อที่จะกลับไปยังที่ทำการฯได้เร็วที่สุด โดยรุ่นพี่ก็ส่งมอบไม้แดงที่เก็บไว้กับตัวให้นักศึกษาคนหนึ่งนำติดตัวไป

ภายหลังรุ่นพี่ที่ขึ้นรถไปกับบอยก็เล่าว่า จังหวะนั้นเองก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีก คือทั้งๆที่เจ้าหน้าที่แนะนำเส้นทางว่าทางขวาจะใกล้ที่สุด แต่กลับพาบอยกับตนเลี้ยวซ้ายแทน รุ่นพี่คนนี้ก็นึกครึ้มใจขึ้นมาเลยชวนคุยว่า พวกตนไปเจออะไรกันมาบ้างตลอดวันกระทั่งบอยหายตัวไปก่อนจะพบตัวอยู่ในพงหญ้า จู่ๆเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่จะเอ่ยปากเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงยานคาง แบบที่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เคยได้ยิน ว่า… “มันน ไม่เป็นน อะไรหรอกก” รุ่นพี่สารภาพว่าตอนนั้นกลัวมาก แม้ว่าสุดท้ายจะเดินทางไปถึงสะพานไม้หลังที่ทำการอุทยานได้อย่างปลอดภัยก็ตาม

ตอนนั้นน้ำหนักบอยไม่ได้มากเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในป่า รุ่นพี่เพียงคนเดียวก็พอที่จะหิ้วปีกเข้าไปห้องพยาบาลได้ ตอนนี้บอยอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่แล้ว โดยที่มีรุ่นพี่คอยเฝ้าดูอาการอยู่ กระทั่งผ่านไปไม่นานบอยก็ฟื้นขึ้นมาได้ซะเฉยๆ แต่ยังมีอาการสับสนงุนงงอยู่ จึงให้นอนพักต่อ อีกด้านนึงนักศึกษาทั้ง 8 ที่ลัดเลาะมาตามเส้นทางแยกขวา ในที่สุดเทียนที่มีอยู่ก็หลอมละลายจนหมด แสงสว่างก็ดับลงทันที แต่ยังพอจะมีแสงไฟจากจอมือถืออีกสองสามเครื่อง โดยที่ภายหลังนักศึกษากลุ่มนี้ก็ให้การว่าระหว่างทางก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนนอกเหนือจากพวกเขาติดตามมาด้วยตลอดทาง และในจำนวน 8 คนมีบางคนที่ถูกพลักตกหลุ่มบ่อลงไปนอนวัดพื้นถึง 2 ครั้ง 2 ครา แน่นอนว่าไม่มีใครแกล้งเอาสนุกในเวลาเช่นนั้น

กระทั่งกลุ่มนักศึกษาเดินไปจนพบกับแสงไฟห่างออกไปข้างหน้า ลักษณะเหมือนไฟจากอาคารบ้านเรือน ทั้งกลุ่มจึงมีความหวังและเร่งฝีเท้าออกเดินมุ่งหน้าไปยังแสงที่ว่านั้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปไกลแค่ไหน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใกล้แสงนั่นเลย ซ้ำดูเหมือนมันค่อยๆห่งออกไปเรื่อยๆทุกก้าวที่เดินหน้าไป จนในที่สุดมันก็เลือนหายไปในความมืด หลายคนเริ่มรู้สึกแล้วว่าพวกตนกำลังเดินวนเป็นวงกลม หลงอยู่ท่ามกลางความมืดรึเปล่า ความกลัวก็เริ่มแทรกเข้ามาเกาะกุมหัวใจ พร้อมกับที่ความหวังเมื่อครู่ดับไปพร้อมกับดวงไฟ หนึ่งในนั้นก็ยกมือที่กำไม้แดงแน่นขึ้นกราบไหว้ บนบานศาลกล่าว ขอเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้ช่วยด้วยเถิด ขอให้นำทางไปพวกตนไปที่ถูกที่ควรด้วย หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มแหวกพงหญ้าข้างทางที่สูงท่วมหัวจนทำให้มองเห็นรอบข้างได้ยาก. โดยบังเอิญก็พบเข้ากับแสงไฟจากที่ทำการอุทยาน ห่างออกไปไม่ไกล ทั้งๆที่เมื่อ 20 นาทีก่อนพวกเขาจะภยายามควานหาแทบเป็นแทบตาย แต่ไม่พบอะไรเลยนอกจากความมืด

แล้วพวกเขาก็เห็นแสงไฟข้างหน้า เป็นแสงไฟตามบ้านอะไรประมาณนี้พวกเขาก็รีบเดิน แต่ยิ่งเดินยิ่งไกล และแล้วแสงไฟก็หายไป แต่พวกเขาก็ยังเดินต่อไป แต่ก็วนมาที่เดิมตลอด ทุกคนเริ่มกลัว เริ่มลนกันหมด แล้วก็มีคนยกมืออธิฐานกับไม้ บนบานเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขาขอให้ถึงที่พักซักที แล้วไม่นานเพื่อนคนหนึ่งก็แหวกหญ้าที่สูงท่วมหัวข้างทางออกมาเจอแสงไฟจากที่ทำการฯ ทั้งๆที่ไม่ไกลพวกเขาก็หลงอยู่เป็นนาน ขณะนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ในชุดพรานทหาร 2 คน ส่องไฟฉายมาทางกลุ่มพวกเขาก่อนจะเอ่ยปากร้องทักว่า “เจอพวกมันแล้ว” อย่างไรก็ตามตอนนั้นทุกคนดีใจมากที่ได้พบกับความช่วยเหลือ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทั้งสองนายก็พาทั้งคณะมาส่งหลังที่ทำการฯ คณะนักศึกษาก็ไม่ลืมที่จะจุดธูปบอกกล่าวขอขมาลาโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยพวกตนอีกคำรบหนึ่ง

จังหวะนั้นเองบอยที่หายมึนหัวแล้วก็ออกมารวมกลุ่มกับคนอื่น บอยเล่าว่าตัวเองจำอะไรไม่ได้มากนัก ภาพสุดท้ายที่บอยเห็นก่อนตนเองจะล้มลงไป คือมีเงารูปร่างคล้ายคนนัยน์ตาแดงก่ำด้วยความพิโรธ แต่ตัวใหญ่มาก พุ่งเข้ามาผลักแล้วกดทับร่างบอยเอาไว้จนลุกไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องร้ายๆได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาทุกคนปลอดภัย ก็ไม่ลืมที่จะออกตามหาเจ้าหน้าที่ผู้มีพระคุณที่เคยช่วยนำทางมาที่ทำการฯ แต่น่าแปลกคือไม่ว่าจะตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบเจ้าหน้าที่ลักษณะดังกล่าว อีกทั้งพอกลุ่มนักศึกษาสอบถามจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้นก็ได้คำตอบว่า “เจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดพรางเต็มยศขนาดนั้น ที่นี่ไม่มีหรอกนะ…” อาจจะพอสรุปได้ว่าคน(?)เหล่านั้น ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของที่นี่แน่ๆ แต่คำถามคือพวกเขาเป็นใครกันล่ะ?

ภายหลังเรื่องราวได้ไปถึงหูแม่ค้าแม่ขายในบริเวณนั้น ก็ได้ความว่า..เจ้าหน้าที่ในชุดพรางเหล่านั้น แท้จริงคือผู้ช่วยขององค์พุทธเมตตา ที่จะคอยปรากฎตัวออกมาช่วยเหลือนักท่องเที่ยวผู้หลงทางในป่า นอกจากนี้วันถัดมากลุ่มนักศึกษายังได้กลับไปตามรอยเดิมที่พวกเขาเดินทางกันมา พบว่าต้นไม้ใหญ่ที่รุ่นพี่เคยยกมือไหว้ขอขมาในช่วงแรก กลับไม่มีอยู่ที่นั่นแล้ว โดยสังเกตได้จากบริเวณนั้นยังคงมีเศษพลาสเตอร์ปิดแผลที่พวกเขาใช้กันตอนหยุดพักบริเวณนั้น

ยังไม่หมดแค่นั้น ช่วงกลางดึกที่กลุ่มนักศึกษากำลังจนมุมกับสถานการณ์ของบอย จนได้รับการช่วยเหลือจากมอเตอร์ไซค์ของเจ้าหน้าที่ ปรากฎว่าเส้นทางที่พวกเขาเห็นว่ารถพ่งทะยานมาหาพวกตนนั้น กับมีเพียงกอหญ้ารกชัฏสูงท่วมหัวเหมือนบริเวณอื่นๆ ไม่มีร่องรอยว่าจะมีรถคันไหนผ่านเข้ามาได้แน่ๆ อีกทั้งทางสามแพร่งที่เจ้าหน้าที่พาบอยกับรุ่นพี่ขึ้นรถแล้วเลี้ยวไปทางซ้าย ปรากฎว่าในความเป็นจริงมีเพียงเส้นทางขวาเท่านั้นที่ใช้ได้ เนื่องเพราะแยกทางซ้ายเป็นเส้นทางขาดที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเป็นร่องลึก ที่ต่อให้เป็นรถ 4wd ก็ไม่แน่ว่าจะข้ามไปได้ กลายเป็นว่ามีเรื่องราวปาฏิหารย์หลายๆอย่างรวมกันในค่ำคืนเดียวอย่างน่าอัศจรรย์

เรื่องราวสุดพิศดารที่เกิดขึ้นในทริปนี้ก็ดูท่าว่าจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ วันสุดท้ายก่อนจะกลับด้วยความรู้สึกผูกพันและขอบคุณในแท่งไม้สีแดงที่รุ่นพี่นำติดตัวมาด้วยตลอดทางนั้น จึงได้นำไปปักไว้ยังโคนต้นสนใหญ่ที่อยู่ในบริเวณลานกางเต๊นท์ กระทั่งขากลับลงมาจากเขา พวกนักศึกษาก็มีโอกาสได้แวะสักการะศาลเจ้าพ่อที่บริเวณตีนเขา แต่สิ่งที่ชวนให้แปลกใจก็คือ ในศาลที่ว่านั้นมีสิ่งหนึ่งที่ดูคุ้นตาทุกคนในกลุ่มอยู่ นั่นคือไม้เท้าสีแดงสดที่มีปลายม้วนงอวางอยู่ด้านใน ซึ่งดูคล้ายกับไม้ที่พบเจอในป่าคืนนั้นมาก นี่เป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่า หากไม่แล้ว ก็คงเป็นเพราะเจ้าพ่อท่านได้หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนั้นมิใช่หรือ? (ในรายการตีสิบเองก็ได้มีการนำภาพถ่ายของไม้เท้าจากศาลนั้นมาเปรียบเทียบกับไม้แดงที่กลุ่มนักศึกษาถ่ายเก็บไว้ในมือถือด้วย )

พูดถึงบอย… พอบอยกลับไปถึงบ้าน เป็นแม่ของบอยที่ออกมาเปิดประตูรับอยู่หน้าบ้าน แต่คำพูดทักของแม่ ทำเอาบอยสะอึกไปเหมือนกัน แม่บอยทักออกมาว่า “นี่เอาใครมาด้วยอยู่เนี่ย ยืนอยู่หน้าบ้าน ตาแดงก่ำเชียว” อย่างไรก็ตามบอยไม่ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูกระดึงให้แม่ฟัง เพราะกลัวจะถูกแม่ตำหนิติเตียนเอาได้ แต่ได้ออกปากเล่าให้พี่สาวฟัง แม้ว่าต่อมาพี่สาวก็นำไปเล่าให้แม่ฟังอยู่ดี ภายหลังจากเรื่องนี้เข้าหูแม่ แม่ก็เล่าให้ฟังว่ามีเรื่องแปลกเกิดขึ้นกับตัวเองเช่นกัน ในช่วงที่บอยไปออกทริปกับเพื่อน

ใจความคือแม่ฝันเห็นต้นไม้ใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านไปทั่วออกมาราวกับมือกำลังยืดออกไปเพื่อไล่ต้อนเด็กตัวเล็กๆที่วิ่งหนีอยู่ด้านล่าง ในฝันนั้นแม่ของบอยก็พยายามร้องขอแก่ต้นไม้ ว่าได้โปรดอย่าทำอะไรเลย สงสารมันด้วยเถิด ขณะที่แม่ของบอยเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟังอยู่นั้น ก็เกิดได้ยินเสียงกระซิบแว่วขึ้นมาข้างหูว่า “ให้มัน…มาขอขมากรุ” ภายหลังคุณแม่จึงได้พาบอยไปทำพิธีขอขมาลาโทษ อีกทั้งยังทำบุญ ถวายสังฆทาน และอาบน้ำมนต์เพื่อเป็นศิริมงคลและปัดเป่า หลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นอีกเลย

ขอขอบคุณที่มาเรื่องผี Pantip : https://pantip.com/topic/34058157

อ่านเรื่องผีจากพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์