วัยรุ่นมือบอน..หักตุ๊กตานางรำในศาลร้างเล่นจนมีอันเป็นไป

เรื่องนี้ย้อนกลับไปหลายปีที่ผ่าน เรื่องของความคึกคะนองและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในสมัยที่ ‘คุณเค’ อายุ 17-18 ปี ในหมู่บ้านมีคนอายุรุ่นราวคราวเดียวอยู่ไม่เยอะนัก ตอนนั้นคุณเคมีเพื่อนร่วมแก๊งกันอยู่ 4 คนคือ ท็อป ซึ่งอายุเท่ากับคุณเค ท็อปเป็นเหมือนลูกไล่ในกลุ่ม มักจะเป็นคนที่โดนแกล้งโดนแซวอยู่เสมอ พี่โจ้ มีนิสัยห่ามๆ มีความเป็นผู้ใหญ่มักเป็นผู้ออกตัวห้ามปรามน้องๆ พี่อาร์ม มีนิสัยห้าวเป้ง ปากเร็วมือเร็ว หลายครั้งทำอะไรด้วยไม่ทันยั้งคิด มักจะเป็นผู้ที่หาเรื่องใส่ตัวอยู่บ่อยๆ ทั้ง 4 คนมักไปในมาไหนด้วยกัน

อ่านเรื่องผี มือบอน” โดยคุณเค

ในวันนั้น ที่หมู่บ้านมีงาน ‘ปอยหลวง’ เป็นงานวัดอย่างหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครั้งเมื่อมีการสร้างกุฏิ ศาลา หรืออะไรใหม่ ชาวหมู่บ้านก็จะมีแห่นำเงินสมทบเข้าวัด นานๆทีก็จะมีสักครั้ง ตอนเย็นหลังเลิกเรียน คุณเคและพวกจึงคื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านคุณเค พี่โจ้และอาร์มออกปากบอกว่า ‘อยากชวนไปงานวัด’ เพราะนอกจากชาวหมู่บ้านแล้ว ยังมีคนต่างถิ่นมาร่วมด้วย หนุ่มๆทั้งหลายจึงหวังได้เจอสาวๆนั่นเอง

ตอนนั้นเวลากว่า 3 ทุ่มแล้ว กว่าทั้งคณะจะตัดสินใจเดินทาง จากบ้านคุณเคไปวัดไม่ได้ไกลนัก แค่ราว 1 ก.ม.เท่านั้น แต่ด้วยความที่เป็นเทศกาลฉลอง 2 ข้างท้างที่มีบ้านเรือนขนาบ ก็เต็มไปด้วยความครึกครื้น ทั้ง 4 ก็เทียวเดินเทียวแวะไปเรื่อยๆ ซ้ำยังเริ่มเมาพอกรึ่มๆแล้วด้วย กว่าจะมาถึงจุดหมายก็ล่วงเลยเข้าหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้ง 4 เลยปรึกษากันว่ากลับกันดีกว่า ดึกมากแล้ว ขากลับนั้นบรรยากาศครึกครื้นไม่มีเหลือแล้ว ทั้งเงียบและร้างผู้คน จนดูน่ากลัวไม่น้อย ระหว่างทางกลับ พี่อาร์มทักขึ้นมาว่า ‘ปวดชิ้งฉ่อง ขอไปฉี่ก่อน’ ตรงนั้น 2 ข้างเป็นป่าลำไย ทั้ง 4 ก็มุดหายเข้าไปปลดทุกข์ด้านในเงาไม้ คุณเคกลับออกมากก็เห็นพี่โจ้ยืนรออยู่แล้ว ตามมาด้วยไอ้ท็อป พี่อาร์มหายไปอยู่นานก็ออกมา… ด้วยใบหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัย อีก 3 คนสังเกตเห็นบางอย่างในมืออาร์มแล้ว

“เห้ย ไอ้อาร์ม เอาอะไรมาเล่นอีกละ” พี่โจ้ถาม

แต่อาร์มนอกจากจะไม่ตอบ ยังโยนบางอย่างนั้นส่งให้ท็อป ด้วยสัญชาตญาณ ท็อปเผลอยกมือขึ้นรับโดยไม่รู้ตัวกระทั่งแบมือออกดูก็ต้องตกใจร้องสุดขีดไม่เป็นภาษา … มันคือ หัวของหุ่นตุ๊กตา หัวหนึ่งดูคล้ายนางรำ อีกหัวหนึ่งดูคล้ายเป็นชายชราจากศาลตา-ยาย

“ไอ้อาร์ม เมิงทำอะไรเนี่ยยย มันใช่เรื่องเล่นมั้ย!”

“พี่..แล้วทำไม มันถึงมีแค่หัวล่ะ”

พี่อาร์มไม่ตอบคำถามของพี่โจ้ แต่ตอบคำถามของท็อปด้วยการล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นส่วนลำตัวที่หายไปของหุ่นปูนปั้นนั่นเอง …แสดงว่าเดิมทีมันคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จนพี่อาร์มไปหักเล่นด้วยความมือบอน จากการสอบถามพี่อาร์มไปเจออยู่ในศาลที่ตนไปยืนฉี่ใส่ไว้เมื่อครู่นี้เอง

“เมิงเอาไปคืนที่เดิมเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“เออ กรุรู้แล้ว ทำปอดแหกกันไปได้”

หลังหายเข้าไปในป่าสักครู่ พี่อาร์มก็ออกมา และด้วยสังเกตเห็นสีหน้าท็อปดูโกรธเคือง จึงเดินเข้าไปกอดคอหยอกเย้า คล้ายจะบอกว่า ‘โธ่เอ้ย ไม่มีอะไรหรอกน่า’

จนเช้าวันถัดมา คุณเคนัดจะออกไปเที่ยวเล่นกัน ทั้งท็อปและพี่โจ้ก็มารวมตัวกัน เว้นก็แต่พี่อาร์มที่โทรไปแล้วไม่ติด จึงตามไปดูกันที่บ้าน ที่บ้านพี่อาร์มเจอคุณแม่จึงสอบถาม คุณแม่บอกว่า ‘อาร์มมันไม่สบาย เข้าไปดูมันมั้ย’ ด้วยความสนิทสนมกันจึงเดินเข้าไปในห้องทันที ภายในห้องกว้างราว 3×3 ม. ด้านซ้ายจะเป็นตู้เสื้อผ้า ด้านขวาจะเป็นเตียง แต่กลับไปเห็นใครนอนอยู่บนเตียงอย่างที่คิดว่าควรจะเป็น สักพักจึงรู้สึกตัวว่า มีใครบางคนนั่งแอบอยู่ตรงมุมซอกหลืบข้างตู้ พี่อาร์มนั่นเอง กำลังนั่งกอดเข่าตัวสั่นงันงก

“พี่ พี่ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรอ่ะ”

“มันไม่ได้มีที่กรุ… มันไม่ได้มที่กรุ… มันไม่ได้มีที่กรุ…”

ทั้ง 3 มองหน้ากันด้วยไม่เข้าใจความหมาย และจนแล้วจนรอดก็คุยกันไม่รู้เรื่อง จึงลากลับแล้วให้พี่อาร์มอยู่พักผ่อน

ถัดไป 2 วัน แม่พี่อาร์มก็มาตามที่บ้านคุณเค

“แม่ถามจริงๆเถอะ ไปเล่นอะไรกันมารึเปล่า อาร์มมันดูแปลกๆไป ไปดูมันหน่อยเถอะ”

คุณเคนึกไม่ออก และพยายามปฏิเสธว่า ‘ไม่ได้ไปเล่นอะไรแผลงๆมานะครับ’ แต่กระนั้นก็ตามไปดู ทันทีที่ไปถึง ก็เห็นพี่อาร์มนั่งหลุบอยู่ในท่าเดิม หากแต่พูดบางอย่างที่ต่างออกไป

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” “ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง”

พี่อาร์มพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ฟังดูรู้ว่าเป็นจังหวะ คุณเคคิดว่าฟังดูคล้ายเสียงตะโพน เวลาที่นางรำฟ้อนรำ ถึงตอนนั้นเรารู้กันแล้วว่า ‘คงไม่ใช่ป่วยธรรมดา’

คุณแม่ยังพยายามถามว่า ตกลงไปทำอะไรกันมา เล่าให้แม่ฟังหน่อยได้มั้ย พวกคุณเคจึงตัดสินใจเล่าเรื่องคืนวันงานปอยหลวง คุณแม่ได้ฟังก็บอกว่า ‘เดี๋ยวแม่รอดูอาการมันสักวันสองวันก่อน’ แต่ถัดไปแค่วันเดียวก็มีเสียงโทรศัพท์มาตามคุณเค

“เคกับโจ้ มาที่บ้านแม่หน่อยได้มั้ย ช่วยแม่พาอาร์มไปวัดหน่อย”

‘ทำไมต้องไปวัด อาร์มมันป่วยไม่ใช่เหรอ?’ คุณเคกับพี่โจ้อดสงสัยไม่ได้ด้วยความที่ทั้งคู่บ้านติดกัน จึงออกไปบ้านพี่อาร์มพร้อมกัน ทันทีที่เปิดห้องเข้าไปก็เข้าใจความหมาย… จากเดิมที่เคยนั่งหลบตรงมุมห้อง บัดนี้ ‘พี่อาร์ม’ ขึ้นมายืนตัวเกร็งบนเตียง พร้อมเหยียดแขนยกขึ้น ‘ตั้งวง’ แบบนางรำ แล้วราวกับนักแสดงที่รอครบองค์ประชุม จู่ๆพี่อาร์มก็ทำเสียง “ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” พร้อมกับเริ่มฟ้อนรำ!

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” “มันไม่ได้อยู่ที่กรุ…มันไม่ได้อยู่ที่กรุ”

คุณเคและพี่โจ้เข้าใจสถานการณ์แล้วว่า ไม่อยู่ในจุดที่ทั้งคู่จะพูดคุยหรือช่วยอะไรได้ พี่โจ้จึงรวบตัวลงมา นำตัวใส่รถกระบะพาไปวัด ตอนนั้นตก 5 ทุ่มแล้ว พระก็เข้าจำวัดกันหมด จึงวุ่นวายกันพอควร ประกอบกับพี่อาร์มยังโวยวายและคลั่งขึ้นมา ‘มันไม่ได้อยู่ที่กรุ…มันไม่ได้อยู่ที่กรุ’ หลังเล่าเรื่องราวให้พระท่านฟัง ท่านบอกว่า

“ไม่ดีเลยนะโยม ยังไงคงต้องไปขอขมาเค้า ระหว่างนั้นให้โยมอาร์มอยู่วัด 7 วันก่อน ระหว่างนี้ห้ามไปไหนเลย”

หลังจากนั้นพี่อาร์มเริ่มสงบลง จนผ่านไปกว่า 30 นาที ท็อปจึงขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา เนื่องจากท็อปมีภาระต้องดูแลยายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก คุณเคจึงแจ้งไปทีหลัง ทันทีที่มาถึงท็อปก็ดูหัวเสีย

“กรุบอกไปแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าไปเล่นซี้ซั๊ว มันใช่เรื่องเล่นมั้ย ดูสิ” ท็อปบ่นกระปอดกระแปด

“แล้วนี่กระเป๋ากรุหายไปไหนไม่รู้ ใบที่กรุห้อยคอไปเที่ยววันนั้น หาอยู่ตั้งนาน”

สักพักเสร็จเรื่องต่างคนก็แยกย้ายกันกลับ โดยไม่ได้นึกสนใจคำพูดที่ดูไม่สำคัญของท็อปเลย จนวันนึงก็ได้ไปบ้านท็อปกัน บ้านท็อปเป็นบ้านไม้หลังเก่าที่แต่เดิมเป็นบ้านคุณตาคุณยายของท็อป แต่คุณตาเสียไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือแต่ท็อปและคุณยายอาศัยอยู่ เนื่องด้วยคุณยายไม่ค่อยแข็งแรงและอายุมากแล้ว น่าจะประมาณ 85-86 ปี พวกคุณเคจึงมักมาช่วยท็อปดูแลคุณยายตามสมควรอยู่เสมอ คืนนั้นคุณเคก็ไปนอนบ้านท็อปเช่นกัน จู่ๆคุณยายที่ล้มตัวลงนอนไปพักใหญ่แล้ว ก็ลุกโพลงขึ้นมาจากเตียง…

“เมิงเอาใครกลับมาด้วย มันมี 2 ตน…มันจะมาเอาตัวกรุไป มันจะมาเอาตัวกรุไป”

คุณเคและท็อปมองหน้ากันด้วยความตกใจและงุนงง แต่ด้วยว่าคุณยายก็ล้มตัวลงกลับไปนอนทันที จนทั้งคู่เคลิ้มจะหลับ คุณยายก็ลุกขึ้นมากระซิบกระซาบด้วยเสียงแห่บพล่า ดวงตาสีขุ่นเทาด้วยต้อหันมาจับจ้องทางเจ้าท็อป

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง”

ท็อปจับแขนคุณอาร์มไว้แน่น ตัวสั่นเทา ‘เค เมิงได้ยินเหมือนกรุมั้ย..’

แต่ทั้งคู่ก็ข่มตานอนจนหลับ ภายหลังคุณยายที่เจ็บออดแอดๆอยู่แล้ว ก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งมีโทรศัพท์มาแจ้งว่า ‘ยายท็อปเสียแล้ว’ วันนั้นท็อปที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับคุณเค ได้กลับบ้านล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

คุณเคตัดสินใจนอนเฝ้ายายเป็นเพื่อนท้อป เนื่องจากคุณเครู้จักคุณยายมานาน จึงไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร ที่งานศพ…บ้านไม้เก่าๆหลังไม่ได้ใหญ่มาก มียกพื้นขึ้นสูง ขึ้นบันไดไปจะเจอกับโถงหน้าบ้าน ศพและโลงตั้งอยู่ที่โถงนั้น ถัดจากโถงไปทางซ้ายจะเป็นห้องที่ยายเคยนอน ภายในกว้างราว 2×3 ม. ประกอบไปด้วยตู้และเตียง คืนนั้นพวกผู้หลักผู้ใหญ่นอนกันอยู่เต็มลานตั้งศพ และบอกให้พวกเด็กๆเข้าไปนอนในห้องนั้น คุณเคจึงเข้าไปนอนในห้องนั้นกับท็อป คืนนั้นพี่โจ้ก็มาด้วย

ทั้งสามคนเข้าใจว่ายายคงตายบนเตียงนั้น จึงไม่มีใครกล้าขึ้นไปนอนทับ และเลือกจะปูเสื่อนอนกับพื้นข้างเตียง โดยที่คุณเคนอนติดกับเตียง ท็อปนอนตรงกลาง มีพี่โจ้ขนาบอีกข้างหนึ่ง กลางดึกคืนนั้น คุณเคถูกสะกิดขณะกำลังนอน เป็นท้อปนั่นเอง … ท็อปบอกว่า ‘ฟังสิ ฟังสิ’

คุณเคได้ยินเสียงคล้ายใครกำลังเคาะแผ่นไม้กระดานที่พวกเขากำลังนอน จากด้านล่างซึ่งอีกฝั่งเป็นใต้ถุนยกสูงกว่า 2 เมตร จะมีใครอุตริลงไปปีนมาเคาะในเวลาเช่นนี้หรือ? เสียงยังคงดังต่อไป พร้อมด้วยแรงสั่นของไม้ที่รู้สึกได้เวลาที่นอนแนบตรงนั้น ‘ป้อก…ป้อก…ป้อก…’

ดูเหมือนมีแค่พี่โจ้ที่นอนหลับสบายโดยไม่ได้ยินอะไร ท็อปตัวสั่นเทิ้ม คุณเคเอาผ้าห่มคลุมโปงข่มตานอน สักพักมีอีกเสียงนึงดังรอดออกมาจากช่องระหว่างกระดานไม้

“แฮรรรรร่…”

เหมือนเสียงใครพ่นลมแผ่วเบาให้รอดแทรกมาตามช่องว่าง… “แฮรรรรรร่”

สักครู่ก็มีอีกเสียงดังมาจากทางด้านข้างว่า “ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” ตอนนั้นมั่นใจกันแล้วว่าไม่ได้หูฝาดไปเอง จู่ๆไม่รู้ว่าท็อปเห็นอะไร…ท็อปลุกขึ้นเตรียมจะวิ่ง ทั้งคุณเคและท็อปต่างร้องลั่น กระโจนออกไปจากห้อง โดยทิ้งพี่โจ้นอนอยู่คนเดียว

หลังออกมานั่งทำใจด้านนอก เล่าให้พวกผู้ใหญ่ฟัง ด้วยความสงสัยคุณเคจึงถามว่า

“ตอนเสีย ยายเสียยังไง ตรงไหน ทำไมยายถึงมายุ่งกับพวกผม”

พวกผู้ใหญ่จึงเล่าให้ฟังว่า ‘ยายไม่ได้เสียบนเตียงหรอก แต่ตอนนั้นแกคงลุกจากเตียงแล้วขาอ่อน จึงล้มลงหัวฟาดกับขอบหน้าต่าง จนล้มฟุบลงไปกองบนพื้น…ที่พวกเอ็งนอนกันนั่นแหละ’

ทันทีที่รู้เรื่องนี้ คุณเค..อดรู้สึกขนลุกขนพองไม่ได้ วิ่งกลับไปปลุกพี่โจ้และพลิกเสื่อขึ้นดู ด้านหลังเสื่อ..บนพื้นไม้นั้น แม้จะกลมกลืนกับพื้นไม้ แต่หากสังเกตดูดีๆจะพบว่า มีคราบบางอย่างดำๆน้ำตาลๆฝังลึกติดอยู่ คงจะเป็นคราบเลือกของยายที่ซึมลงไปในไม้จนไม่สามารถเช็ดออกไปได้หมด เรียกได้ว่าพวกคุณเคนอนทับที่ที่คุณยายพึ่งตายกันมาหมาดๆ คืนนั้นคุณเคกลับบ้านทันที ทิ้งไว้เพียงพี่โจ้ที่ยังนอนอยู่

จนกระทั่งเรื่องราวก็ผ่านไป จนคุณยายเผาเสร็จ ทางภาคเหนือจะมีพิธีการหนึ่งเรียกว่า ‘เงินเย็น’ จะเป็นการที่แต่ละคนจะได้กลับมาเรือนเพื่อพูดคุยหารือ พบปะกัน วันนั้นเองท็อปก็ไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้าน ตนกระทั่งก็ไปเจอเข้ากับ ‘กระเป๋า’ ที่คิดว่าทำหายไปแล้วอยู่ในตู้หลังหนึ่ง

“เออ นี่ไงๆ กระเป๋านี่แหละ ที่วั้นนั้นกรุถามถึง สงสัยกรุมาบ้านยายแล้วทำหล่นไว้จนมีคนเก็บไปใส่ไว้ในตู้”

หลังจากท็อปตรวจเช็คภายในกระเป๋า ไล่ไปที่ละชั้น ทีละซอก ก็ไปเจอกับอะไรบ้างอย่างที่คุ้นตา

เป็นส่วนหัวของหุ่นตุ๊กตาปั้น…นางรำและชายชรา ตัวเดียวกับที่พี่อาร์มเอามาเล่นวันนั้น!! ทำไมมันมาอยู่ในนี้ได้…พี่อาร์มเอาไปคืนแล้วไม่ใช่หรือ?

พอนึกย้อนกลับไป ทุกอย่างก็เฉลย…ท็อปจำได้ว่าคืนนั้น หลังพี่อาร์มเอาตุ๊กตากลับไปคืนศาล จู่ๆก็เดินเข้ามากอดคอแล้วล้วงไปมาอยู่ครู่หนึ่ง คงจะแอบใส่หัวตุ๊กตาลงไปในกระเป๋าเพื่อแกล้งกันสินะ… แล้วที่คุณยายเคยถามว่า ‘เมิงเอาใครกลับมา’ หรือทำเสียงตะโพนทำนองเดียวกันกับพี่อาร์ม เรื่องมันคงเชื่อมต่อกันแบบนี้เองสินะ เพราะกระเป๋าใบนี้มันอยู่ที่บ้านคุณยายมาตลอด

จะว่าไปแล้วที่พี่อาร์มเคยพูดว่า “มันไม่ได้อยู่ที่กรุ” คงไม่ได้สติฟั่นเฟือนจนพูดเลอะเทอะอย่างที่คิด หรือว่ามี ‘ใคร’ ตามมาทวงบางอย่างคืนจากพี่อาร์ม แต่แกไม่มีให้ เพราะมันไม่ได้อยู่ที่แกนั่นเอง ซึ่งก็ไม่สามารถจะไปทวงถามถึงพี่อาร์มได้ หลังจากนั้นแกก็พูดจาไม่รู้เรื่อง สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว กลายเป็นคนระแวดระวัง ล่อกแล่กอยู่ตลอด ส่วนการเสียชีวิตของคุณยาย ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถูกลูกหลงหรือไม่… วันนั้นยายลุกพรวดลงมาจากเตียงทำไมคนเดียวจนล้มลง ยายเห็นอะไรกันแน่? ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าคุณยายรับกรรมไปเต็มๆ

ภายหลังท็อปก็ไปทำพิธีขอขมา แม้ว่าตัวเองไม่ได้ทำก็ตาม คุณท็อปนำหัวที่เก็บได้ในกระเป๋าเอาไปซ่อมแซมติดกับส่วนตัวที่สุสานศาลพระภูมิ อีกทั้งยังซื้อหุ่นตุ๊กตาชุดใหม่ที่ประกอปไปด้วยทั้งช้างและม้า ไปให้ใหม่ด้วย ภายหลังได้คุยกันว่าเดิมทีศาลพระภูมิหรือศาลตา-ยาย แม้อาจจะถูกสร้างขึ้นด้วยความชอบดีงาม แต่เมื่อถูกนำมาทิ้ง ปล่อยรกร้างแบบนี้ สายขาวก็เป็นไปได้ว้าอาจเข้าสู่สายเทาสายดำ จนเป็นที่รวมไปด้วยแรงพลังงานด้านมืด และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด…

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : มือบอน โดยคุณเค

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์