5 ประสบการณ์ผวาในร้านอาหาร | ผีสั่งพิซซ่า ผีลวกเย็นตาโฟ ฯลฯ

1. เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : เย็นตาโฟ

เท่าที่จำความได้ ผมเติบโตมากับ “ก๋วยเตี๋ยวพี่พจน์” เลยทีเดียว เนื่องจากแกจะตระเวนเข็นขายในละแวกนี้มาตลอดหลายสิบปี ผมกินมาตลอดตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนกระทั่งปัจจุบันเรียนจบทำงานแล้วก็ตาม เนื่องจากปัจจุบัน 2-3 ปีที่ผ่านมาผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์และใช้บ้านเป็นออฟฟิศ ทำให้มีโอกาสได้ฝากท้องมือกลางวันไว้กับก๋วยเตี๋ยวของพี่แกเป็นประจำ ด้วยความที่เป็นคนไม่ทำอาหารทานเอง และรถแกก็มักจะผ่านหน้าบ้านผม เป็นตัวเลือกหนึ่งที่หากินได้ง่ายและสะดวก เรียกได้ว่าช่วงนั้นผมเป็นลูกค้าประจำของแกเลย

แต่หลังจากนั้น ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผมจำเป็นต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด เลยไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ผมก็เลยห่างหายจากก๋วยเตี๋ยวของเฮียแกไปพักใหญ่ กระทั่งคืนหนึ่งที่ผมได้กลับบ้านในรอบหลายเดือน ขณะกำลังนอนเล่นพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง ผมก็ได้ยินเสียงร้องเรียกที่คุ้นเคย

“ก๋วยเตี๋ยวมาแล้วว ก๋วยเตี๋ยวมาแล้วครับบ”

ผมเหลือบมองนาฬิกาแขวนที่ผนัง มันบอกเวลา 3 ทุ่มแล้ว ผมอดแปลกใจไม่ได้นิดหน่อย เนื่องจากปกติพี่พจน์แกจะเข็นขายช่วงกลางวัน อย่างไรก็ตาม ด้วยยุคสมัยและเศรษฐกิจที่เปลี่แปลงไป ทำให้คนเราก็ต้องขยันหาเงินกันมากกว่าเดิม เป็นไปได้ว่าแกก็คงไม่ต่างกัน ประกอบกับผมรู้สึกหิวขึ้นมาพอดี เลยรีบลงไปดักรอพร้อมกับชามสีขาวจากในครัว

เนื่องจากละแวกบ้านผมนั้นค่อนข้างจะสงบเงียบกันอยู่แล้ว ประชากรส่วนใหญ่ก็จะเป็นครอบครัว อีกทั้งแต่ละหลังก็จะปลูกห่างกันออกไปพอสมควร ทำให้ในช่วงกลางคืนแบบนี้ มันยิ่งเงียบซะจนเสียงลมพัดก็ยังดังชัดเจน คืนนี้อากาศก็เย็นเยียบพิกล ผมยื่นชามที่พกออกมาให้พี่พจน์ก่อนจะสั่งเส้นเล็กเย็นตาโฟหนึ่งที่

“พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตานะ”

พี่พจน์ออกปากทักอย่างเงียบขรึม ออกจะผิดวิสัยของแกไปบ้าง เนื่องจากปกติแกจะออกตุ้งติ้ง มักจะทักทายอย่างจีบปากจีบคอราวกับผมเป็นหนุ่มหล่อก็ไม่ปาน

“ช่วงนี้ออกต่างจังหวัดตลอดเลย ไปเรื่องงานน่ะพี่”

“แม่ก็ไม่ค่อยเจอนะ…”

“อ๋อ ช่วงนี้แม่ผมเค้าไม่ค่อยอยู่ติดบ้านหรอก แกก็ไปเที่ยวกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันน่ะ”

พี่พจน์ส่งชามเย็นตาโฟให้ผม ขณะที่ผมกำลังเตรียมจะตักเครื่องปรุงที่วางเรียงรายอยู่หน้ารถเข็นนั้น พอดีว่าได้ยินเสียงรถขายโอเลี้ยงเลี้ยวเข้ามาพอดี ผมเลยหันไปมองแว้บหนึ่ง ปรากหันกลับมา รถเข็นก๋วยเตี๋ยวของพี่พจน์ก็หายไปซะแล้ว “อ้าว รีบไปซะแล้ว ยังไม่ทันได้ปรุงเลย” ผมอดที่จะบ่นอุบอยู่คนเดียวไม่ได้ ก่อนที่จะกลับเข้าไปในครัวเพื่อหาซองเครื่องปรุงที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง แต่พอเดินกลับมาหาชามที่วางเอาไว้บนโต๊ะ สิ่งที่อยู่ในชามทำเอาผมสะดุ้งโหยง สิ่งที่ควรจะเป็นเย็นตาโฟรสเลิศที่คุ้นเคย มันกลับคลาคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวของของเหลวค้นคลั่กสีแดงชาดในชาม

เมื่อตั้งสติได้ผมก็ยกชามออกมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าบ้าน เตรียมจะเททิ้งแต่ก็มองหาภาชนะรองรับก่อน พี่คนขายกาแฟโอเลี้ยงคงเห็นผมหน้าตาตื่นจึงถามผมว่ามีอะไรหรือ

“ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ผมซื้อจากพี่พจน์แก พอยกเข้าบ้าน ไหงกลายเป็นชามเลือดทั้งชาม”

“โดนแล้ว” พี่คนขายกาแฟร้อง เมื่อเห็นผมหน้าตางุนงง จึงอธิบายเพิ่มเติม “พี่พจน์แกเสียมาสองเดือน แล้วมั้ง”

ผมร้องอุทานตาโต “ตะกี้แกยังขายก๋วยเตี๋ยวให้ผม อยู่เลย”

“ผมก็ว่า เห็นคุณยืนพูดอยู่คนเดียว ยังนึกแปลกใจ” พี่คนขายกาแฟพูดต่อ “มีคนเจอหลายคนแล้ว บางทีก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกก็กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือเลือก บะหมี่แห้งก็กลายเป็นชามหนอน”

ผมไม่ค่อยอยากฟัง แต่แกคงอยากเล่าต่อ “คุณรู้ไหมแกเสียยังไง หลายเดือนก่อนมีสิบล้อเข้ามาซอยของเราแล้วเกิดเบรกแตก แกจอดขายอยู่ดีๆ เลยถูกทับ โน่น หน้าโกดังขายของเก่าพอดี น่าสงสารแกมาก นี่คุณไม่รู้เลยหรือ เรื่องออกดัง”

ผมเดินเข้าบ้านอย่างนึกสงสารทั้งแกและตัวเอง ไม่น่าเลยพี่พจน์ เล่นผมแรงจริงๆ ระหว่างนั้นแม่ผมก็โทร.เข้ามา ผมเล่าให้แม่ฟังเรื่องผมโดนพี่พจน์หลอก แม่ตอบเสียงเรียบ “แกโดนสองเด้งแล้ว ไอ้คนขายโอเลี้ยงมันก็ตายพร้อมอีพจน์นั่นแหละ มันหลอกแกแท็กทีมเลย”

ผมวางสายแม่ ไม่กล้าออกไปหน้าบ้านตอนกลางคืนอีกนานแน่นอน

Cr. ข่าวสด

2. เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : บะหมีเกี๊ยวโต้รุ่ง

ขอเกริ่นนำก่อนครับ เรื่องนี้ผมได้รับฟังมาจากติวเตอร์จากที่เรียนพิเศษแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงแถวสยาม สมัยผมอยู่ ม.4 (2550) ติวเตอร์ท่านนี้จบวิศวกรรมโยธา สอนวิชาคณิตศาสตร์ ม.4 ซึ่งตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ (ปัจจุบันผมก็ประกอบวิชาชีพนี้เหมือนกัน)

เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนของ ติวเตอร์ท่านนี้ จบใหม่ๆ ไปทำงานเป็นวิศวกรโยธา คุมหน้างาน (Construction site) ที่จังหวัดแห่งหนึ่งแถวภาคกลางตอนบน ควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน ของหน่วยงานรัฐ

ด้วยความที่ต้องมาทำงานต่างจังหวัด ซึ่งไกลบ้าน จึงต้องพักแถวที่ทำงาน ในบริเวณไซต์งาน ก็จะมีบ้านพักชั่วคราวให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความอึดอัด ไม่อยากอยู้ใกล้สถานที่ก่อสร้างเกินไป และอยากอยู่ใกล้ย่านชุมชน วิศวกรท่านนี้ เลยมาหาที่พักข้างนอกแทน จนมาได้ที่พักเป็น Apartment ใกล้ๆ ตลาด ข้างหน้า Apartment มีร้านรถเข็นบะหมี่เกี๊ยวอยู่หนึ่งร้าน (ร้านโต้รุ่ง)

คืนแรก คืนแรกที่เข้าพักวิศวกรท่านนี้ก็เเวะกินมื้อเย็นที่ ร้านบะหมี่เกี๊ยว (20.00 น)

“บะหมี่สองชามครับ”

เมื่อกินเสร็จ จึงเดินไปจ่ายเงิน อาเเปะก็ทักขึ้นว่า “กินคนเดียวสองชามเลยนะ ไม่เเบ่งให้แฟนเลย”

“ผมมีแฟนที่ไหน มาทำงานไกลขนาดนี้”

หลังจากนั้นจึงกลับขึ้นห้องพัก ซึ่งอยู่ชั้น 3 >> อาบน้ำ ดูTV และล้มตัวปิดไฟนอน ในคืนนั้นได้มีเสียงประหลาดเกิดขึ้น ดัง “แปก แปก….แปก” ไม่มีจังหวะ เดียวหายเดียวติดกัน ทางวิศวกรท่านนี้ก็ไม่ได้คิดอะไร นึกว่าเป็นเสียงเครื่องปรับอากาศ จึงหลับตานอนไป

คืนที่สอง คืนนี้วิศวกรตื่นขึ้นกลางดึกเพราะว่า เสียงลึกลับดังกล่าว ได้ดังขึ้นอีกครั้ง เเต่คราวนี้ นอกจากมันไม่เป็นจังหวะแล้ว มันยังเคลื่อนย้ายไปรอบๆ ห้องด้วย จนบางครั้งเหมือนมาอยู่ข้างๆ บ้างก็อยู่ปลายเตียง ดัง “แปก แปก….แปก” วิศวกรจึงลุกขึ้นมา และเปิดไฟในห้องพยายาม หาที่มาของเสียงให้ได้ เเต่เสียงนั้นก็หายไป และเขาก็สรุปได้ว่า มันไม่ใช่เสียงแอร์แน่นอน

คืนที่สาม คืนนี้วิศวกรท่านนี้ไม่นอน เพราะจะหาที่มาของมันให้ได้ เลยเปิดไฟ ทุกห้อง (ซึ่งมีแค่ห้องนอน และห้องน้ำ) และดู TV จะต้องหาที่มาของมันให้ได้ จนกระทั้งมาถึง ตี 2 ก็ไม่มีเสียงลึกลับนั้น จึงถอดใจนอน จึงเดินไปปิดไฟที่ห้องน้ำก่อน ทั้นใดนั้น เสียง “แปก แปก….แปก” ก็ดังขึ้น บริเวณใต้อ่างล่างหน้า ในห้องน้ำ วิศวกรท่านนี้ จึงก้มหน้าไปดู

พบเป็นหญิงสาว ผมรุงรัง ใส่กางเกงยีนขาสั้น เสื้อสายเดี่ยวสีดำ กำลังนั่งกอดเข่า เล่นไฟเซ็กอยู่ ไฟเซ็กซึ่งไม่มีไฟ

ทั้นนั้นเองหญิงสาวผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับวิศวกร วิศวกรท่านเล่าต่อๆ มาว่า เเววตาน่ากลัวมาก อาฆาต สยองที่สุดในชีวิตแล้ว เพราะไม่มีตาขาวเลย ออกดำๆขุ่นๆ

ด้วยความกลัว วิศวกรจึงพยามนำตัวเองออกนอกห้อง วิ่งยังไงก็วิ่งไม่ออก ขาก้าวไม่ออก ได้แต่เดินอย่างช้าๆ พร้อมหยิบกุญแจ และกระเป๋าเงิน เมื่อออกมาถึงนอกห้องแล้ว ก็หันกลับมาล็อกห้องอย่างใจเย็น แล้วก็เดิน คือก้าวขาแทบจะไม่ออกเลย ในใจอยากจะวิ่งมาก ขณะที่พยามนำตัวเองออกไปให้ไกลจากสถานการณ์นี้ให้มากที่สุด (พยามลงไปข้างล่าง) ระหว่างนั้นเองหญิงสาวดังกล่าวก็วิ่งชนประตูจากข้างในห้อง ดัง “ปัง………..ปัง……..ปัง”

เมื่อวิศวกรลงมาถึงข้างล่างแล้ว ทำอะไรไม่ถูกจึงไปสั่งหมี่เกี๊ยว “บะหมี่ชามครับ”. . . . . “ขออีกชามครับ” . . . . . เมื่อกินชามที่สองหมด อาแปะเข้าไปทักทาย

“ทำไม ลงมากินตึกจัง นี้ก็ตีสองกว่าละนะ แล้วแฟนไม่มาด้วยหรอ”

“ผมไม่มีครับ”

“อ้าว แล้วผู้หญิงที่นั่งด้วยกันวันนั้น ล่ะ”

“ใครครับ”

“ก็วัยรุ่นหน่อยอะ ที่ใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้นอะ”

“เสื้อสายเดี่ยวสีดำ กางเกงนี้ยีนใช่ไหมครับ”

“อ่า….ใช่เลยแหละ” (อาแปะนึกก่อนถึงตอบ)

“เออ….คือ……..นั้นไม่ใช่แฟนผม ครับ”

ลูกน้องอาเเปะจึงทักขึ้นว่า “ผมว่า คุ้นๆนะ อาเเปะ”

“ที่ผมลงข้างล่างเวลานี้ก็ เพราะ ผู้หญิงคนนี้แหละครับ”

ทั้งสามคนจึงถึงบางอ้อ เพราะรู้ว่าไม่ใช่คน อาเเปะจึงเล่าให้วิศวกรฟังว่า ที่ Apartment แห่งนี้ เคยมีผู้หญิงวัยรุ่น ใส่กางเกงยีนขาสั่น เสื้อสายเดี่ยวสีดำ ทะเลาะกับแฟนก่อนจะลงไม้ลงมือรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตไม่กี่ปีมานี้ อาแปะและวิศวกร ก็นั่งคุยกันถึงเช้าเลยเลยครับ ช่วงเช้าวิศวกรจึงให้คนงาน ไปขนของ และย้ายมานอนที่พักบริเวณไซต์งาน

Cr. สมาชิกพันทิป Person of Interest

3. เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : พิซซ่า เดลิเวอร์รี่

เริ่มจากร้านพิซซ่าร้านหนึ่ง เป็นร้านสาขาย่อยที่เป็นร้านสำหรับการส่งเดลิเวอร์รี่ตามบ้านเท่านั้น บอยเป็นพนักงานส่งพิซซ่าใหม่เพิ่งเริ่มทำงานที่นี่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ วันที่เกิดเรื่องบอยก็มาทำงานตามปกติเป็นรอบเย็นจนถึงร้านปิด บอยก็รับส่งของไปจนถึงกระทั่งเวลาโพล้เพล้ บอยก็ได้รับคำสั่งจากรุ่นพี่ให้ไปส่งพิซซ่าตามออร์เดอร์ที่ลูกค้าเจ้าประจำได้เข้ามาสั่ง และจ่ายเงินค่าพิซซ่าเรียบร้อยแล้ว โดยที่บอยก็รู้ว่าลูกค้าคนนี้ไม่ใช่คิวของบอย แต่รุ่นพี่ก็ย้ำว่าบอยเพิ่งมาทำงานใหม่ไปส่งให้เจ้าประจำนี้ซะ จะได้รู้จักที่ทาง เพราะลูกค้าคนนี้สั่งพิซซ่าที่ร้านบ่อย บอยจึงจำใจหยิบพิซซ่าขึ้นรถแล้วก็ขับมอเตอร์ไซต์ไปตามสถานที่ที่ลูกค้าได้แจ้งเอาไว้

สถานที่ส่งที่บอยได้รับนั้นเป็นหมู้บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง แต่บอยไม่พบรปภ.ที่ป้อมยามหน้าหมู่บ้านจึงได้ขับรถวนไปหาเลขที่บ้านเอง เวลาตอนนั้นประมาณ 1 ทุ่มเศษๆ ฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้ว บอยขับรถอยู่ซักพักก็เห็นป้ายเลขที่บ้านเรียงๆกับเป็นซอยๆ จึงค่อยๆขับรถเข้าไปในซอยเพื่อหาบ้านที่สั่งพิซซ่า ขับรถไปจนสุดซอยก็ยังไม่พบบ้านที่สั่ง บอยก็ไม่รู้จะทำยังไงจนพบชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับคีบบุหรี่มาด้วย บอยจึงเข้าไปถามชายคนนั้นว่าบ้านที่เขากำลังจะมาส่งพิซซ่าอยู่หลังไหน ชายคนนั้นมองหน้าบอยแล้วหันไปมองรถที่ส่งพิซซ่าจากนั้นตอบมาว่า “หลังนั้นไง ถัดออกไปสี่หลัง เพิ่งมาส่งล่ะสิ บ้านนั้นเค้าสั่งประจำ” พร้อมกับชี้มือไปที่บ้านหลังนั้น บอยขอบคุณชายคนนั้นแล้วเดินกลับไปหยิบพิซซ่าจากรถ ซึ่งให้บังเอิญว่ารถมอเตอร์ไซต์ของบอยนั้นจอดอยู่หน้าบ้านที่สั่งพิซซ่าพอดี

บอยพยายามมองเข้าไปในตัวบ้าน บ้านหลังนั้นมีหญ้าและต้นไม้รกครึ้มรั้วหน้าบ้านมีต้นไม้ออกมาบังบ้านเลขที่บ้านไว้ ทำให้บอยหาไม่เจอในตอนแรก ในโรงจอดรถมีรถเก่าๆคันหนึ่งจอดอยู่ ภายในบ้านปิดไฟมืดสนิท บอยหยิบพิซซ่าลงจากรถแล้วเดินไปที่หน้าประตูบ้าน แต่เมื่อกดกริ่งก็พบว่ากริ่งหน้าบ้านนั้นเสีย ทำให้ไม่มีเสียงใดๆ บอยพยายามกดกริ่งซ้ำๆอีกหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล ระหว่างนั้นก็ยังคงเห้นชายวัยกลางคนนั้นยืนสูบบุหรี่อยู่ แต่มองมาทางบอยเหมืนจะดูว่าจะีอะไรเกิดขึ้น เมื่อบอยพยายามมองเข้าไปในตัวบ้านก็เห็นมีเงาของผู้ชายคนหนึ่งเดินวนไมาในบ้าน บอยไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเดินกลับไปหาชายวัยกลางคนอีกครั้งแล้วก็ถามว่า “น้าๆ ผมเห็นมีคนเดินอยู่ในบ้านแต่กดกริ่งแล้วเค้าไม่ได้ยินหรือไง” ชายคนนั้นมองหน้าบอยแบบเรียบๆ แล้วก็ตอบว่า”เอางี้ไอ่น้อง แกเปิดถาดพิซซ่าแล้วก็วางลอดใต้รั้วเข้าไปเลย แกลองเดินกลับไปดูที่พื้นบ้านอีกทีสิ” บอยได้รับคำตอบแบบนั้นก็งงแต่ก็เดินกลับไป มองไปที่พื้นที่มีรถเก่าๆจอดอยู่แล้วก็ต้องตกจ เพราะมันมีถาพพิซซ่าวางอยู่หลายสิบกล่อง แต่ละกล่องก็เปิดฝาเอาไว้ทั้ง แต่ตอนแรกบอยไม่ได้สังเกตเพราะบ้านนั้นปิดไฟมือมองแทบไม่เห็น

บอยหลังไปมองหน้าชายวัยกลางคนคนนั้น ชายคนนั้นพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า ทำตามที่บอกสิ บอยจึงค่อยเปิดฝาถาดพิซซ่าแล้วก้มวางถาดพิซซ่าลอดเข้าไปใต้รั้ว หลังจากนั้นก็มองกลับไปที่ชายวัยกลางคนคนนั้นแต่เขารีบเดินเข้าบ้านตัวเองไปแล้ว บอยก็เลยคิดว่าลูกค้าก็จ่ายเงินแล้วและเราก็ส่งตามที่น้าคนนั้นบอก รีบกลับร้านเลยน่าจะดีกว่า บอยจึงลุกไปขึ้นมอเตอร์ไซต์ที่อยู่หน้าบ้านหลังนั้นพอดีเตรียมตัวจะกลับร้าน แต่เมื่อบอยบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ บอยก็ต้องตกใจทันที ไฟจากรถของบอยก็สาดเข้าไปในบ้านหลังที่บอยเพิ่งจะส่งพิซซ่ามา บอยมองเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ หยิบพิซซ่าจากกล่องขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย บ้านยังคงปิดไฟมืด ประตูยังคงปิดสนิท แล้วชายคนนี้มาจากไหน บอยรู้สึกไม่ดีแล้วจึงรีบขับรถกลับร้านทันที

เมื่อมาถึงร้านก็เห็นรุ่นพี่หลายคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ บอยยังไม่ทันจะปริปากพูด รุ่นพี่ก็ทักขึ้นมาก่อน “เป็นไง ลูกค้าขาประจำ” แล้วต่างคนก็ต่างหัวเราะ บอยพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น บอยก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้รุ่นพี่พวกนั้นฟัง พอเล่าจบ รุ่นพี่คนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “เจอแค่นี้ยังน้อยไป แกรู้มั้ยตอนไปส่งครั้งแรก ข้าเจอยังไง” แล้วแกก็เล่าว่า วันที่แกไปส่งนั้นก็เวลาใกล้เคียงกับบอยนี่แหละ มีคนเข้ามาสั่งพร้อมจ่ายเงิน บอกให้มาส่งที่บ้านหลังนั้น พอแกไปส่งก็เจอน้าผู้ชายสูบบุหรี่คนเดียวกับที่บอยเจอเหมือนกัน รุ่นพี่กดกริ่งเรียกคนในบ้านแต่พบว่ากริ่งเสีย พอมองเข้าไปในบ้านก็เห็นมีเงาคนเดินไปๆมาๆ แกก็เลยตะโกนเข้าไปว่า”พี่ๆ มารับของหน่อยครับ” ชายวัยรุ่นคนหนึ่งใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ผลักประตูออกมาแล้วยืนที่หน้าบ้าน รุ่นพี่ของบอยจึงบอกว่าเอาพิซ่ามาส่ง ชายคนนั้นพูดว่า”เปิดฝา แล้วเอาลอดใต้ประตูเข้ามา” รุ่นพี่งงแตกแล้วทวนคำของชายคนนั้นอีกครั้ง “เปิดฝา แล้วลอดใต้ประตูเนี่ยนะ” ชายคนนั้นก็ยังคงตอบว่าให้เปิดฝาแล้วก็ลอดใต้รั้วเข้ามา ระหว่างที่รุ่นพี่กำลังจะถามชายคนนั้น น้าข้างบ้านก็ตะโกนบอกมาว่า “ทำตามที่เค้าบอกเถอะ” รุ่นพี่ก็เลยเปิดฝาแล้ววางลอดเข้าไป ชายวัยรุ่นคนนั้น ก็ค่อยๆนั่งลงกินพิซซ่า ทีละชิ้นๆ รุ่นพี่รีบกระโดดขึ้นรถแล้วขี่ออกมาทันที จนมาพบน้าคนที่สูบบุหรี่กำลังจะเดินเข้าบ้าน

รุ่นพี่รีบเรียกน้าคนนั้นไว้แล้วขับรถไปจอดหน้าบ้านของน้าคนนั้น “น้าๆ ทำไมเขาให้ส่งแบบนั้นหล่ะ นั่นของกินนะ แล้วทำไมนั่งกินหน้าบ้าน ไม่เอาเข้าไปกินในบ้าน” น้าคนนั้นเดินเข้าไปพูดในบ้านตัวเอง “บ้านหลังนั้นหน่ะ ไม่มีคนอยู่หรอก เจ้าของบ้านย้ายออกไปนานแล้ว ลูกชายเค้าชอบกินพิซซ่ามากแต่ว่าประสบอุบัติเหตุเสียไปแล้ว พ่อแม่ของแกชอบสั่งพิซซ่าให้ลูกแบบนี้เป็นประจำ แต่ว่าเฮี้ยน อยู่กันไม่ได้ น้าเห็นมาหลายคนแล้วหล่ะ” แล้วก็เดินเข้าบ้านไป นี่เป็นเหตุการณ์ที่รุ่นพี่ได้เจอ ไม่ต้องถามเลยว่าบอยจะทำงานที่นี่อยู่หรือไม่เพราะลูกค้าคนนี้ เป็นลูกค้าประจำ

Cr. สมาชิกพันทิปหมายเลข 1431915

4. เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : ร้านอาหารตามสั่ง

ป้าผมเปิดร้านขายอาหารตามสั่งเลี้ยงตัวมาได้หลายสิบปีแล้ว ป้าอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูกหลาน เรียกว่าขายดีพอสมควร ใน พ.ศ.2558 ป้าก็ยังขายข้าวไข่เจียวหมูสับจานละ 20 บาท แพงสุดในร้านจานละ 30 บาท ป้าจึงมีลูกค้าสารพัดประเภท อีกปัจจัยหนึ่งคงเพราะละแวกนั้นมีทั้งโรงงาน บริษัท อพาร์ตเมนต์ ห้องเช่า ป้าจึงมีเรื่องเล่าให้ผมฟังเสมอ

แน่ล่ะ อาหารตามสั่งยอดนิยมตามร้านประเภทนี้คงหนีไม่พ้น หมูทอดกระเทียมพริกไทยราดข้าว, ข้าวผัด, ข้าวไข่เจียว และข้าวกะเพราไข่ดาว ป้าบอกว่ามีลูกค้าคนหนึ่งจะมาสั่งอาหารสี่อย่างนี้วนกันทุกวันตอนกลางวัน แรกๆ ก็ไม่ได้สังเกต แต่วันหนึ่งลูกจ้างที่จ้าง มาเสิร์ฟอาหารในร้านพูดขึ้น “ป้าดูนะ พี่คนนี้วันนี้สั่งหมูทอดกระเทียม พรุ่งนี้ก็สั่งข้าวผัด”

ตอนแรกป้าแค่นึกขำ แต่พอเริ่มสังเกตก็พบว่าจริง จากข้าวผัดก็จะเป็นข้าวไข่เจียว อีกวันก็ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวแล้ววันต่อมาก็จะเป็นหมูทอดกระเทียมราดข้าวและ วนเวียนไปมาจนครบรอบเช่นนี้ ไม่มีการข้ามจากอาหารประเภทหนึ่งไปอีกประเภทหนึ่ง เขากินอย่างมีระเบียบวินัยเช่นนี้เป็นปีๆ มาถึงสั่งแล้วนั่งลงรอ บางครั้งก็เปิดอ่านหนังสือพิมพ์ที่วางไว้บนโต๊ะ บางครั้งก็นั่งทอดสายตาไปนอกร้าน ไม่คุยกับใคร ไม่เล่นสมาร์ตโฟน ผมเคยเห็นสองสามหนเป็นคนตัวสูง ผิวคล้ำเกรียมแดด มักเลือกนั่งโต๊ะด้านในสุดของร้าน หากมีคนนั่งอยู่แล้วก็จะนั่งโต๊ะใกล้กัน ถ้าคนนั่งโต๊ะในสุดลุกออกก็จะไปนั่งแทน แม้ขณะกินอยู่ก็ตามก็จะยกจานข้าวน้ำดื่มไปนั่ง พฤติกรรมที่หาสาเหตุไม่ได้และอธิบายไม่ถูกของเขาไม่เป็นที่เดือดร้อนของป้า หรือใครๆ ป้าจึงเฉยเสีย เขาดีกว่าลูกค้าจำนวนมากอีกด้วยซ้ำที่ชอบกินเชื่อรอจ่ายสิ้นเดือน เขากินเสร็จก็ลุกมาจ่ายเงินที่หน้าร้าน ไม่ได้ตะโกนเรียกเก็บหรือรอคนเสิร์ฟเดินผ่านจึงค่อยเรียกเก็บเงิน

วันหนึ่งเกิดเหตุที่ผิดไปจากทุกวัน เมื่อชายหนุ่มรับประทานเสร็จ เขาเดินมาบอกป้าว่า “ค่าข้าวสามสิบบาท” แล้วก็ทำท่าอ้ำอึ้ง “ผมลืมกดเงินมาครับ ต้องขอโทษด้วย เดี๋ยวผมไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มมาจ่ายป้านะครับ”

ป้ารีบตอบ “ไม่เป็นไรหรอกคุณ พรุ่งนี้ มาทาน ค่อยให้ทีเดียวเลย”

เขายิ้ม “เดี๋ยวผมมานะครับ”

ป้าตอบ “อ้าวจริงๆ ไม่ต้องรีบ”

ป้าบอก ป้าคิดอย่างนั้นจริงๆ เขาเป็นลูกค้าที่ดี กินกันทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ มื้อนั้นให้กินฟรียังได้เลย ว่าไปป้าก็ลืม ยืนผัดอาหารขายลูกค้าไปเรื่อย ไม่ได้เฝ้ารอว่าเขาจะกลับมาจ่ายตอนไหน มานึกได้ก็เย็นแล้ว แล้วคิดว่าพรุ่งนี้มากินค่อย ว่ากัน

แต่ชายหนุ่มไม่ได้กลับ มาอีกเลย แต่ป้าไม่ได้ติดใจเอาความ ลูกค้าที่ติดเงินไว้แล้วหายต๋อมไปก็บ่อย โดยเฉพาะพวกห้องเช่า ป้าก็ช่างมัน แกก็ยืนผัดของแกอยู่อย่างนั้น ไม่คิดอะไร

จนกระทั่งคืนวันหนึ่งป้าก็เข้านอนตามปกติ ก่อนเข้านอนแกก็ลงมาดูร้าน ตรวจตรากลอนประตูไปตามประสา ป้าเจอหนุ่มคนนั้นที่โต๊ะในสุด แต่พอหันไปดูอีกครั้งก็ไม่พบอะไร ป้า บอกว่ายังหัวเราะตัวเองเลย สักพักตอนเดินขึ้นบันไดซึ่งบ้านป้าเป็นบันไดไม้ ป้าแกได้ยินเสียงเหมือนคนเดินขึ้นบันไดตามมา ป้าก็หันลงไปดู แต่ไม่เจออะไร แกเข้าห้องพระสวดมนต์ตามปกติราวครึ่งชั่วโมง ตลอดเวลามีกลิ่น หอมอ่อนๆ ของดอกไม้หลายอย่างอบอวลอยู่ในอากาศรอบๆ ตัวป้า ป้าก็แปลกใจ ปกติไม่มีกลิ่นใดเล็ดรอดเข้ามาได้นะ ห้องพระเป็นห้องแอร์ปิดทึบ เวลาจะสวดมนต์ ป้าจะเปิดแอร์ทิ้งไว้ก่อนเข้ามาสวดราวครึ่งชั่วโมง สวดเสร็จก็ปิดแล้วเข้านอน แต่คืนนั้นกลิ่นหอมนั้นอบอวลไปทั่วห้อง ป้าลืมตามองไปรอบห้องหลายครั้งแต่ไม่มีอะไรอีกนั่นแหละ

สวดเสร็จก็เข้านอน แต่แปลกกลิ่นนั้นต้องเหมือนลอยตามมาในห้อง ป้าล้มลงนอนก็หลับทันทีตามประสาคนทำงานมาทั้งวัน

ไม่นานป้าก็เห็นตัวเองลุกขึ้นแล้วเดินลงมาชั้นล่าง ป้าเห็นชายหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่มุมประจำ แล้วลุกเดินมาหาป้า ชายหนุ่มคนนั้นพูดว่า

“ผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้นำเงินมาคืน พอดีวันนั้นผมออกไปแล้วถูกรถชน จนไม่มีโอกาสได้กลับมา แต่..ผมเอานี่มาจ่ายแทนครับ” พูดจบก็ยื่นกระดาษขาวที่มีเลขสามตัวให้ป้าดู

ป้ารับมาดูแล้วก็บอกขอบใจ

ป้ารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งจึงรู้ว่าตัวเองฝันไป ป้านั่งคิดเรื่องนี้ตั้งนาน ตอนเช้าที่ป้าเปิดร้านมีคนพิการขโยกรถเข็นของตัวเองผ่านมาหน้าร้านพอดี และเรียกป้าให้ช่วยซื้อ ป้านึกถึงความฝันเมื่อคืนจึงถามว่า “มีเลข 379 ไหม” ปรากฏว่ามียี่สิบกว่าใบ ป้าจึงซื้อหมดทุกใบ

งวดนั้นป้า ถูกทั้งรางวัลที่ 2 รางวัลที่ 4 และรางวัลที่ 5 มันน่าแปลกที่รางวัลเหล่านี้มีเลขท้าย 379 ปรากฏอยู่ในสามหลักสุดท้าย แปลกพอๆ กับชายหนุ่มคนนั้นทั้งอุปนิสัยการกินและการชำระหนี้!

Cr. ข่าวสด

5. เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : แม่ค้าส้มตำ

“บุญยิ่ง” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแม่ค้าส้มตำหัวลำโพง วันนี้ผมจะเล่าเรื่องขนหัวลุกใจกลางกรุงให้ฟังกันครับ!

ตอนนั้นสงกรานต์เพิ่งผ่านพ้นไปใหม่ๆ ยังดีที่ไม่มีฝนฟ้ามาทำลายบรรยากาศนอกจากตกที่นั่นที่นี่นิดๆ หน่อยๆ ส่วนใหญ่แดดจ้า น่าสาดน้ำประแป้งกันให้ ชุ่มฉ่ำ ยิ่งพวกหนุ่มๆ สาวๆ เขาชอบกันนักแล

เย็นนั้น ผมออกจากบ้านที่สะพานเหลืองมาพบกับไอ้ฮุยเพื่อนซี้ ส่วนมากเรามักจะไปหาที่แปลกๆ ดวดดื่มกันตามประสาหนุ่มใหญ่วัยใกล้เลขสี่อยู่รอมร่อ บางวันไปถึงราชวงศ์ บางวันก็แค่ตรอกโรงหมูใกล้ๆ ที่เปลี่ยนชื่อซะหรูหราว่า “ถนนมิตรภาพไทย-จีน” วันนี้ข้ามฟากไปวัดดวงแข ตรอกสลักหิน เตร็ดเตร่ไปถึงรองเมือง ก่อนจะเลี้ยวเข้าดูบรรยากาศสถานีรถไฟเสียหน่อย

แหม! หัวลำโพงกำลังคึกคักเชียวครับ เพราะผู้คนที่เพิ่งทยอยกันกลับกรุงเทพฯ หลังเล่นสงกรานต์ กับเยี่ยมเยียนพ่อแม่ญาติมิตรแล้ว เราเดินทะลุออกด้านข้างแล้วเลี้ยวซ้ายไปด้านหน้า…แหม! คน จรจัดนอนข้างทางเรียงรายกันเป็นแถวใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปูนอน มีอยู่รายหนึ่งโก้กว่าเพื่อน เพราะพี่แกมีเตียงเตี้ยๆ ราวศอกเดียวไว้นอนหลับอุตุฝันหวานสบายแฮไป ทะลุออกด้านหน้าอีกครั้ง…มีอะไรผิดหูผิดตา ไปแฮะ!

ก่อนถึงถนนพระรามสี่ที่มีรถราขวักไขว่ตามปกติ ถนนสายแรกก็รถจากถนนเลียบคลองผดุงฯ เลี้ยวไปทางรองเมือง ถัดไปก็ขึ้นทางด่วน…ระหว่างนั้นมีลานโล่งๆ ทั้งซ้ายและขวา เราชวนกันเดินข้ามไปเงียบๆ คงคิดตรงกันว่าจะไปหาอะไรกินที่ไหนดี?

เอ๊าะอ๋อ! แม่ค้าส้มตำสาวๆ สวยๆ ราวสิบเจ้า ที่ปูเสื่อขายสินค้าอยู่บนลานแคบๆ นั่นน่ะซีครับ เราเคยมาอุดหนุนพวกเธอ 2-3 ครั้งแล้ว

“เฮ้ย! วันนี้หายไปไหนกันหมด?” ไอ้ฮุยหลุดปากเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ทำไมไม่เหลือซักเจ้าเดียว”

“ยังไม่กลับจากเที่ยวสงกรานต์น่ะซี” ผมก็เพิ่งนึกได้เช่นกัน” อีก 3-4 วันก็มาขายลานตาเหมือนเดิมแหละว้า! เอ๊ะ…”

เสียงผมขาดหายไป เมื่อเห็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ผมยาว นั่งพับเพียบอยู่บนเสื่อใกล้หาบส้มตำ ที่มีมะละกอกับมะม่วงดิบ พร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน…จะขาดก็แต่ลูกค้าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เคยมานั่งอุดหนุนเท่านั้นแหละ

“โธ่เอ๊ย! กรุก็เพิ่งเห็น” ไอ้ฮุยร้อง “เอาที่นี่แหละ กรุย่ำต๊อกซะเมื่อยขาแล้ว”

อีกครู่ใหญ่ๆ ต่อมา เราก็ไปนั่งขัดสมาธิบนเสื่อ ซดเหล้ากับส้มตำปูรสแซ่บ ของแม่ค้าวัยรุ่นผิวขาวอล่อง ชม้อยชม้ายชายตายั่วเย้าเล่นเอาหนุ่มเหลือน้อยอย่างพวกเราชักจะแล่นซู่ซ่าขึ้นมา

เผลอๆ ก็ต้องลงเอยด้วยส้มตำครกพิเศษ ตามสำนวนนักเที่ยว “ครกละห้าร้อย ครกละพัน” กับแม่ค้าคนสวยจนได้…คนเสเพลอย่างพวกเรารู้กันดีครับว่าคุณเธอขายส้มตำบังหน้าการค้าบริการเท่านั้นเอง ยั่วเย้ากระเซ้าแหย่ ต่อปากต่อคำกันเพลิดเพลิน เธอเองก็ช่างพูดช่างคุย มีการแซวว่า…พี่สองคนหล่อ พอๆ กันเลยค่ะ หล่อซะจนหนูไม่รู้จะเลือกใคร เดี๋ยวก็เหมาซะทั้งคู่!

ไอ้ฮุยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ผมเองก็รู้สึกเหมือนเสียงรถราและผู้คนที่เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ ตัวเราหายไป โลกนี้ราวกับไม่มีใครอื่นอีกเลยนอกจากเราสามคนเท่านั้น ภาพและเสียงต่างๆ พร่าเลือนไปหมด แม้แต่ใบหน้าขาวแฉล้มของแม่ค้าตาคมก็เช่นกัน

…จู่ๆ ภาพเธอก็เลือนรางจางหายไป แล้วก็กลับชัดเจนขึ้นมาใหม่ ปากที่ยิ้มละไมดูจะกว้างขึ้นคล้ายแสยะ นัยน์ตาดำขลับก็กลับขยายใหญ่ พองโตแทบทะลักออกมานอกเบ้า…เสียงหัวเราะหวานใสก็กลายเป็นเย้ยหยัน เขย่าขวัญสิ้นดี!

“อะไรเนี่ย?” ไอ้ฮุยร้องสุดเสียง ผงะหน้า หงายหลัง ดีแต่ใช้สองมือยันพื้นไว้ทันท่วงที…ในแสงไสวของราตรีไม่มีแม่ค้าหน้าหวาน ตาคมอีกต่อไปแล้ว ตะกร้าใส่ข้าวของก็หายไป…ไม่เหลือแม้แต่เสื่อผืนนั้น นอกจาก พื้นแข็งกระด้างที่เรานั่งตะลึงพรึงเพริดอยู่กับที่

“ผีหลอกโว้ย!” ไอ้ฮุยร้องอีก เราลุกพรวดพราดขึ้นมายืนพร้อมกัน เหลียวซ้ายแลขวาที่มีรถราและผู้คนคับคั่ง…เราหลุดเข้าไปในมิติอะไรก็ไม่รู้…แต่ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกครับ!

Cr. ข่าวสด

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีเดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์