เยี่ยวเซ่นผี! วัยรุ่นลองของ..ฉิ้งฉ่องใส่แก้วน้ำที่เซ่นไหว้ผี

เมื่อราวๆปี 42 ตอนนั้นผมพึ่งเรียนจบหลักสูตรชั้นปวช.มาหมาดๆจากฉะเชิงเทรา แล้วมาสมัครเข้าทำงานที่ทำงานเดียวกันกับพ่อ ที่นั่นทำให้ผมได้รู้จักกับเต้ เต้เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เฮฮาปาร์ตี้ เพียงแค่ 2 เดือนหลังจากผมเริ่มทำงานเราก็สนิทสนมกัน ปกติเต้จะนัดเพื่อนๆเพื่อไปกินดื่มช่วงวันหยุดอยู่บ่อยๆ

วันหยุดสุดสัปดาห์หนึ่งในปฏิทิน เต้ก็จัดทริปพร้อมชักชวนเพื่อนไปหาดแหลมแม่พิมพ์ จ.ระยองกัน อย่างไรก็ตามผมไม่เคยไปมาก่อนเลยถามดูว่ามีใครไปบ้าง แล้วจะไปกันทางไหน เต้ก็ขอกว่าตนจะขับรถปิกอัพไป โดยนอกจากตัวเอบและแฟนสาว ก็ยังมีเพื่อนผู้ชาย 2 เพื่อนผู้หญิงอีก 3 และหลานชายที่มาเยี่ยมจากต่างจังหวัดอีก 1 โดยแผนคือไปวันเสาร์ กลางคืนก็สังสรรค์กัน กลับวันอาทิตย์เป็นอันจบพิธี ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้มีอะไรขัดข้อง ซ้ำยังชอบทะเลอยู่แล้ว ไม่พลาดโอกาสเป็นแน่แท้

วันเสาร์หลังเลิกงาน ผมก็ขึ้นรถไปกับเต้ก่อนที่จะไปรับเพื่อนของเต้ ในนั้นมีหลานวัย 14 ปีของเต้ที่ชื่อ ต้อง รวมอยู่ด้วย นอกจากรถของเต้ที่ผมนั่งก็ยังมีรถคันอื่นของเพื่อนเต้ตามมาด้วย จากนั้นรถก็ออกมาตามเส้นทางจนเข้าสู่ระยอง เต้ก็พาตัดลัดเข้าเส้นทางสายหนึ่ง เส้นทางที่ว่าดูเปลี่ยวพอสมควร สองข้างทางมีแต่ป่ามันสำปะหลังและสัปปะรด กระทั่งผมกับเต้นัดแนะกันว่าจะจอดพักปัสสาวะข้างทาง เลยส่งสัญญาณไปถึงรถคันหลังที่ตามกันมาให้จอด

หลังรถจอดสนิท เต้และผมเดินไปที่ต้นหูกวางต้นใหญ่มากทีเดียวอยู่ที่ริมทาง กะว่าโคนต้นจะเป็นจุดหมายปลายทางที่จะได้ปดปล่อยให้สบายตัว แต่อนิจจา…พอเข้าไปดูใกล้ๆก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะหลังต้นหูกวางที่ว่ามีกระทงทำจากใบตองวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ละกระทงจะมีอาหารคาวหวาน ผลไม้ กับแก้วน้ำพลาสติกที่ว่างเปล่าอยู่ ไม่รู้ว่ามันว่างเปล่าตั้งแต่แรกหรือระเหยออกไปท่ามกลางวันที่ร้อนระอุ ห่างไปนิดเดียวมีศาลเพียงตาทำจากไม้หลังเล็กตั้งอยู่

เกือบไปแล้ว! ผมหันมองหน้ากันกับเต้เป็นนัยน์ ก่อนที่จะยกมือไหว้เป็นเชิงขอขมาลาโทษ จากนั้นจึงเดินหลบไกลเข้าไปในป่าข้างทางอีกหน่อย เพื่อหาทำเลที่จะชิ้งช่องกัน หลังเสร็จกิจธุระก็ต่างคนต่างเดินออกมาเพื่อจะกลับไปยังรถที่จอดทิ้งไว้ข้างถนน ผ่านศาลที่ว่ามาอีกครั้งก็ยกมือไหว้อีก อย่างไรก็ตามขณะที่กำลังจะขึ้นรถกัน ก็เจอกับ “ต้อง” หลานของเต้พรวดพราดออกมา แล้วบอกกับเต้ว่า ผมพึ่งจะรู้สึกปวดขั้นมาพอดี ขอเวลาแป๊บเดียว พี่รอผมกันก่อนนะ หลังว่าจบก็เดินดุ่มๆไปทางเดียวกับที่พวกเรามา ก่อนจะอ้อมไปยังหลังต้นหูกวางต้นใหญ่หายลับตาไป

ตอนนั้นพระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี เรียกว่าอากาศเริ่มไม่ร้อนจากแดดเปรี้ยงๆเหมือนตลอดทางที่มา อีกทั้งใกล้ชายทะเลก็ดูเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยดี ผมเลยบอกเต้ว่าเดี๋ยวขอนั่งที่กระบะหลังเลยดีกว่า ส่วนเจ้าต้องที่กลับมาพอดีก็สำทับขึ้นมาว่าจะนั่งด้วยกันกับผม แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ…หลังจากทุกคนประจำที่เรียบร้อยแล้ว รถกำลังจออกตัวพอดี จู่ๆผมก็รู้สึกได้ว่ามีจังหวะนึงที่ “รถยวบ” ก่อนจะคืนตัวเด้งขึ้นมา ถ้าถามผมผมก็คงบอกได้ว่า มันเหมือนกับเวลาที่มี “ใครอีกคน” ปีนขึ้นมานั่งด้วยกันนั่นแหละ เพียงแต่จนถึงตอนนั้นก็มีแค่ผมกับเจ้าต้องสองคนอยู่ท้ายปิคอัพเท่านั้น ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว สงสัยว่าทริปนี้คงจะมีเรื่องจ๊าบๆเข้าให้แล้ว

พอราวทุ่มกว่าๆ พวกเราก็มาถึงหาดแหลมแม่พิมพ์ จุดหมายที่ตั้งใจกันไว้ รถสองสามคันถูกจอดต่อๆกัน ก่อนที่จะพากันเปิดท้ายรถเอาเสื่อมาปูที่ริมหาด ส่วนผมนั้นก็ลงมือสวมบทบาทเป็นเชฟจำเป็น เผากุ้งเผาปูที่มาพร้อมกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ส่วนเต้กับเพื่อนผู้ชายก็เริ่มร้องรำทำเพลงกันอย่างครื้นเครงเคล้าไปกับเสียงคลื่นซัดหาด ต้องยอมรับว่าบรรยากาศที่นี่ดีมาก คิดไม่ผิดเลยที่ตามมาด้วย…ถ้าหากว่า ไม่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้นเสียก่อน

ขณะที่ผมกำลังยืนย่างปูและกุ้งเผาอยู่นั้น ตาก็เหลือบไปเห็นเงาใครบางคนเดินระส่ำระสายไปมา ห่างออกไปไม่ไกลนักใต้ต้นสนต้นหนึ่ง จู่ๆก็มีเสียงเจ้าต้องร้องขึ้นมาว่าปวดชิ้งฉ่องอีกแล้ว เดี๋ยวขอไปล่อยใต้ต้นสนนั่นก่อนนะ แล้วก็เดินดุ่มๆไปตรงนั้นราวกับถูกลากไปด้วยเชือกที่มองไม่เห็น เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของผมโดยตลอด เจ้าต้องยืนเก้ๆกังๆอยู่ใต้ต้นสนที่มีเงาประหลาดนั่น จนผมนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ก่อนที่มันจะล้มฟุบลงไปต่อหน้าต่อตา

ผมทะยานวิ่งตรงไปที่ใต้ต้นสนทันที แต่ยังไม่ทันจะถึง จู่ๆมันก็ลุกขึ้นแล้วเดินสวนกลับมาทันที แต่จังหวะที่สวนกันกับผม ผมก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเจ้าต้องขึ้นทันที แม้ว่าใบหน้าเจ้าต้องจะหันตรงไปทางกลุ่มที่กำลังนั่งสังสรรค์กัน แต่สายตากับเหล่มาทางผมจนแทบเหลือก นัยน์ตาดูแข็งกร้าวราวอยู่ในที ผมเลยถามออกไปว่าเป็นอะไรรึเปล่า เมื่อกี้เห็นล้มลงไป แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา

แล้วเรื่องชวนสะพรึงก็เริ่มต้นขึ้น…พอเจ้าต้องเดินไปถึงจุดที่เต้และเพื่อนปูเสื่อนั่งดื่มกันอยู่ ก็ตรงไปที่เตาปิ้งย่าง ก่อนที่จะคว้ามือไปหยิบกุ้งดิบๆที่พึ่งจะเอาลงเตาหมาดๆ แล้วใช้มือบิดกุ้งออกเป็น 2 ท่อน ก่อนจะลงมือเคี้ยวตุ้ยๆอย่างมูมมามต่อหน้าต่อตาคนอื่นๆที่ได้แต่งงงัน ผมเลยทักถามออกไปว่า “เห้ย ต้อง กินแบบนั้นได้ยังไง? มันยังไม่สุกเลยนะ” แต่คำตอบของเจ้าต้องทำให้ดวงตาของคนอื่นที่จับจ้องอยู่ต้องเบิกโพลงอย่างไม่รู้ตัว

“ไม่!! แบบนี้แหละอร่อยดี หิว…กรุหิววว กรุจะกินมันดิบๆ ให้หมดเลยยยยย”

เต้ผู้เป็นอาเห็นเช่นนั้นจึงเข้ามาตักเตือนต้องว่า “กินแบบนั้นไม่ได้ ถ้าไม่สุกมันจะเป็นพยาธิ รอให้พี่เขาย่างให้สุกก่อนค่อยกินสิ” แต่ต้องนอกจากจะไม่ฟังยังมีปฏิกิริยาตอบโต้… “ไม่!! กรุจะกินนน” เต้ถึงกับเดือดขึ้นมาชั่ววูบ คว้าคอเสื้อของหลานตัวเองขึ้นมา ผมเห็นทีว่าไม่/ด้การเลยจะเข้าไปแยกทั้งคู่ออก พอดีกันกับมือของต้องปัดมือเต้ออกมาโดนผมจนล้มลงไปคลุกฝุ่นกับพื้นทันที ตอนนั้นสาวๆในทริปเริ่มอกสั่นขวัญกันแล้ว สถานการณ์เริ่มจะแย่ลงทุกที

ขณะนั้นดูนาฬิกาข้อมือก็บอกเวลาประมาณ 5 ทุ่มเห็นจะได้ สักพักจึงสังเกตเห็นว่ามีคู่พ่อลูกที่ดูเหมือนจะเป็นชาวประมงหรือคนท้องถิ่น ยืนมองมาทางพวกเราอย่างเก้ๆกังๆ คล้ายกับมีเรื่องอยากจะเข้ามาพูดคุยหรือบอกอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่แน่ใจ ส่วนลูกสาวที่ดูแล้วน่าจะอายุราว 3-4 ขวบ ก็หลบตัวอยู่ด้านหลังคนเป็นพ่อราวกับกลัวสุนัขจรจัด

แฟนของเต้ชื่อน้ำตาลเลยเดินเข้าไปหาสองพ่อลูก คุยกันอยู่สักแป๊บ น้ำตาลก็หน้าถอดสีไปเลย กระทั่งเดินกลับมาเล่าให้ฟังว่า…น้องผู้หญิงคนลูกสาวนั้น เห็นผู้ชายนิรนามสิงสู่อยู่ในร่างของต้อง! ในขณะที่ก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งนั่งอยู่บนคอ และมีอีกสองนางกำชังกอดเอวต้องเอาไว้แน่น! แม้ว่าจากสายตาของคนอื่นจะมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติที่ว่านั่น ชาวบ้านคนพ่อนั้นยังบอกอีกว่า…

“ผมเห็นพวกคุณมานั่งกันอยู่นานแล้ว แต่กลับมีคนยืนอยู่บนหลังคารถ 4-5 คน จ้องมองมาที่พวกคุณนั่งกันอยู่ พอน้องชายคนนั้นเดินไปทางต้นสน เงาคนบนหลังคารถ ก็กระโจนพรวดพราดลงมาแล้วมุ่งหน้าตามเขาไปเลย”

ทีนี้ผมเริ่มเชื่อแล้ว..ว่ามีบางอย่างตามติดพวกเรามาจากที่ไหนสักแห่ง ผมหันกลับไปมอง คราวนี้ก็เจอเต็มๆ ผู้ชายตาลึกกลวงโบ๋ ซึ่งมีผู้หญิงขี่คอก้มหน้าก้มตา มองลงมายังผม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นัยน์ตาแดงก่ำ กอดเอว พร้อมทั้งชี้นิ้วมาทางผม เป็นนัยเชิงว่า “อย่าเข้ามายุ่มย่ามไม่เข้าท่า!” หรือ “ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง” ทำนองนั้น ก่อนที่ผมจะเดินไปกระซิบคุยกันกับเต้ ภวกเราได้ข้อสรุปตรงกันว่า…เจ้าต้องน่าจะไปทำอะไรผิดธรรมเนียม หรือลบหลู่เข้าโดยไม่รู้ตัวสักอย่างนึงเป็นแน่แท้เลย ไม่อย่างนั้นคงตอบคำถามไม่ได้ว่า..ทำไมถึงถูกสัมภเวสีติดตามมาเยอะมาก

เราเลยสอบถามชาวบ้านคนพ่อว่า…แถวนี้พอจะมีวัดไกล้ๆมั้ยครับ คำตอบจากปากของชาวบ้านคือ มีนะ…แต่มันไม่ใกล้หรอก และป่านนี้พระสงฆ์องค์เจ้าคงเข้าจำวัดกันหมดแล้วด้วย อย่างไรก็ตาม แต่หากถัดจากเนินหินข้างหน้าตรงนั้น จะพบว่ามีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่ตรงชายหาดนะ ตอนนี้ท่านคงไปเดินจงกรมอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวนี้ ยังไงลุงว่าก็พาน้องเขาไปพบท่านดูก่อนเถอะ เผื่อจะพอแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาอะไรได้ แต่ทันทีที่ชาวบ้านพูดถึงเรื่องพระเรื่องเจ้าขึ้นมา เจ้าต้องก็มีอาการขัดขืน แล้วโพร่งออกมาว่า…

“มันลบหลู่ มันไม่ให้เกียรติกรุ! เดี๋ยวกรุจะเอามันไปอยู่ด้วยยย !”

สิ้นเสียงจากปาก ต้องก็ออกวิ่งไปทางทะเล แต่เต้ผู้เป็นอากระโดดเข้าไปเหนี่ยวรั้งเอวไว้ได้ทัน สิ่งที่ไม่น่าเชื่อสายตาคือคนตัวเล็กๆอายุ 14 จะมีแรงมากถึงขนาดฉุดกระชากลากตัวเต้ที่รั้งไว้ จนจวนเจียนจะตกลงไปในทะเลอยู่รอมร่อ ผมเห็นเข้าเลยพาเพื่อนผู้ชายอีก 2 คนกรูกันลงไปช่วยดึงเจ้าต้องขึ้นมา ท่ามกลางเสียงหวีดร้องดังลั่นของผู้หญิงในกลุ่ม บางสิ่งบางอย่างที่กำลังสิงสู่อาศัยร่างของต้องมันขัดขืน พยายามสะบัด สลัดจนผู้ชาย 4 คน พากันล้มกลิ้งกระเด็นระเนระนาดไปหมด

ในภาวะคับขันอยู่นั่นเอง เราก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังขึ้น ส่วนตัวผมนั้นรู้จักดีว่า…นี่เป็นบทสวดที่เรียกว่าว่า “ไตรสรณคมน์” แล้วจู่ๆร่างของเจ้าต้องที่เมื่อสักครู่ยังดิ้นขัดขืนทุรนทุราย บัดนี้ราวกับถูกหยุดตรึงไว้ด้วยบทสวดที่ว่า ก่อนที่จะมีเสียงร้องโอดครวญของหญิงและชายผสมปนเปจนฟังไม่ได้ศัพท์ ดังออกมาจาปากเจ้าต้อง กระทั่งมีหลวงพ่อรูปหนึ่งปรากฎตัวขึ้น และเดินมาทางที่พวกเราอยู่ รอดแล้ว! สวรรค์มาโปรดชัดๆ พวกเราต่างวิ่งเข้าไปกราบไหว้ พรางกล่าวขอบคุณท่านกันเสียยกใหญ่ เรียกว่าทานมาได้จังหวะพอดี ก่อนที่ท่านจะสอบถามวิญญาณสัมภเวสีเหล่านั้นว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมถึงได้มาแฝงอยู่ในร่างหนุ่มคนนี้ ก็มีเสียงชายแก่ พูดดังขึ้นมาว่า…

“พวกกระผมคือดวงวิญญาณตายโหง เคยประสบอุบัติเหตุคาที่…ตรงจุดเดียวกันกับที่มันจอดรถถ่ายเบากันตรงนั้นนั่นเอง อ้ายหนุ่มคนนี้มันกระทำการลบหลู่ดูหมิ่นพวกกระผม !”

ทุกคนเป็นพยานได้ว่าได้ยินและรับฟังในเนื้อหาเดียวกัน ผมเลยถามออกไปว่า แล้วเจ้าต้องมันไปทำอะไรให้พวกท่านหรือ? สัมภเวสีในร่างเจ้าต้องหันมาก่อนจะชี้นิ้วมาทางผมกับเต้ แล้วพูดว่า…

“ก็มันไปเยี่ยวใส่แก้วเปล่า ในกระทงที่ใส่ของเซ่นไหว้ น่ะสิ! ไม่พอ…มันยังเอาไปเทใส่ลงแก้วในตรงศาลเพียงตาอีก!” 

“แล้วรู้ไหม…อ้ายหมอนี่มันพูดว่าอะไร?” 

ผมส่ายหน้า…รับฟังโดยไม่ได้ตอบอะไร

“มันบอกว่า… กินขนมสาลี่แล้วไม่มีน้ำได้ไง! มันจะติดคอนะรู้มั้ย มานี่…เดี๋ยวกรุเอาน้ำให้กินจะได้ไม่คอแห้งไง !”

ผมกับเต้ได้แต่มองหน้าเลิกลั่กกัน เจ้าต้องมันเล่นแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย? หลวงพ่อท่านเลยพยายามจะเคลียร์ให้ ว่าแล้วจะให้ทำอย่างไร? ให้ซื้อของไปเซ่นใหม่ได้มั้ย? สัมภเวสีในร่างเจ้าต้องก็บอกว่า..ไม่เอาแล้ว เขาจะเอาบุญใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น พระท่านก็ถามว่า..บวชเณรหรือ? ร่างเจ้าต้องพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทันที โดยมีเวื่อนไขเล้กน้อยว่า…พวกตนจะให้โอกาสหลังจากนี้ไป 15 วัน โดยที่พรุ่งนี้ต้องเริ่มเอาดอกไม้ธูปเทียนไปถวาย จนกว่าจะไปบวชเณรให้หนึ่งเดือน ไม่เช่นนั้นนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย และจะเอาเจ้าต้องไปอยู่ด้วย!

พอได้พูดบอกความต้องการครบหมด ร่างเจ้าต้องก็หงายหลังล้มตึงลงไปในทะเลราวกับร่างไร้วิญญาณ เต้ผู้เป็นอารีบวิ่งลงไปอุ้มขึ้นมานอน อย่างไรก็ตาม กว่าที่ต้องจะรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาก็ปาเข้าไปตอนตี 5 แล้ว ก็ปรึกษาหาลือและคาดคั้นเอาความจริงร่วมกัน..ได้ความว่า ตัวเจ้าต้องเองไปทำเรื่องแบบนั้นมาจริงๆ เลยโดนอบรมสั่งสอนเสียยกใหญ่ พอเช้าวันอาทิตย์ขากลับไปตรงนั้น เราก็ไม่ลืมที่จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ขอขมาลาโทษเขา นอกจากนี้ก็มีของเซ่นไหว้ติดไม้ติดมือไปฝากอย่างไก่ย่างปลาทูขนมไปด้วย แม้ว่าเขาไม่ได้ร้องขอในสัญญาก็ตาม พอกลับไปถึงบ้าน เจ้าต้องก็โดนสวดอีกชุดใหญ่ ก่อนที่จำใจไปบวชเณรให้เขา ตามที่หลวงพ่อพระธุดงค์ท่านบิณฑบาตชีวิตจากเหล่าวิญณาณสัมภเวสี ช่วยไว้ให้หนึ่งเดือนจริงๆ

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงด้วยดีครับ เรื่องนี้บอกได้คำเดียวว่า อะไรที่เราไม่เชื่อ ก็อย่าไปลบหลู่เลยครับ…

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์