เรื่องผีเดอะช็อค | บ้านนายทหารผีดุ ขนาดเจ้าที่ยังอยู่ไม่ได้

เรื่องผีเดอะช็อคเรื่องนี้ เป็นเรื่องจากสายของ “คุณดิว” ซึ่งนำประสบการณ์การอาศัยอยู่ในบ้านที่เรียกได้ว่า “อาถรรพ์แรง” มากๆ อย่างไรก็ตามฉากหลังเรื่องเล่าของคุณดิวนั้น กลับเกิดขึ้นในครั้งที่เขายังคงเข้ารับการฝึกเป็นพลทหารอยู่ที่ค่ายแห่งหนึ่ง และได้รับความไว้วางใจให้มาเป็นผู้ดูแลบ้านที่ไม่มีคนอยู่หลังหนึ่ง ความเงียบสงบที่อยู่ตรงหน้าคุณดิวเปรียบเทียบได้กับคลื่นลมในวันที่ทะเลสงบจนผิดปกติ ก่อนที่สึนามิจะเข้าถาโถมเขาจนไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้

เรื่องผีเดอะช็อค “เจ้าที่ยังถอย” – คุณดิว

เหตุการณ์เรื่องเล่าผีนี้เกิดขึ้นกับคุณดิว ในสมัยที่ถูกเกณฑ์เข้ารับการฝึกเป็นพลทหารตามกฎหมายที่ชายไทยทุกคนล้วนต้องผ่านกันมาแล้ว เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2556 คุณดิวได้รับโอกาสถูกเลือกไปเป็นทหารรับใช้ให้กับนายทหารสัญญาบัตินายหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นเจ้านายของตน นั่นทำให้คุณดิวไม่ต้องเข้ารับการฝึกหรือปฏิบัติหน้าที่ตามกิจวัตรประจำวันของพลทหารทั่วไปอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ณ ที่นั้นแล้วต้องบอกเลยว่า ไม่ว่าใครก็คงนึกอิจฉาคุณดิวด้วยกันทั้งนั้น เพราะย่อมสบายกว่าทนตากแดดตากลมเป็นแน่

คุณดิวกับเพื่อนทหารเกณฑ์อีกคนหนึ่ง ถูกมอบหมายให้ไปเฝ้ายามรวมถึงมำความสะอาดดูแลบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งบ้านหลังที่ว่านี้เป็นของนายทหารผู้เป็นเจ้านายของเขาเอง โดยบ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นบ้านไม้ที่มีใต้ถุนสูง และแม้ว่าจะเป็นบ้านของนายทหารยศสูง แต่ก็ไม่มีคนพักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน นั่นเป็นสาเหตุให้คุณดิวถูกส่งไปดูแล เพราะแถวนั้นก็มีข่าวคราวเรื่องโจรขึ้นบ้านอยู่เหมือนกัน เมื่อวันนั้นมาถึง เป็นจ่าสิบเอกผู้ใต้บังคับบัญชาของนายทหารเจ้าของบ้านที่ถูกส่งมาเป็นคนนำทางไปยังสถานที่เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม พอมาย้อนนึกดูถึงท่าทางของจ่าในวันนั้น ก็คงเหมือนกับลางบอกเหตุว่าความน่ากลัวอันดำมืดที่ซ่อนตัวในบ้านหลังนั้น ค่อยๆคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ…

ที่ต้องว่าอย่างนั้นก็เพราะ แทนที่จ่าจะไปส่งคุณดิวกับเพื่อนที่หน้าบ้านหลังดังกล่าว กลับส่งทั้งคู่ลงหน้าปากซอยแล้วให้เดินเข้าไปเองเป็นระยะทางกว่า 2 กม. โดยที่ก็ไม่ได้ชี้แจงถึงเหตุผลอะไร คุณดิวเองก็นึกไม่ถึงว่าสาเหตุจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับบ้านหลังนี้ คิดเอาเองว่าบางทีจ่าแกคงตั้งใจจะแกล้งเล่นกระมัง กระทั่งค่ำคืนแรกก็ผ่านพ้นไปได้อย่างเป็นปกติเรียบร้อย หลังจากคุณดิวและเพื่อนหาข้าวปลาทานกันเสร็จก็จัดแจงปูที่หลับที่นอนเพื่อค้างคืนแรก แต่แล้วในคืนถัดมานั้นเอง ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติเกิดขึ้น…

ในคืนที่ 2 นั้นระหว่างที่นอนกันอยู่ จู่ๆก็มีเสียงดัง “ปึกกๆ ๆ ๆ…” ดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดในยามราตรี เสียงนั้นฟังดูคล้ายกับมีใครสักคนกำลังเดินเอามือเคาะกับไม้กระดานไปรอบๆตัวบ้าน และเนื่องจากบ้านเป็นไม้ทำให้เสียงที่ว่าก้องกังวาลไปทั่ว คุณดิวลุกขึ้นมาฟังอยู่พักหนึ่งก็อดจะนึกดีไม่ได้เลยว่า “ไม่น่าจะใช่เสียงคนซะแล้ว” เนื่องจากในที่นี้มีเพียงเขากับเพื่อนพลทหารสองคนเท่านั้น คุณดิวนึกขึ้นได้ว่าตอนที่มาถึงบ้านหลังนี้ยังไม่ได้ยกมือขอขมาลาไหว้กับเจ้าที่เจ้าทาง บางทีท่านอาจจะออกมาทักทายก็ได้ อย่างไรก็ตามเสียงที่ว่าดูเหมือนจะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คุณดิวจึงพยายามปลุกเพื่อนที่หลับอยู่ขึ้นมาด้วยการจะเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟบนผนังที่อยู่ห่างออกไปทางประตู

แต่ขณะที่กำลังลุกจะเดินเข้าไปนั่นเอง สายตาของคุณดิวก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง อะไรที่ว่านั้นเป็นเงาของชายคนหนี่งในชุดเสื้อยืดสีเขียวเข้มกับกางเกงขาสั้นสีดำสนิท นั่งห่างออกไปไม่ไกลนักอยู่ใต้สวิตช์ไฟที่ว่าพอดี สิ่งนี้ทำให้คุณดิวราวกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ เขาไม่แม้แต่จะสามารถยกขาที่ทำอยู่เป็นปกติได้ เรียกว่าจะถอยกลับก็ไม่ได้ จะเดินต่อก็ไปไม่ถึง ระหว่างนั้นเหงื่อกาฬก็เริ่มซึมออกมาตามหน้าผาก สายตาก็ยังคงจ้องกับเงานั้นราวต้องมนต์สะกด คุณดิวอยากตะโกนเรียกเพื่อนจะแย่ แต่กลายเป็นว่าเสียงถูกกลืนหายไปในลำคอ

คืนที่สามคุณดิวไม่สามารถที่จะข่มตาหลับได้ หลังเผชิญหน้ากับเงาปริศนาเมื่อคืนก่อน คุณดิวจำเป็นต้องอาศัยยานอนหลับ โดยจัดเต็มไปถึง 3 เม็ด กะว่าเอาให้หลับแบบไม่รู้เรื่องกันไปเลย หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่าใบวาร์ปก็ว่าได้ กระพริบตาอีกทีก็เช้าแล้วทำนองนั้น ภาระจึงไปตกอยู่ที่เพื่อนพลทหารที่ต้องอยู่เผชิญกับสิ่งลี้ลับอยู่คนเดียว ขณะที่เขานอนดูหนังแผ่นผ่านทางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ความบันเทิงเดียวที่มีให้ทำคร่าเวลาในบ้านหลอนยามค่ำคืนอยู่นั้น ก็รู้สึกคอแห้ง จึงลุกขึ้นไปตักน้ำในกระติกที่อยู่มุมหนึ่งห่างออกไปขึ้นดื่ม แต่จังหวะที่จะลุกขึ้นเดินกลับมานอนต่อนั่นเอง สิ่งที่แทบไม่เชื่อสายตาก็ปรากฎขึ้น…ผู้หญิงแปลกหน้าในชุดคลุมท้องยาวในใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธแค้นราวจะระเบิดออกมา

“พวกเมิงออกไปปป !…ที่นี่ของกรุ !!”

เรียกว่าหาความเป็นมิตรไม่ได้เลยแม้กระพรี้เดียว! เช้าวันถัดมาคุณดิวถึงรู้เรื่อง เลยรีบต่อสายหาจ่าที่มาส่งเขาทันที แล้วจัดแจงเล่าทุกเหตุการณ์ที่พบเจอมาในช่วง 3 วัน “จ่าพวกผมไม่ได้ตาฝาดนะ หรือจ่ามาอยู่กับพวกผมมั้ยล่ะ?” แต่คำตอบของจ่าที่ไม่มีใครคาดคิดคือ “เอางี้นะ เดี๋ยวจะนิมนต์พระไปตั้งศาลพระภูมิให้แล้วกัน…” แสดงว่าที่บ้านหลังนี้ต้องมีประวัติจริงๆ

หลังจากคุยกับจ่าเสร็จ คุณดิวซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านก็ไม่ทราบว่าอะไรดลอกดลใจ ให้แหงนหน้ามองข้างบน และสิ่งที่พบก็ทำให้เขาถึงกับผงะ! มีเท้าคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างบนบ้านตอนนี้ คุณดิวมองเห็นผ่านรอยห่างของแผ่นไม้กระดาน จากนั้นเขารีบมองหาเพื่อนไปรอบๆ และก็ปเจอเข้ากับเพื่อนซี่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ใต้ต้นไม้ ไม่หางไปจากเขานัก ถ้างั้น…แล้วตอนนี้ใครยืนอยู่บนบ้าน? อย่างไรก็ตามความหวังเดียวของเขาก็มาถึง มีพระกับร้านศาลพระภูมิมาตั้งศาลให้ที่บ้านทันก่อนจะพบคล่ำ 2 พลทหารใจชื้นขึ้นเป็นลำดับ อย่างน้อยๆพวกเขาก็ไม่ได้สู้เพียงลำพังแล้ว

อย่างไรก็ตามความอดทนต่อความกลัวของคนนั้นมีจำกัด สถาณการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย ในค่ำคืนนั้นเองเวลาราวๆ 5 ทุ่ม คุณดิวนั่งดูหนังกันที่โน๊ตบุ๊คตัวเดิม จู่ๆก็มีเสียงดัง “โผล๊ะ” ก่อนจะตามด้วยเสียง “โครมม!!” มาติดๆ คุณดิวเลยเดินตามเสียงออกมาดูถึงบริเวณหน้าบ้าน และก็พบว่า…บัดนี้ ศาลพระภูมิที่พี่งตั้งเสร็จหมาดๆ ตอนนี้กลายเป็นซากไปแล้ว สภาพคือเสาปูนแท่งใหญ่หักออกครึ่ง ส่วนศาลไม้ก็หล่นลงมากองกับพื้น เศษไม้และธูปเทียนบูชากระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะเย็นเยียบดังลอยตามลมออกมา “หึหึๆๆ… ฮิฮิๆๆ…” ตอนนั้นคุณดิวรู้สึกแล้วว่าความสยองขวัญได้คืบคลานมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ดูจากสภาพศาลคาดว่าเจ้าที่ก็คงจะรีบหนีไปแล้วเป็นแน่แท้!

แต่เรื่องราวยังไม่จขแค่นั้น คุณดิวรู้สึกว่าเสียงหัวเราะเย้ยหยันอยู่ใกล้กว่าที่คิด พอหันไปมองที่ฟูกนอนของเขาก็เจอกับเหตุการณ์บางอย่างที่เหนือคำบรรยาย ฟูกนอนที่เคยเรียบตึงตอนนี้มันมีรอยกดแปลกๆที่มองไม่เห็น แต่ดูคลายกับรอยเท้าปรากฎขึ้นตรงนั้นตรงนี้บ้างเป็นจังหวะไปทั่ว ราวกับว่ามีใครบางคนเดินขึ้นไปเหยียบย่ำไปมาอยู่บนนั้นจนสาแก่ใจ เพียงแต่ไม่เห็นตัว ทิ้งไว้เพียงแค่ร่องรอย คุณดิวเลยรีบปลุกเพื่อนให้ลุกขึ้นมาช่วยกันท่องบทสวดมนต์ที่พอจะนึกออก แต่ทันทีที่เริ่มต้นบทแรก และเพียงแค่ท่อนแรกว่า “อิติปิโส….” ก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาขัดพวกเขา

“ตอนนั้นกรุก็สวดแบบพวกเมิงนี่แหละ… แ ต่ ก็ ไ ม่ ร อ ด ด ด !!”

ทันทีที่มีเสียงแขกไม่ได้รีบเชิญเข้ามาแทรก คุณดิวกับเพื่อนก็รีบคว้าโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ก่อนจะรีบวิ่งลงมาจากตัวเรือนบ้านโดยมิได้นัดหมายหรือให้สัญญาณโดยพร้อมเพรียงกัน! แม้กระทั่งรั้วเหล็กดัดสูงตระหง่านตรงหน้าก็ไม่อาจขวางทางพวกเขา ก่อนที่จะกระเสือกกระสนวิ่งออกมาจากซอยอีกกว่า 2 กม. เรียกว่าผลลัพธ์จาการฝึกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้นำมาประยุกต์ใช้จริงก็วันนี้!

พลทหารทั้ง 2 นาย นั่งอยู่บริเวณหน้า 7-11 ปากซอยจนกระทั่งเช้า จึงได้โทรศัพท์ไปหาจ่าคนเดิมแล้วอธิบายสถานการณ์ล่าสุด อย่างไรก็ตามทางจ่ากลับไม่ได้มีคำตอบหรือปฏิกิริยาใดๆกลับมา แม้ว่าจะพึ่งได้รับฟังเหตุการณ์สยองขวัญในบ้านไม้หลังนั้นมา ถ้าหากไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในเรื่องที่คุณดิวเล่ามา ก็คงจะเป็นเพราะว่า…ตัวจ่านั่นแหละที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? คุณดิวสุดดจะอดทนจึงประชดประชันอย่างเด็ดขาดเลยว่า “ให้จ่ามานอนเฝ้าแทนพวกผมแล้วกัน เดี๋ยวผมยกเงินเบี้ยเลี้ยงประจำเดือนให้จ่าหมดเลยเอ้า…”

อย่างไรก็ตามแม้จะถูกท้าทายหรือจูงใจด้วยเงินตรงหน้า จ่าก็รีบปฏิเสธทันทีว่าไม่เอาด้วยหรอก… แต่ถึงจะพยายามถามเอาความจริงจากจ่าก็ดูเหมือนจะไม่ได้ความเช่นกัน จ่าปิดปากเงียบสนิท ไม่เผยอะไรให้คุณดิวได้รู้เลย และแม้ว่าจะพยายามสอบถามจากคนในละแวกนั้นก็ไม่ได้คำตอบอีกเช่นกัน กระทั่งคุณดิวกับเพื่อนไปนั่งร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง เลยคะยั้นคะยอให้ป้าแม่ค้าเล่า ทีแรกแกก็ปฏิเสธอยู่เหมือนกัน แต่พอคุณดิวจ่ายเงินจ้างสองร้อยบาทและกำชับว่า หากตนรู้แล้วจะไม่ไปเล่าให้ใครฟัง ป้าถึงยอมเปิดปากเล่า…

“บ้านไม้หลังที่พวกหนุ่มไปอยู่น่ะ เจ้าของเขาเป็นนายทหารยศสูง อันที่จริงแกปลูกบ้านหลังนั้นให้ลูกสาวแก แต่ตอนหลังลูกสาวแกไปเรียนต่อที่กรุงเทพแล้วดันท้องกลับมาบ้าน โดยที่ฝ่ายผู้ชายก็ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร แถมกลับมาก็ยังตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอีก คนแถวนี้ก็ซุบซิบนินทาไปทั่วเลย กระทั่งเธอคิดสั้นจนตัดสินใจผูกคออยู่บนขื่อในบ้านหลังนั้นนั่นแหล๊…”

จากเท่าที่จับใจความ คุณดิวก็ทราบว่าจุดที่หญิงสาวคนนั้นเคยผูกคอ คือจุดเดียวกันกับที่ที่คุณดิวปูฟูกนอนอยู่ใต้ขื่อนั่นพอดิบพอดี! ภายหลังจากเหตุการณ์น่าเศร้า…บ้านหลังนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีคนเข้าไปอยู่อาศัย เพียงแต่ยังมีข้าวของเครื่องใช้อยู่ดังเดิม นั่นทำให้บ้านหลังนี้เป็นที่หมายตาของขโมยขโจร และครั้งหนึ่งที่เคยมีขโมยแอบย่องเข้าไปเพื่อหวังจะยกเค้าบ้านหลังนี้ แต่ 4-5 วันถัดมา…คนเก็บขยะที่ผ่านมาได้กลิ่นเหม็นเน่า โชยคลุ้งออกมาจากบ้านหลังที่ว่า จึงถือวิสาสะเข้าไปดู ก็พบเข้าดีบศพของชายผู้เป็นหัวขโมยนอนดับอยู่บนบ้าน ในสภาพท่าทางที่หลอนจนแทบไม่เชื่อสายตา เพราะร่างนั้นนอนพนมมือเบิกตาโพรงอยู่ ราวกับจะสวดภาวนา ขอขมาลาโทษ หรือถูกมัดตราสังอย่างไรอย่างนั้น !!

หลังจากนั้นคุณดิวพอจะได้ข้อสรุปว่า…ผีผู้ชายตนแรกที่เขาเป็นผู้พบในค่ำคืนที่ 2 คงจะเป็นวิญญาณของหัวขโมยที่แอบขึ้นบ้านหลังนี้เข้ามา ก่อนที่จะไปเจอกับผีผู้หญิง ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวนายทหาร หัวขโมยคนนั้นคงจะพยายามท่องบทสวดมนต์เพื่อขับไล่ภูติผี เหมือนอย่างที่คุณดิวเคยทำ “อิติปิโส…แต่ก็ไม่รอด” คำพูดในคืนนั้นยังคงก้องในโสตประสาท บ้านนี้ของแรงขนาดที่ว่าแม้จะขอขมาหรือสวดมนต์ก็ยังไม่รอด… หรือแม้แต่เจ้าที่ศาลพระภูมิยังอยู่ไม่ได้ ภายหลังพอนายทหารเจ้าของบ้านอาถรรพ์ที่ว่านี้ทราบเรื่อง ก็ยังบอกอีกแน่ะว่า “โชคดีแล้วนะที่เจอแค่นี้” !! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มา : ‘เจ้าที่ยังอยู่ไม่ได้’ เล่าโดย : คุณดิว จาก The Shock

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์