“สวัสดีค่ะ เรื่องกรุ..สนุกมั้ย” อุธาหรณ์คนชอบฟังเรื่องผี

เรื่องเล่าผีสุดสะพรึงและพิศดารที่สุดที่เคยฟังมาเรื่องนึงเลย เรื่องนี้ถูกเล่าไว้ในรายการผีทางโซเชียลชื่อดังอย่าง “คืนพุธมุดผ้าห่ม” ว่ามีผู้ฟังรายหนึ่งส่งเรื่องเล่าที่ตัวเองเคยประสบพบเจอมาร่วมสนุกในรายการ เป็นเรื่องเล่าของคณะขนส่งสินค้าที่เกิดผิดแผน ทำให้จำเป็นต้องเดินทางในช่วงกลางคืน ทุกอย่างคงไม่เกิดเป็นเรื่องเล่าผี ถ้าเจ้าของเรื่องซึ่งร่วมรถไปด้วยในครั้งนั้น…ไม่ได้ลงไปซื้อแผ่นซีดี เดอะช็อค ระหว่างแวะพัก… ใครจะไปนึกว่าความตื่นเต้นในการเปิดซีดีเรื่องเล่าผีในครั้งนั้น จะยิ่งกว่าดูหนัง 4D เพราะผี…มาให้ดูกันตัวเป็นๆ!

เรื่องเล่าผี… “สวัสดีค่ะ” มีอยู่ว่า…

ที่บ้านผมทำธุรกิจรับติดตั้งและซ่อมแซมลิฟต์ เรื่องมีอยู่ว่า…มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรารับงานด่วนมาจากลูกค้าที่กำชับมาว่า ต้องการจะติดตั้งลิฟต์ใหม่อย่างเร็วที่สุด พูดง่ายๆคือสั่งวันนี้พรุ่งนี้ต้องไปส่งได้ทันที อย่างไรก็ตามงานได้รับมาแล้ว ที่หมายคือจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ แม้จะค่อนข้างไกล แต่หากรีบที่สุดก็สามารถไปถึงในวันเดียวได้ จึงจัดแจงขนสินค้าขึ้นรถบรรทุกทันทีที่เตรียมการเสร็จ

อย่างไรก็ตาม เกิดปัญหาไม่คาดคิดขึ้นซะก่อน รถบรรทุกเจ้ากรรมเกิดเสียขึ้นมากระทันหันในเวลาเร่งรีบแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะโชคดีอยู่บ้างที่มันเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าไปเสียกลางทาง ทว่า…มันก็ทำให้กำหนดการที่ควรจะง่ายๆสบายๆ กลายเป็นงานที่ต้องแข่งกับเวลาขึ้นไปทุกที กว่าะได้รถบรรทุกคันใหม่มาแทน กว่าจะขนลิฟต์ขึ้นรถอีก นับว่าเสียเวลาไปมากโข

จากที่เคยคาดว่าจะสามารถไปส่งได้ก่อนค่ำ กลายเป็นว่าต้องจำใจเดินทางกันช่วงกลางคืน ตอนนั้นข้าวปลาก็ยังไม่ทันได้กิน ต้องอาศัยอาหารจากร้านสะดวกซื้อยอดนิยมข้างทาง อุ่นขึ้นมากินบนรถกัน แม้งานนี้จะเริ่มอย่างตะกุกตะกัก แต่มันก็ไม่ไดเกินจากที่พวกเราเคยเจอกันมา เหตุการณ์ไม่คาดคิดมันเกิดขึ้นได้เสมอ…ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น แต่ในความเป็นจริง ค่ำคืนนี้จะเป็นคืนที่พวกเราไม่มีวันลืม

รถขับผ่านมาได้ระยะหนึ่ง พอฟ้ามืดแต่ละคนในรถก็เริ่มจะง่วงเหงาหาวนอน เพลงที่เคยเพราะเสนาะหู ถึงตอนนี้ก็เริ่มเบื่อจนดูเหมือนจะยิ่งส่งเสริมให้หลับขึ้นไปอีก เพราะว่าฟังวนครบทั้งอัลบั้มมา 3-4 รอบเข้าไปแล้ว ตอนนั้นเองที่ผมเป็นคนออกไอเดียว่า เราควรแวะพักรถกันที่ปั๊มข้างหน้าดีกว่า เผื่อจะได้แวะเข้าร้านสะดวกซื้อ หลังจากได้พักเข้าห้องน้ำห้องท่ากันอยู่พักนึง ผมก็หยิบซีดีจากร้านสะดวกซื้อติดมือมาด้วย ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าตัวผมคิดอะไรอยู่ บางทีอาจจะเพราะความง่วง ความเพลียนี่แหละ ที่ทำให้ผมหยิบแผ่นซีดีเรื่องเล่าผีอย่าง “the Shock fm” แทนที่จะเป็นเพลงเพราะๆชวนหลับ

จะว่าไปมันก็ได้ผลเกินคาด คราวนี้แต่ละคนบนรถก็ดูตื่นเต้นลุ้นระทึกไปกับเรื่องเล่าที่ค่อยๆไต่ระดับความพีค เลยไม่มีใครดูง่วงกันอีกต่อไป กระทั่งจู่ๆก็มีอะไรบางอย่างวิ่งตัดหน้ารถ จนทำให้คนขับต้องรีบเหยียบเบรคแบบไม่ทันตั้งตัว ส่งเสียงเอี๊ยดดดังลั่น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นอะไร เท่าที่ฟังจังคนขับคือ เหมือนจะเป็นสุนัขสีดำทะมึนตัวใหญ่ แต่หลังรถหยุดพอมองไปรอบๆทางเปลี่ยวข้างพงหญ้า ก็ดูเหมือนไม่พบสัญญาณของสิ่งมีชีวิต

ผลจากการเบรคกระทันหัน ไม่เพียงแต่คนที่หน้าคะมำคว่ำกลิ้งกันทั้งคัน ลิฟต์ที่อยู่ท้ายรถบรรทุกก็ดูท่าจะโยกคลอนออกจากตำแหน่งของมัน พอหันหลังไปดูก็พบว่าผ้าที่คลุมไว้ และเชือกที่รัดลิฟต์กับรถไว้อย่างดี ตอนนี้มันกระโดดออกจากกันไปคนละทาง ผมดูนาฬิกาดิจิตอลบนวิทยุหน้ารถบอกเวลาตีสามเข้าไปแล้ว โชคดีที่ถนนเส้นนั้นในเวลานั้นร้างผู้คนสัญจร ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายมากกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกัน….เพราะมันร้างจนเงียบเชียบจนได้ยินทุกเสียงกระทบเล็กๆน้อยๆนี่แหละ ที่ทำให้ผมกลัว! ยิ่งเมื่อกี้พึ่งจะฟังเรื่องผี the shock มาหยกๆ จินตนาการในสมองผมก็ขยันขันแข็งขึ้นมาผิดเวล่ำเวลา ทำเอาผมคิดไปไกลแล้ว ผมก็พ่อ ลุง และคนงานอีกคน ลงจากรถเพื่อไปช่วยกันรัดสินค้าให้แน่นเหมือนเดิม มีเพียงคนขับเท่านั้นที่ยังรออยู่บนรถ

ระหว่างที่เรา 4 คนอยู่หลังรถ ช่วยกันจัดการกับสินค้าอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดัง ตึก..ตึก..ตึกก.. เสียงมันค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีคนกำลังเดินย่ำเท้ามาทางนี้ พอผมหันไปดูทางหลังรถก็เจอเลย! เป็นหญิงสาวผมดำยาวเป็นมันในชุดสีขาว กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาๆ จวนเจียนจะถึงท้ายรถอยู่แล้ว! พอดีว่าจัดการกับลิฟต์เสร็จพอดี ผมเลยเคาะกระจกบอกคนขับให้ออกตัวเดี๋ยวนั้นเลย ผมไม่รู้ว่าที่เจอเป็นใครหรืออะไร แต่ก็โล่งใจที่ออกมาจากตรงนั้นได้ ระหว่างทางก็ขนลุกจนคิดไม่ตก แต่อย่างน้อยเราก็คงไม่ได้เจอ “สิ่งนั้น” อีกแล้ว ผมเคยคิดอย่างนั้น จนกระทั่ง…

เราตัดสินใจที่จะหาที่พักค้างคืนกันก่อน เพราะว่าหากดันทุรังไปต่ออาจจะเป็นอันตราย ก็ไปหาห้องพักกันหน้างาน และไปพบกับห้องพักราคาประหยัดแห่งหนึ่ง ซึ่งก็สมน้ำสมเนื้อกับราคาเสียจริง เพราะในห้องนั้นไม่มีอะไรอำนวยความสะดวกแต่อย่างใด เป็นห้องโล่งๆเลยว่างั้นเถอะ สักพักแม่บ้านก็นำฟูกนอนมาปูให้ครบจำนวน 4 คน ส่วนโชเฟอร์ของเรานอนแยกอยู่อีกห้องหนึ่ง

บอกตามตรงว่า เหนื่อยทั้งใจและกาย หัวถึงหมอนก็หลับทันที แต่เวลาน่าจะผ่านไปไม่นานนัก จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูห้อง “ก๊อกๆๆ…ก๊อกๆๆๆ” ทำลายความเงียบ ผมไม่ได้อยากลุกออกไปเท่าไหร่นัก แต่ก็จำเป็น และก็พบว่ามีผู้หญิงผมยาวในชุดสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้ามายืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจ

“สวัสดีค่ะ… หนูทำบางอย่างหาย… ช่วยหาหน่อยค่ะ…” 

มีคนมาขอความช่วยเหลือถึงหน้าห้อง แม้มันจะไม่ใช่เรื่องของเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ จริงมั้ยล่ะครับ พ่อผม ลุง และคนงานอีกคนในห้อง เลยลุกตามเธอ ไปช่วยหาของที่ก็ไม่รู้ว่าอะไร ส่วนตัวผมนั้นบอกตรงๆว่ารู้สึกไม่ดี และก็คุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงคนนี้ แต่ดันนึกไม่ออก ประกอบกับความง่วงจัด เลยนอนรอทุกคนอยู่ในห้อง

ระหว่างที่ผมนอนหลับปุ๋ยอยู่คนเดียว ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ถึงตรงนี้ครั้นจะลุกไปเปิดก็เกิดปอดขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมนิ่งอยู่อย่างนั้น กะว่าเดี๋ยวก็คงเงียบไปเองทำเมินซะอย่าง แต่จู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาแทน “สวัสดีค่ะ!” ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่า… เห้ย นี่มันเสียงผู้หญิงชุดขาวคนเมื่อกี้นี้หนิ กลับมาอีกทำไม? ละ..ล.. แล้วพ่อเรากับอีก 2 คนที่ไปด้วยกันล่ะ ไปไหน? ทำไมไม่กลับมาพร้อมกัน ผมคิดหาเหตุหาผลให้กับเรื่องราวประหลาดที่พยเจอมาตลอดคืนจะหัวแทบไหม้ ไม่ทันให้ผมได้คอดนาน สักพักเสียง “สวัสดีค่ะ” ก็เริ่มดังขึ้น แบะถี่ขึ้น!

สวัสดีค่ะๆๆ…สวัสดีค่ะๆๆๆ…สวัสดีค่ะๆๆๆๆ…

บอกเลยว่าคนปกติทั่วไปคงไม่ทำอะไรน่าขนลุกแบบนี้!

เสียงที่ว่ายังคงดังต่อไป ในที่สุดผมก็รู้สึกได้ว่า…เสียงมันเริ่มใกล้หูเข้ามามากขึ้นทุกทีๆ จนเหงื่อกาฬไหลพรากๆ ไม่ไหวแล้วผมอยู่ในนี้คนเดียวต่อไปไม่ได้… คิดได้แบบนั้นก็รีบพุ่งคัวทะยานออกจากห้อง วิ่งไปไม่ไกลนักก็ไปเจอพ่อกับคนอื่นๆยืนอยู่ ผมรีบเล่าสิ่งที่เจอมาโดยสังเขปให้ฟัง หลังจากนั้นเราเลยไปรวมตัวกันในห้องอาหารใกล้ๆ ก่อนที่จะเรียบเรียงเหตุการณ์ที่พบเจอกันมาให้ฟังโดยละเอียด

แต่คุณพระ!! จู่ๆผู้หญิงคนที่เป็นหัวข้อสนทนา ก็เหมือนอยากร่วมวง ปรากฏตัวมาจากทางไหนก็ไม่ทราบ ก่อนจะโผล่พรวดเข้ามากลางวงที่พวกเรานั่งล้อมกันอยู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า…

“ชอบฟังเรื่องผีกันมากเหรอ? …เรื่องของกรุ สนุกมั้ยล่ะ !!”

“เรื่องกรุ สนุกมั้ยล่ะ… เรื่องกรุ สนุกมั้ยล่ะ… เรื่องกรุ สนุกมั้ยล่ะ… เรื่องกรุ สนุกมั้ยล่ะะะะะะ” 

เธอพูดซ้ำๆอย่างนั้นต่อหน้าทุกคนอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ แต่ก่อนที่ผมจะได้รู้เหตุและผล หันหน้ากลับมาอีกทีก็พบว่า…วงแตกกระเจิง วิ่งหนีกันไปหมดคนละทิศคนละทาง! ส่วนผมเหรอ จะรออะไรล่ะครับ! ใส่เกียร์หมาวิ่งจ้ำตามไปเลยจร้าา

สุดท้ายหลังวิ่งกันอยู่พักใหญ่ ก็กลับมารวมตัวนอนกอดกันกลมในห้องเดิม ผู้ชาย 4 คนนอนแนบชิดสนิทเนื้อ ที่ในสถานการณ์ปกติคุณไม่มีวันได้เห็นแน่ๆ หน้าประตูเราก็เอาสัมภาระกระเป๋าแต่ละคนมากองรวมกัน กะว่าผีมันเปิดผ่านเข้ามาไม่ได้แน่ๆ พอรุ่งเช้าเราก็ตื่นมานั่งคุยกัน จับความไปจับความมาก็นึกสงสัยสิ่งที่เธอพูดทิ้งเอาไว้ “เรื่องกรุ…สนุกไหม?” ผมเลยล้วงแผ่นซีดี the Shock ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อขึ้นมาพลิกๆดู ไล่ดูลิสท์รายชื่อเรื่องเล่าผีที่อยู่บนปกด้านหลัง ก็ไปสะดุดเข้ากับบรรทัดหนึ่ง ที่มีเรื่องชื่อว่า “สวัสดีค่ะ” อยู่ในลิสต์ด้วย!! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : “สวัสดีค่ะ” จากคืนพุธมุดผ้าห่ม

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

14/04/2020

20 คำพูดหลอนๆจากปากหนูๆ เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เราไม่เห็น

ใครจะคาดคิด ว่าเหล่าหนูน้อยตัวเล็กๆที่ดูไร้เดียงสา บางทีก็อาจจะหลุดคำพูดที่แม้แต่ผู้ใหญ่ได้ยินก็ยังอดขนลุกขนพองไม่ได้ ว่ากันว่าช่วงอายุ 1-5 ขวบ เป็นช่วงที่มนุษย์จะยังคงมีเซ๊นส์ในการสัมผัสถึงสิ่งต่างๆที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาทั่วไป กระทั่งหนูๆเหล่านั้นเติบโตขึ้น เซ๊นส์ที่ส่าเหล่านี้ก็จะค่อยๆหายไป เว้นแต่บางคนที่เซ๊นส์แรงจริงๆ ยังคงสามารถมองเห็น “วิญญาณ” หรือผีได้แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ อย่างไรก็ตาม เราได้รวบรวม 20 เหตุการณ์ 20 คำพูดจากปากน้องๆหนูๆ ที่จะทำให้คุณขนลุกจนนอนไม่หลับ!

กล่าวอำลา

ในตอนที่น้องสาวของฉันอายุได้ 5 ขวบ เช้าวันหนึ่งเธอวิ่งเขาไปสวมกอดคุณตาจนแน่น แล้วเริ่มร้องห่มร้องไห้ ราวกับว่าไม่เจอกันมาสักปี ทั้งๆที่เราอยู่ด้วยกันมาตลอด ก่อนที่เธอจะพูดออกมาว่า “หนูรักคุณตานะคะ…แต่ ลาก่อนค่ะ หนูจะไม่ลืมเรื่องของคุณตาเลย” !?

แล้วในคืนนั้นเอง คุณตาของเราก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยโรคประจำตัวที่เป็นมานาน ไม่แน่ว่าเธออาจจะสัมผัสได้ล่วงหน้า ก็เป็นได้

ชายบนต้นไม้

ที่สวนของเพื่อนบ้านฉัน ห้อมล้อมไปด้วยโกศเก็บกระดูกของวัด วันหนึ่งพ่อ ฉัน และหลานสาวของฉันก็เดินไปบริเวณนั้น จู่ๆ หลานสาววัย 4 ขวบของฉันก็ถามขึ้นมาว่า “ผู้ชายคนนั้นขึ้นไปทำอะไรอยู่บนต้นไม้เหรอคะ?”

ที่ฉันเห็น ไม่มีผู้ชายที่ไหนสักคน แต่หลานสาวของฉันยืนยันว่ามี และสามารถอธิบายรูปลักษณ์ของเขาได้อีกด้วย บางทีถ้าใจกล้าพอและเดินดูตามโกศดีๆ คุณอาจจะพบรูปใครสักคนบนนั้น ตรงตามลักษณะที่เธอล่าวก็ได้ !

แมรี่

ผมและภรรยาได้ยินเสียงลูกสาววัย 2 ขวบของเราจากจอมอนิเตอร์ที่เชื่อมอยู่กับกล้องในห้องลูก ลูกสาวตัวน้อยเพิ่งตื่นขึ้นในเช้าวันเสาร์ เราได้ยินประโยคประมาณว่า “อะไรนะ? โอเคได้ เดี๋ยวฉันไปจะบอกเธอเอง”

จากนั้นลูกน้อยก็ลุกขึ้นจากเตียง แล้วเข้ามายังห้องของพวกเราแล้วเข้ามาพูดกับภรรยาของผมว่า “แมรี่บอกว่าแม่ทำได้ดีมาก” และแมรี่ที่ว่าก็คือคุณยายที่สนิทกับหนูน้อยมากๆ แต่บังเอิญว่าคุณยายตายไปสักพักแล้วน่ะสิ…

บทลงโทษ

ตอนนั้นฉันอายุ 17 ปี ซึ่งทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงน้อง 6 ขวบในครอบครัวที่สนิทกัน ขณะที่เจ้าหนูนอนในห้องนอนไปราวๆ 2 ชั่วโมงแล้ว ฉันจึงแอบแง้มประตูส่องในห้องนอนเพื่อเช็ก พบว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียง

แต่พอฉันเปิดประตูกว้างขึ้น ฉันพบว่าเขายืนอยู่ตรงมุมห้องและหันหน้าเข้ากำแพง มันเป็นภาพที่น่ากลัวมาก พอฉันถามเขาว่าทำอะไรอยู่ เขาหันกลับมาแล้วยิ้มพร้อมกับทาบนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากตัวเองแล้วพูดว่า “ชู่ววว” 

ฉันจึงถามเขาอีกครั้งว่าทำอะไร เขาก็ตอบกลับมาว่า “อย่ามายุ่งกับพวกเรา นี่คือบทลงโทษของเจ้าหนู”

คอนเนอร์

สมัยที่ลูกชายฉันอายุ 3 ขวบ เขาลงมาจากห้องนอนในตอนเช้าและเล่าเรื่องเกี่ยวกับเรือที่ล่มในแม่น้ำเทมส์เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว (ฉันก็จำไม่ค่อยได้) แต่ขณะที่เขาเล่า เขาจำชื่อต่างๆ ได้อย่างละเอียด นั่นทำให้พวกเราหัวเราะกันก๊าก จาสามีของฉันต้องถามออกไปว่าเขารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เขาตอบว่า “คอนเนอร์เล่าให้ผมฟัง”

จากนั้นเราก็เสิร์ชดูรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์เรือล่มในครั้งนั้น ปรากฏว่ามันตรงกับที่ลูกชายเราเล่าเป๊ะๆ เมื่อเราถามหนูน้อยก็ได้คำตอบว่า คอนเนอร์เป็นคนที่ชอบมาเล่าเรื่องให้ลูกชายของเราฟังในตอนกลางคืน

มันกำลังมา

ขณะที่ลูกสาวคนโตของฉันมีอายุได้ราว 2-3 ขวบ เธอจะมีเพื่อนในจินตนการของเธออยู่สองคนคือ โดโด้และดีดี้ เธอเล่นกับพวกเขาตามปกติ มีการพูดคุย และนำเรื่องของโดโด้กับดีดี้มาเล่าให้ฉันฟังบ้างในบางครั้ง

และแล้ววันหนึ่ง ขณะที่เธอมีอายุประมาณ 3 ขวบนั่นแหละ ขณะที่ฉันเดินเข้าไปในห้องเธอ เธอก็เล่นคุยโทรศัพท์ด้วยโทรศัพท์ของเล่นอยู่ เธอพูดว่า “ถือสายรอเดี๋ยวนะ”

แล้วหันมาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแห้งเย็นว่า “ปีศาจกำลังมา”

แม่รู้มั้ย?

ขณะที่ลูกสาวของฉันกำลังเปิดแมกกาซีนดูภาพต่างๆ จู่ๆ เธอก็หยุดไว้ที่หน้าหนึ่งของหนังสือ หน้านั้นเป็นภาพของหญิงจากยุคราวๆ 1950s หรือไม่ก็ 1960s จากนั้นเธอก็พูดว่า “แม่ดูสิ คนนี้คือแม่..ก่อนที่แม่จะตายยังไงล่ะ”

ตอนนั้นลูกฉันอายุ 3 ขวบเองนะ…

ลูกชายของผมเมื่อตอนห้าขวบพูดว่า

ลูกชาย: พ่อๆ ผมจะกินพ่อล่ะนะ

ผม: หืมมมมม

ลูก: ช่าย ผมจะหั่นพ่อเป็นชิ้นๆ

ผม: ….

เมื่อตอนหลานสาวของฉันอายุได้ 7 ขวบ

เธอถามพวกเราว่า ทำไมเราต้องเก็บพวกคุณย่าคุณยายที่ตายไปแล้วไว้บนห้องใต้หลังคา!?

แล้วเธอก็หัวเราะ….

ฉันเคยถามลูกชายของเพื่อนว่าเขากำลังขุดอะไรอยู่

เขาตอบมาว่า “ศพไง… ทำไม…? คุณไม่เคยเห็นร่างคนตายเหรอ”

ระหว่างที่เรากำลังปิกนิกกันที่สวน

ตอนนั้นเองลูกชายของฉันก็จับมือฉันไว้แน่น แน่นมากๆ แล้วบอกฉันด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ครับ พอแม่ตาย ผมจะทำตุ๊กตาของคุณแม่ขึ้นมา เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป… นั่นสินะ ตุ๊กตาจะทำจากหนังของคุณแม่ แล้วก็ตาด้วย แต่คงไม่เอาเครื่องใน” 

กำลังเดินเล่นในป่ากับลูกชายวัยเจ็ดขวบ

ระหว่างที่เดินในป่าเงียบๆ นั่นเอง จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “ป่าแห่งนี้กำลังเรียกหาเหยื่อสังเวยอยู่”

ฉันต้องเดินทางไปทำงานข้างนอกบ่อยๆ ก็เลยวิดีโอคอล เพื่อคุยกับลูก

คืนหนึ่งในตอนที่เขาอายุได้สี่ขวบ จู่ๆ เขาก็ถามฉันที่กำลังพักในโรงแรมคนเดียวว่า “คนที่อยู่ในห้องกับแม่ นั่นใครเหรอ” พอฉันถามว่าเขาหมายถึงใครเหรอ ลูกชายของฉันก็บอกว่า มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ข้างหลังฉัน

ฉันกำลังเดินในสุสานกับลูกสาวระหว่างกลับบ้าน

ลูกสาวของฉันที่ไปที่ฮวงซุ้ยอันหนึ่งแล้วบอกว่า “แม่ๆ ผู้ชายใส่แจ็คเก็ตแดงข้างๆ บ้านหินนั่นใครเหรอ” ฉันหันไปดูตามนั้นแต่ก็ไม่เห็นมีใคร “เขาโบกมือให้หนูด้วยล่ะ” ว่าแล้วเธอก็โบกมือให้อะไรสักอย่างที่อยู่ตรงนั้นแล้วก็หันมาบอกฉันว่า “แม่ๆ เขากำลังจะเดินมาคุยกับหนูด้วย”

วิ่งสิคะ รออะไรอยู่!

ตอนที่ผมกำลังซื้อของอยู่นั้น ผมก็พบกับแม่ลูกคู่หนึ่ง

เธอดึงแขนเสื้อของคุณแม่แล้วบอกว่า “หนูเห็นล่ะ คุณแม่ หนูเห็นล่ะ” พอเห็นแบบนั้นแม่ของเธอจึงตอบกลับไปอย่างใจเย็นว่า “เห็นอะไรเหรอลูก” เด็กสาวพูดต่อว่า “ทุกสิ่งทุกอย่าง หนูเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง” 

มันก็ดูไม่เกี่ยวกับผมอยู่หรอก จนกระทั่งเธอหันมามองผมแล้วบอกว่า “ผู้ชายคนนี้จะต้องตายในสักวัน…”

น้องที่ฉันรับเลี้ยงดูแล ชวนฉันไปเล่นในชั้นใต้ดิน

เมื่อไปถึงเขาก็บอกว่า “เมื่อพวกเขาเอาคุณยัดใส่กล่อง จะไม่มีใครได้ยินเสียงของคุณ แล้วข้างล่างนี้ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของคุณเหมือนกัน” แล้วก็กัดฉัน

สิ่งที่รอทุกคนอยู่ และไม่มีใครหนีพ้น

หนูน้อย : พวกเราจะต้องตายสักวัน

ฉัน : ฉันรู้ มันเป็นส่วนหนึ่งของชี…

หนูน้อย : แต่เธอจะต้องตายวันพรุ่งนี้!!

Kelly ไงจะใครล่ะ

ขณะที่ลูกสาวของผมมีอายุ 3 ขวบเธอมีเพื่อนในจินตนาการที่ชื่อว่า Kelly ซึ่งอาศัยอยู่ในตู้เสื้อผ้า เธอบอกว่า Kelly จะนั่งมาบนเก้าอี้โยกยามที่เธอนอนหลับ บางครั้งก็เล่นกับเธอ รวมถึงทำอะไรต่างๆ ร่วมกันมากมาย

สองปีให้หลัง เมื่อผมและภรรยากำลังดูหนังเรื่อง Amityville (ภาคที่ Ryan Renolds แสดง) จังหวะที่ผีสาวในหนังโผล่หน้าพร้อมดวงตาสีดำไปทั้งดวง ลูกสาวของเราก็เดินมาเห็นพอดี แทนที่เธอจะกลัว เธอกลับพูดออกมาว่า “นั่นดูเหมือนกับ Kelly ไม่มีผิด”

“Kelly ไหนลูก?” เราถาม เธอจึงตอบว่า “ก็ Kelly ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าเราไงคะ” 

บ้านเรามีแม่คนเดียวนะลูก…

ลูกคนเล็กของฉันจู่ๆ ก็พูดกับฉันขึ้นมาว่า “หนูอยากเจอแม่อีกคนจังเลย” แถมยังบอกกับฉันอีกว่าแม่อีกคนเป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ เลยด้วย

ก็พี่เลี้ยงน่ะสิ

สมัยยังเล็กๆ ลูกพี่ลูกน้องของฉันถูกพบว่าลงไปอยู่อีกด้านของประตูกั้นบันได เธออยู่ด้านล่างนั่น ฉันจึงตะโกนถามว่า “เธอลงไปได้ยังไงน่ะ?” เธอตอบว่า “พี่เลี้ยงอุ้มฉันลงมายังไงล่ะ”

แต่บังเอิญว่าพี่เลี้ยงของบ้านเราตายไปตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เลยว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันลงบันไดและข้ามประตูกั้นไปได้ยังไง

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก …

Admin

12/04/2020

เรื่องเล่าผี | ทศกัณฐ์หนุ่มที่ยังขึ้นแสดง..แม้วันที่ตัวตาย

เรื่องเล่าผีวันนี้ เป็นเรื่องราวที่ผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ “หาญ ใจสิงห์” ได้นำมาถ่ายทอดลงในโลกโซเชียล โดยเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่รันทดของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในชมรมนาฏศิลป์ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มที่ถูกชักชวนให้เข้าร่วมชมรมจากสาวที่หมายปอง แม้ว่าตนต้องสวมบทตัวร้ายก็เต็มใจ และแม้กระทั่งหมดล้มหายใจ…เขาก็ไม่เคยลืมเธอคนนั้น

หนุ่มนาฏศิลป์ที่ศรัทธาในหน้าที่ บทบาท และความรัก

เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ ผมได้รับฟังมาจากรุ่นน้องอีกทีหนึ่ง ในสมัยที่ผมยังเป็นสิงห์นักดื่ม และร่วมก๊วนตั้งวงกินดื่มกับเพื่อนๆ ในค่ำคืนนั้นเองขณะที่พวกเราตั้งวงกันอยู่บนโต๊ะม้านั่งใต้ต้นไทรต่นใหญ่ที่มีรากงอกย้อยรุงรัง ใต้ต้นไทรที่ว่านั่นมีหุ่นจำลองนางรำ กุมาร ฤาษีต่างๆที่มักใช้ในการตั้งไว้ในศาล มาทิ้งระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด จู่ๆน้องคนที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็นิ่งจ้องบางสิ่งบางอย่างลึกเข้าไปในกองหุ่นชำรุดเหล่านั้น ผมทักถาม น้องมันก็ชี้ให้ผมดู…สิ่งที่มันกำลังสนใจอยู่คือหุ่นจำลองรูปหนุมานและพญายักษาทศกัณฐ์

“พี่หาญเชื่อเรื่องผีมั้ย?”

นั่นคือจุดเริ่มต้น ตอนนั้นนาฬิกาข้อมือผมบอกเวลา 5 ทุ่ม 15 นาที คำพูดเมื่อกี้กูจะเรียกความสนใจจากเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆด้วยเช่นกัน ผมตอบกลับไปสั้นๆว่า “พี่เชื่อนะ” ก่อนที่น้องคนนั้นจะออกปาก เล่าเรื่องผีที่บาดลึกจิตใจจนฟังจบแล้วต้องน้ำตาซึมกันเลยทีเดียว ไว้ว่า…

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน สมัยผมยังอยู่ม.ปลาย ถ้าจะให้ระบุชัดเจนกว่านั้นก็คือตอนมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนจำเป็นต้องเลือกกิจกรรมชมรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา ผมมีเพื่อนซี้กันอีก 2 คนคือ กอล์ฟ กับ ยิม ด้วยความที่เป็นผู้ชายวัยรุ่น พวกเรากะจะเข้าร่วมชมรมที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นชายทั่วไปอย่างชมรมดนตรีสากล ไม่ก็ชมรมกีฬาเท่ๆอย่างบาสเก็ตบอล คงไม่มีใครนึกฝันว่าสุดท้ายชมรมที่พวกผมเลือกเข้าจะเป็นชมรมนาฏศิลป์

สาเหตุก็ง่ายๆ เป็นเพราะว่าเพื่อนผมแอบชอบสาวคนนึงเหมือนกันอยู่ เพียงแค่ชมพู่สาวสวยประจำชมรมนาฏศิลป์มาชวนทั้งคู่เข้าชมรม เนื่องจากปีนั้นคนขาด เพื่อนผมก็รีบตอบรับเข้าร่วมแบบที่ไม่ต้องคิดเลยทีเดียว เรียกว่ากะทำคะแนนให้ได้ใจกันไปเต็มๆ แถมตะได้ใกบ่ชิดกับเธอมากขึ้นอีก โอกาสดีๆแบบนี้หากไม่คว้าไว้คงต้องเสียใจทีหลังแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ตกกะไดพลอยโจนไปกับเขาด้วย

พอเข้าไปในชมรมจึงได้รู้ว่าเขาสอนการเล่นโขน มีครูมาสอนหัดเล่นหัดแสดงตลอด เพื่อที่จะออกแสดงในงานเลี้ยงรุ่นพี่ในท้องเรื่องรามเกียรติ์ โดยให้กอล์ฟเป็นพระราม ยิมเป็นทศกัณฐ์ ผมเป็นหนุมานแล้วชมพู่เป็นนางสีดา ทั้งหมดมาฝึกซ้อมด้วยกันหลังเลิกเรียนทุกวัน

วันเวลาผ่านไป ผมได้รู้ว่าชมพู่แอบมีใจให้กับกอล์ฟ ส่วนยิมนั้นก็รู้แต่ยังไม่ละความพยายาม มันพยายามตามตื้อ ซื้อดอกไม้มาให้ ชวนไปกินไอติมตลอด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชมพู่เปลี่ยนใจได้เลย ทั้งสองชอบพอกัน เวลาซ้อมเข้าพระเข้านางกันช่างดูหวานสวยงาม ผมสังเกตเห็นยิมร้องไห้ภายใต้หัวโขนทศกัณฐ์อยู่เสมอ

ใกล้จะถึงวันแสดงมากขึ้นเท่าไหร่ ยิมนั้นก็ดูคล้ายใจสลายมากขึ้นเท่านั้น ก่อนวันแสดงจริงสองวัน ครูบอกให้ซ้อมดึกเสียหน่อยเพื่อความสวยงามและสมจริง ช่วงพักกินข้าวชมพู่กับกอล์ฟนั่งเคียงคู่หยอกล้อ ผมหันไปมองยิมที่นั่งก้มหน้าตาแดงก่ำ ไม่มีอาการใดๆ นอกจากหยดน้ำตาที่ไหลลงในจานข้าว ผมเอามือตบไหล่ถามแผ่วเบาว่าไหวไหม งานจะเริ่มวันสองวันนี้แล้วนะ ยิมพยักหน้าให้ แล้วลุกหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น

วันต่อมา ทั้งหมดได้มาซ้อมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้แปลกตรงที่ยิมไม่ถอดหัวทศกัณฐ์ออกเลย มันไปนั่งที่ศาลาริมน้ำหลังโรงเรียน ผมเดินตามเจอ แล้วจะเรียกไปกินข้าว

“เฮ้ยยิม! ครูให้เรียกไปกินข้าวว่ะ”

“เออ ไปเถอะ กรุไม่ค่อยหิว”

“เมิงเป็นอะไรมากป่าววะ?”

“กรุถามหน่อย เมิงว่าไอ้เรื่องรามเกียรติ์มันมีจริงไหมวะ?”

“ไม่รู้สิ กรุว่ามันเป็นนิยายคล้ายๆ ไซอิ๋วมั้ง ทำไมถามงี้วะ”

“ทำไมทศกัณฐ์ต้องแพ้พระรามด้วยวะ?”

“ก็พระรามคือคนที่สีดารักไง”

“ถึงทศกัณฐ์เป็นยักษ์แต่มันก็รักสีดาไม่น้อยกว่าพระรามนะ”

“มันก็ใช่ แต่เดี๋ยวก่อน เมิงกำลังสื่อถึงอะไรไหม เรื่องของชมพู่ใช่ไหม”

…ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบงันเข้ามาแทนที่

ผมตบไหล่ยิมบอกทำใจเถอะ ยังไงเธอก็มีใจให้กอล์ฟ คนมันไม่ใช่ต่อให้ดีกับเขาแค่ไหนเขาก็ไม่เอา แล้วยิมก็บอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดชมพู่ ว่าจะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ ผมถามว่าจะไปตอนนี้เลยเหรอ ยิมพยักหน้าแล้วบอกว่าไปทั้งชุดนี้แหละ เดี๋ยวขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ผมเลยแซวว่า ถอดออกด้วยนะหัวโขนน่ะ เดี๋ยวใครเห็นทศกัณฐ์ขี่มอไซค์จะตกใจแย่ ยิมลุกเดินไปสตาร์ทรถก่อนขับออกไป

เดินกลับไปแล้วก็นั่งเล่นอยู่ม้าหินอ่อนหน้าโรงเรียน เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ดูนาฬิกาที่ฝาผนังบอกว่าสี่ทุ่มครึ่งก็สงสัย ทำไมเจ้ายมมันไม่กลับมาสักที หรือมันจะไปกินเหล้าเพราะกลุ้มใจ

ผมกำลังจะเดินไปบอกครู แต่ก็มีเสียงรถขี่เข้ามาพอดี หันกลับไปกลายเป็นยิมถือถุงมาหนึ่งถุง ยื่นให้ผม ตัวมันมีแต่น้ำบอกว่าไปเปลี่ยนชุดก่อน ผมเห็นว่ามันมาแล้วก็เออออไป พอถึงตอนนอนก็เห็นยิมนอนคลุมโปงอยู่คิดว่าไม่สบายหรือเปล่า ไม่ทันได้ถามก็หลับเสียก่อน

ตื่นมาตีห้า ปรากฏว่ายิมหายไปแล้ว ทุกคนไปแต่งตัวเพื่อที่จะซ้อมใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนแสดงในอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมในชุดหนุมานเดินหายิมปรากฏว่าไม่เจอ กอล์ฟมาเรียกบอกว่าครูให้มาตามไปไหว้พ่อแก่ ผมบอกยังไม่เจอยิมเลย กอล์ฟบอกจะเจอได้ไง มันนั่งใส่ชุดทศกัณฐ์รออยู่ในห้องแล้ว ผมเลยเดินตามไป

พอถึงห้องก็ไปไหว้พ่อแก่เสร็จถามยิมว่าไปไหนมา ยิมว่าแอบเอาของขวัญไปให้ชมพู่ แต่ว่าชมพู่รับไปไม่มีแม้คำขอบใจ ไม่ยิ้มให้ด้วยซ้ำ เลยบอกไปว่าอย่าคิดมากเลยจะแสดงแล้ว

พอถึงเวลาแสดง ผมสังเกตว่ายิมแสดงดีมากจริงๆ ยิ่งบทเศร้านี่หดหู่ใจตาม ตอนจบที่พระรามยิงธนูมาโดนแต่ยังยืนหยัดอยู่ได้ ครั้นหนุมานไปเอากล่องดวงใจที่ทศกัณฐ์ถอดไว้แล้วมาทำลาย มันแกล้งเดินไปขาดใจล้มฟุบลงไป แล้วจบการแสดง ผ้าม่านก็ค่อยๆ ปิดลง พอทุกคนเดินลงจากเวที ผมมองหายิมมันหายไปอีกแล้ว…

ไม่ถึงห้านาที มีรถมูลนิธิคันหนึ่งวิ่งเข้ามา บอกว่ามีนักเรียนชื่อนี้ นามสกุลนี้ไหม? ครูอาจารย์ กอล์ฟและชมพู่ก็ไปดู ปรากฏว่าเป็นชื่อจริงของยิม! เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น

พี่มูลนิธิบอกว่า น้องคนนี้เสียแล้วนะ เหมือนจะขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วยความเร็ว ทางก็มืดหรืออย่างไรไม่รู้ น้องเขาขี่ไปอัดกับท้ายรถสิบล้อที่จอดอยู่ข้างทาง ดับอนาถคาที่เลย มอเตอร์ไซค์กระเด็นไปใต้ท้องรถ ส่วนร่างน้องกระเด็นกลิ้ง ลงไปติดอยู่ในร่องน้ำข้างทาง

ทุกคนถึงกับหน้าเสียและตกตะลึงหมด ผมถามว่าแล้วคนขับรถสิบล้อไม่รู้หรือพี่

“แกไม่รู้สิ แกดื่มมาก่อนไง เลยจอดนอน พอตื่นมาตอนเจ็ดโมงลงไปชิ้งฉ่องข้างรถ มองเห็นมอเตอร์ไซค์เลยกวาดสายตาดู ถึงได้เจอร่างไร้วิญญาณของน้องคนนี้นอนหงิกงออยู่ แกสร่างทันทีเลยรีบมาแจ้งพี่นี่แหละ แล้วที่พี่รู้ว่าอยู่โรงเรียนนี้เพราะพี่ถอดชุดโขนที่น้องเขาใส่อยู่ เลยเห็นชื่อที่ปักบนเสื้อนักเรียนน้องเขาไง”

ชมพู่ถามด้วยน้ำเสียงสั่น ว่าใส่ชุดยักษ์ไหมคะพี่ แล้วเสียเมื่อไหร่ พี่เขาตอบมาว่า ใส่ชุดเหมือนทศกัณฐ์นี่ล่ะ แล้วดูเหมือนจะเสียตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

ทั้งหมดได้แต่ยืนน้ำตาไหล ผมถึงกับร้องไห้ออกมา ส่วนชมพู่บอกว่าแล้วที่พวกเราเห็นยิมนอนอยู่ ที่แสดงด้วยกันเมื่อกี้คืออะไร วิญญาณยิมใช่ไหม? ผมบอกชมพู่ว่าเมื่อเช้ายิมบอกว่าเอาของขวัญวันเกิดมาให้เธอนี่นา แต่เธอไม่ยิ้มไม่ขอบใจมันเลย

ชมพู่สะอื้นไห้ บอกว่าเธอบอกยิมแล้ว ว่าอย่าพยายามอีกเลย เหมือนทศกัณฐ์ต่อให้รักมั่นสีดาแค่ไหนอย่างไรก็พ่ายพระรามอยู่ดี คงรู้ว่าที่เธอพูดหมายความว่าไงนะ แล้วเธอก็เห็นว่ามีน้ำหยดออกมา ภายใต้หัวโขนทศกัณฐ์นั้น เขาคงเศร้าใจมาก ผมคิดได้แค่ว่าสงสารยิมมาก หวังว่ามันคงไม่ได้จะคิดสั้น แต่น้ำตาจากความเสียใจที่มันรินไหล คงทำให้มองอะไรไม่ชัด จึงเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น

หลังจากวันนั้นมา ทั้งผม กอล์ฟและชมพู่ ก็ขอออกจากชมรมนาฏศิลป์ เพราะทำใจไม่ได้ที่ได้เห็นหัวโขนทศกัณฐ์ เรื่องราวมีเท่านี้ครับ

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : ผู้ใช้เฟสบุ๊ค หาญ ใจสิงห์

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

08/04/2020

5 ประสบการณ์ผวาในร้านอาหาร | ผีสั่งพิซซ่า ผีลวกเย็นตาโฟ ฯลฯ

1. เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : เย็นตาโฟ

เท่าที่จำความได้ ผมเติบโตมากับ “ก๋วยเตี๋ยวพี่พจน์” เลยทีเดียว เนื่องจากแกจะตระเวนเข็นขายในละแวกนี้มาตลอดหลายสิบปี ผมกินมาตลอดตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนกระทั่งปัจจุบันเรียนจบทำงานแล้วก็ตาม เนื่องจากปัจจุบัน 2-3 ปีที่ผ่านมาผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์และใช้บ้านเป็นออฟฟิศ ทำให้มีโอกาสได้ฝากท้องมือกลางวันไว้กับก๋วยเตี๋ยวของพี่แกเป็นประจำ ด้วยความที่เป็นคนไม่ทำอาหารทานเอง และรถแกก็มักจะผ่านหน้าบ้านผม เป็นตัวเลือกหนึ่งที่หากินได้ง่ายและสะดวก เรียกได้ว่าช่วงนั้นผมเป็นลูกค้าประจำของแกเลย

แต่หลังจากนั้น ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผมจำเป็นต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด เลยไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ผมก็เลยห่างหายจากก๋วยเตี๋ยวของเฮียแกไปพักใหญ่ กระทั่งคืนหนึ่งที่ผมได้กลับบ้านในรอบหลายเดือน ขณะกำลังนอนเล่นพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง ผมก็ได้ยินเสียงร้องเรียกที่คุ้นเคย

“ก๋วยเตี๋ยวมาแล้วว ก๋วยเตี๋ยวมาแล้วครับบ”

ผมเหลือบมองนาฬิกาแขวนที่ผนัง มันบอกเวลา 3 ทุ่มแล้ว ผมอดแปลกใจไม่ได้นิดหน่อย เนื่องจากปกติพี่พจน์แกจะเข็นขายช่วงกลางวัน อย่างไรก็ตาม ด้วยยุคสมัยและเศรษฐกิจที่เปลี่แปลงไป ทำให้คนเราก็ต้องขยันหาเงินกันมากกว่าเดิม เป็นไปได้ว่าแกก็คงไม่ต่างกัน ประกอบกับผมรู้สึกหิวขึ้นมาพอดี เลยรีบลงไปดักรอพร้อมกับชามสีขาวจากในครัว

เนื่องจากละแวกบ้านผมนั้นค่อนข้างจะสงบเงียบกันอยู่แล้ว ประชากรส่วนใหญ่ก็จะเป็นครอบครัว อีกทั้งแต่ละหลังก็จะปลูกห่างกันออกไปพอสมควร ทำให้ในช่วงกลางคืนแบบนี้ มันยิ่งเงียบซะจนเสียงลมพัดก็ยังดังชัดเจน คืนนี้อากาศก็เย็นเยียบพิกล ผมยื่นชามที่พกออกมาให้พี่พจน์ก่อนจะสั่งเส้นเล็กเย็นตาโฟหนึ่งที่

“พักนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตานะ”

พี่พจน์ออกปากทักอย่างเงียบขรึม ออกจะผิดวิสัยของแกไปบ้าง เนื่องจากปกติแกจะออกตุ้งติ้ง มักจะทักทายอย่างจีบปากจีบคอราวกับผมเป็นหนุ่มหล่อก็ไม่ปาน

“ช่วงนี้ออกต่างจังหวัดตลอดเลย ไปเรื่องงานน่ะพี่”

“แม่ก็ไม่ค่อยเจอนะ…”

“อ๋อ ช่วงนี้แม่ผมเค้าไม่ค่อยอยู่ติดบ้านหรอก แกก็ไปเที่ยวกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันน่ะ”

พี่พจน์ส่งชามเย็นตาโฟให้ผม ขณะที่ผมกำลังเตรียมจะตักเครื่องปรุงที่วางเรียงรายอยู่หน้ารถเข็นนั้น พอดีว่าได้ยินเสียงรถขายโอเลี้ยงเลี้ยวเข้ามาพอดี ผมเลยหันไปมองแว้บหนึ่ง ปรากหันกลับมา รถเข็นก๋วยเตี๋ยวของพี่พจน์ก็หายไปซะแล้ว “อ้าว รีบไปซะแล้ว ยังไม่ทันได้ปรุงเลย” ผมอดที่จะบ่นอุบอยู่คนเดียวไม่ได้ ก่อนที่จะกลับเข้าไปในครัวเพื่อหาซองเครื่องปรุงที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้าง แต่พอเดินกลับมาหาชามที่วางเอาไว้บนโต๊ะ สิ่งที่อยู่ในชามทำเอาผมสะดุ้งโหยง สิ่งที่ควรจะเป็นเย็นตาโฟรสเลิศที่คุ้นเคย มันกลับคลาคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวของของเหลวค้นคลั่กสีแดงชาดในชาม

เมื่อตั้งสติได้ผมก็ยกชามออกมายืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าบ้าน เตรียมจะเททิ้งแต่ก็มองหาภาชนะรองรับก่อน พี่คนขายกาแฟโอเลี้ยงคงเห็นผมหน้าตาตื่นจึงถามผมว่ามีอะไรหรือ

“ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ผมซื้อจากพี่พจน์แก พอยกเข้าบ้าน ไหงกลายเป็นชามเลือดทั้งชาม”

“โดนแล้ว” พี่คนขายกาแฟร้อง เมื่อเห็นผมหน้าตางุนงง จึงอธิบายเพิ่มเติม “พี่พจน์แกเสียมาสองเดือน แล้วมั้ง”

ผมร้องอุทานตาโต “ตะกี้แกยังขายก๋วยเตี๋ยวให้ผม อยู่เลย”

“ผมก็ว่า เห็นคุณยืนพูดอยู่คนเดียว ยังนึกแปลกใจ” พี่คนขายกาแฟพูดต่อ “มีคนเจอหลายคนแล้ว บางทีก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกก็กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือเลือก บะหมี่แห้งก็กลายเป็นชามหนอน”

ผมไม่ค่อยอยากฟัง แต่แกคงอยากเล่าต่อ “คุณรู้ไหมแกเสียยังไง หลายเดือนก่อนมีสิบล้อเข้ามาซอยของเราแล้วเกิดเบรกแตก แกจอดขายอยู่ดีๆ เลยถูกทับ โน่น หน้าโกดังขายของเก่าพอดี น่าสงสารแกมาก นี่คุณไม่รู้เลยหรือ เรื่องออกดัง”

ผมเดินเข้าบ้านอย่างนึกสงสารทั้งแกและตัวเอง ไม่น่าเลยพี่พจน์ เล่นผมแรงจริงๆ ระหว่างนั้นแม่ผมก็โทร.เข้ามา ผมเล่าให้แม่ฟังเรื่องผมโดนพี่พจน์หลอก แม่ตอบเสียงเรียบ “แกโดนสองเด้งแล้ว ไอ้คนขายโอเลี้ยงมันก็ตายพร้อมอีพจน์นั่นแหละ มันหลอกแกแท็กทีมเลย”

ผมวางสายแม่ ไม่กล้าออกไปหน้าบ้านตอนกลางคืนอีกนานแน่นอน

Cr. ข่าวสด

2. เรื่องเล่าเขย่าขวัญ : บะหมีเกี๊ยวโต้รุ่ง

ขอเกริ่นนำก่อนครับ เรื่องนี้ผมได้รับฟังมาจากติวเตอร์จากที่เรียนพิเศษแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงแถวสยาม สมัยผมอยู่ ม.4 (2550) ติวเตอร์ท่านนี้จบวิศวกรรมโยธา สอนวิชาคณิตศาสตร์ ม.4 ซึ่งตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ (ปัจจุบันผมก็ประกอบวิชาชีพนี้เหมือนกัน)

เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนของ ติวเตอร์ท่านนี้ จบใหม่ๆ ไปทำงานเป็นวิศวกรโยธา คุมหน้างาน (Construction site) ที่จังหวัดแห่งหนึ่งแถวภาคกลางตอนบน ควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน ของหน่วยงานรัฐ

ด้วยความที่ต้องมาทำงานต่างจังหวัด ซึ่งไกลบ้าน จึงต้องพักแถวที่ทำงาน ในบริเวณไซต์งาน ก็จะมีบ้านพักชั่วคราวให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความอึดอัด ไม่อยากอยู้ใกล้สถานที่ก่อสร้างเกินไป และอยากอยู่ใกล้ย่านชุมชน วิศวกรท่านนี้ เลยมาหาที่พักข้างนอกแทน จนมาได้ที่พักเป็น Apartment ใกล้ๆ ตลาด ข้างหน้า Apartment มีร้านรถเข็นบะหมี่เกี๊ยวอยู่หนึ่งร้าน (ร้านโต้รุ่ง)

คืนแรก คืนแรกที่เข้าพักวิศวกรท่านนี้ก็เเวะกินมื้อเย็นที่ ร้านบะหมี่เกี๊ยว (20.00 น)

“บะหมี่สองชามครับ”

เมื่อกินเสร็จ จึงเดินไปจ่ายเงิน อาเเปะก็ทักขึ้นว่า “กินคนเดียวสองชามเลยนะ ไม่เเบ่งให้แฟนเลย”

“ผมมีแฟนที่ไหน มาทำงานไกลขนาดนี้”

หลังจากนั้นจึงกลับขึ้นห้องพัก ซึ่งอยู่ชั้น 3 >> อาบน้ำ ดูTV และล้มตัวปิดไฟนอน ในคืนนั้นได้มีเสียงประหลาดเกิดขึ้น ดัง “แปก แปก….แปก” ไม่มีจังหวะ เดียวหายเดียวติดกัน ทางวิศวกรท่านนี้ก็ไม่ได้คิดอะไร นึกว่าเป็นเสียงเครื่องปรับอากาศ จึงหลับตานอนไป

คืนที่สอง คืนนี้วิศวกรตื่นขึ้นกลางดึกเพราะว่า เสียงลึกลับดังกล่าว ได้ดังขึ้นอีกครั้ง เเต่คราวนี้ นอกจากมันไม่เป็นจังหวะแล้ว มันยังเคลื่อนย้ายไปรอบๆ ห้องด้วย จนบางครั้งเหมือนมาอยู่ข้างๆ บ้างก็อยู่ปลายเตียง ดัง “แปก แปก….แปก” วิศวกรจึงลุกขึ้นมา และเปิดไฟในห้องพยายาม หาที่มาของเสียงให้ได้ เเต่เสียงนั้นก็หายไป และเขาก็สรุปได้ว่า มันไม่ใช่เสียงแอร์แน่นอน

คืนที่สาม คืนนี้วิศวกรท่านนี้ไม่นอน เพราะจะหาที่มาของมันให้ได้ เลยเปิดไฟ ทุกห้อง (ซึ่งมีแค่ห้องนอน และห้องน้ำ) และดู TV จะต้องหาที่มาของมันให้ได้ จนกระทั้งมาถึง ตี 2 ก็ไม่มีเสียงลึกลับนั้น จึงถอดใจนอน จึงเดินไปปิดไฟที่ห้องน้ำก่อน ทั้นใดนั้น เสียง “แปก แปก….แปก” ก็ดังขึ้น บริเวณใต้อ่างล่างหน้า ในห้องน้ำ วิศวกรท่านนี้ จึงก้มหน้าไปดู

พบเป็นหญิงสาว ผมรุงรัง ใส่กางเกงยีนขาสั้น เสื้อสายเดี่ยวสีดำ กำลังนั่งกอดเข่า เล่นไฟเซ็กอยู่ ไฟเซ็กซึ่งไม่มีไฟ

ทั้นนั้นเองหญิงสาวผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับวิศวกร วิศวกรท่านเล่าต่อๆ มาว่า เเววตาน่ากลัวมาก อาฆาต สยองที่สุดในชีวิตแล้ว เพราะไม่มีตาขาวเลย ออกดำๆขุ่นๆ

ด้วยความกลัว วิศวกรจึงพยามนำตัวเองออกนอกห้อง วิ่งยังไงก็วิ่งไม่ออก ขาก้าวไม่ออก ได้แต่เดินอย่างช้าๆ พร้อมหยิบกุญแจ และกระเป๋าเงิน เมื่อออกมาถึงนอกห้องแล้ว ก็หันกลับมาล็อกห้องอย่างใจเย็น แล้วก็เดิน คือก้าวขาแทบจะไม่ออกเลย ในใจอยากจะวิ่งมาก ขณะที่พยามนำตัวเองออกไปให้ไกลจากสถานการณ์นี้ให้มากที่สุด (พยามลงไปข้างล่าง) ระหว่างนั้นเองหญิงสาวดังกล่าวก็วิ่งชนประตูจากข้างในห้อง ดัง “ปัง………..ปัง……..ปัง”

เมื่อวิศวกรลงมาถึงข้างล่างแล้ว ทำอะไรไม่ถูกจึงไปสั่งหมี่เกี๊ยว “บะหมี่ชามครับ”. . . . . “ขออีกชามครับ” . . . . . เมื่อกินชามที่สองหมด อาแปะเข้าไปทักทาย

“ทำไม ลงมากินตึกจัง นี้ก็ตีสองกว่าละนะ แล้วแฟนไม่มาด้วยหรอ”

“ผมไม่มีครับ”

“อ้าว แล้วผู้หญิงที่นั่งด้วยกันวันนั้น ล่ะ”

“ใครครับ”

“ก็วัยรุ่นหน่อยอะ ที่ใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้นอะ”…

Admin

05/04/2020

โดนผีหลอกแบบ4D เพราะเชิญคนตายเข้าบ้าน

เรื่องนี้เกิดขึ้นกว่า 20 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับพี่ข้างบ้านติดกัน โดยที่เรื่องราวใน “คืนนั้น” ยังคงฝังแน่นในความทรงจำ กับเรื่องที่มีชื่อว่า “คืนแรกที่กลับบ้าน” เรื่องมีอยู่ว่า… ‘คุณน้อง’ เป็นชาวจังหวัดลำพูน แต่เนื่องด้วยไปทำงานต่างจังหวัดจึงไม่ได้อยู่ที่บ้าน นานๆจึงจะกลับมาเยี่ยมที ทำให้การข่าวสารภายในท้องถิ่นหรือหมู่บ้านอาจจะไม่ทันเขาบ้าง ปกติคุณน้องมักจะกลับบ้านในเย็นวันศุกรหลังเลิกงาน ซึ่งนั่นทำให้กว่าจะมาถึงก็ค่ำมืดแล้ว คืนเกิดเหตุนั้นเอง… คุณน้องกลับมาบ้านเวลาสองทุ่ม ได้ร่วมโต๊ะทานข้าวกับทางบ้านที่รออยู่ จนกระทั่งขึ้นไปที่ห้องชั้น 2

“คืนแรกที่กลับบ้าน” โดยคุณน้อง

ลักษณะบ้านของคุณน้อง จะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น โดยที่ห้องของคุณน้องจะมีหน้าต่างอยู่ 2 บาน เตียงในห้องนอนตั้งอยู่ติดกับหน้าต่างดังกล่าว หากนั่งลงบนเตียงนั้นจะสามารถเกาะหน้าตาง เท้าตางมองทิวทัศน์ข้างนอกได้อย่างสบายอารมณ์ ภายนอกนั้นจะมองเห็นซอยเล็กๆที่มอเตอร์ไซค์พอวิ่งสวนกันได้ 2 ริมทางเรียงรายไปด้วยบ้านเรือนของผู้คนในละแวกนั้น ซึ่งบ้านในสมัยนั้นไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิด ทุกหลังจึงอยู่ติดถนนเรียงๆกันไป บ้านของคุณน้องก็ตั้งอยู่บนซอยที่ว่านั้นเช่นกัน

คืนนั้นขณะนอนหลับไปได้สักพัก ท่ามกลางความเงียบสงัดในย่านชนบท ที่แม้แต่เสียงแผ่วเบาก็ฟังดูชัดเจน

“ฮือออออ… ฮืออออออ…”

เสียงร้องไห้ดังลอยมาจากนอกหน้าต่าง คุณน้องนอนฟังอยู่สักพักจึงลุกขึ้นดู ตรงข้ามหน้าต่างข้างเตียงนั้น เผยให้เห็นใครบางคนยืนหันหลังร้องไห้อยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้าม คุณน้องรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือ “พี่ฝน” ลูกสาวเพื่อนบ้านตรงกันข้ามนั่นเอง ซึ่งพี่ฝนได้มีครอบครัวและแยกไปอยู่บ้านอีกหลังห่างออกไปในหมู่บ้านเดียวกัน หากแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดพี่ฝนจึงออกมายืนสะอื้นกลางดึกแบบนี้ แถมคนในบ้าน.. พ่อแม่ ยังปิดประตูเงียบเชียบ ไม่มีใครออกมาดูดำดูดีกันเลยหรือ? และแล้วคุณน้องก็เฝ้าดูเหตการณ์ต่ออีกพักหนึ่ง จึงตัดสินใจร้องทักขึ้น…

“พี่ฝน พี่ฝนๆ … พี่ร้องไห้ทำไม”

พี่ฝนค่อยๆหันหน้ามาช้าๆ ราวกับตอบสนองต่อเสียงเรียก หันมาได้เพียงครึ่งหน้าก็หันกลับไป… “อ้าว ทำไมถามไม่ตอบวะ” คุณน้องคิดในใจ ในที่สุดคุณน้องก็วิ่งลงไปดู จับแขนเรียกพี่ฝน

“พี่ฝนเป็นอะไร มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

“พี่หนีแฟนพี่มา”

คุณน้องคุยกับพี่ฝนหน้าบ้านหลังนั้นอยู่สักพัก สืบความได้ว่า พี่ฝนหนีแฟนมา เนื่องจากถูกแฟนจับได้ว่าตัวพี่ฝนแอบคุยกับผู้ชายคนอื่นอยู่ และเกิดการทะเลาะกันขึ้น จึงวิ่งหนีออกมาถึงที่นี่ ฝนสภาพเท้าเปล่ากว่า 2 กิโลเมตร

“แล้วทำไมพี่ไม่เรียกให้พ่อกับแม่ลงมาเปิดประตู”

“ไม่ได้ เรียกไม่ได้ เดี๋ยวพ่อกับแม่ว่าพี่เอา”

“แล้วแฟนพี่มันอยู่ไหน”

“แฟนพี่มันต้องตามมาแน่ พี่จะหนีไปไหนได้ มันถือปืนถือมีดมาด้วย พี่เข้าไปไม่ได้หรอก”

“งั้นพี่มานี่ มาหลบกับหนู แฟนพี่มันไม่รู้หรอกว่าหนูกลับมาบ้าน”

“พี่เข้าไปได้เหรอ… ถ้าพี่เข้าไปมันอาจจะทำให้ชีวิตของทุกคนเปลี่ยนไป”

คุณน้องไม่ทันได้เอะใจในความหมายแฝง จึงตอบไปว่า “ได้ซี่ มันไม่รู้หรอกว่าพี่อยู่นี่ พ่อแม่หนูก็นอนหลับหมดแล้ว”

คุณน้องดึงแขนพี่สวยเข้าไปในบ้านตนเองทันที ระหว่างเดินผ่านบันไดไม้ขึ้นไปสู่ชั้น 2 เสียงไม้ก็ดังเอียดอาดแปร่งๆ คุณน้องพาพี่ฝนเข้าไปนั่งปลายเตียง ในห้องที่มืดสนิท มีเพียงแสงจากนอกหน้าต่างส่องผ่านเข้ามาบ้าง ไม่ได้เปิดไฟในห้องเนื่องจากเกรงว่าแฟนพี่สวยจะสังเกตเห็น ส่วนคุณน้องก็มิวายไปเกาะขอบหน้าต่างสังเกตุการณ์ตามเดิม

ไม่ทันไร…เสียงมอเตอร์ไซค์ก็ดังขึ้นมาแต่ไกล แฟนพี่ฝนมาถึงแล้วนั่นเอง แฟนพี่ฝนลงมาจากรถยืนอยู่หน้าบ้าน แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง

“อีฝน! อีฝนเมิงลงมา เมิงลงมาคุยกับกรุเลยนะ”

สักพักพ่อกับแม่พี่ฝนเปิดประตูบ้านออกมาดู… “มาทำอะไร อีฝนมันไม่ได้มานี่”

“พ่อรู้มั้ย ว่าลูกพ่อมันทำอะไรให้ผม มันมีชู้ มันสวมเขาให้ผม”

คุณน้องแอบฟังไปสักพัก ทางนั้นก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะลงกันง่ายๆ ต่างด่าสาดเสียด้วยอารมร์รุนแรงกันอยู่ตรงหน้าบ้านั้น เสียงพี่ฝนร้องไห้สะอื้นเบาๆมาจากปลายเตียงไม่หยุด น่าแปลกว่าบ้านข้างเรือนเคียงกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณน้องนึกว่าจะได้เห็นบ้านนั้นบ้านนี้เปิดไฟออกมาดู

“อีฝน! เมิงจะลงมามั้ย ถ้าเมิงไม่ลงงั้นกรุจะยิงใส่พ่อเมิง!”

แฟนพี่ฝนชักปืนออกมาจากที่เหน็บไว้ใต้เสื้อ ทำท่าจะขู่จ่อไปทางพ่อพี่ฝน ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง วิ่งแทรกออกมาจากประตูบ้านพี่ฝน แล้วผลักปืนขึ้นฟ้า… ปืนลั่นดัง ‘ปัง’ ขึ้นหนึ่งนัด ดูเหมือนเหตุการณ์ดังกล่าวจะยิ่งทำให้แฟนพี่ฝนฉุนขาด จึงเล็งและยิงไปที่ผู้หญิงคนนั้นหนึ่งนัดจนล้มลง เผยให้เห็นหน้าตาชัดๆเป็นครั้งแรก… และคนๆนั้นกลับเป็นพี่ฝนซะเอง!! ทันใดนั้นปากกระบอกปืนก็เลื่อนไปจ่อที่พ่อพี่ฝน ‘ปัง’ ล้มลงอีกหนึ่ง แมพี่ฝนที่ทำท่าจะวิ่งหนีก็โดนไปอีกหนึ่งนัดจนล้มลงไปกองไม่ห่างออกไป คุณน้องทั้งอึ้งและสับสนกับภาพที่ตนเห็น….นี่เป็นเรื่องจริงเหรอ? ไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย ถ้าคนที่ล้มลงไปเมื่อครู่คือ ‘พี่ฝน’ แล้ว ‘คน’ ที่นั่งสะอื้นไม่ขาดสายอยู่ปลายเตียงเป็นใคร?

ระหว่างที่คุณน้องยังสั่นสะท้าน เนื่องจากอดคิดไม่ได้ว่า… ตนเองได้ยื่นมือเข้าไปรู้ในเรื่องไม่ควรรู้ ได้เข้าไปเห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว แฟนพี่ฝนก็เดินกลับไปที่รถ และยัดปากกระบอกเข้าไปในปากตัวเอง ‘ปังงง’ ปิดฉากชีวิตตนเองตามไปอีกราย คุณน้องหันไปดู ‘ใครบางคน’ ที่ปลายเตียง ใบหน้าใต้ผมดำยาวที่เผยใบหน้าออกมาเพียงครึ่งนั้น ไม่ได้ร้องไห้หรือแสดงความเสียใจออกมาเหมือนเมื่อครู่ และนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่คุณน้องเห็น..ก่อนที่จะสติดับวูบไป

คุณน้องเล่าว่าตื่นมาอีกทีด้วยความรู้สึกปวดไปทั้งตัว ภาพดูเบลอไปหมด พอได้สติจึงมองสำรวจดู ดูเหมือนคุณน้องจะอยู่ในโรงพยาบาล คุณแม่ที่อยู่ข้างๆจึงถามขึ้นว่า ‘มันเกิดอะไรกันขึ้น’ คุณน้องพยายามเล่าเรื่องที่พบเจอมาเมื่อคืน แต่คำพูดของคุณแม่กลับทำให้คุณน้องอยากหลับไปอีกสักรอบนึง

“พี่ฝนน่ะ…เค้าตายไปตั้ง 2 เดือนกว่าแล้วนะ!!”

“ทั้งพ่อ แม่ แล้วก็แฟนเค้า…ตายกันไปหมดแล้ว”

หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงสรุปได้ว่า…สิ่งที่คุณน้องเห็นนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 2 เดือนก่อน นั่นเป็นสาเหตุให้บ้านฝั่งตรงข้ามตน ‘ดับยกครัว’ เรื่องราวนี้ไม่เคยไปถึงหูคุณน้องเนื่องจากไม่ค่อยได้กลับบ้าน ทางคุณแม่คุณน้องก็ไม่ได้คิดจะเล่าเหตุการณ์น่าสะพรึงและสะเทือนขวัญให้ฟังมาก่อน

“แล้วบ้านหลังนั้นที่ว่าน่ะ มันก็ถูกทุบทิ้งเป็นหินเป็นปูนไปหมดแล้วนะ”

แทบไม่เชื่อหูตัวเอง คุณน้องจำได้ว่าคืนนั้นบ้านหลังตรงข้ามก็ยังอยู่ในสภาพดี ทุกอย่างดูเป็นปกติ มีก็เพียงเพื่อนบ้านที่ราวกับไม่รู้เห็นเหตุกาณณ์วันนั้น วันที่ทำให้คุณน้องต้องเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้ ซึ่งก่อนที่ตนเองจะหมดสติไปในคืนนั้น ไม่รู้ว่าด้วยความตกใจกับภาพที่เห็นหรืออำนาจลี้ลับอะไร จึงทำให้คุณน้องที่นั่งตัวสั่นเทิ้มอยู่ริมหน้าต่าง พลัดร่วงตกลงมาจากชั้นสอง โชคยังดีที่เพียงบาดเจ็บเท่านั้น แต่ไม่ถึงชีวิต

ในภายหลังคุณน้องและครอบครัวต้องทำบุญบ้านใหญ่ มาคิดย้อนดู…สิ่งที่คุณน้องทำ การที่พาพี่ฝนเข้ามาหลบในบ้านก็เหมือนกับการ ‘เชิญผีเข้ามาในบ้าน’ และยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ‘บ่วงกรรม’ ของเขา พวกเขาจำเป็นต้องชดใช้กรรมจากการฆาตกรรมที่ตรงนั้นซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งผลจากการกระทำของคุณน้องเป็นเหตุให้วิถีของวิญญาณเหล่านั้นเปลี่ยนไป ปัจจุบันบ้านหลังนั้นก็ยังคงเป็นซากปรักหักพังมาจนทุกวันนี้ และก็ยังมีคนเล่าลือว่าได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์แฟนพี่ฝน เสียงพ่อพี่ฝน กันอยู่เนืองๆ

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : คืนแรกที่กลับบ้าน โดยคุณน้อง

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีเดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

02/04/2020

โรงแรมที่เก็บซ่อนโลงศพเย็นไว้บนชั้น 4

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ13-14 ปีที่ผ่านมา เรื่องมีอยู่ว่าคุณโบนัสซึ่งมีอาชีพเป็นดีเจเปิดเพลงร่วมกับวงดนตรีได้รับงานจากจังหวัดในภาคใต้(ซึ่งเป็นจังหวัดเดียวกันกับในเรื่องโรงแรมนิรนามด้วย) โดยได้ตกลงงานกับทางนายจ้างว่าให้จัดวงลงมาด้วยหากออดิชั่นผ่านก็จะได้ร่วมงานกันที่ผับด้วยโดยที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางทางนายจ้างจะเป็นผู้ออกให้

เรื่องเล่าผี: วงออดิชั่น โดย: คุณโบนัส

แต่ในระหว่างทางทางวงดนตรีที่มาด้วยขอแวะออดิชั่นอีกที่หนึ่งในจังหวัดทางผ่านโดยมีนัดออดิชั่นกันตอนเที่ยงคืนคุณโบนัสจึงรับหน้าที่หาและจองโรงแรมเพื่อค้างคืนกันก่อนที่จะเข้าถึงตัวเมืองจังหวัดนี้นั้นก็ได้เจอโรงแรมแห่งหนึ่งและตั้งใจค้างกันที่นี่โรงแรมแห่งนี้มีลักษณะเป็นอาคาร2 ชั้นคล้ายกับตึกเรียนคุณโบนัสเข้าไปจอดรถที่หน้าตึกขณะนั้นเป็นเวลา5 ทุ่ม

ทันทีที่เข้าไปก็พบคนต้อนรับที่ล็อบบี้เป็นคุณป้าท่านึงคุณโบนัสจึงแจ้งว่าต้องการห้องพักคุณป้าก็ทักถามว่ามากันกี่คน

“มากัน9 คนฮะ”

“งั้นก็4 ห้องใช่มั้ยหรือจะเอา3”

“เอา3 ละกันฮะจะได้เซฟค่าใช้จ่าด้วย”

ในขณะที่ทุกคนจัดแจงหอบสัมภาระขึ้นห้องแต่ก็ต้องสะดุดตากับบันไดทางขึ้นบันไดดังกล่าวจะมีทางแยกออกเป็นสองทางแต่ที่ผนังเหนือขึ้นไปกลับมีภาพกรอบใหญ่ติดอยู่เป็นภาพของเจ้าของโรงแรมชายสูงอายุในชุดไทยกับไม่เท้าขนาดเท่าตัวจริงชวนให้นึกถึงท่านขุนหรืออะไรทำนองนั้น

หลังจากเข้าห้องพักกันเรียบร้อยเวลาล่วงเลยไปจนวงดนตรีไปออดิชั่นเสร็จกลับมาจึงเข้านอนกันกระทั่ง9 โมงเช้ามีคนมาเคาะประตูห้องทั้ง3 ห้องดังปังปังปังเป็นผู้จัดการโรงแรมที่มาเคาะ

“พวกคุณขึ้นมานอนตึกนี้ได้ยังไง”

“หืมอ้าวก็พวกเราก็เช็คอินเข้ามาน่ะ”

“คือตึกนี้เรากำลังอินโนเวทอยู่ไม่ได้เปิดให้เข้าพักเราให้พักอีกตึกด้านหลัง”

หลังจากได้ฟังทั้งคณะได้แต่มองหน้ากันด้วยไม่เชื่อมันไม่น่าเป็นไปได้จึงลงมาดูที่ชั้นล่างกัน

“ทำไมจะไม่มีก็เมื่อคืนผมมาเปิดห้องที่เคาเตอร์ด้านล่างเมื่อคืนผมยังเจอคุณป้าอยู่เลย”

แต่แทนที่เรื่องจะจบลงด้วยแค่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดคำพูดต่อมาของพนักงานโรงแรมกลับสร้างความขนลุกให้ทุกคน

“คุณ…ฟังนะตึกนี้ผมล็อกเอาไว้นะแล้วพวกคุณจะเข้ามานอนได้ยังไง”

เมื่อคืนตอนที่พวกคุณโบนัสมาถึงขณะเข้ามาในบริเวณโรงแรมด้านหน้าจะมีประตูรั้วเหล็กเลื่อนมันเปิดอยู่แต่เช้านี้มันกลับถูกปิดล็อคอยู่อย่างแน่นหนาด้วยแม่กุญแจไว้เรื่องนี้สร้างความสับสนที่ไม่อาจอธิบายได้…แล้วเราเข้าไปได้ยังไง? มานึกย้อนดูทีหลังตอนแรกที่พนักงานโรงแรมมาเคาะห้องเพราะเข้าใจว่าพวกคุณโบนัสงัดแงะเข้ามานอนกันแต่พอได้ยินเรื่องของ“คุณป้า” ปฏิกิริยาเปลี่ยนไปดูเหมือนตกใจและอาจจะรู้ว่าป้าเป็นใครแม้ไม่ได้บอกอะไรก็ตาม

ในภายหลังคุณโบนัสออกไปดูด้านหลังก็พบอีกตึกที่ว่าจริงๆเป็นอาคารหลังใหม่อยู่ในซอยเข้าไปหากแต่เมื่อคืนไม่รุ้ทำไมกลับไม่เห็นและเลือกผ่านรั้วเหล็กเข้ามาจอดหน้าอาคารเก่าหลังนี้หลังจากที่รถเคลื่อนขบวนออกมาแล้วเพื่อนๆก็อดคุยติดตลกกันว่า“สงสัยป้าแกอยากได้เงินมั้งเลยแอบมาเปิดโดยที่ไม่มีใครรู้” ในขณะนั้นไม่มีใครคิดถึงทำนองเรื่องผีสางเลย

ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทางเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งโดยที่แห่งนี้จะมีผับอยู่ใต้โรงแรมในเรื่องงานของคุณโบนัสก็ได้ถูกว่าจ้างให้ทำงานเป็นดีเจทางวงก็สามารถเคลียร์และตกลงกันได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยได้จองห้องพักให้ค้างคืนกันในตึกเจ้าของผับเปิดให้นอน4 ห้องที่ชั้น3 หลังจากได้กุญแจห้องกันครบก็พากันขึ้นลิฟท์เพื่อไปห้องดังกล่าวที่ชั้น3 แต่ไม่รู้ว่าทำไม…ลิฟต์กลับไปหยุดและเปิดออกที่ชั้น4

คนในลิฟท์ก็ได้แต่มองหน้ากันใครกด? ป่าว..ไม่นี่บางทีอาจจะมีคนที่ชั้นนี้กดเรียกเพื่อจะไปชั้นอื่น? ตอนนั้นเบื้องหน้าประตูลิฟต์ที่เปิดออกไม่มีใครยืนอยู่ที่นี่ถูกปิดไฟมืดแต่ยังเผยให้เห็นทางแยกรูปตัวY มุ่งออกไปทางซ้ายและขวาโดยที่ลิฟต์จะตั้งอยู่ที่สุดทางตรงของตัวY ดังนั้นที่แห่งนี้จึงดูน่าขนลุกนักเพราะคล้ายกับทาง“สามแพร่ง” ในขณะนั้นเป็นช่วงกลางวันและถึงแม้จะเจอเรื่องไม่ชอบมาพากลแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรและกดลิฟต์ลงมาชั้น3

คืนแรกผ่านไปได้ด้วยดีโดยในส่วนของวงดนตรีมีสัญญาจ้างงาน1 สัปดาห์ดังนั้นตลอดทั้งอาทิตย์ทุกคนจึงพักกันที่โรงแรมนี้เช่นเดียวกับคุณโบนัสซึ่งหลังจากนั้นทางนายจ้างจะไปเช่าบ้านให้อยู่ต่างหาก

ทีน่าแปลกคือตลอดเวลาที่อยู่โรงแรมแห่งนี้เวลาขึ้นลิฟต์เป็นต้องขึ้นไปชั้น4 ตลอดและมันยังคงมืดมิดทั้งชั้นจนมีอยู่คืนนึงที่ขึ้นมาแล้วไม่สามารถกดกลับลงมาชั้น3 ได้เพราะประตูไม่ปิดให้คุณโบนัสจึงต้องออกมาที่ชั้น4 แล้วเดินลงบันไดหนีไฟเพื่อกลับไปชั้น3 แม้เหตุการณ์จะไม่ปกติเอาซะเลยแต่ด้วยความที่มากันหลายคนจึงไม่ได้ติดใจอะไรแล้วกลับไปนอนกัน

มีอยู่วันนึงช่วงนั้นโรงแรมแห่งนี้มีแขกเข้าพักเยอะแทบทุกห้องจึงถูกจองขณะที่คุณโบนัสกำลังจะเดินเข้าตึกก็เหลือบขึ้นไปมองหน้าต่างทุกชั้นสว่างสไวด้วยแสงไฟยกเว้นเพียงชั้น4 ที่เรียกได้ว่ายังคงมืดทั้งชั้นโดดออกมาจากแนวหน้าต่างแถวอื่นๆด้วยความอยากรู้คุณโบนัสจึงถามรปภ.

“ชั้น4 ไม่เปิดให้พักเหรอครับ”

“อ้อชั้นนั้นแอร์มันเสีย”

ออกจะเป็นคำตอบที่ฟังดูขอไปทีแต่ก็ไม่ได้คิดจะเล้าหรืออะไรจนผ่านไปคืนที่4 หลังเลิกงานกลับจากผับกลางดึกคุณโบนัสได้ยินเหมือนมีเสียงเด็กๆวิ่งเล่นอยู่บนชั้น4 เป็นเสียงกระพรวนดังกริ๊งๆกริ๊งๆเป็นระยะเข้าใจเอาเองว่าแขกคงเข้าพักเยอะจนในที่สุดชั้นนี้ก็เปิดใช้งาน

ในคืนวันที่5 หลังเลิกงานประมาณตี2 นักร้องนำวงดนตรีอยู่นั่งกินกันต่อกับลูกค้าคุณโบนัสและคนที่เหลือจึงกลับห้องพักก่อนแต่ในเช้าวันถัดมานักร้องคนนั้นไม่ได้กลับมาที่ห้องเขาหายตัวไปจนกระทั่ง3 ทุ่มวันนั้นก็ยังไม่พบสรุปว่าวันนั้นหน้าที่ร้องนำจึงต้องให้คนอื่นมาร้องแทนตอนนั้นเข้ากันไปว่าตัวนักร้องอาจไปกับสาวในคืนก่อนนั้นแต่ถึงอย่างไรก็ไม่น่าทิ้งงานไปแบบนี้จนเข้าวันที่6 เช้านั้นมีคนมาเคาะประตูเป็นแม่บ้าน

“คุณๆมานี่หน่อย…เพื่อนหายไปรึเปล่า”

“??! ใช่ๆครับ”

จากนั้นคุณโบนัสจึงตามแม่บ้านไปแม่บ้านเดินนำขึ้นไปหยุดณห้องๆหนึ่งที่ชั้น4 ห้องนั้นดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ถึง3 ห้องตีรวมกันคล้ายเป็นห้องสูทภายในมีม่านรูดกั้นห้องไว้คุณโบนัสพบนักร้องนำที่หายตัวไปนอนอยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบทันทีที่นักร้องได้สติก็เอ่ยคำถามฟังดูแปลกประหลาดด้วยอาการสะลึมสะลือ

“อ้าวเอ้อตกลงน้องเขาไปรึยัง”

“น้อง? น้องไหน”

“ก็น้องที่เป็นเด็กผู้หญิง2 คนในนี้น่ะว่าแต่พ่อแม่เขารับกลับไปรึยัง”

“ก็เมื่อคืนนี้ตอนกลับเจอน้องเขายืนอยู่หน้าทางขึ้นบอกว่าช่วยขึ้นมารอพ่อเป็นเพื่อนหนูที่ด้านบนได้มั้ย”

ทันทีที่สิ้นเสียงป้าแม่บ้านก็ตกใจแล้วถามว่า“ใช่เด็ก2 คนนี้มั้ย” พร้อมกับรูดม่านผืนนึงออก…

หลังม่านนั้นมีโลงศพเย็นซ่อนอยู่ด้านบนคลุมไว้ด้วยผ้าลายการ์ตูนขณะนั้นสิ่งที่เย็นกว่าแอร์ในห้องก็คงจะเป็นมือของคุณโบนัสในสภาพที่ช็อคกับสิ่งที่เห็นนั่นเอง…

ป้าแม่บ้านเก่าแก่ของที่นี่เล่าให้ฟังทั้งน้ำตาว่าว่ามีอยู่วันหนึ่งที่ไฟฟ้าดับทั้งจังหวัดเลย พ่อแม่ของน้องทั้งสอง ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมไม่อยู่เนื่องจากไปทำธุระที่กรุงเทพเด็กน้อยสองคนกดลิฟต์เล่นกันจนเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าเมื่อไฟดับจึงถูกของไว้ในลิฟต์ที่ชั้น4 จนขาดอากาศหายใจโดยที่ไม่มีใครรู้บังเอิญว่าตอนนั้นเป็นช่วง9 โมงถึงเที่ยงเวลาที่แขกในโรงแรมจะเช็กเอาต์ออกไปกันหมดพนักงานก็ออกไปเที่ยวส่วนป้าแม่บ้านเข้าใจว่าน้องอยู่กับพี่เลี้ยงจึงไม่ได้นึกเอะใจที่ไม่พบเห็นทั้งคู่จนกระทั่งไฟมาจึงไปพบน้องทั้งสองเป็นศพไปแล้ว

ในภายหลังนักร้องที่หายตัวไปเล่าให้ฟังว่าเจอน้องนั่งจับมือกันอยู่หน้าเคาท์เตอร์ด้านล่างบอกว่า“หนูรอพ่อกับแม่มารับ” จึงเสนอไปว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่รอเป็นเพื่อนเนื่องจากนึกสงสารน้องคนโตห้าขวบ ส่วนน้องคนเล็กก็เพียงแค่สามขวบครึ่ง เมื่อย้อนคิดดูเมื่อราว15 ปีที่แล้วระบบความปลอดภัยอาจไม่ได้พัฒนาจนดีเหมือนในสมัยนี้จึงไม่มีกล้องวงจรปิดหรืออาจจะเป็นได้อีกว่าเพราะไฟดับจนมืดกล้องวงจรปิดเลยไม่สามารถแสดงภาพภายในได้

หลังเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นป้าแม่บ้านก็ยังคงนำอาหารและน้ำมาผลัดเปลี่ยนให้ที่ห้องเก็บโลงนั้นทุกวันมาตลอดด้วยความที่ยังห่วงหาอาลัยของเจ้าของโรงแรมจึงได้เก็บร่างไร้วิญญาณของทั้งคู่ไว้ที่ชั้น4 นั่นเอง

คุณโบนัสยังทิ้งท้ายไว้อีกว่าเคยมีดาราดังรุ่นใหญ่มาพักแล้วเจอเช่นกันอีกทั้งยังได้ไปอยู่ในห้องนั้นด้วยป้าแม่บ้านเล่าให้ฟังได้ความว่าครั้งนั้นดาราท่านนี้มาถ่ายละครก่อนหน้านี้ไม่ถึงปีก็เกิดเหตุการณ์คล้ายๆกับในวันนี้สร้างความตกใจให้ดาราท่านั้นโดยที่ทางเจ้าของโรงแรมขอความร่วมมือให้ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เนื่องด้วยตนยังคงเสียใจอยู่

ผ่านไป5 ปีคุณโบนัสมีโอกาสได้กลับไปเยือนโรงแรมแห่งนี้อีกปรากฎว่าลิฟต์ที่เดิมเป็นลิฟต์คู่ได้ถูกเปลี่ยนใหม่แล้วตัวหนึ่งโดยที่ยังคงเก็บลิฟต์อีกตัวที่เกิดเหตุการณ์ไว้ในสภาพเดิมส่วนชั้น4 ก็ยังคงมืดมิดปิดตายเช่นกันโดยที่ไม่ทราบได้ว่าห้องนั้นยังคงเก็บน้องทั่งคู่ไว้รึเปล่า

คุณโบนัสสังเกตเห็นว่ารปภ.เป็นคนใหม่จึงแอบแกล้งถามว่า “ทำไมชั้นสี่ถึงมืดทั้งชั้นล่ะ” ทางยามตอบกลบเกลื่อนกลับมาแบบคงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่า “อ๋อ พี่เอกชัยเหมาทั้งชั้นไว้แล้ว”

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : วงออดิชั่น โดยคุณโบนัส

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีเดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

30/03/2020

“ร้านนี้ลูกสาวสวย” เหตุสยองในร้านตามสั่ง

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 18 ปีที่ผ่านมา คุณภาคินได้รับการบอกเล่ามาจากรุ่นพี่ที่เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ที่ทำงาน ซึ่งพี่คนนี้ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ โดยในตอนนั้นบริษัทนี้ได้รับงานก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้าน ปกติจะมีทีมงานเข้าไปอยู่แล้วแต่ทีมงานชาวแก๊งค์ของพี่คนนี้ได้เข้าไปเป็นชุดหลัง เนื่องจากในพื้นที่นั้นเป็นโซนนอกเมืองจึงไม่ได้มีอะไรให้อภิรมย์นัก สำหรับเหล่าชายหนุ่มชาวแก๊งค์ย่อมกลายเป็นป็นที่ที่น่าเบื่อ มาอยู่ได้ไม่นานจึงพยายามค้นหาความตื่นเต้น

เรื่อง:ร้านนี้ลูกสาวสวยเล่าโดย: คุณภาคิน

ชาวแก๊งค์ได้สืบถามว่าแถวนี้มีอะไรน่าสนใจพอจะเที่ยวชมบ้างมั้ย จากคำบอกเล่าของคนงานในแคมป์ ที่หน้าปากซอยทางเข้าหมู่บ้านห่างจากแคมป์ไป 300-400 เมตร จะมีบ้านหลังนึงเป็นร้านค้าลูกสาวสวยมากและเป็นฝาแฝดด้วย แต่พ่อดุนะจะเข้าไปก็ระวังหน่อย ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นกันก็คึกคะนองขึ้นมาเป็นธรรมดา

หลังจากนั้นก็พากันไปนั่งในร้านที่ว่า โดยร้านนี้จะเป็นร้านอาหารตามสั่ง แล้วก็มีขายกาแฟเครื่องดื่มเล็กน้อย แต่น่าแปลกคือ…พอไปถึงแทนที่จะได้เจอสาวสวยฝาแฝดอย่างที่ตั้งใจ ก็ไม่เจอ คุณพ่อหวงลูกสาวก็ไม่มีวี่แวว จะเจอก็เพียงแต่ป้าคนหนึ่งที่ขายของอยู่ที่นั่น หลังจากเทียวไปมาอยู่3-4 วันก็ยังไม่เจอ พี่คนนึงในแก๊งค์ก็ลุกขึ้นเดินไปถามป้าทีเล่นทีจริงว่า

“ป้า…เห็นคนแถวนี้เค้าว่าร้านนี้ลูกสาวสวยเหรอ”

แต่แทนที่จะได้คำตอบหรืออย่างน้อยก็สัญญาณที่บอกว่าเรื่องนี้มีมูล ป้ากลับค่อยๆแหงนหน้าขึ้นมาจากเขียงเล็กน้อย แล้วเหลือกตาขึ้นมาจ้องมอง ไม่มีคำตอบอะไรจากป้า มีเพียงแค่รอยยิ้มมุมปากดูแคลนอย่างมีเลศนัย ตอนนั้นเองก็ไม่มีใครเข้าใจว่าหมายถึงอะไร และหลังจากพยายามเร้าหรืออยู่หลายวัน ก็ยังไม่ได้เจอ ในที่สุดก็เลิกกันไป

หลังจากนั้นวันหนึ่ง ในแคมป์มีการตั้งวงกินดื่มกัน พี่ในแก๊งค์ก็ไปซื้อของที่ร้านนั้นตอนนั้นเวลาประมาณ3-4 ทุ่ม พี่เค้าชำเลืองเข้าไปในร้านก็เห็นสาวๆอยู่ด้านใน จากคำบอกเล่าของพี่คนนี้คือ เป็นสาวประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสวยขาวหน้าตาก็น่ารักมาก จึงวิ่งกลับไปเล่าให้คนในแก๊งค์ๆฟัง วันถัดมาก็แห่ยกโขยงกันไปที่ร้านนั้น แต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาเช่นเคย จนกระทั่งมืดค่ำใกล้จะปิดร้านก็ได้เห็นสาวสวยคนนึง

ตอนนั้นก็มานั่งคุยกันทีเล่นทีจริงตามประสาชายหนุ่ม ว่ามาทั้งทีน่าจะสานสัมพันธ์ไว้หน่อยขณะนั้นเองช่างคนนึงที่อาวุโสและโสดที่สุดในกลุ่ม ในที่นี้ขอเรียกแทนว่าช่างแว่น พี่เค้าก็ออกตัวก่อนเลยว่าจะขอจีบก่อน ถ้าภายในอาทิตย์นึงไม่มีอะไรคืบหน้า เดี๋ยวให้คนอื่นมาจีบต่อตามลำดับ

หลังจากนั้นแกก็เริ่มปฏิบัติการของแกทันที ก็ไปนั่งเฝ้าที่ร้าน หมายว่าจะได้คุยแต่ก็เหมือนช่วงกลางวันทุกที คือไม่เจอใครนอกจากป้าคนนั้น นั่งอยู่ได้ 2 วันจนจะถอดใจอยู่แล้ว วันนั้นก็นั่งจนร้านจะปิดกำลังจะกลับ แล้วก็เจอลูกสาวสวยคนนึงเดินออกมาพี่แว่นเล่าว่าวินาทีนั้น เรียกว่าตกหลุมรักเลย แต่เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจึงทักไป “น้อง…ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาเลย” แล้วก็ชวนคุยไปอะไรไป จนพี่แว่นจับทางได้แล้วว่าลูกสาวจะโผล่ออกมาตอนร้านจะปิด แต่มีเรื่องน่าแปลกใจอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเจอลูกสาว…จะไม่เจอป้า แต่ถ้าจะป้าก็จะไม่เจอลูกสาว

คืนนึงพี่แว่นก็ไปร้านเหมือนทุกที แต่คราวนี้ได้เจอลูกสาวทั้งสองคน พี่แกก็พยายามชวนคุยแต่ดูสาวเจ้าไม่ค่อยพูดจา ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าอาจเป็นเพราะพ่อหวงกลัวแม่จะไปฟ้อง โดยที่ก็จะมายืนคุยกันหน้าร้านหลังร้านปิด พี่แว่นเองก็สืบทราบประวัติมาว่าแต่เดิมบ้านนี้อยู่กัน 5 คนคือสองฝาแฝด พ่อ ป้า..โดยที่ป้าคนนั้นเป็นแม่เลี้ยงและจะมีลูกชายที่เป็นลูกติดมาอีกคน คนพ่อเป็นอัมพาตได้ไม่นาน ส่วนพี่ชายที่เป็นลูกเลี้ยงก็ติดคุก แต่ด้วยความที่พี่แว่นไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรตั้งเป้าว่าแค่อยากจะจีบให้สำเร็จเท่านั้น แล้วเรื่องต่างๆก็ผ่านไป

จนเวลาผ่านไป พี่แว่นก็ตามตื้อลูกสาวคนน้องจนพูดคุยได้อย่างสนิทชิดเชื้อ จนอดคิดไม่ได้ว่าสาวคงมีใจให้ คืนหนึ่งพี่แว่นตั้งใจไปคุยกับสาวที่หน้าร้านเหมือนทุกที จู่ๆก็ได้ยินเสียงป้าดังมาจากในบ้านดูเหมือนจะด่าทอใครบางคนเป็นภาษาท้องถิ่นจับใจความมาได้ประมาณว่า

“เมิงนี่อ่อยผู้ชายนะ มีผู้ชายมาเฝ้าหน้าบ้านทุกวันเลย”

พี่แว่นรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงถอยหลังกลับก่อน ในระหว่างที่จะเดินกลับนั้นก็มีผู้หญิงวิ่งมาสาวสวยคนน้องนั่นเองบอกว่า

“พี่อย่าคิดมากนะ พรุ่งนี้แม่ไม่อยู่จะไปซื้อของ พี่มาเจอกันค่ำๆตอนร้านปิดนะ”

พี่แกก็มั่นใจแล้วว่าสาวมีใจให้ ก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะเผด็จศึก ถึงเวลาก็มาตามนัด หลังจากชะเง้อมองดูสักพักคนน้องก็วิ่งออกมาและชวนเข้าไปในบ้าน ดีกว่าอยู่ตรงนี้เดี๋ยวจะมีคนเห็น

พี่แกเล่าว่าภายในบ้านจะมีอยู่ 4 ห้องเป็นบ้านชั้นเดียว บ้านนั้นไม่ได้รกหรือสกปรกอะไร เพียงแต่แปลกตรงที่จะได้กลิ่นเหม็นสาปลอยมาเตะจมูกอยู่ตลอด สาวคนน้องชวนเข้าไปห้องของเธอ ขณะเดินผ่านห้องๆนึงพี่แว่นก็ได้ยินเสียงไอดังคอกแคกมาจากหลังประตู จึงเข้าใจว่าเป็นห้องของคนพ่อที่ป่วยอยู่ หลังจากเข้าไปนั่งคุยกัในห้องสักพักก็เหมือนจะมีเหตุเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่จู่ๆก็มีเสียงประตูเปิดดังปังขึ้นสาวคนน้องจึงเอ่ยว่า

“พี่เดี๋ยวพี่เข้าไปหลบในตู้ก่อนนะ สงสัยว่าแม่จะกลับมา”

พี่แว่นเงี่ยฟังเสียงจากหลังประตูตู้ หลังจากเข้าไปไม่นานก็ได้ยินเสียงเหมือนใครปิดประตูเข้าไปในห้องห้องนึง จนกระทั่งเสียงป้านั่นเองดังแหลมขึ้นมา

“เมิงนี่ชอบเที่ยวอ่อยผู้ชายไปทั่ว ทำให้พ่อมึงมาด่ากรุ”

นอกจากเสียงด่าทอยังมีเสียงเหมือนฟาดบางอย่าง คงมีใครโดนเฆี่ยนเข้าให้ แกเข้าใจว่าอย่างนั้น แล้วก็มีเสียงผู้หญิงกรีดร้อง แต่ป้าก็ยังคงไม่หยุด

“เมิงไม่เชื่อกรุใช่มั้ย? เมิงอยากไปอยู่กับพ่อเมิงใช่มั้ย”

พี่แว่นเงี่ยฟังอยู่เงียบๆ จนกระทั่งเสียงเฆี่ยนเงียบหายไป

“เมิงอย่าออกไปไหนนะ ถ้ากรุรู้ว่าออกไป กรุจะเอาเมิงไปอยู่กับพ่อเมิง”

สิ้นเสียงนั้นก็เป็นเสียงปิดประตูดังปัง สักพักน้องสาวคนน้องก็เปิดประตูห้องเข้ามา แล้วบอกว่า “พี่ๆ ออกมาได้แล้ววันนี้ดูท่าไม่ดี พี่กลับไปก่อนนะ” ขณะพี่แว่นกำลังจะก้าวออกจากบ้านน้องสาวก็มาจับมือแล้วบอกว่า

“พี่ๆช่วยอะไรหนูหน่อยได้มั้ย”

“ช่วยอะไรเหรอ”

“ช่วยพี่สาวหนูหน่อย”

จากนั้นน้องเค้าก็พาไปยังห้องอีกห้องหนึ่งภายในนั้นถึงกับต้องตะลึงเพราะร่างพี่สาวฝาแฝดในสภาพร่างกายเต็มไปด้วยรอยเฆี่ยน ที่ขาถูกล่ามไว้ เธออยู่ในสภาพนอนสลบ สร้างความตกใจให้พี่แว่นอย่างมาก ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ น้องสาวก็พูดขึ้นว่า

“พี่ช่วยพาพี่สาวหนูหนีไปที่แคมป์นะ จากนั้นโทรแจ้งตำรวจ”

ขณะที่กำลังใช้ผ้าห่อตัวพี่สาวหมายจะอุ้มพาออกไป คนน้องสาวก็บอกว่า “พี่ไปก่อนเลย เดี๋ยวหนูไปช่วยพ่อก่อน ไปถึงแล้วโทรแจ้งตำรวจเลยนะ” หลังจากช่วยคนพี่ได้แล้วและโทรแจ้งเหตุ พอนครบาลมาถึงพี่แว่นก็ส่งคนกับพี่คนที่เล่าประสบการณ์ให้ผมฟังไปที่บ้านหลังนั้นทันที

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พอนครบลเข้าตรวจค้น ค้นๆไปก็ไปเจอคนพ่อของฝาแฝดในสภาพเป็นศพถูกยัดอยู่ในโอ่งหลังบ้าน ทางนครบาลเค้าก็เตรียมตัวรอที่จะจับป้า แต่ป้าคงจะไหวตัวทันเพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่กลับมาที่บ้านอีก

ที่แคมป์เมื่อแฝดคนพี่รู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา พี่แว่นก็เล่าเรื่องให้ฟังว่า

“เรื่องคือน้องสาวฝาแฝดของคุณ มาขอให้ผมช่วยหนีออกมา แต่แล้วกลับไปเจอศพคนพ่ออยู่หลังบ้าน”

แต่พี่สาวกลับเถียงออกมาว่า

“น้องสาวฉันจะมาบอกคุณได้ยังไงในเมื่อน้องสาวฝาแฝดฉันเสียไปตั้งแต่ 3-4 เดือนก่อนแล้ว”

ประโยคนั้นสร้างความสับสนระคนตกใจให้กับพี่แว่น บทสรุปของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้คือ ด้วยความที่พ่อนั้นหวงลูกสาวแฝดทั้ง 2 คนมากๆ ไม่ว่าใครจะพยายามเข้ามาจีบ คนพ่อก็จะคอยกีดกันไล่อยู่ตลอด แต่ลูกเลี้ยงชายกลับแอบมากินแฝดสาวคนน้องซะเอง จนเป็นเหตุให้เธอคิดสั้นผูกคอ เพราะรู้ว่าตัวเองท้อง โดยพบหลักฐานคือจดหมายลาที่บอกเล่าเรื่องราวและสิ่งที่โดนกระทำ

ความจริงนี้ทำให้คนพ่อคับแค้นใจมาก เลยแจ้งตำรวจจับลูกเลี้ยงตนเอง ภายหลังเรื่องนี้ก็สร้างความไม่พอใจแก่ป้ามาก ป้าจึงวางยาตั้งใจจะปิดปากพ่อ คนพ่อยังไม่ตายในทันทีแต่ก็เป็นอัมพาต ถึงอย่างนั้นป้าแกตั้งใจที่จะจัดการทิ้งอยู่ดี เลยจัดการแล้วอำพรางโดยการยัดศพคนพ่อไว้ในโอ่งหลังบ้านที่ตำรวจไปพบในตอนหลัง ขณะที่สาวแฝดพี่ถูกป้าขังไว้ภายในบ้านไม่ให้ออกไปไหน อีกทั้งทุบตีดุด่า ส่วนตัวป้าก็ออกมาขายของหน้าร้านปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จนเป็นเหตุให้ผีสาวผู้น้องปรากฎตัวออกมาเฉพาะเวลากลางคืน และไม่เคยออกมาพร้อมป้าแก จนในวันนั้นความสัมพันธ์กับพี่แว่นทำให้เธอช่วยพี่สาวของเธอมาได้ เรียกว่าเป็นเรื่องราวที่ไม่น่ากลัวสยองในทำนองผีสางนัก แต่ความดำมืดในใจคนต่างหากที่น่ากว่ากว่าเยอะ

ขอขอบคุณที่มา : เรื่องเล่าผี ร้านนี้ลูกสาวสวย คุณภาคิณ

อ่านเรื่องผีจากพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

29/03/2020

10 เรื่องเล่าผีในรั้วโรงเรียน ที่นักกิจกรรมอยู่ดึกๆมักจะเจอ!

วันจบการศึกษา

วันถ่ายรูปหมู่พิธีจบการศึกษาชั้นม.3 ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีนร.คนหนึ่งทำรถมอเตอร์ไซค์ล้มจนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการโคม่าไปก่อนหน้าเพียงไม่กี่วัน ทำให้เขาไม่สามารถมาร่วมงานได้ เพื่อนๆร่วมห้องจึงออกความเห็น และช่วยกันนำโต๊ะเรียนและเก้าอี้ของเขา มาตั้งในแถวถ่ายรูปด้วยเพื่อเป็นการรำลึกถึง เสมือนได้จบการศึกษาร่วมกันทุกคน แต่อ.ประจำชั้นกลับเห็นว่าเกะกะ จะทำให้รูปออกมาไม่สวย จึงสั่งนร.ให้เอาออกไป เพื่อนๆเสียใจกันมาก และยิ่งมากที่สุดเมื่อทราบว่าเย็นวันนั้นเขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา แต่ปรากฎว่าภายหลัง…รูปถ่ายที่อัดออกมา กลับมีนร.คนนั้นติดมาด้วย… เขานั่งห้อยขาอยู่บนคอครูประจำชั้น คงเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเก้าอี้หรือโต๊ะให้นั่งนั่นเอง

นักเรียนที่หายไป

เรื่องเล่าจากนักเรียนโรงเรียนสาธิตฯแห่งหนึ่ง เนื่องจากวันแสดงใกล้เข้ามาแล้ว คืนนี้สมาชิกชมรมจึงได้อยู่ซ้อมกันดึกและทำเรื่องค้างคืนกันที่โรงเรียน เนื่องจากเป็นการซ้อมใหญ่และอุปกรณ์ประกอบฉากมีขนาดกว้าง จึงพากันไปซ้อมที่ดาดฟ้าชั้น 6 หลังจากซ้อมกันเสร็จก็รีบเก็บข้าวของ และเตรียมจะเข้านอนไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูดังสนั่นจนตกอกตกใจกันหมด ปรากฏว่าเป็นน้ายาม ทุกคนมีสีหน้าโล่งอกขึ้น…จนกระทั่งหน้ายามเริ่มถามเราว่า “นักเรียนในชมรมอยู่ที่กันครบรึเปล่า?” หลังจากมองหน้ากันไปมาก็พบว่าไม่มีใครหาย ลุงยามเลยเล่าให้ฟังว่า “เมื่อกี้ลุงไปตรวจตราบนดาดฟ้ามา เห็นนักเรียนคนหนึ่งยังไม่เลิกซ้อมรำ เลยจะเข้าไปบอกว่าหมดเวลาแล้ว ปรากฎว่าน้องคนนั้นเดินๆๆไปข้างหน้าจนล่วงหายไปจากดาดฟ้าต่อหน้าต่อตาน้าเลย!” พอพากันกลับขึ้นไปดูบนดาดฟ้าอีกที ก็ไม่พบใคร นอกจากชฎาเก่าอันหนึ่งจากชุดนางรำ ที่ดูเหมือนว่าตอนนักเรียนเลิกซ้อมจะลืมเก็บมาด้วย

แสงไฟปริศนาในโรงยิม

เมื่อวันแข่งขันกีฬาสีของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจ.สมุทรปราการใกล้เข้ามา แม้ว่าตอนนี้เวลาจะล่วงเลยไปกว่า 2 ทุ่มแล้ว แต่ก็ยังมีนักกีฬาซ้อมตีวอลเลย์บอลกันอยู่จำนวนหนึ่ง แต่จู่ๆก็มีเรื่องให้ชวนขนลุกขึ้นมา! เมื่ออยู่ดีๆไฟในโรงยิมที่ประตูเลื่อนรอบๆได้ปิดหมดแล้วก็ดับพรึ่บกระทันหัน นักเรียนในนั้นตกใจกลัว จึงพยายามเดินคลำมารวมกลุ่มกัน แล้วยืนอยู่นิ่งๆให้สายตาชินกับความมืด แต่แล้วก็มีคนสังเกตเห็นแสงไฟดวงเล็กคล้ายจากไฟแช็คถูกจุดสว่างขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของโรงยิม แม้ว่าเงาจะทอดลงบนช่วงใบหน้าจนมองไม่เห็นว่าเป็นใครก็ตามที นักเรียนกลุ่มนี้เข้าใจว่าเป็นยามมาตรวจตรา เลยเดินกันเข้าไปขอความช่วยเหลือ แต่พอเดินเข้าไปเกือบถึง อีกราวๆ 4-5 ก้าว จู่ๆไฟก็ดับหายไป พร้อมๆกับที่มีเสียงจุดไฟดัง “แช๊ะ!” ขึ้นอีกครั้งแต่ดังมาจากทางด้านหลัง เพียงเท่านั้นก็ทำให้คิดกันไปไกล แต่ละคนแตกฮือกันไปคนละทิศละทาง บ้างก็กรีดร้อง บ้างก็สะอึกสะอื้น เลยพากันคำหาทางออก หลังจากนั้น ไฟก็ยังถูกจุดขึ้นตามมุมต่างๆ ที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ อีกหลายครั้ง กระทั่งผ่านไปราว 15 นาที ก็เจอทางออก พอกำลังจะก้าวออกไป ไฟในโรงยิมก็กลับมาติดสว่างพรึ่บไปทั่ว แต่ไม่พบใครเลยนอกจากนักกีฬาวอลเลย์บอล

พานไว้ครูสุดหลอน

คืนก่อนวันไหว้ครู นักเรียนจากสายนาฏศิลป์หาลือกันว่า เราจะทำพานที่สื่อถึงอัตลักษณ์ของสายเรียน โดยได้ข้อสรุปเป็นพานที่เป็นรูปนางรำ หลังทำไปจนฟ้าเริ่มมืดจวนจะเสร็จแบบร่างแล้ว ก็มีเพื่อนคนหนึ่งทักขึ้นมาว่า หน้านางรำดูแปลกๆ เหมือนกำลังโกรธและน่ากลัว แต่เนื่องจากทุกคนก็อยากรีบกลับบ้านจึงไม่ได้สนใจอะไร และในที่สุดพานก็เสร็จตอนราวๆ 3 ทุ่ม ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ก็ไม่ลืมที่จะรวมกลุ่มกันถ่ายรูปเป็นที่ระลึกโดยที่มีพานตั้งอยู่ด้านหน้า แต่กดถ่ายรูปไปได้รูปเดียว ไฟกระดับพรึ่บกระทันหันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อย่างไรก็ตามความน่าขนลุกไม่ได้เกิดจากการที่ไฟมันดับ หากแต่เป็นภาพถ่ายที่ว่า เมื่อนำมาดูในภายหลัง ปรากฎว่าบนพานที่ควรจะมีรูปนางรำอยู่ก็อันตธานหายไป แต่กลับมีคนในชุดนางรำที่คล้ายกัน ยืนร่วมเฟรมอยู่ที่มุมด้านหลังแทน!

ห้องนาฏศิลป์ที่ปิดตาย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในโรงเรียนวัดแห่งหนึ่ง ที่มีห้องนาฏศิลป์เก่าถูกปิดตายไว้ด้วยไม้กระดานตอกด้วยตะปู แน่นอนว่าเป็นเขตที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าโดยพละการ อย่างไรก็ตามก็มีนักเรียนบางคนสนใจใครรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ประกอบกับมีตำนานเรื่องเล่าพูดถึงห้องนี้กัน ยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นอันไม่สิ้นสุด ราว 5 โมงเย็นหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง นักเรียนผู้กระหายใคร่รู้รอให้คนไม่พลุกพล่านและแอบลงไปยังห้องที่ถูกปิด แต่เนื่องจากกระดานไม้ถูกตีไว้ค่อนข้างแน่นหนา มีเพียงช่องว่างแคบๆระหว่างแผ่นไม้ที่พอจะสอดส่ายสายตาเข้าไปได้ และพอจ้องมองดูดีๆก็ได้เรื่อง… มีบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในห้องที่ไม่ควรมีใครอยู่ พอลองปรับมุมมอง กวาดตาดูดีๆก็พบว่า…บางสิ่งที่ว่าเป็นหัวโขน เป็นหัวโขนที่ชุ่มโชกไปด้วยของเหลวหนืดสีแดงชาดจนน่าขนลุก แถมยังลอยไปมาอยู่กลางอากาศราวกับถูกเชิดไว้ด้วยเส้นด้ายที่มองไม่เห็น หลังเรื่องนี้ถูกพูดถึงไปทั่วโรงเรียน ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ห้องที่ว่าอีกเลย กระทั่งอาคารที่ว่าก็ถูกทุบทิ้งแล้วสร้างขึ้นใหม่

ต้นโพธิ์ข้างโรงเรียน

เย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน นักเรียนชั้นประถมปั่นจักรยานกลับบ้าน กระทั่งมาหยุดพักเล่นกันใต้ต้นโพธิ์ต้นหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีคนที่เซนส์แรง และสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ได้ยินเสียงคล้ายคนครางอยู่ในลำคอดัง “ฮึ่มมม…” พร้อมๆกับที่มีลมพัดขึ้นมาวูบหนึ่ง นักเรียนหญิงคนนั้นรีบตะโกนบอกเพื่อนในกลุ่ม ให้รีบเอาจักรยานกลับบ้านทันที หลังกลับมาแล้วนักเรียนหญิงก็รู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัว อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนใครจองมองตัวเองอยู่ในเวลาที่อยู่คนเดียว เวลาที่เธอเดินไปตรงไหน ก็จะทิ้งเศษใบ้โพธิ์แห้งๆตกเอาไว้โดยไม่รู้ตัว กระทั่งเช้าวันถัดมา เธอได้คุยให้เพื่อนๆในกลุ่มเมื่อวานฟัง พบว่ามีคนอื่นๆพบเรื่องราวแปลกๆไม่ต่างจากตน จึงคิดได้ว่าเย็นวันนั้นพวกตนอาจจะนำพาบางอย่างติดตัวกลับไปกันด้วย จึงนัดให้ผู้ปกครองพากันไปทำบุญ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และสัมภเวสีทั้งหลาย ที่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยไม่ตั้งใจ ภายหลังจึงได้ทราบว่าต้นโพธิ์ที่ว่ามีชายนิรนามเกิดคิดสั้นและผูกคออยู่บนกิ่งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็ไม่เจอเรื่องแปลกๆอีกเลย กระทั่งผ่านไปสามวัน ขณะนักเรียนหญิงแผ่เมตตาและกรวดน้ำอยู่ที่บ้าน สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับเงาบนกระจกที่สะท้อนภาพของเธอเอง หากแต่มีเงาชายนิรนามนั่งยองๆอยู่ด้านหลัง แล้วใช้มือแต่ที่ข้อศอกของเธอขณะกรวดน้ำ! เธอได้แต่ภาวนา ให้ชายคนนี้ได้รับส่วนบุญและไปสู่สุขคติในเร็ววัน

ขอโต๊ะได้มั้ย?

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับโรงเรียนในจ.ชุมพร เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนก่อนวันงานนิทรรศการของโรงเรียนเพียง 1 วัน ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่นักเรียน และอาจารย์จะอยู่กันดึกดื่น เพราะต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาที่เหลือน้อย ในการช่วยกันเตรียมตัวและจัดการความเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำการขนย้ายโต๊ะเก้าอี้มารวมไว้ที่ห้องจัดกิจกรรม พวกเขาตามหาโต๊ะเก้าอี้ในห้องแล้วห้องเล่า ก็ไม่มีโต๊ะเก้าอี้เหลืออยู่ให้พวกเขาเลยสักตัว อันเนื่องมาจากถูกกลุ่มกิจกรรมอื่นมาขนไปใช้แล้ว กระทั่งเดินลึกเข้าไปยังห้องเรียนด้านในสุด ก็พบว่า…ในห้องนั้นยังมีโต๊ะเหลืออยู่ แต่มีผู้หญิงผมยาวในชุดนักเรียน นั่งหันหลังอยู่คนเดียวในห้องนั้น ทั้งๆที่ดึกดื่นป่านนี้ไม่น่าจะมีคนมานั่งตามลำพังคนเดียว ก็อดคิดดีไม่ได้เลยว่า…หรือพวกตนจะเจอดีเข้าให้แล้ว!? เลยพากันรีบเผ่นกลับไปมายังห้องจัดกิจกรรมของตัวเอง และเล่าสิ่งที่เจอให้ทุกคนในห้องฟัง อย่างไรก็ตาม หลายๆคนก็มองว่าเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ บ้างก็หาว่ากลัวอะไรไม่เข้าท่า แต่ทั้งความสงสัยก็ไม่ใช่จะไม่มีเสียทีเดียว ก็อยากรู้กันว่าสิ่งที่เห็นนั่นเป็นคนหรือผี เลยไปขอใช้ห้องโสตฯ เพื่อดูกล้องวงจรปิด ภาพย้อนไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ก็แสดงให้เห็นว่านักเรียนทุกคนในห้องนั้น ล้วนกลับไปหมดแล้ว แต่จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฎตัวเข้ามาในเฟรม เดินดุ่มๆมาปีนขึ้นไปบนโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วทำการห้อยคอตัวเองกับพัดลมเพดาน ห้อยต่องแต่งต่อหน้าต่อตา!! ขณะที่วิดีโอดำเนินต่อไปให้เห็นว่า ร่างนั้นดิ้นเร่าๆอยู่ ศีรษะของเธอก็ค่อยๆบิดหันหน้ามามองทางที่กล้องวงจรปิดติดตั้งไว้ อย่างตาไม่กระพริบ!! ถึงตรงนี้คนที่มุงมอนิเตอร์อยู่ก็ผงะ แตกฮืออย่างไม่ได้นัดหมาย เช้าถัดมาจึงได้สอบถามจากอาจารย์เก่าแก่ท่านหนึ่ง เพื่อจะได้ความว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? “เมื่อก่อนเคยมีเหตุการณ์ นักเรียนหญิงรุ่นพี่พวกเธอ ถูกแฟนบอกเลิก จนเสียใจคิดสั้น แล้วไปจบที่ผูกคอในห้องนั้น!!” แม้มันจะนานมาแล้ว แต่ก็ไม่นึกเลยว่า วิญญาณของเธอจะยังคงวนเวียนอยู่…

กองเชียร์บนคานสูง

เหตุการณ์นี้เป็นตำนานที่เล่าต่อๆกันมาในหมู่ศิษย์เก่าของโรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ เรื่องมีอยู่ว่าช่วงเตรียมกีฬาสีของปีหนึ่ง…เป็นปกติที่ช่วงนี้ทั้งครูและนักเรียนจะมีกิจกรรมที่ต้องตระเตรียมงานกีฬากันหลังเลิกเรียน ซึ่งบ้างครั้งก็อาจจะล่วงเลยจนดึกดื่น ที่โรงอาหารซึ่งคณะเชียร์ลีดเดอร์ใช้เป็นที่ฝึกซ้อมกัน ทั้งโรงอาหารจึงมีเพียงเสียงนับจังหวะ 5..6..7..8.. แต่ระหว่างที่การซ้อมดำเนินไปด้วยดีนั้น จู่ๆเสียงของสมาชิกที่ต่อตัวขึ้นไปอยู่บนยอดก็เงียบหายไปซะเฉยๆ ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดดังลั่น เพื่อนด้านล่างจึงละสายตามองขึ้นไปบนยอด สิ่งที่ทุกคนได้เห็นก็คือ มีผู้หญิงในชุดสีขาว ผมยาวดำขลับ ตัวซีดเผือด นั่งอยู่บนคานด้านบนของโรงอาหาร พร้อมกับส่งสายตาจ้องมองลงมายังกลุ่มซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ แล้วปรบมือให้อย่างชอบอกชอบใจ!! ทำเอากลุ่มซ้อมเชียร์พากันแตกฮือราวกับผึ้งแตกรัง รีบเก็บข้าวเก็บของ ก่อนจะวิ่งหนีออกไปจากโรงอาหารแบบที่ไม่คิดจะหันหลังกลับมาดู ภายหลังเรื่องนี้ถูกกล่าวขานกันในหมู่นักเรียน ก็กลายเป็นว่าไม่มีใครจะกล้าที่มองขึ้นไปยังยอดคานนั้น…แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวันแสกๆก็ตาม

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

14/03/2020

“ผีตัวบิดๆงอๆวิ่งไล่” เรื่องดังบนภูจ.เลย พยานรู้เห็น 30 คน

เรื่องผี the shock เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปเที่ยวในที่เที่ยวยอดฮิตของวัยรุ่นผู้ยังมีพละกำลังเหลือเฟือ ที่จะพิชิตเส้นทางเดินป่าอันยาวไกลให้ได้สักครั้งในชีวิต ซึ่งเรื่องที่ว่านี้ก็หลอนระดับตำนานในอดีต จนทาง the shock นำกลับมารีรันออกอากาศซ้ำอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นที่จังหวัดเลย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวภูมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจ.เลย เรื่องราวเกิดขึ้นในเดือนธ.ค.ปี50 วันนั้นเป็นวันหยุดรัฐธรรมนูญก็นัดหมายกันกับเพื่อนฝูง คุณเจไปกับเพื่อน…ไปนอนกางเต็นท์ที่ภูดังกล่าว แล้วก็ขึ้นไปดูอาทิตย์ตกกัน หลังจากดูอาทิตย์ตกแล้ว ต้องเดินเท้าราวๆ 9 กิโลเพื่อกลับมาที่เต๊นท์ ขากลับได้แวะซื้อโปสการ์ด มีร้านรวงก็ซื้อข้าว ซื้อเสบียงกินกัน

ราวๆสองทุ่มกว่าก็เดินไปเจอนักท่องเที่ยอีกกลุ่ม ก็จับกลุ่มกันได้ราวๆสามสิบกว่าคน เดินไปเรื่อยๆรอบข้างก็มืดๆฝั่งซ้ายเป็นป่าทึบ ฝั่งขวาเป็นหน้าผา โดยที่พวกเราจะต้องเดินเลียบหน้าผากลับ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เดินลัดป่า ด้วยเหตุว่าจะได้รับอันตรายจากสัตว์ป่า เดินๆไปก็เจอเจ้าหน้าที่ ขี่รถATVสวนออกมา เขาก็พูดว่า…

“พวกเราเนี่ยเดินมาเป็นกรุ๊ปสุดท้ายแล้วนะ ถ้าไปเจออะไรระหว่างทาง… “อย่าทัก อย่าพูด อย่าคิด อย่าท้าทาย”

“แค่คิดก็ห้าม…ให้เดินหน้ากันอย่างเดียวแค่นั้น” แล้วเจ้าหน้าที่ก็ผละไป พวกเราก็ออกเดินต่อ

คุยกันกับเพื่อนลงมาเรื่อยๆ ร้องเพลง ฮัมเพลงบ้าง เดินไปสักพัก ได้ประมาณครึ่งทาง… ตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่ม คุณเจซึ่งเดินอยู่ด้านหน้าสุด ก็พบผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งอยู่ทางด้านฝั่งซ้ายเข้าไปในป่า ที่แปลกคือเธอนั่งอยู่เพียงลำพัง ลักษณะดูเหมือนกับคนปกติธรรมดา ทุกอย่าง สวมเสื้อสีขาวหมวกไหมพรม รองเท้าผ้าใบ ผมสั้นประบ่า อายุจากหน้าตาน่าจะราวๆ 30

ผู้หญิงในกลุ่มที่ไปด้วยกันก็ถามว่า “เป็นตะคริวรึเปล่า?” เธอคนนั้นก็แหงนหน้ายิ้มให้ ผู้หญิงที่ไปด้วยกันกําลังจะหยิบเอายามาให้

จังหวะนั้นผู้หญิงแปลกหน้าคนที่ว่า..จากที่ยิ้มอยู่ก็เริ่มร้องไห้ ท่ามกลางบรรยากาศอันวังเวงทุกคนก็สงสัยกันว่า…เธอร้องไห้ทําไม? พี่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งก็ถามว่า…

“ร้องทําไมคะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับด้วยกันก็ได้”

สามสิบคนในกลุ่มที่มาด้วยกันก็ยืนล้อมให้กําลังใจ เธอคนนั้นก็หยุดร้องไห้ แล้วเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินฝ่ากลุ่มของคนเล่าไปทางหน้าผา
แต่พอถึงตรงหน้าผา ผู้หญิงเสื้อขาวก็หายไปแบบไร้ร่องรอย  แบบวาร์ปหายไปเลย

ทุกคนอึ้ง เงียบ และเริ่มขนลุก เพื่อนที่ไปด้วยกันก็บอกว่า “เฮ้ย!! กรุว่าโดนแล้วว่ะ”

พูดจบ… ทุกคนก็ออกวิ่ง ลืมหมดแฟนหรือเพื่อนที่ไปด้วยกัน เนื่องจากวิ่งแตกกระเจิดกระเจิง วิ่งไปได้สักพัก ก็มีคนร้องถามขึ้นว่า

“เฮ้ย!! ใครวิ่งตามมาข้างหลังวะ”

พอหันไป ก็พบผู้หญิงคนนั้น ในลักษณะสวมเสื้อสีขาวแต่ว่าเลอะฝุ่นรวมทั้งคราบเลือด คอบิดๆแขนบิดเบี้ยวราวกับกิ่งไม้ที่ไม่มีใบ ในมือขวาบิดๆถือไฟฉายส่องมา ทางกลุ่มที่ยืน ทุกคนก็ออกวิ่งกันด้วยความอกสั่นขวัญแขวนแตกเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิต

ระหว่างวิ่งก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นวิ่งตามไล่หลังมากับเสียงหัวเราะ วิ่งมาจนกระทั่งถึงจุดกางเต็นท์ ซึ่งด้านหลังจะเป็น บ้านพัก ไปที่ศูนย์บริการฯ วิ่งมาเจ้าหน้าที่ก็ตกอกตกใจว่าเจอช้างมาหรือไร และถามว่าพึ่งจะมาหนแรกกันใช่ไหม แล้วที่เจอเป็นผู้หญิงผมสั้นรึเปล่า เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเจอกันทุกปี มีเจ้าหน้าที่แก่ๆเล่าว่า ทุกหน้าผามีคนเสียชีวิตทั้งนั้นแหละ บางครั้งมีพระธุดงค์เดินมาพบผู้หญิงคนนี้ก็สะดุ้งวิ่งหนีไปเจอฝูงช้างแล้วไปโดนช้างเหยียบก็มี แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมเล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร

ย้อนกลับมาที่พี่ผู้หญิงคนที่จะล้วงยาให้หญิงประหลาดคนนั้น ภายหลังจากได้กลับมาเต๊นท์แล้ว เธอได้ยินเสียงประกาศให้คนไปชมดวงอาทิตย์ขึ้น ในตอนเช้ามืด แต่ว่าเธอก็ไม่สนใจ เลยนอนต่อไปครู่หนึ่ง เธอเล่าว่าเจอผู้หญิงคนนั้นนั่งคร่อม ตัวบิดเบี้ยว หันหลังให้ แต่หัวหันไปคนละทาง แล้วบอกว่า

“พวกเมิงสนุกกันนักใช่มั้ย ที่เอาเรื่องของกรูไปเล่า”

เธอก็กรีดลั่นแล้วหอบเอาข้าวของ ถุงนอน ไปนอนที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

ส่วนบางคนหลังกลับไปบ้านก็เอามาคุยกันในวงว่าไปเจอ “ผีเบรกแดนซ์” ด้วยเหตุว่าผู้หญิงคนนั้นแขนขาบิดเบี้ยว ก็ยังมาโดนอำลักษณะเดียวกันกับที่พี่ผู้หญิงในเต๊นท์โดน

อีกปีถัดมาก็กลับมาอีก มาเที่ยวที่เดิม วันที่1กุมภา เดินถ่ายวีดีโอ แล้วแฟนผมไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาเลยผลักผม ให้หลีกทาง ก็เลยมองหาว่าใคร แต่กลับไม่เห็นมีใครสักคน

และเนื่องจากว่ามากันเพียงแค่สองคน เลยเปิดกล้องVDOดูแล้วถามว่าคนไหน เธอก็เอา กล้องไปดู แล้วก็ชี้ให้ดูว่าอยู่ตรงนั้น แต่ผมกลับมองไม่เห็น แล้วผม เลยให้เขาร้องทัก พี่คะ ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาตอบมี อะไรหรอคะ ได้ยินแค่เสียง แต่กลับไม่มีภาพบันทึกในวิดีโอ

จากเรื่อง : อย่าทักทาย
เรื่องเล่าจาก : the shock radio
เล่าโดย : คุณเจ

Admin

26/02/2020

เรื่องผี | คอนโดฯผีหลอกรายวัน.. เรื่องสยองที่เมืองทองธานี

เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาในโลกโซเชียล เมื่อผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งออกมาเล่าประสบการณ์เรื่องผีน่ากลัวของตนเอง หลังจากที่เดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อมางานแฟนมีตติ้งของศิลปินเกาหลีคนหนึ่ง เมื่อต้นปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามผู้ใช้ทวิตเตอร์รายนี้จองห้องพักที่ “คอนโดฯแห่งหนึ่งย่านเมืองทองธานี” เพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานในวันถัดมา แต่ปรากฎว่าทันทีที่ก้าวเข้ามายังตึกหลังหนึ่งของคอนโดฯนั้น ก็ต้องพบกับเรื่องที่เสียวสันหลังวาบ แบบที่หาเหตุผลมาหยิบมาจับให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ กระทั่งมีคนนำไปรีทวิตต่อ และลามมาถึงเพจใน FB ชื่อดัง ก็มีคนแชร์ต่อกันกว่า 35,000 ครั้ง แถมยังพบว่ามี “คู่กรณี” กับคอนโดที่ว่านี้อีกนับสิบ ที่ล้วนแล้วแต่เคยได้สัมผัสความหลอนมาเล่าสู่กันฟังแบบออกรส!

เรื่องผี…คอนโดฯหลอน การันตีโดยผู้อาศัย!

ผู้ใช้ทวิตเตอร์ “May’s Wink” ได้เล่าไว้ว่าเรื่องเริ่มต้นขึ้นจากการที่เรามีนัดไปร่วมงาน “แฟนมีตฯ” ของศิลปินเกาหลีคนหนึ่งเมื่อช่วงมีนาคม 2019 เราเดินทางมากับพี่อีกคนโดยที่เครื่องมาถึงดอนเมืองราว 4 ทุ่ม และเดินทางต่อไปยัง “คอนโดฯแห่งหนึ่ง…ย่านเมืองทอง” เพื่อหาห้องพัก จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาพักที่คอนโดมิเนียมแห่งนี้ โดยปกติจะได้ห้องพักในตึก C4 แต่เนื่องจากในค่ำคืนนั้นเราไม่ได้จองล่วงหน้า จึงทำให้ไม่ได้ที่พักในตึกนั้นเนื่องจากเต็ม อย่างไรก็ตามเราได้ห้องพักในอีกตึกหนึ่งซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของค่ำคืนแห่งความหลอนอยู่ในใจ

หลังจากได้กุญแจห้องพัก เราสองคนก็ตรงขึ้นไปยังห้องของเราบนชั้นที่ 7 อย่างไรก็ตามที่ตึกนี้ลิฟท์ไม่ได้มีทางออกทุกชั้น แต่จะมีเพียงชั้นเลขคี่เท่านั้น สิ่งเราต้องทำคือกดเพื่อที่จะลงที่ชั้น 6 แล้วเดินขึ้นบันไดต่อไปอีกชั้นนึง ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์ไป 2 คนกับพี่ตามลำพัง เรารู้สึกอยู่แวบหนึ่ง ว่าเหมือนมีใครยืนอยู่ด้านหลัง จึงหันหลังควับไปมอง แต่แน่นอนว่ายอมไม่มีใครทั้งนั้น กระทั่งลิฟท์หยุดที่ชั้น 6 และประตูก็เปิดออกทันที พี่ที่มาด้วยกันเดินนำออกไปจากลิฟท์ก่อน เราหันกลับมาและจะเดินตามออกไป ปรากฎว่า! ประตูลิฟต์มันก็ปิด ชึ่บบบ! ลงทันที! เราตกใจและงงกับสิ่งที่เจอมาก…มันปิดเองได้ไง เราก็ไม่ได้ชักช้าหรือพิรี้พิไรอยู่จนออกไม่ทันประตูปิด แต่มันไม่จบแค่นั้น เราพยายามกดปุ่มเปิดประตู ย้ำๆอยู่หลายทีมันก็ไม่ยอมเปิด แถมลิฟต์ยังขึ้นต่อไป แล้วเปิดออกที่ชั้น 8! ทั้งๆที่ตรงหน้านั้นก็ไม่มีใครยืนรอเพื่อที่จะใช้ลิฟต์อยู่ ณ ที่นั้นซักคน คำถามคือ..แล้วใครกดเรียกขึ้นมา? อย่างไรก็ตามยังดีที่พี่วิ่งขึ้นบันไดตามเรามาพอดี ไม่อย่างนั้นเราคงขาแข็ง ก้าวไม่ออกแน่ๆ

กระทั่งเราเข้าไปยังห้องพักหมายเลข 733 ทันทีที่ก้าวเข้าไปก็รู้สึกแปลกๆพิกล เป็นความรู้สึกอึดอัดในอกที่อธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร และในคืนนั้นเอง หลังจากที่เข้านอนกันไปแล้ว ราวๆเที่ยงคืนเราก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากในห้องน้ำ หันมองดูพี่ก็ยังนอนอยู่ ไม่มีใครเข้าอยุ่แน่ก็เลยไปดู ปรากฎว่าน้ำจากก๊อกอ่างล้างหน้าไหลโจ้กๆอยู่ พอเอื้อมมือไปจับดูก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า หัวก๊อกมันคลายอยู่จริงๆ ไม่ใช่เพราะว่ามันรั่วเลยไหลออกมาเอง เราค่อนข้างมั่นใจว่าใช้เป็นคนสุดท้ายก่อนจะเข้านอน และมั่นใจด้วยว่าเราไม่ได้ถึงขนาดจะปล่อยปะละเลยจนลืมปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ แม้จะไม่ใช่ที่บ้านตัวเอง และมันฏ้พึ่งจะเริ่มไหล เมื่อตะกี้นี้เอง ถ้าลืมปิดมันน่าจะไหลตั้งนานจนเรารู้สึกตัว ภาพในหัวมันโผล่ขึ้นมาชวนให้กลัวจริงๆ หรือว่าจะมี “มือ” ใครบางคนโผล่ออกมาจากมุมอับสายตา ก่อนจะค่อยๆบิดคลายเกลียวของก๊อกน้ำ และปล่อยให้น้ำไหลออกมาจนได้ยินเสียงดังไปทั่วห้อง เรากลัวจนต้องไปปลุกพี่มาดูด้วย ก่อนจะปิดมันแล้วนั่งคุยเป็นเพื่อนกันเกี่ยวกับงานมีตติ้งที่จะไปร่วม

กระทั่งนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้บอกเวลาตี 3 เราก็ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ก่อนที่จะแยกย้ายกันนอน แต่หลังจากล้มตัวลงนอนไม่ถึง 5 นาที เราซึ่งยังไม่ได้หลับในทันที ก็ได้ยินเสียง “ลากเก้าอี้” ดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ห่างจากเตียงนัก แต่เราไม่แม้แต่จะติดที่จะลุกขึ้นมาดู ได้แต่ขดตัวสั่นงันงก เหงื่อแตกอยู่ใต้ผ้าห่มจนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยเพลีย กระทั่งรุ่งเช้าก็เตรียมตัวกันเพื่อจะออกไปร่วมงานมีตติ้งจุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้ งานมีตฯผ่านพ้นไปได้อย่างดีและน่าประทับใจ แต่ยังมีเรื่องต้องห่วงอีกอย่าง คือการทีเรายังต้องพักที่คอนโดฯที่ว่านั่นอีกคืน…

เรากีบพี่กลับเข้าที่พักตอน 4 ทุ่ม แม้จะเกรงๆอยู่บ้างที่จะต้องขึ้นลิฟต์ตัวนั้นในเวลากลางคืนอีก แต่ก็โชคยังดีที่มีคนอื่นอีกคนขึ้นมาด้วย และวันนี้ลิฟต์มันก็ทำงานปกติดีเหมือนอย่างที่มัน “ควรจะเป็น” เมื่อมาถึงเราก็เข้าห้องน้ำเตรียมตัวอาบน้ำทันที แต่ระหว่างที่กำลังเปิดฝักบัวอยู่นั้น จู่ๆน้ำจากก๊อกอ่างล้างหน้า…ก็ไหลจ๊อกๆออกมาต่อหน้าต่อตา! พอเข้าไปสำรวจก็พบว่าเกลียวก๊อกถูกบิดเหมือนเมื่อคืน เรารีบบิดกลับคืนทันที แล้วรีบอาบจะได้ออกจากห้องน้ำซะที หลังออกมาแต่งตัวจนเสร็จก็เข้าไปนั่งที่โซฟาเพื่อจะดูทีวีซึ่งมีพี่นั่งดูอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปถึง จู่ๆรีโมทที่ตั้งอยู่บนตู้วางทีวีก็ล้มลงก่อนที่จะกลิ้งหลุนๆ แล้วร่วงลงมาที่พื้นราวกับมันพยายามที่จะโชว์กายกรรมให้ดูซะอย่างนั้น เรากับพี่ได้แต่มองน้ำกันแล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อกจนกลบเสียงทีวี …อันที่จริง ที่ตั้งรีโมทก็ดูมั่นคงพอควรนะ และไม่มีใครเดินเฉียดเข้าไปใกล้มันเลย

เราปิดทีวีแล้วหนีกันไปจัดกระเป๋าเอาเสื้อผ้าเข้าที่ให้เรียบร้อย เพื่อที่ว่าเช้ามาจะได้ออกไปได้ทันที เรื่องในค่ำคืนนี้แค่อยากจะขอเก็บไว้ที่เดิม.. ไม่ต้องเพิ่มเติม..ให้มันเป็นเรื่อราว… หลังจากนั้นเรากับพี่ก็เผลอหลับกันทั้งที่ยังพึ่งนั่งคุยกันอยู่บนเตียง จนกระทั่ง…ได้ยินเสียงเพลงฮิตในช่วงเวลานั้น ดังขึ้นมาจากทีวี เป็นรายการเพลงช่วงดึกนั่นเอง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า…มันดังขึ้นมาเองได้ยังไง เราปิดมันไปตั้งแต่ก่อนที่จะหลับอีก แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบต่อคำถามนั้น ก็มีเสียงจากก๊อกน้ำเจ้าปัญหาส่งเสียงน้ำไหลจ๊อกๆดังออกมาร่วมประสานเสียง ราวกับวงออเครสตร้าก็ไม่ปราณ! ค่ำคืนนั้นเรากอดกันกลมอยู่ใต้ผ้าห่มทั้งพี่ทั้งเราอยู่อย่างนั้น โดยฮาวทูทิ้งทุกเรื่องราวไว้ที่ฉากหลัง แล้วมูฟออนจากมันมา อย่างไม่สนใจใยดี เราต้องข่มตาให้หลับสลับกับสวดมนต์อยู่ในใจให้คืนนี้ผ่านพ้นไป

จำได้ว่าคืนนั้นพี่ดูจะออกอาการมากกว่าทุกที เช้าวันรุ่งขึ้นนั้นระหว่างที่ลงไปหาข้าวเช้ากินเลยได้ถามดู ปรากฎว่าคืนนั้นพี่หันไปมองในห้องน้ำ กะว่าจะลุกไปปิดมัน ก็เห็นเข้ากับผู้หญิงนิรนามยืนอยู่ในมุมมืดของห้องน้ำ เลยเปลี่ยนใจ! ก่อนที่จะมุดลงใต้ผ้าห่มยาวๆไป อย่างไรก็ตามเรายังไม่ไดเช็คเอาท์จึงต้องกลับขึ้นไปเอากระเป๋าอีกรอบ ปรากฎว่าพบกระเป๋าเดินทางใบมาตรฐานที่มั่นคงแข็งแรง นอนล้มอยู่…ทั้งๆที่ไม่มีใครเดินเตะมันหรือมีแรงอะไรจะไปปะทะให้มันลงไปนอนวัดพื้นได้เลย ให้มันได้อย่างนี้ซี่! และก่อนจะเช็คเอาท์กลับบ้าน เราก็ไม่ลืมถามให้หายคาใจกันไป ว่าพี่พนักงาน..ห้องนี้ก๊อกน้ำมันเสียรึเปล่า สิ่งที่เค้าตอบกลับมาคือ “เปล่าเสียนะ พี่พึ่งจะเปลี่ยนไปไม่นานนี้เอง เพราะมีคนคอมเพลนมา” โอเค…สบายใจละ เราไม่ได้คิดไปเอง และไม่ใช่แค่เราที่เจอ!

อย่างไรก็ตาม หลังเรื่องเล่าผีนี้ถูกแชร์ในเพจชื่อดัง ก็ถูกส่งต่อและมียอดแชร์กว่า 3 หมื่นแชร์! และนี่คือส่วนนึงของคอมเมนท์จากผู้ที่เคยอยู่ในคอนโดที่ว่าต่างกรรมต่างวาะระ เจอกันมาในหลายรูปแบบ

รีวิวโรงแรมหลอนย่านเมืองทองธานี

ทีมงานปอเต๊กตึ้งที่เคยอาศัยที่คอนโดแห่งนี้ในตึก C7 ยืนยันว่า “เป็นเรื่องปกติ!” มันมีทุกตึกเลย ตนเองนั้นมีโอกาสได้พบเจอเรื่องหลอนบ่อยๆจนชิน เพราะห้องของตนเองก็มีเหมือนกัน…

สมาชิกท่านนี้ออกมายืนยันว่า เจ้าของเรื่องคิดมากไปครับ มันเป็น “ปกติ” ของที่นี่จริงๆ อย่างตัวผมเองพบเจอ “กระเป๋าปริศนา” สีดำที่มักจะตั้งแอบอยู่ตามมุมบันไดบ้าง หน้าประตูตรงนั้น ตรงนี้บ้าง โดยไม่ทราบว่าเป็นของใคร แล้วตั้งเพื่ออะไร หรือทำไมมันย้ายที่ไปมา โดยที่อยู่แบบนี้เป็นอาทิตย์ โดยที่ก็ไม่มีใครตั้งคำถามหรือนำมันออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่า…ด้านในมีอะไรอยู่!

คุณพี่ทหารท่าหนึ่งเล่าว่า เมื่อก่อนตอนย้ายมาประจำการแถวนี้ใหม่ๆ และยังไม่ได้รับห้องพักสวัสดืการ ตนก็เคยมาเช่าที่นี่อาศัย ปรากฎว่าเข้ามาก็ได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงมาก หลังเดินตามหากลิ่นจนทั่วก็ไปพบเข้ากับ ร่างคุณลุงท่านึงผู้อาศัยที่ชั้น 1 ประสบเหตุล้มหัวฟาดจนเสีย กว่าที่เขากับรปภ.ตึกจะไปเจอเข้า ก็ส่งกลิ่นตลบอบอวน

ความเห็นนี้บอกว่า ตอนนี้ตนอยู่ตึก C7 ชั้น 11 เวลาขึ้นลิฟต์มักจะได้ยินเสียงพรายกระซิบ ทั้งๆที่ยืนอยู่คนเดียว!

ความเห็นนี้บอกว่า ตึกอื่นนั้นเบสิคๆ ที่พีคๆระดับเพชรยอดมงกุฏสตาร์แพลทตินั่มต้องที่ตึก T ชั้น 13 ห้อง 13 สิ! ห้องข้างๆเธอนั่นเอง ซึ่งเธอเคยเห็นว่าในห้องนั้นเต็มไปด้วยธูปเทียน แถมมีกะโหลกคล้ายของที่ใช้ทำพิธีคุณไสยในห้องนั้น ซึ่งทุกห้องบนชั้นนั้นจะมีผ้ายันต์แปะไว้ทุกห้อง

นี่ก็อีกประสบการณ์หลอนบนลิฟต์ของคอนโดแห่งนี้ บอกเลยว่าพีคในพีค โจทย์เยอะมากจริงๆ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้น ใครเคยมีประสบการณ์เคยมาพักหรือเคยอยู่ที่นี่ รบกวนเล่าให้เราฟังด้วยนะ!

ขอบคุณที่มาเรื่องผีสยองขวัญ : กระทู้เด็ดพันทิป-ผี-สยองขวัญ

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

15/02/2020
1 2 3