“อย่าหาว่าอาตมาสอน” เมื่อพระโทรสอนผีให้มูฟออน…

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่คุณกวินท์ พบเจอมาตอนที่เคยไปบวช ณ วัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ย้อนกลับไปราว 5-6 ปีก่อน คุณกวินท์เล่าว่า…ตนเลือกบวชที่วัดแห่งนี้เพราะคุณแม่แนะนำมา ข้อดีคือไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย ตรงตามที่คุณกวินท์ต้องการบรรยากาศก็ร่มรื่นเงียบสงบ

เรื่องมันอยู่ตรงนี้ คุณกวินท์ต้องไปนอนในกุฏิเก่าล่วงหน้าหนึ่งคืน ก่อนที่จะเข้าพิธีอุปสมบทในเช้าถัดไป 

กุฏิหลังเก่าที่ว่านี้เป็นกุฏิที่ทำจากไม้ 2 ชั้น ถึงแม้ว่าสีที่เคยทาไว้จะเริ่มหลุดลอก แต่โดยรวมของอาคารก็ยังมีสภาพที่สมบูรณ์ ชวนให้นึกว่ามีเสน่ห์ในแบบของเก่า 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพระรูปอื่นได้ย้ายไปจำวัดในกุฏิหลังใหม่ ซึ่งทางวัดยังคงวุ่นวายเกี่ยวกับการจัดแจงข้าวของต่างๆอยู่ ที่กุฏิไม้หลังนี้จึงมีเพียงคุณกวินท์อยู่คนเดียว

คุณกวินท์ไม่ได้เป็นคนกลัวผี เนื่องจากว่าตนเองก็ไม่เคยเห็น การอยู่คนเดียวในวัดเลยไม่ใช่ปัญหาอะไร ทั้งกุฏิหลังนี้ก็อยู่ข้างกุฏิใหม่ ยกเว้นโทรศัพท์สีฟ้าตุ่นที่ตั้งอยู่ตรงระเบียงชั้น 2

คืนนั้นคุณกวินท์ฝึกท่องบทสวดต่างๆ ที่พระรุ่นพี่แนะนำก่อนหน้าไปจนถึงประมาณสี่ทุ่ม ก็เตรียมตัวเข้านอน ไม่นานก็หลับสนิทจนกระทั่งถูกปลุกโดยเสียงโทรศัพท์

กริ๊งงงงงง…กริ๊งงงงงง…กริ๊งงงงงง…

คุณกวินท์ที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาบอกเวลา 00:30 ในใจไม่ได้คิดอะไรนอกจากสงสัยว่ามีใครที่ไหนบ้างจะโทรเข้ากุฏิวัดหลังเที่ยงคืน? แต่อาจจะเป็นสายจากพระรุ่นพี่ที่ตึกข้างๆก็เป็นได้ จึงลุกออกไปรับ

ค…ครับบ?

พรืดดดดดด…พรืดดด…

เสียงที่ตอบมาจากปลายสายทำคุณกวินท์รู้สึกแปลกใจ ไม่ใช่สายจากพระในวัดแน่ เสียงที่ว่านั้นทั้งแหบและพร่า บวกกับมีเสียงหายใจแรงฟืดฟาดอยู่ตลอด

“ขอคุยกับพระหน่อยยยยย…”

คุณกวินท์ตอบไปว่า ตอนนี้คงไม่ได้เนื่องจากดึกมากแล้ว หากมีธุระอะไรไว้โทรมาตอนเช้าแล้วกัน แต่ปลายสายไม่ยอม

“ผมต้อง…จะคุย..ยย…เดี๋ยวนี้…”

คุณกวินท์คิดอยู่สักพักว่าจะจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง แต่สุดท้ายก็เดินไปตามพระรุ่นพี่ที่ตึกข้างๆ 

ทันทีที่คุณกวินท์แจ้งให้หลวงพี่ทราบ ดูเหมือนหลวงพี่จะรู้จักปลายสายอยู่แล้ว เลยไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร รวมทั้งไม่ได้ซักถามคุณกวินท์มากมาย ก่อนจะเดินตามคุณกวินท์ไปรับสาย

เมื่อเดินถึงชั้น 2 ของกุฏิ หลวงพี่บอกกับคุณกวินท์ว่า “โยมไปนอนเถอะ อาตมาจัดการเอง พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของโยม” 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากกลางคืนนั้นเงียบสงัด อีกทั้งความที่กุฏิหลังนี้ว่างเปล่าโล่งจนราวกับถูกยกเค้า เลยทำให้บทสนทนาโทรศัพท์ด้านนอก ก้องกังวาลจนพอจะได้ยิน ว่าหลวงพี่สัญญากับปลายสายว่าจะตามใครบางคนมาพบให้

เย็นวันถัดมา หลังคุณกวินท์เข้าพิธีเรียบร้อย และร่วมทำวัตรเย็นกับพระรูปอื่น หลวงพี่รูปเดิมก็เข้ามาบอก…

“คืนนี้อาจจะมีสายโทรมากลางดึกอีก รบกวนรับสายให้ด้วย” 

คืนนั้นก็มีสายโทรเข้ามาจริงๆ ในเวลาเดิมคือ เที่ยงคืนเศษๆ  ปลายสายยังเป็นเสียงผู้ชายคนเดิม แหบๆ ขาดๆ แต่ที่ต่างไปคือคราวนี้ไม่ได้ร้องขอคุยสายกับคนอื่น แต่เหมือนจงใจคุยกับคุณกวินท์

“พระ… ไหน…สัญญากับผมแล้ว…ไง ว่าจะตามนังนั่นมาพบผมมม”

คุณกวินท์ก็งง ว่าพูดถึงเรื่องอะไร ตนไม่ทราบ เลยบอกว่าเป็นพระคนละรูป เดี๋ยวจะไปตามหลวงพี่มาพูดด้วย ก่อนที่จะพักสายไว้ 

ในจังหวะนั้นเอง…ที่คุณกวินท์รับรู้หน้าตาของสิ่งที่เรียกว่า “ความกลัว” เป็นครั้งแรก สิ่งที่คุณกวินท์พบไม่ใช่ฉากอะไรที่ชวนขนลุก แต่ได้พบความจริงว่า โทรศัพท์เครื่องนั้นไม่ได้ต่อสายเอาไว้! มันเพียงถูกว่างไว้บนแท่นยกสูงที่ปูพรมเสียวเหลืองแก่ไว้ ราวกับเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก 

“มันต้องมีอะไรผิพลาดแน่ๆ” คุณกวินท์คิดในใจ ก่อนจะเอื้มมือไปยกโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้น เพื่อจะพิสูจน์ว่ามันต้องมีสายซ่อนอยู่ด้านหลัง ด้านล่าง แต่…มันก็ไม่มี!

“ฮิๆๆๆๆๆ ฮ่าาๆๆๆ”

เสียงดังเล็ดลอดออกมาจากหูโทรศัพท์ที่วางพักไว้…

“ทำเป็นเรื่องประหลาดไปได้ ยังไม่ชินรึ พระ”

เท่านั้นแหละ คุณกวินท์รวบจีวรให้กระชับแล้วรีบจ้ำออกจากกุฏิไปหาหลวงพี่

“โครมๆๆๆๆ”

“หลวงพี่ๆ ตื่นๆๆ มีเรื่องแล้วครับ”

คุณกวินท์เล่าให้หลวงพี่ฟังจบ ท่านก็ออกไปที่กุฏิไม้ แต่คราวนี้บอกกับพระรุ่นน้องที่พึ่งบวชมาใหม่ๆว่า “คราวนี้ท่านอยู่ฟังด้วยกันนี่แหละ”

หลวงพี่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่ได้แนบกับหู แต่ยกขึ้นมาถือไว้เพื่อให้คุณกวินท์ได้ยินด้วยแม้ว่าเสียงปลายสายจะฟังยาก แต่จับใจความได้ประมาณนี้

“ว่าไงโยมจุ่ม…ยังไม่ปล่อยวางเรื่องโยมติ๊กอีกหรือ”

“จะให้ปล่อยวาง…อะไรท่าน ในเมื่อร่างผ…ผม ต้องนอนหนาวเหน็บ อย่าง…โดดเดี่ยวในโลง… ตอนที่นังนั่นกำลัง…นอนสบายกับแฟนใหม่…”

จนถึงตอนนี้หน้าของคุณกวินท์ถอดสี ราวกับกำลังจะเป็นลม พลันหันมองหน้าพระรุ่นพี่ หลวงพี่ก็ได้แต่พยักหน้า คล้ายบอกว่าให้ฟังต่อไป

“โยม…อย่าหาว่าอาตมาสอน เลยนะ”

“ตอนโยมยังกินอยู่ร่วมกัน โยมติ๊กก็ดูแลโยมจุ่มอย่างดีทุกอย่างไม่ใช่หรือ”

“แต่โยมจุ่ม ตัวโยมเองเอาแต่เมาหัวราน้ำทุกวี่วัน จนทะเลาะเบาะแว้งกับโยมติ๊กไม่ขาด ในที่สุดเขาก็ต้องไป”

“ตอนนี้โยมจุ่มก็อยู่กันคนละโลกกับเขาแล้ว โยมต้องปล่อยวาง อโหสิกรรมแก่กันเถิด”

“อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย…”

คืนนั้นคุณกวินท์ได้ข้อสรุปหลายประการ เริ่มจาก…ประการแรก เรื่องของโยมจุ่ม และโยมติ๊กเดิมสองคนนี้อยู่กินฉันท์สามีภรรยา โดยที่อายุอานามห่างกันกว่าสิบปี 

ว่าไปมันก็เป็นเรื่องชาวบ้านๆธรรมดานี่แหละ ถ้าหากว่า…คู่กรณีไม่ใช่คนกับผี 

ลุงจุ่มคนผัวเมาหยำเป มีปากเสียงกับเมีย จนผู้หญิงก็หนีไปคบค้ากับหนุ่มคนอื่น ในขณะที่ตัวลุงจุ่มเองก็มีปัญหารุมเร้า ร่างกายก็ไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องจากไปอย่างโดดเดี่ยว ศพก็ตั้งอยู่ในศาลาวัดเดียวกันนั่นเอง 

แต่ลุงจุ่มยังไม่ปล่อยวาง จะด้วยรักหรือชังก็ไม่ทราบ ต้องการให้นางติ๊กมาขอขมาศพเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นคำขอที่หลวงพี่ตบปากรับคำ แต่พอไปบอกโยมติ๊ก โยมติ๊กก็เกิดกลัวหรือละอายใจอย่างไร เลยไม่กล้ามาเคารพ นำมาซึ่งโทรศัพท์สายปริศนากลางดึกดังกล่าว

ประการที่สองคือ ความจริงของโทรศัพท์ปริศนา ที่ใช้งานได้ทั้งๆที่ไม่เสียบสาย หลวงพี่บอกว่า “มันก็เป็นอย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ” 

เดิมทีโทรศัพท์เครื่องนี้เจ้าอาวาสวัดท่านเคยเป็นคนดูแล ว่ากันว่าเป็นของปลุกเสก เป็นเครื่องมือสื่อกลางกับวิญญาณ โดยปกติมันไม่เคยดัง มันจะดังก็ต่อเมื่อมีคน(ผี) ต้องการความช่วยเหลือ และครั้งนี้ก็ไม่ใช่หนแรก

กระทั่งเจ้าอาวาสท่านอาพาธ หลวงพี่ท่านนี้ซึ่งเป็นศิษย์มีแวว จึงได้รับความไว้วางใจให้ดูแลต่อจะว่าไปโทรศัพท์เครื่องนี้ก็คือ “ศูนย์บรรเทาทุกข์ผี” ดีๆนี่เอง