เป็นผีหรือเห็นผี? เหตุเกิดในคืนฝนตก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหนึ่ง เกียร์ 8 ได้รับฟังมาอีกทีหนึ่ง แล้วนำมาถ่ายทอดให้ฟังในหลายรายการ ทั้งเดอะช็อค อังคารคลุมโปง ฯลฯ เกี่ยวกับเหตุการณ์หลอนที่ ‘คุณโจ’ เจ้าของเรื่องตัวจริง พบเจอมาเมื่อราว 7-8 ปีก่อน ครั้งเมื่อเย็นวันหนึ่ง ขณะคุณโจเข้าไปหลบฝนที่ศาลากลางทาง แล้วถูกคน(?)แปลกๆทักขึ้นว่า “ผมเป็นผี” กับตอนจบสุดหักมุม ที่ยากจะคาดเดาชนิดที่ว่าหงายเงิบกันไปเลย

ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 2557 คุณโจเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกทม. คุณโจได้รับข้อเสนอจากทางบริษัทแม่ที่ตนทำงานอยู่ว่า ทางบริษัทสาขาในต่างจังหวัด มีความต้องการพนักงานเพิ่ม เลยมีโครงการให้พนักงานเดิมที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดนั้นๆ ย้ายกลับถิ่นฐานไปทำงานกับสาขาได้ คุณโจเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี หนึ่งคือได้เงินเดือนเพิ่มนิดหน่อย สองคือได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อและแม่ที่ต่างจังหวัด

แต่คนที่ดูจะดีใจกับเรื่องนี้ที่สุด เห็นจะเป็น ‘แป้ง’ ลูกพี่ลูกน้องของคุณโจ เธอเป็นลูกสาวอาคุณโจ สาเหตุก็เพราะในทุกๆวัน แป้งต้องขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านเข้าตัวเมืองไปทำงานหลายสิบกิโลเมตร ในขณะที่ข้างทางก็เต็มไปด้วยป่าหญ้ารกชัฏชวนสะพรึง จนคุณโจยังอดถามไม่ได้ว่า ‘แป้งไม่กลัวบ้างเหรอ?’ แต่ลูกพี่ลูกน้องตอบกลับมาว่า…

“แป้งออกจากบ้าน 7 โมงเช้า กลับ 4 โมงเย็น กลางวันแสกๆ จะมีอะไรให้กลัวล่ะพี่?”

อย่างไรก็ตาม การที่ได้คุณโจกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน เท่ากับว่าในทุกๆวัน แป้งก็จะติดสอยห้อยตาม ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปทำงานพร้อมกับคุณโจได้ เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ 4-5 เดือน กระทั่งเย็นวันหนึ่งที่ฝนเริ่มตั้งเค้า เมฆดำส่งกลิ่นชื้นลอยมาแต่ไกล คุณโจมองออกไปที่หน้าต่างดูกลุ่มเมฆด้วยสายตาเหงาๆ ตอนนี้ใกล้ 5 โมงเย็นเข้ามาทุกที แต่เขาต้องรอจนกว่าเข็มยาวจะเดินไปทับเลข 12 เพื่อจะได้สแกนนิ้วกลับบ้านได้ แบบที่ไม่มีปัญหาภายหลัง

คุณโจเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง แป้งมายืนรออยู่พักนึงแล้วร้องทัก

“ไปเร็วพี่ ฝนจะตกแล้วเนี่ย”

คุณโจก็แซวทีเล่นที่จริง ‘อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวฝนทำไม’ ทำเป็นไม่เคยโดนฝนไปได้ ถ้าตกหนักอย่างมากก็จอดแวะข้างทาง แต่แป้งชูโทรศัพท์ ‘ไอโฟน’ เครื่องโปรดขึ้นมาเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า เธอหวงโทรศัพท์ต่างหากล่ะ คุณโจก็แอบขำอยู่ในใน ก็เด็กสาวสมัยนี้หวงมือถือยิ่งกว่าอะไร คงจะเพราะพึ่งซื้อมาใหม่กระมัง …แต่หากมาลองคิดดูดีๆในภายหลัง จะพบว่าการที่แป้ง ‘ห่วงโทรศัพท์’ มีเหตุผลลึกลับซ่อนอยู่ คุณโจเลยไขเบาะมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเอากระเป๋าสะพายข้างยัดลงไป เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ แล้วออกตัวรถทันที

คุณโจกับแป้งขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ราว 10 กิโลเมตร ก็เจอกับปัญหาที่คาดไว้จริงๆ ฝนตกลงมาหนักขึ้นทุกทีจนไม่สามารถทนฝ่าไปได้ เลยตัดสินใจจอดแวะพักที่ศาลาไม้ริมทาง เนื่องด้วยวันนี้ฟ้าฝนกระหน่ำ ทำให้ 5 โมงเย็นดูมืดไวผิดตา พอรถจอดสนิ แป้งรีบวิ่งดิ่งเข้าศาลาทันที คุณโจตามเข้าไปพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กยื่นให้แป้ง แต่แทนที่เธอจะเช็ดหน้าเช็ดตา กลับเช็ดโทรศัพท์จนแห้งก่อน ระหว่างนั้นฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง แถมมีฟ้าแลบฟ้าร้องคำรามไปทั่วบริเวณ ในจังหวะที่ฟ้าแลบ ‘แว่บบ’ ความสว่างสไวในชั่วอึดใจ ส่องให้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก

“อุ๊ยยยยย”

เสียงแป้งร้องตกใจ ก่อนพยักเผยิดหน้าไปด้านหลัง เป็นนัยว่าเธอพบเจอบางอย่างที่ไม่คาดคิดลึกเข้าไปด้านในศาลา คุณโจหันกลับไปมองก็ตกใจเช่นกัน ภายในความมืดสลัวใต้เงาหลังคาของศาลา มีร่างใครบางคนนั่งตะคุ่มอยู่ที่ม้านั่ง ทั้งๆที่ก่อนจะเข้ามาคุณโจไม่สังเกตเห็น ทันใดนั้นเอง ฟ้าแลบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คุณโจเห็นร่างนั้นอย่างชัดเจน เป็นชายเนื้อตัวมอมแมม หัวยุ่งเป็นรังนก ดูราวกับวนิพกพเนจรหรือคนไร้บ้านยังไงยังงั้น แต่สิ่งที่ทำให้ชายคนนั้นดูแปลกแยกกับสิ่งอื่นรอบข้าง คือเสียงครางในลำคอ ‘อืออออ… อืออออ…”

คุณโจรู้สึกใจหวิวๆ ในใจภาวนาอยากให้เป็น ‘ผี’ มากกว่าคนด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าเป็นผีที่ไม่มีกรรมผูกพันกันก็ต่างคนต่างอยู่ แต่กับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ในที่มืดเปลี่ยวเช่นนี้ ชวนให้ไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง คุณโจอดกลัวไม่ได้เหมือนกัน ว่าถ้าหมอนั่นเกิดลุกตรงเข้ามาหาทั้งคู่ จะทำอย่างไรดี คุณโจเลยพยายามไม่คลาดสายตา คอยเหลือบไปมองอยู่บ่อยๆในระหว่างที่ต้องรอฝนหยุดตกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่แล้วสิ่งที่คุณโจไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงฝนกระทบหลังคาดังราวกับลำโพงแตก มันมีเสียงของชายคนนั้นปนเข้ามาด้วย…

“ผม…เป็นผี ผะ…ผมเป็นผี”

อะไรนะ! หมอนั่นมันว่ายังไงนะ แต่พอได้ยินอยู่สองสามรอบ ‘ผมเป็นผี… ผมเป็นผี’ นายคนนั้นยังคงพูดต่อไปซ้ำๆ ในขณะที่นั่งกอดเข่าคู้ตัวสั่นๆ ขนทั่วทั้งตัวของคุณโจพร้อมใจกันลุกแบบไม่ได้นัดหมาย แป้งก็มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งฝนเริ่มซาลงแป้งเลยสะกิดบอกคุณโจ ‘พี่ๆ ไปเลยกีกว่า’ เลยตัดสินใจขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนไปเลย ตอนที่ออกตัวมาได้ไม่กี่สิบเมตร ฟ้าก็แลบขึ้นอีกครั้ง เผยให้เห็นในกระจกมองข้างว่า… ชายผู้ประกาศตนว่า ‘เป็นผี’ กำลังวิ่งไล่ตามมาทางพวกเขา แน่นอนว่าคุณโจบิดอย่างแรง จนหายลับตาไป

กว่าจะมาถึงบ้านก็ 6 โมงกว่าเข้าไปแล้ว ตอนที่เลี้ยวเข้าซอยหมู่บ้าน หมาทั้งซอยที่คุณโจคุ้นเคย แจกข้าวแจกน้ำกันอยู่บ่อยๆ ก็พร้อมใจกันเห่าหอนมาทางพวกเขา จนแอบคิดหวั่นใจว่า ‘หรือมันจะตามเรามาด้วย?’ พอถึงหน้าบ้านของแป้ง แป้งก็ลงไปไขรั้วเลื่อนหน้าบ้านให้คุณโจนำรถเข้าไปจอด จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายเข้าบ้าน ซึ่งบ้านคุณโจอยู่เลยไปอีก 2 หลัง พอคุณโจมาถึงหน้าบ้านตน หมาที่เลี้ยงไว้ก็ขู่ฟ่อๆทันที หมาที่เคยน่ารัก ทั้งเชื่องและแสนรู้ วันนี้กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนคุณแม่คุณโจจะได้ยินเสียงหมาเห่า เลยเปิดหน้าต่างออกมาต้อนรับคุณโจ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดระคนร้อนใจ

“ไอโจจจ ไปมัดหัวอยู่ไหนมา ทำไมกลับมามืดค่ำเอาป่านนี้!”

“ฝนมันตกจ่ะแม่ จะให้ขับฝ่ามายังไง”

“แล้วทำไมเอ็งไม่รับโทรศัพท์ ทั้งพ่อทั้งอาโทรตามแกเป็นร้อยๆครั้ง เอ็งไม่รู้เหรอ…ว่าอีแป้งน้องเอ็งโดนรถชนตายเมื่อเย็นนี้!!”

“เห้ยยยยยยย! ว่าไงนะแม่ แม่พูดอะไรเนี่ย”

คุณโจก็ยืนยันเสียงแข็ง ว่าตนขี่รถมากับแป้งจริงๆ ระหว่างทางเจออะไรมาบ้าง กระทั่งจอดส่งน้องที่บ้าน แม่คุณโจก็บอกให้ดูโทรศัพท์ซิ คุณโจหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค มีพายุ missing call กระหน่ำเข้ามาจนนับไม่ถ้วนจริงๆ เหงื่อเริ่มออกตามง่ามนิ้วมือของคุณโจ จนมันลื่นซะจนแทบกำโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่ คุณโจเดินย้อนกลับไปที่บ้านแป้งก็แทบหยุดหายใจ สิ่งที่พบมันทำให้ความหวังเล็กๆในใจเลือนหายไปในทันที

‘รถมอเตอร์ไซค์ที่คุณโจพึ่งเอาเข้าไปจอดในบ้าน โดยที่แป้งเปิดประตูรั้วให้… บัดนี้มันยังถูกจอดไว้หน้าบ้านนอกรั้ว ในสภาพที่ยังมีกุญแจเสียบคาอยู่ ประตูรั้วเลื่อนก็ปิดสนิทพร้อมกับแม่กุญแจคล้องอยู่’

ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ไม่เคยเกิดขึ้น…

คุณโจรีบควบมอเตอร์ไซค์แล้วบิดกลับเข้าตัวจังหวัดอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน แต่ตรงไปที่โรงพยาบาล ซึ่งร่างของแป้งนอนสงบนิ่งอยู่ที่นั่น เมื่อไปถึงที่นั่นก็พบว่าทั้งพ่อ อา และเพื่อนร่วมงานแป้งอยู่ที่นั่นกันเต็ม พ่อคุณโจเห็นว่ามาช้าเลยสวดเข้าให้ชุดใหญ่ คุณโจเลยเล่าเรื่องที่พบให้ฟัง กลายเป็นว่านาทีนั้นไม่มีใครอยากตำหนิคุณโจแล้ว หลังสอบถามกับเพื่อนของแป้ง ได้ความว่าตอนที่เลิกงานเมื่อ 4 โมงเย็น ขณะเดินข้ามถนน จู่ๆก็มีรถพุ่งมาชนเธอ สภาพร่างเธอดูไม่ดีเอาซะเลย แต่น่าแปลกว่าโทรศัพท์ไอโฟนเครื่องเก่งของเธอนั้นไร้รอยขีดข่วน

เนื่องจากคืนนั้นมืดค่ำแล้ว ทางโรงพยาบาลจึงยังไม่อนุญาตให้นำร่างของแป้งกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาได้ทันที คุณโจและพ่อกับอา เลยค้างคืนกันที่โรงแรมในตัวเมือง กระทั่งรุ่งเช้าถึงได้ทำเรื่องดำเนินการนำร่างเธอกลับไป อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อของคนแถบนั้น หากเป็นวิญญาณตายโหงจะไม่นำเข้าบ้าน ร่างของเธอจึงถูกส่งไปที่วัดทันที ส่วนคุณโจขณะกำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับ ก็นึกย้อนถึงเหตุการเมื่อเย็นก่อน สิ่งที่ยังติดในใจคือ…ชายวนิพกที่ศาลาแห่งนั้น คุณโจเลยตรงไปที่นั่น

ชายวนิพกยังคงนั่งอยู่ในศาลาเหมือนคืนวาน หากแต่ครั้งนี้พบกันในสถานการณ์ที่อากาศสดใสยามเช้า อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นมีอาการตั่วสั่นไปด้วยความหวาดกลัวทันทีที่เห็นคุณโจ ‘อือออ… อืออออ…’ ชายคนนั้นคราง คุณโจเดินเข้าไปหาใกล้ๆ จนได้ยินเสียงชายคนนั้นพึมพำอย่างชัดเจน

“ผม…เ ็ น ผี ผะ ผ ม … เ ห็ น ผี”

เนื่องจากจอกันครั้งก่อน เสียงฝนกระหน่ำบวกกับจิตปรุงแต่งของคุณโจ ทำให้คุณโจฟังผิดไปว่าเป็น ‘ผม…เป็นผี’ แต่ประโยคแท้จริงที่ชายคนนั้นสื่อสารคือ ‘ผม…เห็นผี’ !!

เขาหวาดกลัว เพราะเขาเห็น…แป้ง!

คุณโจถึงกับเข่าทรุดนั่งลงกับพื้นศาลาข้างชายที่พึมพำไม่หยุดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจากไปโดยทิ้งแบ็งค์ 100 สองใบไว้ให้ชายคนนั้น ไม่ว่าเขาจะต้องการมันหรือไม่

ในช่วงสวดอภิธรรมงานแป้ง คุณโจฝันเห็นเธอ เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรถึงเขา คุณโจคิดไปว่า…แป้งอาจอยากได้ของใช้ส่วนตัวที่เธอหวงแหนอย่าง ‘ไอโฟน’ คุณโจเลยเป็นคนจัดการ นำไปใส่ไว้ในโลงให้ คืนถัดมาคุณโจยังคงฝันเห็นแป้งอีก แต่รอบนี้ดูชัดเจยกว่าครั้งก่อน …

Admin

05/02/2022

นะโม๊ะ~ตัสส๊ะ? เจอผีญี่ปุ่นสวดมนต์ล้อเลียน

เรื่องนี้มีผู้ฟังรายการ “อังคารคลุมโปง” โทรเข้ามาบอกเล่าประสบการณ์สยองต่างแดน สมัยที่เธอไปพักในโรงแรมค่ายทหารอเมริกันในญี่ปุ่น แล้วเจอผีผู้หญิงสองคน จนตกใจโพล่งบทสวดออกมา แต่แทนที่ผีจะกลัว กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

คุณแพทเล่าไว้ว่า… ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เนื่องจากสามีคุณแพทเป็นทหารอาชีพของกองทัพอเมริกัน ทำให้มีประสบการณ์ต้องเดินทางติดสอยห้อยตามสามี ไปทำงานหรือประจำการในต่างประเทศอยู่บ่อยๆ

แต่ประเทศหนึ่งที่เธอไม่เคยลืมเลย คือที่ฐานทัพทหารอเมริกันในญี่ปุ่น ตอนนั้นเธอกับสามีได้ที่พักเป็นโรงแรมในเขตฐานทัพ ตัวโรงแรมแม้จะดูมีอายุอานามมากโขอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมถึงขนาดไม่น่ามอง อย่างไรก็ตามห้องพักของที่นี่ก็ไม่ได้อยู่อาศัยสบายนัก เนื่องด้วยขนาดห้องที่แคบมากๆ ตามสไตล์ห้องพักในญี่ปุ่น ซึ่งพื้นที่มีราคาแพง

ถึงอย่างนั้น…คุณแพทก็อดกังวัลไม่ได้ ด้วยบรรยากาศที่ดูวังเวงพิกล เธอเล่าว่าเลย์เอาท์ของห้องค่อนข้างแปลก เปิดแระตูเข้าไปจะพบโถงเล็กที่มีโทรทัศน์ และโต๊ะทำงานพร้อมโคมไฟตั้งอยู่ ถัดเข้าไปจะเป็นทางเดินยาวแคบๆไปสู่ห้องนอนด้านใน แต่ระหว่างทางไปสู่ห้องนอนจะต้องผ่านอีก 2 ห้อง ทางด้านซ้ายเป็นห้องอาบน้ำ ส่วนด้านขวาเป็นห้องส้วม ซึ่งดูไปดูมาก็ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ‘นี่มันทางสามแพร่งในห้องชัดๆ ไม่ใช่เหรอ?’

คืนนั้นคุณแพทก็เล่าว่าจู่ๆตนกลัวรู้สึกเพลียอย่างหนัก ราวกับมีใครเอามือมาดึงหนังตาเธอให้ปิดลง อาจจะด้วยการเดินทางระยะไกลมาก็เป็นได้ ในขณะที่สามีเธอนั่งทำงานอยู่ในส่วนโถงหน้าห้อง จนกระทั่งกลางดึก คุณแพทก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกระซิบกระซาบ ทั้งๆที่ในห้องมีเพียงเธอกับสามี เธอฟังอยู่ครู่หนึ่งก็พอจับใจความได้ว่า มันเป็นเสียงการสนธนาที่มีอารมณ์แฝงอยู่ของผู้หญิงสองคน แต่คุณแพทไม่เข้าใจความหมาย เพราะพวกเธอเหล่านั้นใช้ภาษาญี่ปุ่น

ถึงตรงนี้คุณแพทเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งๆที่อากาศเย็น เธอรู้สึกตัว…นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ทันทีที่เธอพยายามจะลุกขึ้นมานั่ง ปรากฎว่าทำไม่ได้! ราวกับมีมวลสารหนักอึ้งที่มองไม่เห็นในห้อง ฉุดรั้งเธอเอาไว้กับเตียง เธอทำได้เพียงขยับแขนขา แหวกว่ายเบาๆในอากาศ ต่อให้ดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ซ้ำร้ายกว่านั้น เปลือกตาของเธอยังลืมขึ้นได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่เธอก็พยายามสอดส่องไปในความมืดสลัว เพื่อมองหาต้นกำเนิดเสียง

มันมาจากทางปลายเตียงของเธอ ไม่ห่างจากเธอมากนัก มีผู้หญิงผมยาวคลุมหน้าคลุมตาจนไม่เห็นใบหน้า 2 คนกำลังนั่งถกเถียงกันอยู่ที่ปลายเตียงคุณแพท ขณะที่ด้านหลังถ้ดออกไปมีชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดทหารอเมริกันยืนเป็นฉากหลังมองการปะทะคารมกันของสองสาวตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย แม้ไม่เข้าใจว่าพวกเธอและเขามีเรื่องอะไรกัน แต่คุณแพทก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นตรงหน้า ชวนคิดได้ว่าเป็นเรื่องราวรักสามเศร้า ของสองหญิงกับหนึ่งชายไม่ใช่หรือ

ในระหว่างที่คุณแพทจ้องมองภาพข้างหน้าราวกับจะค้นหาคำตอบ ชายในชุดทหารก็มีปฏิกิริยาบางอย่าง ดูเหมือนเขาเริ่มจะตระหนักได้ว่า…มีคนรับรู้ตัวตนของพวกเขาได้ เลยพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษกับคุณแพทว่า

“อย่าเข้ามายุ่งกับพวกเรา”

สิ้นสุดคำพูดนั้น หญิงในชุดกิโมโนสีขาวล้วนทั้งสอง ก็ค่อยๆหันหน้ามาทางคุณแพท พวกเธอโน้มตัวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คุณพระ! ส่วนที่ควรจะเป็นที่ตั้งของดวงตา คิ้ว จมูก บนใบหน้าของพวกเธอ มันกลับขาวโล้นเลี่ยนว่างเปล่า ผีไร้หน้าสองตนแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย คุณแพทตกใจอย่างหนัก ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ ที่มีอะไรก็ต้องคว้ามาเอาตัวรอดไว้ก่อน บทสวดเดียวที่หลุดออกมาจากปากเธอแบบอัตโนมัติคือ… นะโมตัสสะ ภัคคะวะโต

“นะโม๊ะ~ ตัสซ๊ะ??”

“ผักคะวาโต๊ะ…!!”

แทนที่จะช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าสองผีสาว กำลังทวนคำท่องบทสวดมนต์ของคุณแพทอย่าง ‘หน้าตาเฉย’ แต่มาในสำเนียงญี่ปุ่น ในน้ำเสียงบ่งบอกถึงความขบขัน คล้ายกับกำลังล้อเลียนคุณแพทอย่างสนุกสนาน พวกเธอยกแขนที่มีชุดกิโมโนขาวคลุมไว้เกือบถึงข้อมือมาป้องปากสีแดงฉาน พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก มันเป็นบรรยากาศสุดเลวร้ายสำหรับคุณแพท

เธอพยายามจะเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากสามี แต่เสียงตะโกนด้วยแรงทั้งหมดกับหายลงไปในคอ ไม่มีสักเดซิเบลเล็ดลอดออกมาเลย คุณแพททนดูภาพน่าจนลุกอยู่สักพักจนเริ่มตั้งสติได้ ก็เริ่มตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้ปกปักคุ้มครองเธอ ต่อมาเธอก็ปล่อยให้ร่างนำใจ กายนำจิต เธอเริ่มแช่งผีทั้งสามตนด้วยอารมณ์โมโหสารพัดสารเพ ออกมาแบบไม่รู้ตัว

“ถ้าพวกแกไม่เลิกหลอกเลิกหลอน ขอให้พวกแกจมปลักอยู่ในก้นบึ้งของวังวนความรัก จนไม่ต้องไปผุดไปเกิด ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!!”

สิ้นคำนั้นเสียงหัวเราะก็หยุดลงแทบจะในทันที ผีทั้งสามจางหายไปราวกับหมอกควัน ไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่ ในขณะที่คุณแพทก็ผลุบลุกขึ้นมานั่งแบบแทบไม่ต้องใช้เรี่ยวแรง เธอเล่าให้สามีฟัง ว่าทำไมไม่ช่วยเธอ ฉันอุตส่าห์เรียกตั้งนาน แต่คนผู้เป็นสามีตอบว่า…เห็นเพียงเธอกำลังทำท่าราวกับรำไทเก๊ก เลยเข้าใจว่าคงนอนละเมอ

ภายหลังคุณแพทก็ไปสอบถามกับผู้ดูแล รีเซปชั่นของที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ความอะไร เนื่องจากที่นี่เป็นที่พักทหาร มีพนักงานหมุนเวียนไปมาตลอด ไม่มีใครที่เคยอยู่มาตั้งแต่สมัยเมื่อก่อน เลยไม่ทราบประวัติความเป็นมา อย่างไรก็ตาม ภาพในคืนนี้นติดตาเธอมาก คุณแพทจำได้แม่นว่าชุดกิโมโนสีขาวโพลนของผีสาว มีลักษณะการใส่แบบ ‘ขวาทับซ้าย’ เมื่อเธอไปค้นข้อมํลเพิ่มเติมก็ได้ทราบว่า ปกติคนเป็นจะสวมกิโมโนในแบบที่ให้ชายเสื้อด้านซ้ายทับด้านขวา ส่วนแบบด้านขวาทับซ้ายนั้น…เค้าเอาไว้ใส่ให้ ‘ศพ’ ในพิธีกรรม เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้

สุดท้ายก็มีผู้ใช้ยูทูบท่านอื่นมาแสดงความคิดเห็นไว้ว่า “นะโมตัสสะ เป็นบทสวดที่เราระลึกคุณพระรัตนไตย ไม่มีทางที่ผีจะหลัวหรอก จะสวดมนต์ตรงเข้าใจความหมายและจุดประสงค์ ขอแนะนำเป็น ‘บทสวดพาหุงมหากาฬ’ ที่มีเนื้อหาว่าด้วยเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าปราบเหล่าภูติผีและมารร้าย ซึ่งมีผลทางพุทธคุณมาก แม้ว่าบทสวดจะยาว แต่หากท่องได้ก็เหมือนมีไม้กายสิทธ์เอาไว้ใช้ปราบผี นั่นเอง…

Admin

28/01/2022

“คนหลอกผี” ถูกผีตามติด…เลยหลอกมันขึ้นรถทัวร์ไปลงเชียงใหม่

เรื่องเล่าคราวนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณนัท คุณนัทเล่าว่าชีวิตในวัยเด็กของเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เกิด แม้ตัวเธอจะคลอดก่อนกำหนดราวหนึ่งเดือนเลยต้องอยู่ในตู้อบ แต่หลังจากนั้นเธอก็เป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างแข็งแรง จนกระทั่งวันหนึ่งตอนอายุ 4 ขวบกว่าๆ

คุณนัทบอกว่า ตอนนั้นไปเที่ยวต่างจังหวัดกันทั้งครอบครัว แต่กว่าจะถึงก็ค่ำเข้าไปแล้ว เลยทำได้เพียงเดินเล่นในย่านตลาดค้าขายแถวนั้น ระหว่างที่สามคนพ่อแม่ลูก กำลังผิดหวังที่มาถึงตอนตลาดก็เริ่มวายแล้ว ก็เดินไปสะดุดตาเข้ากับศาลเจ้าจีนเล็กๆ ที่มีแสงสีแดงฉูดฉาด ตรงสุดซอย เลยตัดสินใจว่าไปขอพรไหว้พระกันก็แล้วกัน

ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติ จนกระทั่งตอนจะเดินออกจากศาลเจ้า คุณแม่คุณนัทก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เพราะจู่ๆลูกสาวตัวเองก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง ท่ามกลางความเงียบ

“แม่ๆ ป้าเค้าเอาไก่มาให้หนูด้วย ดูสิ…ไก่ตาแดงด้วย”

คุณแม่คุณนัทมองตามสายตาลูกสาวไปที่มือ สิ่งที่เธออุ้มอยู่…ไม่ใช่ไก่เป็นๆ หากแต่เป็นตุ๊กตา/รูปปั้นไก่สีทอง คล้ายกับวัตถุมงคลตามศาลเจ้านั่นเอง เว้นซะแต่ว่า…ดวงตาของมัน ดูปูดโปนซ้ำยังแดงก่ำแวบวับจนเห็นชัดในความมืด ชวนให้ขนลุก

“ลูกเอามาจากตรงไหน เอาไปวางคืนที่เดิมๆ อย่าเอาของเค้ามา”

คุณนัทในวัยสามขวบก็ทำตามอย่างว่าง่าย เอากลับไปวางที่เดิมโดยไม่ได้โต้แย้งใดๆ แล้วก็กลับที่พักกัน นี่คือเรื่องราวที่คุณนัทเองก็ลืมไปแล้ว แต่ได้ฟังมาจากคุณแม่

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตาม หลังจากค่ำคืนนั้นคุณนัทก็มีพฤติกรรมที่แปลกไป คือชอบนอนละเมอตอนกลางคืน ไม่ใช่อาการละเมอธรรมดาๆ อย่างการพูดอะไรงึมงำคนเดียวบนเตียง แต่หนักถึงขั้นเคยลุกเดินไปมากลางบ้านอยู่หลายครั้ง ครั้งที่หนักสุดคือละเมอเดินไปเข้าห้องน้ำชั้นล่างทั้งที่หลับตา นั่งส้วมในชุดนอน แล้วจู่ๆตัวก็ล้มฟุบลงหัวแทบจุ่มลงส้วม ยังดีว่าเสียงดังพอที่พ่อแม่ของเธอจะได้ยิน แล้วลงมาดู เลยกลายเป็นความกังวลใจในความปลอดภัยขึ้นมา

ครอบครัวเลยพาไปพบแพทย์ แต่ก็ได้ความว่าอาจจะเกิดจากตัวคุณนัทนอนไม่พอ นอนน้อย จนทำให้มีพฤติกรรมนอนละเมอ คุณแม่คุณนัทก็งง ลูกอยู่ในวัยเรียนเข้านอนแต่หัวค่ำเสมอ คืนนึงคุณแม่คุณนัทเลยแอบสอดส่องดูพฤติกรรม หลังจากส่งคุณนัทเข้านอนไปแล้ว ช่วงเกือบๆเที่ยงคืนก็ได้ยินเสียงพูดดังออกมาจากห้องนอนลูกสาว ทีแรกแม่คุณนัทก็เข้าใจว่า เป็นส่วนนึงของอาการละเมอ แต่พอตั้งใจฟังดู…ในเนื้อความเหมือนคุยกับใครบางคนมากกว่า…

“คุณป้า…มาหา…นัททุกวัน…แบบนี้ ไม่เบื่อเหรอ”

“หนู หนูยัง…ไม่อยากไป…ค่ะ คุณป้า หนูยัง…ต้องเรียนหนังสือ ต้องไปโรงเรียน”

คุณแม่เริ่มตกใจเลยเปิดเข้าห้องไป พบว่าคุณนัทลุกมานั่งบนเตียงในสภาพหลับตาสนิท แต่เหงื่อท่วมไปทั้งตัวราวคนพึ่งตื่นจากฝันร้าย อย่างไรก็ตาม…คุณนัทจำเรื่องราวตอนที่เธอละเมอพูดไม่ได้เลย

หลังจากหาหมออยู่พักหนึ่ง อาการไม่ดีขึ้นนัก แถมคุณนัทเองเริ่มมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ กลายเป็นคนป่วยง่ายไปเลย สุดท้ายคุณแม่เลยพาคุณนัทไปหาพระที่วัดดังแห่งหนึ่ง

พอลงจากรถยังไม่ทันเดินไปไหนไกล ก็ถูกพระหนุ่มที่กวาดลานวัดอยู่แถวนั้นทักขึ้นมาพอดี “ไปสัญญาอะไรเอาไว้ล่ะหนู เค้าถึงได้ตามติดเป็นเงาเลย”

คุณแม่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็กลืนคำนั้นลงคอ เพราะท่านชี้มือไปอีกทาง “หลวงพ่อท่านรออยู่ รีบไปพบเถอะโยม”

หลังจากได้พบหลวงพ่อ ท่านก็พูดคล้ายกับที่หลวงพี่พระหนุ่มทักไป คือมีวิญญาณตามติดคุณนัทเนื่องจากเคยไปรับคำสัญญาอะไรเอาไว้ คุณแม่คุณนัทก็งง ว่าลูกของตนไม่เคยเข้าร่วมพิธีกรรมอะไร ถามไปถามมาก็เลยรู้รูปพรรณของวิญญาณที่ตามติด ว่าเป็นอาม่าอายุราว 70 สวมชุดคล้ายกี่เข้าดูจีนๆสีขาวเลื่อมทอง ทีนี้คุณแม่คุณนัทก็นึกขึ้นได้ทันที… ราวครึ่งปีที่ผ่านมา เคยไปเที่ยวศาลเจ้าจีน แล้วลูกพูดจาแปลกๆ ก็เล่าเหตุการณ์วันนั้นให้พระท่านฟัง

พระท่านก็ว่า…แม้คุณนัทไม่ได้รับของ (ไก่ตาแดง) มาแต่ตอนเอาไปวางที่เดิม ก็ไม่ได้มีคำพูดถอน หรือคำขอคืนแต่อย่างใด ทางนั้นเค้าก็ทึกทักเอาแล้วว่ารับของจากเค้าไป เค้าชอบใจคุณนัท เค้าอยากเอาไปอยู่เป็นลูกเป็นหลาน คุณแม่คุณนัทได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็หน้าซีด ถามพระว่ามีทางไหนจะแก้ไขเรื่องนี้บ้าง

พระท่านก็ว่า…ตอนนี้เค้ารู้จักรูปร่าง หน้าตา ชื่อเสียงเรียงนามคุณนัทแล้ว และเค้าชอบคุณนัทมาก คงไม่ยอมเทง่ายๆ สิ่งที่พระท่านแนะนำ แม้แต่คุณแม่ก็ยังตะลึง ท่านว่าให้ทำการ “หลอกผี” ซะ ตัวคุณแม่เองเกิดมากว่า 40 ปี เคยได้ยินแต่คำว่าถูกผีหลอก แต่นี่พระกลับแนะนำให้หลอกผี หลังจากนั้นก็แนะนำวิธีเตรียมตัวต่างๆให้

เย็นวันเสาร์ ปฏิบัติการลับสุดยอดก็เริ่มต้นขึ้น คุณพ่อคุณนัทพาเธอไป “หมอชิต” พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางแปะชื่อคุณนัท ที่ใส่เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของคุณนัทไปด้วย เมื่อถึงเวลาใกล้รถออก คุณพ่อจุดธูปขึ้นมาดอกนึง แล้วกล่าวว่า…

“อยากได้ลูกกรุนักใช่มั้ย ถ้าอยากได้ก็จะให้…แต่ตามไปเอาเองนะ!”

ใช่แล้ว! พระท่านแนะนำให้หลอกผี ด้วยการหลอกพามันไปให้ไกลที่สุด คุณพ่อคุณนัทก็จัดตั๋วรถทัวร์ “กรุงเทพ – เชียงใหม่” ให้เลย ไกลสะใจ จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถพร้อมทั้งสัมภาระข้าวของ แล้วบอกคนขับจอดตรงหน้าทางออกจากหมอชิต ก่อนจะพาคุณนัทลง โดยที่ทิ้งข้าวของไว้บนรถให้ผีมันตายใจ Go to Chiangmai กันไปเลย

หลังจากนั้น คุณนัทก็ไม่ได้ใช้ชื่อเดิมอีกต่อไป เปลี่ยนทั้งชื่อจริง และชื่อเล่น นามสกุลก็ใช้นามสกุลแม่แทน และแน่นอนว่า “นัท” ก็ไม่ใช่ชื่อเล่นดั้งเดิมของเธอ

อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อาการคุณนัทก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรักษา หรือแผนจารกรรมปล้นลูกคืนจากผีอาม่าในครั้งนั้นกันแน่ จนถึงปัจจุบันคุณนัทกับครอบครัวก็ไม่แวะเวียนไปจังหวัดดังกล่าวตอนต้นเรื่องอีกเลย กลัวว่าเดี๋ยววันนึง บังเอิญไปเจอกับอาม่าอีก แล้วจะมองหน้ากันไม่ติด นี่คือเรื่องราวทั้งหมด…

Admin

18/01/2022

เรื่องเล่าผี | หญิงผู้มาซื้อของ…สำหรับงานศพตัวเอง

มีเรื่องเล่าผีเรื่องหนึ่ง ที่นับว่าแปลกมากเหมือนกัน มีผู้ใช้เฟสบุ๊คหญิงท่านนึงเคยเล่าเอาไว้ เกี่ยวกับประสบการณ์ที่ตนพบเจอ ตอนมีคนมาขอซื้อการบูรที่ร้าน 

ตอนนั้นดึกมากแล้ว นาฬิกาบอกเวลา 5 ทุ่มกว่าๆ ตามปกติแล้วร้านขายดอกไม้สดอย่างที่นี่ ไม่ค่อยจะมีลูกค้าแวะเวียนมาในช่วงเวลาแบบนี้นัก หญิงสาวผมสั้นที่มาเยือนในค่ำคืนนั้น เจ้าของร้านจึงจดจำได้อย่างชัดเจน 

ลูกค้านิรนามมาถามหาเครื่องหอมการบูร เจ้าของร้านก็ให้การต้อนรับ พร้อมสอบถามแนะนำเป็นอย่างดี

“น้องต้องการซื้อไปใช้แบบไหนคะ?”

“เผอิญที่บ้านมีงานศพ จะซื้อไปใส่ในโลงน่ะค่ะ”

ด้านแม่ค้าก็ให้คำแนะนำ… “โลงมีกลิ่นเหรอคะ? ถ้าแบบนั้น ใช้การบูรซัก 2 ก.ก. น่าจะเพียงพอ”

“ว่าแต่บ้านอยู่ตรงไหนเอ่ย ทางร้านไปช่วยจัดการให้ ได้นะคะ?”

ลูกค้านิรนามตอบกลับ… “ไม่ไกลค่ะ ห่างจากที่นี่ออกไปราว 10 ก.ม. งานจัดอยู่ริมทางเลยเข้าไปจะเห็นทันที”

แม่ค้าหายเข้าไปในร้าน จัดแจงตวงการบูรบนตาชั่ง เข็นบนนั้นขยับเข้าใกล้เลข 2 เลยตักเพิ่มอีกช้อน แถมเพิ่มไปนิดหน่อย

อย่างไรก็ตามแม่ค้าเข้าไปในร้านไม่ถึง 3 นาที แต่ว่าบัดนี้ ลูกค้าผู้มาเยือนยามวิกาลไม่อยู่ที่หน้าร้านแล้ว…

ตัวแม่ค้าเองไม่ได้ติดใจอะไรมาก แค่คิดไปว่า สงสัยตนจะเรื่องมาก ไปถามซอกแซกจนลูกค้ารู้สึกไม่ดี เลยไปหาร้านอื่นแทนรึเปล่า เลยวางถุงการบูรที่พึ่งตักลงบนโต๊ะแคชเชียร์ในร้าน แล้วลืมเรื่องนี้ไป

กระทั่งวันรุ่งขึ้น ก็มีลูกค้ามาถามซื้อพวงหรีดจากทางร้าน แม่ค้าก็สอบถามได้ความว่างานจัดที่บ้านป่าบาก ซึ่งเทียบระยะทางแล้วห่างจากที่ร้านไป 10 ก.ม. พอดี แม่ค้าเลยนึกขึ้นได้แล้วเอ่ยปากถาม…

“ที่…งานจัดอยู่ริมทางรึเปล่าคะ เผอิญเมื่อคืนมีน้องผู้หญิงมาถามซื้อการบูรที่ร้านเหมือนกัน บอกว่าจะนำไปใส่โลงงานศพที่บ้าน ห่างไป 10 ก.ม.”

ลูกค้าที่มาซื้อพวงหรีดมีท่าทีปะหลาดใจระคนตกใจ ก่อนสอบถามว่า…ลูกค้าคนนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แม่ค้าก็เล่ารูปพรรณสัณฐานให้ฟัง ว่าเป็นหญิงรู้ร่างท้วม ผมสั้นย้อมสีเหลืองทอง สวมชุดสีดำสนิท แต่แทนที่ลูกค้าพวงหรีดจะตอบหรือเอ่ยปากอะไร กลับดึงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าถือ มันเป็นรูปถ่ายบุคคลใบหนึ่ง ซึ่งพอแม่ค้าได้ดูชัดๆก็จำได้ทันทีว่า…เป็นคนเดียวกันกับที่มาถามหาซื้อการบูรเมื่อคืน

“คนนี้ใช่มั้ยที่มาซื้อ? น้องเป็นหลานพี่เอง และ…เป็นเจ้าของงานศพด้วย”

“น้องประสบอุบัติเหตุรถชน พึ่งเสียไปเมื่อไม่กี่วันก่อน…”

แม่ค้าได้ยินจบก็เข่าแทบทรุด เหงื่อกาฬไหลพลั่ก จนต้องพิงตัวกับโต๊ะ พยายามคิดทบทวนในหัว หาเหตุและผลว่า… ถ้าเรื่องที่ได้รับฟังเมื่อครู่เป็นความจริง แล้วใครล่ะ ที่มาพบเธอเมื่อคืน? กระทั่งในที่สุดก็ยอมรับได้ว่า นี่ไม่ใช่รายการจ้อจี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงๆ และมันไม่ใช่ความฝัน

“เสียใจด้วยนะคะ! คือ…ยังไงไม่รู้ล่ะ แต่หนูฝากการบูรถุงนี้ไปร่วมทำบุญกับงาน พร้อมพวงหรีดอันนี้เลย แล้วกันนะคะ”

อย่างไรก็ตาม มีลูกค้าคนเดิมกลับมาที่ร้านอีก แต่คราวนี้ไม่ได้มาเพื่อซื้ออะไร หากแต่กลับมาบอกว่า… 

มันออกจะแปลกอยู่เหมือนกัน ที่โลงเกิดไม่เย็นโดยไม่มีใครรู้ พอเปิดฝาออก ก็พบว่ามีกลิ่นการบูรที่ฝากไปได้ใช้งานพอดี

เรื่องนี้อาจจะไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่หากลองคิดต่อดู… เป็นไปได้มั้ยว่า “เมื่อคืนนั้น เป็นตัวคนตายเอง ที่ออกมาหาซื้อการบูร”

ขอบคุณที่มา : ผู้ใช้เฟสบุ๊ค Ratiyapron

Admin

12/07/2020

30 ปีผีอาฆาต..ภาพจำสุดท้ายของวิญญาณ คือดวงไฟหน้ารถยามค่ำคืน

เรื่องราวอาถรรพ์“ล่าข้ามทศวรรษ” เมื่อผีตามล่าคนขับรถทัวร์ด้วยเหตุผลบางอย่างในอดีตกว่า30 ปีที่ผ่านมา

เรื่องนี้คุณตูนได้เล่าไว้ในเดอะโกสต์ เรดิโอ ว่าตนเคยนั่งรถไปเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ขับรถทัวร์ ในคืนนั้นเกิดเหตุประหลาด..ผู้หญิงล่อนจ้อนกระโดดพุ่งเข้าใส่กระกระจกหน้ารถ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ รู้ตัวอีกทีคือไปนอนโรงบาลแล้ว 

ขับรถทัวร์อยู่ดีๆ…เจอผีผู้หญิงตัวอวบๆกระโดดเกาะกระจกหน้ารถ

จากเรื่อง: 30 ปีผีอาฆาต เดอะโกสต์ เรดิโอ

เล่าโดย: คุณตูน

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน คุณตูนทำงานขับรถทัวร์ให้กับบริษัทอู่รถแห่งหนึ่งที่หาดใหญ่ หลังจากที่รับวิ่งงานต่อเนื่องกันมานาน รถที่ขับประจำก็ได้เวลาเข้าศูนย์ตรวจเช็คระยะและซ่อมบำรุง ก็ได้ถูก “พี่วิท” ลูกพี่ที่รู้จักกันโทรมาศัพท์มาชวนให้มาช่วยขับรถ พาเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ขึ้นมาทัศนศึกษา

ถึงแม้ว่าจะเหนื่อย แต่ด้วยความที่เป็นศิษย์สอนขับรถกันมา คุณตูนจึงตอบรับคำชวนและได้พาเจ้าเบลล์เด็กรถของตัวเองติดรถมาช่วยกันด้วย โดยคุณตูนรับหน้าที่ขับรถช่วงกลางคืนที่ต้องวิ่งข้ามจังหวัด ส่วนพี่วิทจะทำทัวร์และขับช่วงกลางวัน

เมื่อคุณตูนขับรถขาขึ้นจากใต้มาถึงป้อมตำรวจชุมชนช่วงอ.ท่าชนะจ.สุราษฏร์ธานี ก็เป็นเวลากลางดึกแล้วปวดฉี่ขึ้นมา แต่ขณะนั้นเกิดฝนตกหนักจึงได้รีบจอด ณ จุดนั้นเพื่อทำธุระส่วนตัว ก็ได้สังเกตเห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งยืนหลบฝนอยู่ จึงได้พูดคุยและเชิญชวนให้ติดรถมาด้วย

พระรูปนั้นจึงขอติดรถมาลงยังจุดที่พอพ้นฝน ตลอดเส้นทางก็ได้มีการพูดคุยกันมาคุณตูน สังเกตว่าหลวงพี่รูปนี้เป็นพระที่น่าเลื่อมใสศรัทธามาก ทราบชื่อสั้นๆว่าหลวงพี่จ๊ะ

เมื่อขับมาถึงจุดพักรถที่จ.ชุมพร ก็ได้จอดแวะพัก และหลวงพี่จ๊ะก็ขอลงธุดงค์ต่อ แต่ก่อนจากไปท่านได้พูดคุยสั่งสอนพี่วิท ลูกพี่ของคุณตูนอยู่นานเรื่องเวรกรรม และได้ยื่นขวดน้ำให้กับพี่วิทเพื่อให้ล้างหน้าเพื่อชำระล้างสิ่งที่ไม่ดี

คณะของคุณตูนก็ได้เดินทางต่อ เพื่อท่องเที่ยวสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี และได้มาหยุดพักค้างคืนที่กทม. โดยคุณตูนและลูกพี่ได้หยุดพัก 2 คืน เนื่องจากคณะทัวร์ได้เช่ารถตู้ไปเที่ยวกันต่อ

คืนที่สองของการพัก คุณตูนถูกสต๊าฟทัวร์ชักชวนตั้งวงดื่มกัน เนื่องจากคิดว่าวันรุ่งขึ้นยังพักอยู่ คุณตูนก็ได้ดื่มไปเล็กน้อย แต่สักพักพี่วิทก็ได้เดินมาหาและบอกว่ามีรถของที่อู่เดียวกันหม้อน้ำแตกที่ อ.แกลง จ.ระยอง ทำให้ได้รับคำสั่งให้ต้องไปรับลูกค้าเพื่อเข้ากทม. เช้ามืดวันนี้พี่วิทจึงมาชวนคุณตูนให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนกัน เมื่อขับรถไปได้สักระยะ พี่วิทก็บอกให้คุณตูนไปนอนพัก เพื่อให้คลายสร่างจากฤทธิ์ของอัลกอฮอล์

จู่ๆคุณตูนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาบนรถว่า

“ถ้าเมิงแน่จริง เมิงก็ถอดประคำแล้วลงมาจากรถซิวะ”

ก็ตื่นขึ้นมาดู พบว่ารถจอดอยู่ ไม่เห็นพี่วิท เจ้าเบลล์ก็สงสัยว่าหายไปไหน แล้วก็เจอพี่วิทยืนอยู่ด้านข้างรถ เหงื่อออกเต็มใบหน้า พี่วิทได้บอกว่า

“ถ้าไม่มีคนโทรตาม ตอนเช้าค่อยเดินทางกันดีกว่า”

แต่ขณะนั้นเถ้าแก่ก็ได้โทรตามโทรเร่งอยู่ตลอดเวลา จึงต้องทำตามหน้าที่ คุณตูนจึงรับอาสาจะขับรถเอง เพราะระยะทางอีกไม่ไกลก็ใกล้จะถึงจุดหมาย แต่เพราะดื่มมาถ้าถูกตำรวจจับจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน พี่วิทจึงตัดสินใจขับเองแต่ให้คุณตูนและเจ้าเบลล์นั่งเป็นเพื่อน ห้ามหลับเด็ดขาด

รถทัวร์ของพี่วิทขับออกจากมอเตอร์เวย์ เบี่ยงลงถนนเส้นบ้านบึงมุ่งหน้าสู่ อ.แกลงได้สักระยะ 30 กิโลเมตร ถนนช่วงกลางดึกมีรถน้อย พี่วิทจึงเปิดไฟสูงเป็นระยะ ช่วงสุดแสงของไฟ คุณตูนได้เห็นร่างๆหนึ่งอยู่สุดปลายแสง วิ่งออกมาจากข้างทาง เมื่อรถขับเข้าไปใกล้ก็วิ่งหลบเข้าข้างทาง เป็นแบบนี้อยู่ 3 ครั้ง จนครั้งที่ 4 ก็เห็นชัดว่าเป็นหญิงสาวรูปร่างอวบไม่ได้ใส่เสื้อผ้า พอรถจะถึงก็วิ่งหลบเข้าข้างทางอีก คุณตูนไม่รู้ว่ามีคนอื่นเห็นด้วยรึเปล่าแต่ก็ไม่กล้าทัก และนึกภาวนาในใจ ขออย่าให้มีใครทัก จนครั้งที่ 5 เจ้าเบลล์ก็ได้ทักขึ้นมา

“เห้ยพี่ตูนใครมาวิ่งเปลือฺยอยู่ข้างหน้า”

ทันทีที่ทัก ร่างๆนั้นเปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินช้าๆเหมือนรอ จนเมื่อรถวิ่งเข้าไปใกล้จึงได้เห็นชัดเจนขึ้น พี่วิทก็ทักขึ้นมาว่า นั้นอะไรหน่ะ! ทันทีที่ทักไปผู้หญิงคนนั้นก็กระโดดโผลงขึ้นมาเกาะอยู่บนกระจกหน้ารถทันที!!

พี่วิทจึงเสียหลักในการควบคุม รถเบี่ยงลงทางซ้าย คุณตูนจึงรีบหมุนพวงมาลัยกลับขวา ทำให้รถทัวร์พลิกคฺว่ำลงข้างทางทันที!

พี่วิทคนขับได้รับบาดเจ็บมากที่สุด ไหปลาร้าและซี่โครงหัก และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เจ้าเบลล์จมูกหัก ส่วนคุณตูนเพียงแค่ฟกช้ำเล็กน้อย ได้กลับบ้านเร็วสุด

พี่วิทถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูนานถึง 20 กว่าวัน เมื่อแพทย์ให้ย้ายออกมาอยู่ห้องพิเศษ แฟนพี่วิทก็ได้เดินทางมาเฝ้า โดยคุณตูนเป็นคนไปรับและขับรถพามา จากใต้มาถึงโรงพยาบาลก็เป็นเวลาเกือบๆ 3 ทุ่ม

เมื่อเดินหาห้องพักของพี่วิทจนเจอป้ายชื่อหน้าห้อง ทันที่ที่คุณตูนชะโงกหน้าดูทางช่องหน้าต่างหน้าห้องพักผู้ป่วย ก็ต้องผงะออกมา เมื่อได้เห็นว่ามีผู้หญิงยืนเปลือฺย กำลังยืนกระทืบหน้าอกของพี่วิทอยู่!!

แต่แฟนแกกลับเห็นและเข้าใจไปว่าพยาบาลกำลังปั้มหัวใจพี่วิทอยู่ ก็กำลังจะเข้าไปหา คุณตูนจึงรีบคว้ามือแฟนแกออกมา และชักชวนแฟนแกให้ไปตามพยาบาลมาดู เมื่อพยาบาลตัวจริงมาถึงแฟนแกก็หน้าซีด แล้วสงสัยว่าที่แกเห็นนั้นคืออะไร คุณตูนจึงเปลี่ยนเรื่องและแนะนำให้ชวนพระมาทำพิธีสวดให้ในตอนเช้า

เมื่อรุ่งเช้าจึงพากันไปยังวัดใกล้ๆ และรอจนพระฉันเช้าเสร็จก็ต้องประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้พบกับหลวงพี่จ๊ะที่เจอกันที่สุราษฏร์ หลวงพี่ก็ได้มารดน้ำมนต์ให้พี่วิทที่โรงพยาบาล คุณตูนก็ออกไปส่ง หลวงพี่สั่งไว้ว่าถ้าพี่วิทดีขึ้นแล้วให้พาไปหาหลวงพี่ที่สุราษฎร์ และกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “บุญต่อบุญ ชีวิตต่อชีวิตนะโยม”

ต่อมาอีก 40 กว่าวัน พี่วิทก็อาการดีขึ้นหมออนุญาตให้ย้ายกลับไปรักษาตัวที่ใกล้บ้านได้ คุณตูนก็ได้ขับรถมารับพี่วิทและแฟนแก ซึ่งต้องผ่านถนนเส้นเดิมเพื่อเดินทางกลับบ้านที่ใต้ พี่วิทได้แวะตลาดและซื้อเตาถ่าน เมื่อขับรถผ่านใกล้จุดที่ประสบอุบัฅิเหตุรถทัวร์คว่ำ พี่วิทได้สั่งให้จอดรถและทำในสิ่งที่คุณตูนกลัวที่สุด คือจุดไฟเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งผีตนนั้น ที่ทำให้แกเจ็บเจียนตฺาย และสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือมีจิ้งจกสองตัวหล่นลงไปตฺายในเตา ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีต้นไม้ คุณตูนจึงรีบชวนพี่วิทกลับ

เมื่อขึ้นไปบนรถพี่วิทจึงบอกว่า มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง เมื่อ 30 ปีก่อนที่พี่วิทยังไม่ได้ขับรถทัวร์ แต่ยังขับรถฮีโน่สิบล้อหัวยาววิ่งรถถนนเส้นบ้านบึง-แกลง เส้นนี้สมัยก่อนยังเป็นถนนสองเลนแคบๆ คืนนั้นตอนกลางดึกแกขับรถอยู่ ก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังวิ่งไล่กวดผู้หญิงเปลือฺยคนหนึ่ง วิ่งอยู่ข้างทาง ผู้หญิงคนนั้นก็โบกมือเหมือนจะขอความช่วยเหลือ

พี่วิทแกเห็น แต่ไม่กล้าจอด เพราะกลัวว่าจะเป็นเรื่องผัวเมีย แกบอกว่าแกมาทำงานเลี้ยงลูกเมีย แกไม่อยากยุ่ง จนตอนเช้าพี่วิทก็กลับทางเส้นเดิม ก็เห็นรถตำรวจมาจอดและมีรถติดเต็มถนน จึงลงไปดู ก็เห็นผู้หญิงคนที่เปลือฺยเมื่อคืนนอนตฺาย!! ตำรวจกำลังพิมพ์ลายนิ้วมืออยู่

หลังจากนั้นต่อมาอีก 3 ปี พี่วิทยังขับรถฮีโน่อยู่ ก็มาถูกผีผู้หญิงตนนี้หลอก คงเพราะภาพสุดท้ายที่เค้าเห็นก่อนที่สติจะเลือนหายไปคือรถของพี่วิท แสงไฟหน้ารถที่ราวกับความหวังสุดท้าย เค้าอาฆฺาตที่ไม่ยอมจอดลงมาช่วยเค้า และเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่ผีผู้หญิงกระโดดเกาะกระจกรถทัวร์ พี่วิทจึงเห็นว่าเค้าใช้หัวกระแทกกระจก ในขณะที่คนอื่นเห็นแค่เกาะกระจก จึงเป็นที่เข้าใจว่าทำไมแกจึงกลัวมากเมื่อต้องขับผ่านถนนเส้นนี้

หลังจากนั้น คุณตูนจึงได้พาพี่วิทไปหาหลวงพี่จ๊ะเพื่อต่อชะตา ผีผู้หญิงตนนี้เป็นที่พูดกันมากในหมู่รถทัวร์รถสิบล้อและรถเทรลเลอร์ เมื่อต้องผ่านถนนเส้นนี้กลางดึก แต่กลับไม่เคยมีรถเก๋งหรือกระบะได้เจอผีตนนี้เลย

Admin

04/07/2020

“พระกินเณร” พระพุทธรูปที่องค์ใหญ่ขึ้นๆ ทุกครั้งที่คนหาย!

ประสบการณ์สยองขวัญ #THESTORY
#ตำนานพระกินเณร
เล่าโดย : คุณแจ็ค

    เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อ หรือตำนานสยองขวัญเรื่องต่างๆ มักจะมีอยู่คู่กับวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทยมาช้านาน หลายเรื่องเล่าต่อกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย มีการต่อเติมเสริมแต่งเข้าไปตามการเวลา และก็เล่าต่อๆกันมา

    ไล่มาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ มาจนถึงเมื่อห้าสิบกว่าปี ส่วนจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดนั้น หรือว่าจะเป็นจริงแค่บางส่วน ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ นอกจากจะใช้วิจารณญาณในการชมเท่านั้น ดังเรื่องต่อไปนี้

    เรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา นานกว่าห้าสิบปีแล้วนั้นก็คือ ตำนานเกี่ยวกับเรื่อง “พระกินเณร” ที่เกิดขึ้น ณ วัดแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดนครสวรรค์นั่นเอง ปัจจุบันวัดแห่งนี้มีชื่อว่าวัดวรนาถบรรพต หรือว่าวัดเขากบ อันเป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดนครสวรรค์

    ตั้งอยู่บนยอดเขา เชิงเขากบ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบห้าจุดห้าศูนย์เมตร มีทางขึ้นสองทางด้วยกัน คือทางบันไดจำนวนสี่ร้อยสามสิบเจ็ดขั้น อีกด้านหนึ่งมีถนนลาดยางขึ้นสู่ยอดเขา

    วัดแห่งนี้มีโบราณวัตถุ อาทิ รอยพระพุทธบาทจําลอง เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งสร้างในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี บริเวณเชิงเขามีเจดีย์ขนาดใหญ่สมัยสุโขทัย ซึ่งกรมศิลปากรได้จารึกประวัติศาสตร์ของวัดไว้ที่ฐานเจดีย์ มีอายุราวเจ็ดร้อยปี

    วัดแห่งนี้ได้รับการยกย่องจากกรมการศาสนา และมหาเถรสมาคมให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างเมื่อปีสอง พ.ศ.2509 นอกจากนั้น วัดยังมีรูปหล่อหลวงพ่อทอง อดีตเจ้าอาวาส อันเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดนครสวรรค์ ประดิษฐานอยู่ในวิหารข้างเจดีย์ใหญ่

    ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี พ.ศ.2460 ณ วัดเขากบ ในสมัย บริเวณวัดยังเป็นป่าทึบรก วัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง ไม่มีพระหรือเณรอยู่จำพรรษา จึงถูกทิ้งร้างอยู่หลายสิบปี จนกระทั่งหลวงพ่อทอง เกจิด้านวิปัสสนากรรมฐาน เดินธุดงค์มาจากจังหวัดอุตรดิตถ์

    ผ่านมาปักกลดจำพรรษาอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาส และพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ซึ่งท่านก็ไม่ขัดศรัทธาแต่อย่างใด วัดร้างแห่งนี้มีโบสถ์เล็กๆอยู่ข้างเจดีย์ทรงสุโขทัย

    ข้างในมีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นรูปปางยืน ขนาดเท่าตัวคนจริง ประดิษฐานอยู่ท่ามกลางไม้เลื้อยเถาวัลย์ มีหยากไย่เกาะอยู่ทั่วองค์ และทั่วโบสถ์ ทำให้บรรยากาศอยู่อึมครึมขมุกขมัว ทำให้โบสถ์แห่งนี้ดูหน้ากลัวอย่างยิ่ง จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านแม้เวลากลางวัน

    ซึ่งกาลต่อมา หลวงพ่อทองได้เริ่มลงพัฒนาซ่อมแซมโบสถ์แห่งนี้ใหม่จนสะอาดสะอ้าน จนความเจริญคืบคลานเข้ามา มีชาวบ้านเริ่มเข้ามาทำบุญ ช่วยหลวงพ่อสร้างวัดมากขึ้นเรื่อยๆ

    มีคนมาขอบวชพระ บวชเณร จำนวนไม่น้อยเช่นกัน แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์แปลกๆ นั้นก็คือ มีสามเณรที่วัดหายตัวไปอย่างลึกลับทีละคน ตอนแรกเจ้าอาวาสไม่ได้คิดอะไร คิดว่าสามเณรคงจะหนีกลับบ้าน เพราะว่ายังเด็กอยู่ อาจจะคิดถึงบ้าน

    แต่ปรากฏว่าสามเณรก็ยังคงหายตัวไปเรื่อยๆ เจ้าอาวาสท่านก็เริ่มเอะใจ จนมาเป็นเรื่องตอนที่โยมพ่อโยมแม่ของสามเณรที่หายตัวไป มาที่วัดแห่งนี้ แล้วแจ้งกันหลวงพ่อว่า เณรเหล่านั้น ไม่ได้กลับบ้านแต่อย่างใด แล้วสามเณรเหล่านั้น หายตัวไปไหนกัน

    ช่วงนั้น พระผู้ดูแลโบสถ์มาบอกว่า เห็นเศษผ้าจีวรขาดๆ ไปติดอยู่ที่ปากพระพุทธรูปองค์ที่ยืนอยู่ในโบสถ์เก่า ข้างเจดีย์ทรงสุโขทัย ทั้งๆที่เอาออกหลายครั้งแล้ว ก็ยังมีมาติดใหม่อยู่เรื่องๆ

    ทีแรกคิดว่าอาจจะมีใครมาเล่นพิเรนมากลั่นแกล้ง แต่มาสังเกตเห็นว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าตอนแรก จากที่มีขนาดองค์เท่าคนจริง แต่ตอนนี้สูงประมาณสองเมตรได้

    ตอนแรกท่านเจ้าอาวาสก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะคิดว่าคงจะคิดมากไปเอง แต่ก็กำชับไม่ให้พระกับสามเณรออกมาข้างนอก ตอนยามวิกาล แต่จะเห็นได้ว่าสามเณรที่หายตัวไป ส่วนมากจะอยู่กุฏิแถวๆโบสถ์หลังเก่า

ภาพปัจจุบันของพระพุธรูปที่จ.นครสวรรค์

    เหตุการณ์ประหลาดดังกล่าว ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามเณรยังคงหายตัวไปอย่างลึกลับ จนเจ้าอาวาสรู้สึกผิดสังเกตมาก และแล้วจนกระทั้งวันหนึ่ง พระท่านที่เฝ้าโบสถ์วิ่งมาเรียกเจ้าอาวาสด้วยความตกใจ เรียกให้ท่านเจ้าอาวาสไปดูอะไรสักอย่าง ท่านเจ้าอาวาสก็รีบตามไป

    เมื่อไปถึงที่โบสถ์ ก็ได้แต่ยืนตกตะลึง เพราะพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว จากตอนแรกที่เป็นปางยืน ขณะนี้กลับเป็นปางนอน เป็นท่านอนตะแคง เอามือข้างหนึ่งดันเศียรเอาไว้ และขนาดก็ใหญ่ขึ้นอีก ใหญ่กว่าคนสามคน

    และที่น่ากลัวก็คือ พบเศษจีวรติดอยู่แถวปากของพระพุทธรูปองค์นี้อีกเหมือนเคย เมื่อท่านเจ้าอาวาสเห็นเช่นนี้ก็ไม่รอช้า จัดเวรยามเฝ้าพระพุทธรูปองค์นี้จนเช้า วันรุ่งขึ้นก็ได้จ้างช่างประตู มาทำเป็นประตูเหล็กล้อมกรอบพระพุทธ ให้ขนาดใหญ่กว่าตัวพระพุทธรูปเล็กน้อย

ภาพของพระพุธรูปที่เป็นที่มาของตำนาน

    นับจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์สามเณรหายตัวไปอีกเลย เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาลึกลับ ที่ยังไม่มีใครไขความจริงออกมาให้ได้รู้กัน จะจริงหรือเท็จ มันก็คือตำนานเล่าขานของวัดเขากบ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด หรือบางทีเรื่องลึกลับในอดีตกาล อาจจะเป็นเพียงกุศโลบายที่ต้องการให้ผู้คนโดยเฉพาะเณร ไม่ออกไปเดินเล่นเพ่นพ่านในที่เปลี่ยว ยามวิกาล…ก็เป็นได้

Admin

23/06/2020

การเล่นสยองของสามเณร… พากันเที่ยวงัดโลงศพมาดูกลางดึก

เรื่องเล่าผีนี้ เป็นประสบการณ์ตรงของคุณชุง สมัยที่เคยไปบวชเรียนเป็นสามเณรในช่วงปิดเทอมที่วัดใกล้บ้าน เนื่องจากอยู่ในวัยกำลังซนประกอบกับที่วัดแห่งนั้นก็มีสามเณรอีกหลายรูป ตกเย็นฟ้าเริ่มมืดก็จะพากันไปวิ่งเล่นตามประสา แต่เนื่องจากในวัดคงไม่มีอะไรที่จะสามารถกระตุ้นความสนใจ ความตื่นเต้นของเหล่าสามเณรในวัยนี้ได้นานนัก กระทั่งวันนึงก็นึกพิเรนทร์ไปวิ่งเล่นกันในโกดังเก็บศพ หนักเข้าก็พากันงัดโลงเพื่อดูข้างใน…และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง

คืนงัดโลง – คุณชุง

    เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกรุงเทพ เมื่อแปดปีที่ผ่านมา หลังจากที่คุณชุงเรียนจบ ป.6 คุณพ่อได้ให้คุณชุงไปบวชเป็นสามเณรที่วัดแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ ซึ่งวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ้าน คุณชุงบวชอยู่ที่นี่ประมาณห้าปี จึงได้สึกออกมา

    ช่วงนั้นที่วัดกำลังเตรียมจัดงานเทศกาลใหญ่ คุณชุงก็ได้ไปช่วยเณรเตรียมงานต่างๆภายในวัด โดยหลวงพ่อให้เอาผ้าสี ไปขึงไว้แถวๆเมรุเผาศพ หลังจากขึงผ้าเสร็จเรียบร้อย เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง ก็ได้พากันเดินไปเล่นแถวๆโกดังเก็บศพ

    แถวๆบริเวณโกดังเก็บศพ จะเป็นที่เล่นประจำของคุณชุงและเพื่อนๆสามเณร ช่วงหลังๆมีการปลูกสร้างคอนโดขึ้นที่ข้างๆวัด ทางวัดจึงทยอยเอาศพออกจากโกดัง จนเหลืออยู่ศพหนึ่ง ซึ่งคุณชุงก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ถูกย้ายออกไปที่อื่น

    ตอนนั้นคุณชุงและสามเณรอีกสองรูป เกิดคิดพิเรนกันขึ้น พยายามจะงัดโลงออกมาดู เพราะอยากรู้ว่าจะมีศพอยู่ข้างในหรือเปล่า จึงได้ไปดึงราวตากผ้าที่หลังกุฏิ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการงัด

    พอเปิดประตูช่องเก็บศพ คุณชุงก็ใช้ราวตากผ้าที่เป็นท่อนเหล็ก งัดฝาโลงขึ้น งัดไปงัดมา ฝาโลงเกิดแตกจนมันเปิดอ้าออก แต่ก็เปิดขึ้นได้แค่ประมาณคืบเดียว เพราะจะติดเพดานช่องเก็บศพ

    คุณชุงมองเข้าไปในโลง แต่ก็ไม่พบอะไร เห็นเพียงแค่ความมืด ประกอบกับช่วงนั้นพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเต็มที เพื่อนเณรยื่นไฟแช็คให้ แล้วบอกให้คุณชุงใช้จุดส่องดู คุณชุงก็รับไฟแช็คมา แล้วยื่นมือเข้าไปในโลงศพ แล้วจุดไฟแช็ค

    ภาพที่เห็นทำให้คุณชุงร้องอุทาน พร้อมกับชักมือกลับออกมาทันที สิ่งที่เห็นคือซากศพแห้งๆ ที่นอนพนมมืออยู่ในโลง ด้วยความตกใจ คุณชุงรีบวิ่งกลับไปที่ศาลาการเปรียญ โดยมีเพื่อนเณรทั้งสองรูป วิ่งตามหลังมาติดๆ

    เวลาย่างเข้าหนึ่งทุ่ม คุณชุงเดินกลับไปนอนที่บ้าน ซึ่งวันนั้นคุณพ่อได้ไปช่วยงานที่วัดจนดึก ที่บ้านจะเหลือเพียงแค่น้าชายคนเดียว คุณชุงเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม แต่มารู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึก ไม่แน่ใจว่าเป็นเวลากี่โมง ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดัง “ตุ๊บ..ตุ๊บ..ตุ๊บ” อยู่แถวๆปลายเตียง

    คุณชุงพยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็ต้องตกใจ เพราะว่าลืมตาไม่ได้ เหมือนกับว่ามีอะไรหนักๆ กดทับที่เปลือกตาไว้ เสียงปริศนามันเริ่มขยับมาดังอยู่ตรงข้างๆเตียง จนคุณชุนต้องใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออก เพื่อจะดูว่ามันคืออะไรกันแน่

    ภาพที่คุณชุงเห็นก็คือ ซาพศพแห้งๆ กำลังเดินไปมาอยู่ภายในห้อง ลักษณะพนมมือมัดตราสัง โน้มลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค่อยๆก้าวเดินเหมือนคนที่กำลังอิดโรย คุณชุงตกใจสุดขีด ตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ ร้องตะโกนลั่นเหมือนคนสติแตก แต่เสียงกลับอยู่แค่ในลำคอ

    สิ่งนั้นเดินวนไปมารอบๆห้องอย่างช้าๆ โดยไม่ได้มีทีท่าสนใจคุณชุงเลย คุณชุงนอนมองอยู่นานพอ จนสามารถเห็นทุกส่วนของศพได้ชัดเจน ลูกกะตาลึกโบ๋  จมูกเห็นเป็นเพียงแค่สันบางๆ ไม่มีริมฝีปาก จึงทำให้เห็นฟังสีเหลือง ที่เรียงซี่กันอย่างสวยงาม

    ช่วงลำตัวเห็นเป็นซากหนังแห้งๆสีเทา หุ้มโครงกระดูกกะหร่อง เดินโซซัดโซเซ เหมือนกับว่าพร้อมที่จะล้มกองลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ คุณชุนทนมองภาพอันน่าขนลุกต่อไปไม่ไหว รวบรวมแรงเฮือกใหญ่ ตะโกนเรียกน้าชายลั่นห้อง จนเสียงสามารถหลุดออกมาจากลำคอได้

    ไม่กี่อึดใจต่อมา น้าชายก็วิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมๆกับที่ร่างอันน่าขนลุกนั่นค่อยๆหายไป คุณชุงลุกพรวดขึ้นจากเตียง บอกกับน้าชายว่า โดนผีหลอก และขอให้น้าชายอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้า

    วันต่อมา คุณชุงรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ จึงรีบไปปรึกษาหลวงพ่อที่วัด และไปเจอเข้ากับเพื่อนเณรก่อน เพื่อนเณรก็บอกว่าเจอเหมือนกัน ช่วงเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ตอนที่กำลังเดินไปอาบน้ำที่ห้องน้ำหลังวัด

    เห็นศพแห้งๆที่อยู่ในโกงดัง ยืนขย่มอยู่บนต้นโพธิ์ข้างห้องน้ำ แล้วค่อยๆใต้ลงมาจากต้นโพธิ์ เพื่อนเณรจึงรีบวิ่งกลับเข้ากุฏิ ส่วนเพื่อนเณรอีกคนนอนจับไข้อยู่ในกุฏิ คุณชุงก็ได้เข้าไปหา

    เพื่อนเณรจึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนที่กำลังจะนอน ได้ยินเสียงคนเคาะที่หน้าต่างกุฏิ จึงลุกขึ้นไปเปิดดู ปรากฏว่าเห็นศพแห้งๆ ยืนอยู่อีกฝั่งของหน้าต่าง แต่หัวเป็นสุนัขดำ มีน้ำลายเหนียวๆ ยืดออกมาจากปาก

    เมื่อหลวงพ่อทราบเรื่อง จึงได้ให้จัดเครื่องเซ่นคาวหวาน ไปขอขมาที่หน้าโกดังเก็บศพ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

17/04/2020

แหวนคนตาย..รูดทองคนรถล้ม ผีมาทวงถึงบ้าน

เรื่องแบบนี้..มันมีจริงๆนะ เคยได้ยินกันมาบ้าง ประมาณว่าพลเมือง(เกือบ)ดีบางคนก็เกิดเปลี่ยนใจเป็นโจรกันแบบชั่วอึดใจ เพราะว่าดันเหลือบไปเห็น สร้อย แหวน นาฬิกา ของมีค่าบนตัวผู้ประสบเหตุเข้า… อย่างไรก็ตาม อะไรที่ไม่ใช่ของของเรา ไม่ควรจะไปหยิบฉวย เพราะว่า…ถึงแม้คนอื่นอาจจะไม่เห็น แต่ผีเห็น…คุณก้อยเล่าเรื่องขนหัวลุกจากแหวนผีสิงเอาไว้ว่า…

“แหวนในที่เกิดเหตุ” รูดแหวนทองจากคนประสบเหตุมา…เขาตามทวงถึงบ้าน

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวดิฉันเอง บ้านเราจ้างแม่บ้านมาคนหนึ่ง เธอชื่อตาล ตาลเป็นสาวอีสานวัย 25 จากเมือง 101 ด้วยความที่ตาลยังสาวเธอจึงมักอยู่ในชุดแฟชั่นตามสมัย กระทั่งมาทำงานตั้งแต่เช้ามืดก็ยังไม่ลืมที่จะแต่งหน้าเขียนคิ้วมา เรียกว่าหากมีพัสดุมาส่งที่บ้านทีไร พนักงานเป็นต้องเข้าใจผิดว่าน้องตาลเป็นคุณหนูประจำบ้าน ส่วนดิฉันคือสาวใช้ไปเสียทุกที!

อย่างไรก็ตาม ดิฉันไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยเลยค่ะ เอาเป็นว่าหากลูกจ้างมีพฤติกรรมอยู่ในลู่ในทาง ไว้ใจได้ สื่อสัตย์ และปฏิบัติตามหน้าที่อย่างไม่ตกบกพร่องเป็นใช้ได้ แม้ภายนอกเราจะแตกต่างกัน อีกทั้งอายุก็ห่างกันราว 20 ปีได้! แต่มีอยู่อย่างที่เราเหมือนกันและคุยกันถูกคอคือ เราชอบเรื่องเล่าผี

วันหนึ่ง หลังจากสามีออกไปส่งลูกๆที่โรงเรียน ก่อนที่จะตรงไปที่ทำงานต่อ ดิฉันใช้เวลาช่วงเช้าของวันนั้นจัดแจงชั้นหนังสือ โดยที่มีตาลเป็นผู้ช่วย ระหว่างนั้นเธอก็เล่าเรื่องผีชวนขนลุกให้ฟังไปพลาง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตาลเคลมว่าใกล้ตัวเธอมาก เพราะตัวละครเอกคือน้องชายของเธอเอง

ความน่ากลัวคือเรื่องที่ว่านี้เกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เพียงเดือนเดียวที่ผ่านมา ‘ตี๋’ น้องชายในวัยสิบแปดของตาล ขับมอเตอร์ไซค์คันเก่งของตัวเองเพื่อกลับบ้าน เส้นทางที่ว่านี้ค่อนข้างเปลี่ยว และเป็นทางที่แยกมาจากถนนใหญ่ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมามากนัก วันนั้นก็เช่นกัน ถนนร้างผู้คน แต่ตี๋ก็ไปพบมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งล้มคว่ำอยู่ข้างทาง

ตี๋สังเกตเห็นรอยยางถูกเบิร์นจากการเบรคกระชั้นชิดเป็นรอยยาวอย่างชัดเจน สงสัยว่าจะถูกชนแล้วหนีกระมัง เพราะตี๋ไม่เห็นร่องรอยของรถคันอื่นที่เป็นคู่กรณี จึงจอดรถแล้วเข้าไปดูสถานการณ์ ก็พบว่าเจ้าของรถที่ล้มอยู่เป็นหญิงสาวร่างบาง แต่งตัวคล้ายตาล บางทีคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือของเหลวหนืดสีแดงชาดที่เริ่มจะแข็งตัวเปื้อนเต็มผมและศีรษะของเธอคนนั้น ในขณะที่บางส่วนก็ยังคงไหลพลั่กๆออกมาตามจมูกและปาก เหมือนเธอยังคงรู้สึกตัว จึงส่งสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือมาทางตี๋ มนุษย์คนเดียวบนถนนเส้นนั้น

ระหว่างที่ตี๋เลิ่กลั่กกับสถานการณ์ที่เกิดขั้นตรงหน้า ยังไม่ทันได้คิดหรือทำอะไร สายตาเมื่อครู่ก็เหลือกคว้างขึ้นบน จนเห็นแต่ตาขาว! เธอเริ่มเกร็งและกระตุกอย่างรุนแรงอยู่ไม่นานก็นิ่งไป ไม่ไหวติงใดๆ ยิ่งทำให้ตี๋แทบสติแตก เนื่องด้วยในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นใครเสียต่อหน้าต่อตามาก่อน แถมยังมาเกิดขึ้นในระยประชิด…บนถนนเส้นเปลี่ยวและโดดเดี่ยว ทีแรกตี๋ก็กะจะรีบกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ของตน แล้วรีบไปตามคนหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้ทราบ

แต่ตาของตี๋ก็ดันไปเหลือบเห็นแหวนทองคำวงเล็ก สีเหลืองสุกสะกาวเป็นประกายวิบวับยามต้องแสงอาทิตย์ บนนิ้วมือที่ขณะนี้หงิกเกร็งแข็งทื่อของผู้ประสบเหตุ

ความโลภที่เป็นความอ่อนแอของมนุษย์ทำให้คิดว่า ถ้าทิ้งไว้คนอื่นก็ต้องมาเอาไปแน่ๆ อย่ากระนั้นเลย นึกเสียว่าเป็นค่าป่วยการที่จะต้องไปแจ้งตำรวจ หรือผู้ใหญ่บ้านให้มาช่วยจัดการละกัน คิดได้อย่างนั้น ตี๋ก็รูดแหวนจากนิ้วศพ… มันก็แค่สองสลึงละมั้ง? แต่เบาะๆ ก็ขายได้หมื่นบาท! แค่นี้ไม่บาปหรอก ไม่ได้ขโมยนี่…เจ้าของก็หมดลมไปแล้วนี่นา!

คืนนั้นหมาหอนค่ะ…ตี๋อยู่กับแม่, ยายและพี่สาวอีกคนชื่อแตง ทุกคนไม่รู้หรอกว่าตี๋ได้อะไรมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ทันใดนั้นยายก็เขม้นมองไปที่ประตูรั้วแล้วร้องว่าเดี๋ยวนะ! ตี๋มองตามก็ไม่เห็นใคร หมายังหอนโหยหวน ตี๋หนาวเยือก แหวนคนตายยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อ…สักพักยายก็เรียกตี๋ให้ไปหา

“ใครน่ะยาย?” ตี๋ร้องถาม ใจสั่นคล้ายจะเป็นลม ยายเดินกลับมา…พลางพูดคุยกับอากาศว่างเปล่าข้างๆ กาย

“คุณคนนี้เขาว่าจะเอาของอะไรที่แก…อะไรนะ? แหวนเหรอ!”

ตี๋ล้มตึง หน้ามืดวูบ…พอรู้ตัวอีกทีก็ค่อยๆ ลืมตา ภาพเบื้องหน้าพร่าพราย หมุนวน มองหน้ายาย หน้าแม่ หน้าพี่แตง…และหน้าซีดขาวของผู้หญิงผมยาวที่ไม่มีตาดำ…

ตี๋แผดร้องสุดเสียง สิ้นสติไปอีกครั้ง!

เช้ามืด น้องชายตัวแสบของตาลฟื้น แต่จับไข้สูง แถมมองเห็นแต่ผู้หญิงผมยาวเนื้อตัวเปื้อนมอมแมมมาเดินวนเวียนอยู่รอบๆ เตียง…เดี๋ยวหายไป เดี๋ยวก็โผล่มา

ตี๋แทบสติแตก ทนไม่ไหวอีกแล้ว…ร้องไห้สารภาพว่ารูดแหวนมาจากนิ้วคนรถล้ม โถ! น้องชายนิสัยดีเชื่อฟังพี่สาว แต่ตอนนั้นมันคิดอะไรก็ไม่รู้ ถึงได้ลงมือทำเรื่องน่าละอายขนาดนั้นไปได้ลงคอ

ยายกับแม่จุดธูปขอขมา บอกกล่าววิญญาณของสาวตายโหง สัญญาว่าจะนำแหวนไปคืนให้ถึงบ้านเลย!

คราวนี้ลำบากละซิ ต้องสืบถาม ได้ความว่าเธอเป็นคนโพนทองยังเป็นนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาเยี่ยมบ้าน ถึงคราวชะตาขาด โดนรถชนดับข้างถนนสายเปลี่ยว

แม่, ยาย, แตงและน้องตี๋ต้องถ่อไปถึงงานฌาปนกิจของสาวคนนั้น เอาแหวนไปคืนและขอโทษขอโพยญาติๆ จนเรียบร้อย โล่งอกโล่งใจไปตามๆกัน

ตาลสรุปท้ายว่าสมน้ำหน้าไอ้ตี๋มันจริงๆ แต่โชคดีของมันที่ผีมาทวงของคืน มันจะได้เข็ด…ไม่งั้นต่อไปคงต้องสะสมนิสัยไม่ดีจนกู่ไม่กลับแน่นอน

แล้วตาลก็แถมท้ายว่า…ผีดุขนาดหวงแหวนวงเดียว เธอคงจะติดตามไปทวงชีวิตจากเจ้าคนที่ชนเธอแล้วหนีแน่ๆ เพราะไม่มีอะไรที่คนเราจะหวงแหน…มากไปกว่าชีวิตของตัวเอง จริงไหมคะ?

ขอบคุณที่มา : ข่าวสด ออนไลน์

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

07/04/2020

วัยรุ่นมือบอน..หักตุ๊กตานางรำในศาลร้างเล่นจนมีอันเป็นไป

เรื่องนี้ย้อนกลับไปหลายปีที่ผ่าน เรื่องของความคึกคะนองและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในสมัยที่ ‘คุณเค’ อายุ 17-18 ปี ในหมู่บ้านมีคนอายุรุ่นราวคราวเดียวอยู่ไม่เยอะนัก ตอนนั้นคุณเคมีเพื่อนร่วมแก๊งกันอยู่ 4 คนคือ ท็อป ซึ่งอายุเท่ากับคุณเค ท็อปเป็นเหมือนลูกไล่ในกลุ่ม มักจะเป็นคนที่โดนแกล้งโดนแซวอยู่เสมอ พี่โจ้ มีนิสัยห่ามๆ มีความเป็นผู้ใหญ่มักเป็นผู้ออกตัวห้ามปรามน้องๆ พี่อาร์ม มีนิสัยห้าวเป้ง ปากเร็วมือเร็ว หลายครั้งทำอะไรด้วยไม่ทันยั้งคิด มักจะเป็นผู้ที่หาเรื่องใส่ตัวอยู่บ่อยๆ ทั้ง 4 คนมักไปในมาไหนด้วยกัน

อ่านเรื่องผี มือบอน” โดยคุณเค

ในวันนั้น ที่หมู่บ้านมีงาน ‘ปอยหลวง’ เป็นงานวัดอย่างหนึ่งที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครั้งเมื่อมีการสร้างกุฏิ ศาลา หรืออะไรใหม่ ชาวหมู่บ้านก็จะมีแห่นำเงินสมทบเข้าวัด นานๆทีก็จะมีสักครั้ง ตอนเย็นหลังเลิกเรียน คุณเคและพวกจึงคื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านคุณเค พี่โจ้และอาร์มออกปากบอกว่า ‘อยากชวนไปงานวัด’ เพราะนอกจากชาวหมู่บ้านแล้ว ยังมีคนต่างถิ่นมาร่วมด้วย หนุ่มๆทั้งหลายจึงหวังได้เจอสาวๆนั่นเอง

ตอนนั้นเวลากว่า 3 ทุ่มแล้ว กว่าทั้งคณะจะตัดสินใจเดินทาง จากบ้านคุณเคไปวัดไม่ได้ไกลนัก แค่ราว 1 ก.ม.เท่านั้น แต่ด้วยความที่เป็นเทศกาลฉลอง 2 ข้างท้างที่มีบ้านเรือนขนาบ ก็เต็มไปด้วยความครึกครื้น ทั้ง 4 ก็เทียวเดินเทียวแวะไปเรื่อยๆ ซ้ำยังเริ่มเมาพอกรึ่มๆแล้วด้วย กว่าจะมาถึงจุดหมายก็ล่วงเลยเข้าหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้ง 4 เลยปรึกษากันว่ากลับกันดีกว่า ดึกมากแล้ว ขากลับนั้นบรรยากาศครึกครื้นไม่มีเหลือแล้ว ทั้งเงียบและร้างผู้คน จนดูน่ากลัวไม่น้อย ระหว่างทางกลับ พี่อาร์มทักขึ้นมาว่า ‘ปวดชิ้งฉ่อง ขอไปฉี่ก่อน’ ตรงนั้น 2 ข้างเป็นป่าลำไย ทั้ง 4 ก็มุดหายเข้าไปปลดทุกข์ด้านในเงาไม้ คุณเคกลับออกมากก็เห็นพี่โจ้ยืนรออยู่แล้ว ตามมาด้วยไอ้ท็อป พี่อาร์มหายไปอยู่นานก็ออกมา… ด้วยใบหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัย อีก 3 คนสังเกตเห็นบางอย่างในมืออาร์มแล้ว

“เห้ย ไอ้อาร์ม เอาอะไรมาเล่นอีกละ” พี่โจ้ถาม

แต่อาร์มนอกจากจะไม่ตอบ ยังโยนบางอย่างนั้นส่งให้ท็อป ด้วยสัญชาตญาณ ท็อปเผลอยกมือขึ้นรับโดยไม่รู้ตัวกระทั่งแบมือออกดูก็ต้องตกใจร้องสุดขีดไม่เป็นภาษา … มันคือ หัวของหุ่นตุ๊กตา หัวหนึ่งดูคล้ายนางรำ อีกหัวหนึ่งดูคล้ายเป็นชายชราจากศาลตา-ยาย

“ไอ้อาร์ม เมิงทำอะไรเนี่ยยย มันใช่เรื่องเล่นมั้ย!”

“พี่..แล้วทำไม มันถึงมีแค่หัวล่ะ”

พี่อาร์มไม่ตอบคำถามของพี่โจ้ แต่ตอบคำถามของท็อปด้วยการล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นส่วนลำตัวที่หายไปของหุ่นปูนปั้นนั่นเอง …แสดงว่าเดิมทีมันคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จนพี่อาร์มไปหักเล่นด้วยความมือบอน จากการสอบถามพี่อาร์มไปเจออยู่ในศาลที่ตนไปยืนฉี่ใส่ไว้เมื่อครู่นี้เอง

“เมิงเอาไปคืนที่เดิมเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“เออ กรุรู้แล้ว ทำปอดแหกกันไปได้”

หลังหายเข้าไปในป่าสักครู่ พี่อาร์มก็ออกมา และด้วยสังเกตเห็นสีหน้าท็อปดูโกรธเคือง จึงเดินเข้าไปกอดคอหยอกเย้า คล้ายจะบอกว่า ‘โธ่เอ้ย ไม่มีอะไรหรอกน่า’

จนเช้าวันถัดมา คุณเคนัดจะออกไปเที่ยวเล่นกัน ทั้งท็อปและพี่โจ้ก็มารวมตัวกัน เว้นก็แต่พี่อาร์มที่โทรไปแล้วไม่ติด จึงตามไปดูกันที่บ้าน ที่บ้านพี่อาร์มเจอคุณแม่จึงสอบถาม คุณแม่บอกว่า ‘อาร์มมันไม่สบาย เข้าไปดูมันมั้ย’ ด้วยความสนิทสนมกันจึงเดินเข้าไปในห้องทันที ภายในห้องกว้างราว 3×3 ม. ด้านซ้ายจะเป็นตู้เสื้อผ้า ด้านขวาจะเป็นเตียง แต่กลับไปเห็นใครนอนอยู่บนเตียงอย่างที่คิดว่าควรจะเป็น สักพักจึงรู้สึกตัวว่า มีใครบางคนนั่งแอบอยู่ตรงมุมซอกหลืบข้างตู้ พี่อาร์มนั่นเอง กำลังนั่งกอดเข่าตัวสั่นงันงก

“พี่ พี่ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรอ่ะ”

“มันไม่ได้มีที่กรุ… มันไม่ได้มที่กรุ… มันไม่ได้มีที่กรุ…”

ทั้ง 3 มองหน้ากันด้วยไม่เข้าใจความหมาย และจนแล้วจนรอดก็คุยกันไม่รู้เรื่อง จึงลากลับแล้วให้พี่อาร์มอยู่พักผ่อน

ถัดไป 2 วัน แม่พี่อาร์มก็มาตามที่บ้านคุณเค

“แม่ถามจริงๆเถอะ ไปเล่นอะไรกันมารึเปล่า อาร์มมันดูแปลกๆไป ไปดูมันหน่อยเถอะ”

คุณเคนึกไม่ออก และพยายามปฏิเสธว่า ‘ไม่ได้ไปเล่นอะไรแผลงๆมานะครับ’ แต่กระนั้นก็ตามไปดู ทันทีที่ไปถึง ก็เห็นพี่อาร์มนั่งหลุบอยู่ในท่าเดิม หากแต่พูดบางอย่างที่ต่างออกไป

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” “ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง”

พี่อาร์มพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ฟังดูรู้ว่าเป็นจังหวะ คุณเคคิดว่าฟังดูคล้ายเสียงตะโพน เวลาที่นางรำฟ้อนรำ ถึงตอนนั้นเรารู้กันแล้วว่า ‘คงไม่ใช่ป่วยธรรมดา’

คุณแม่ยังพยายามถามว่า ตกลงไปทำอะไรกันมา เล่าให้แม่ฟังหน่อยได้มั้ย พวกคุณเคจึงตัดสินใจเล่าเรื่องคืนวันงานปอยหลวง คุณแม่ได้ฟังก็บอกว่า ‘เดี๋ยวแม่รอดูอาการมันสักวันสองวันก่อน’ แต่ถัดไปแค่วันเดียวก็มีเสียงโทรศัพท์มาตามคุณเค

“เคกับโจ้ มาที่บ้านแม่หน่อยได้มั้ย ช่วยแม่พาอาร์มไปวัดหน่อย”

‘ทำไมต้องไปวัด อาร์มมันป่วยไม่ใช่เหรอ?’ คุณเคกับพี่โจ้อดสงสัยไม่ได้ด้วยความที่ทั้งคู่บ้านติดกัน จึงออกไปบ้านพี่อาร์มพร้อมกัน ทันทีที่เปิดห้องเข้าไปก็เข้าใจความหมาย… จากเดิมที่เคยนั่งหลบตรงมุมห้อง บัดนี้ ‘พี่อาร์ม’ ขึ้นมายืนตัวเกร็งบนเตียง พร้อมเหยียดแขนยกขึ้น ‘ตั้งวง’ แบบนางรำ แล้วราวกับนักแสดงที่รอครบองค์ประชุม จู่ๆพี่อาร์มก็ทำเสียง “ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” พร้อมกับเริ่มฟ้อนรำ!

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง” “มันไม่ได้อยู่ที่กรุ…มันไม่ได้อยู่ที่กรุ”

คุณเคและพี่โจ้เข้าใจสถานการณ์แล้วว่า ไม่อยู่ในจุดที่ทั้งคู่จะพูดคุยหรือช่วยอะไรได้ พี่โจ้จึงรวบตัวลงมา นำตัวใส่รถกระบะพาไปวัด ตอนนั้นตก 5 ทุ่มแล้ว พระก็เข้าจำวัดกันหมด จึงวุ่นวายกันพอควร ประกอบกับพี่อาร์มยังโวยวายและคลั่งขึ้นมา ‘มันไม่ได้อยู่ที่กรุ…มันไม่ได้อยู่ที่กรุ’ หลังเล่าเรื่องราวให้พระท่านฟัง ท่านบอกว่า

“ไม่ดีเลยนะโยม ยังไงคงต้องไปขอขมาเค้า ระหว่างนั้นให้โยมอาร์มอยู่วัด 7 วันก่อน ระหว่างนี้ห้ามไปไหนเลย”

หลังจากนั้นพี่อาร์มเริ่มสงบลง จนผ่านไปกว่า 30 นาที ท็อปจึงขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา เนื่องจากท็อปมีภาระต้องดูแลยายที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก คุณเคจึงแจ้งไปทีหลัง ทันทีที่มาถึงท็อปก็ดูหัวเสีย

“กรุบอกไปแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าไปเล่นซี้ซั๊ว มันใช่เรื่องเล่นมั้ย ดูสิ” ท็อปบ่นกระปอดกระแปด

“แล้วนี่กระเป๋ากรุหายไปไหนไม่รู้ ใบที่กรุห้อยคอไปเที่ยววันนั้น หาอยู่ตั้งนาน”

สักพักเสร็จเรื่องต่างคนก็แยกย้ายกันกลับ โดยไม่ได้นึกสนใจคำพูดที่ดูไม่สำคัญของท็อปเลย จนวันนึงก็ได้ไปบ้านท็อปกัน บ้านท็อปเป็นบ้านไม้หลังเก่าที่แต่เดิมเป็นบ้านคุณตาคุณยายของท็อป แต่คุณตาเสียไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือแต่ท็อปและคุณยายอาศัยอยู่ เนื่องด้วยคุณยายไม่ค่อยแข็งแรงและอายุมากแล้ว น่าจะประมาณ 85-86 ปี พวกคุณเคจึงมักมาช่วยท็อปดูแลคุณยายตามสมควรอยู่เสมอ คืนนั้นคุณเคก็ไปนอนบ้านท็อปเช่นกัน จู่ๆคุณยายที่ล้มตัวลงนอนไปพักใหญ่แล้ว ก็ลุกโพลงขึ้นมาจากเตียง…

“เมิงเอาใครกลับมาด้วย มันมี 2 ตน…มันจะมาเอาตัวกรุไป มันจะมาเอาตัวกรุไป”

คุณเคและท็อปมองหน้ากันด้วยความตกใจและงุนงง แต่ด้วยว่าคุณยายก็ล้มตัวลงกลับไปนอนทันที จนทั้งคู่เคลิ้มจะหลับ คุณยายก็ลุกขึ้นมากระซิบกระซาบด้วยเสียงแห่บพล่า ดวงตาสีขุ่นเทาด้วยต้อหันมาจับจ้องทางเจ้าท็อป

“ป่ะทิง… ป่ะทิง… ป่ะทิงโท่ง..ทิง”

ท็อปจับแขนคุณอาร์มไว้แน่น ตัวสั่นเทา ‘เค เมิงได้ยินเหมือนกรุมั้ย..’

แต่ทั้งคู่ก็ข่มตานอนจนหลับ ภายหลังคุณยายที่เจ็บออดแอดๆอยู่แล้ว ก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งมีโทรศัพท์มาแจ้งว่า ‘ยายท็อปเสียแล้ว’ วันนั้นท็อปที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับคุณเค ได้กลับบ้านล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

คุณเคตัดสินใจนอนเฝ้ายายเป็นเพื่อนท้อป เนื่องจากคุณเครู้จักคุณยายมานาน จึงไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร ที่งานศพ…บ้านไม้เก่าๆหลังไม่ได้ใหญ่มาก มียกพื้นขึ้นสูง ขึ้นบันไดไปจะเจอกับโถงหน้าบ้าน ศพและโลงตั้งอยู่ที่โถงนั้น ถัดจากโถงไปทางซ้ายจะเป็นห้องที่ยายเคยนอน ภายในกว้างราว 2×3 ม. ประกอบไปด้วยตู้และเตียง คืนนั้นพวกผู้หลักผู้ใหญ่นอนกันอยู่เต็มลานตั้งศพ และบอกให้พวกเด็กๆเข้าไปนอนในห้องนั้น …

Admin

04/04/2020

ศาลผีอาถรรพ์แรง ที่มียอดชมกว่า 9 แสนวิว

เรื่องเริ่มต้นจากพี่A ซึ่งครั้งนึงคุณโบนัสเคยร่วมงานด้วย พี่A มีประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับการทำผับ ตกแต่งและออกแบบผับ ตอนนั้นพี่A มอบหมายงานหนึ่งให้คุณโบนัส ตัวผับตกแต่งภายในเรียบร้อยแล้ว คุณโบนัสมีหน้าที่ต้องไปทำการตลาดให้ โดยที่คุณโบนัสไม่รู้เลยว่าเป็นผับแบบไหน วันนั้นคุณโบนัสต้องนั่งรถตู้ไปกับทีมช่างที่เอาอุปกรณ์เครื่องเสียงและอุปกรณ์ไฟไปลง จู่ๆหัวหน้าช่างก็เอ่ยปากทักขึ้นว่า

“ศาสตามสั่ง” เรื่องเล่าผี โดยคุณโบนัส

“เออนี่ เราต้องไปอยู่3 เดือนใช่มั้ย? ไปถึงก็พยายามไหว้ๆศาลหน่อยนะ”

“ได้ๆพี่ ปกติไปไหนผมก็ไหว้ประจำอยู่แล้ว”

ระหว่างทาง หัวหน้าช่างคนนี้ก็ได้เล่าพื้นเพของผับแห่งนี้ ว่าได้รับความร่วมมือโดยหุ้นส่วน 4  คน(โดย ณ ที่นี้จะขออนุญาติใช้เป็นนามสมติ เนื่องจากมีคนเสียในเหตุการณ์นี้เยอะ) ประกอบไปด้วยพี่B อายุ35 ปี พี่C อายุราว27-28 ปี คนถัดมาคือพี่K และสุดท้ายคือเจ้าของที่ดิน

พี่B เป็นคนที่ไม่เชื่อหรือนับถืออะไรเลย แต่พี่B จะไม่ได้เข้ามาจัดการภายในร้าน เนื่องจากทางพี่B นั้นมีธุรกิจโรงแรมในจังหวัดเดียวกันนั้นอยู่แล้ว ส่วนพี่K ก็มีธุรกิจโรงงานทางบ้านที่ต้องดูแล พี่C จึงเป็นคนที่มีหน้าที่ดูแลจัดการภายในร้านนี้ ร้านนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองราว 5  ก.ม. ร้านมีลักษณะเป็นกระจกโดยรอบไม่ใช่ผับแบบปิดทึบ โดยตัวอาคารร้านจะอยู่ตรงกลาง ทางด้านขวาจะขนาบไปด้วยโต๊ะทานอาหารและต้นไม้ ส่วนด้านซ้ายจะเป็นลานจอดรถ ถัดไปทางด้านหลังจะมีกำแพงสูงๆราวตึกสองชั้น คล้ายทำเพื่อกั้นออกจากสวนยางที่อยู่ถัดจากร้านไป

แต่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาคือ ‘ศาลตา-ยาย’ ซึ่งทำจากไม้สักทั้งหลัง ส่วนตัวคุณโบนัสทำงานมาหลายที่ ก็พึ่งจะเคยเห็นศาลภายในร้านที่มีขนาดใหญ่โตเท่านี้ โดยตอนสร้าง..เจ้าของที่ดินซึ่งเป็นหุ้นส่วนคนสุดท้ายของทางร้าน ถึงกับกลับมาจากต่างประเทศเพื่อกำกับตอนสร้างศาล ศาลที่จะสร้างต้องได้ตามแบบนี้ ความพิถีพิถันเป็นพิเศษมีเหตุผลมาจาก เพราะศาลตายายแห่งนี้คือศาลของบรรพบุรุษเจ้าของที่ดิน จำนวนหุ่นในศาลจึงถูกกำหนดให้มีจำนวนตรงตามผู้เสียชีวิตของบ้านเขา หุ่นแต่ละตัวจะมีถาดโลหะวางอาหารถวายครบตามจำนวนเช่นกัน โดยที่หุ่นแต่ละตัวจะมีรายละเอียดกำกับด้วยว่า..ตัวไหนชอบทานอาหารอะไร ก็ขอให้จัดการตามนั้น ลักษณะของศาลจะมีบันไดฐานปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใต้ศาลไม้สักเรือนไทย เรียกว่าใครไปใครมาเห็นเป็นต้องสะดุดตา คุณโบนัสเล่าว่าด้วยความที่ศาลนี้ได้รับความใส่ใจและพิถีพิถันในรายละเอียดเป็นพิเศษจนเกินไป ทำให้ฟังแล้วรู้สึกขนลุกชอบกล

หลังจากมาถึงคุณโบนัสก็ไหว้ศาลตามที่บอกทันที โดยที่ร้านได้พบกับพี่C เป็นครั้งแรก หลังการแนะนำตัวพี่C ก็ไหว้วานให้คุณโบนัสช่วยงานด้านการตลาด หากมีข้อเสนอแนะวิธีในการประชาสัมพันธ์และเรียกลูกค้าอย่างไร ก็ให้บอกได้เลยทุกอย่าง เนื่องจากพี่C ก็ไม่เคยทำผับมาก่อน ผ่านไป1 เดือนให้หลัง ร้านเสร็จพร้อมเปิดให้บริการ เปิดร้านมากิจการดีมาก รายได้ต่อคืนกว่าแสนกว่าบาท สำหรับผับในต่างจังหวัดเช่นนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จ

หากแต่ความสำเร็จกลับอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อเข้าเดือนที่3 มาได้3-4 วัน พี่B หุ้นส่วนคนที่มีกิจการโรงแรมได้เข้ามาเที่ยวที่ร้าน วันนั้นพี่B เข้ามาแตะไหล่คุณโบนัสพร้อมทักว่า

“เราเอาอะไรมั้ย เดี๋ยวพี่จะไปฮ่องกง อีก2 วันจะซื้อของมาฝาก”

“อ๋อ ไม่เป็นครับพี่ อะไรก็ได้”

คุณโบนัสตอบกลับไปด้วยความเกรงใจ กอปรกับว่าตนจะอยู่อีกแค่เดือนเดียว บทสนทนาที่เรียบง่ายในวันนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ในขณะที่พี่B ยังมีชีวิตอยู่…

ถัดจากวันนั้นราว4 ทุ่มพี่C เข้ามาคุณโบนัสแล้วบอกว่า

“โบนัสมาเป็นเพื่อนพี่หน่อย พี่B ขับรถประสานงากับสิบล้อ”

จากคำบอกเล่าระหว่างทางไปโรงพยาบาล พี่C บอกว่าพี่B จะไปขึ้นเครื่องที่กทม. เพื่อบินไปฮ่องกง โดยขับรถไปกับครอบครัว4 คน โดยที่พี่C ก็ยังเปรยด้วยความเป็นห่วงว่า ‘ทำไมไม่ขึ้นเครื่องไปต่อเครื่องเอา’ เนื่องจากพี่B เป็นคนขับรถเร็วและเส้นทางนั้นเป็นเส้นทางที่รถสิบล้อวิ่งกันขวักไขว่ บริเวณแถวค่ายทหารก่อนหัวหินขาเข้ากทม. จะมีจุดแยกวกลับรถขณะที่รถพ่วงบรรทุกกำลังเลี้ยวกลับรถ จุดที่ว่านั่นเองรถของพี่B ก็พุ่งเข้าไปเสียบคาอยู่ใต้ท้องรถพ่วงเนื่องจากคุณโบนัสไม่ได้รู้จักคุณB มากนัก หลังได้ฟังจึงพูดปลอบขึ้นว่า ‘พี่เขาคงถึงฆาตจริงๆ แกคงขับรถด้วยความประมาท’

หลังจากที่ไปถึงโรงพยาบาล นอกจากพี่B ที่ขับรถแล้ว ยังมีภรรยาลูกสาวอายุ 12 ขวบและลูกชาย 5 ขวบรวม 4 คน โดยมีเพียงลูกสาวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ในสภาพขาหักทั้ง 2 ข้าง ที่น่าแปลกอีกก็คือทุกคนในรถก็มีสภาพขาหักทั้ง 2 ข้างเช่นเดียวกัน ส่วนคอของพี่B เองก็ถูกกระจกรถบาดอยู่ในสภาพหวิดขาด (ซึ่งสภาพศพจะมีความสำคัญต่อเรื่องนี้ในภายหลัง)

ภาพตรงหน้าสร้างความวิตกให้แก่พี่C อย่างมาก…เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นเลย จากปากคำให้การภายหลังพบว่า คนขับรถพ่วงไม่ได้หนีและก็ตกใจเช่นกัน คนที่อยู่ในเหตุการณ์คอยโบกแท่งไฟสัญญาณจุดกลับรถให้การว่า

“รถแวนคันนั้นพุ่งมาอย่างเร็วมาก ไม่มีการชะลอ ราวกับไม่เห็นรถพ่วงและสัญญาณไฟที่โบกเลย”

หลังจากที่เดินเรื่องเสร็จก็ขอนำร่างไปบำเพ็ญกุศลที่วัด ส่วน‘น้องเฟิร์น’ ลูกกสาวที่รอดมาได้นั้น ยังคงพักรักษาตัวอยู่ ยังไม่สามารถให้การอะไรได้ ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณโบนัสเล่าว่าขออนุญาตเอ่ยชื่อจริงและบางทีน้องอาจกำลังฟังเรื่องนี้ ส่วนคุณโบนัสก็กลับไปที่ร้านเนื่องด้วยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับทางพี่B เย็นวันที่ 2 หลังจากพิธีงานศพ คุณโบนัสขับรถเข้าร้านตอน 5 โมงเย็น เนื่องจากร้านนี้ขายอาหารด้วย ก็ได้ยินพนักงานในร้านพูดกันว่า

“เอ…ที่พี่B เสียเนี่ย จะเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวันนั้นรึเปล่า”

“ทำไมเหรอพี่B แกไปมีเรื่องกับใครเหรอ” คุณโบนัสถาม

“ไม่มีหรอกพี่ แต่วันนั้นที่พี่B มาร้านแกไปทำอะไรไม่รู้ ตอนนั้น5 ทุ่มแล้ว ผมเอารถมารอรับอยู่ด้านนอกเลยไม่เห็น เช้าวันถัดมาเข้าไปดูถึงเห็นว่า…แกคงเข้าไปในศาล ในนั้นมีหุ่นตัวหนึ่งคอหัก อีก3 ตัวขาหักหมดเลย กองกันอยู่ตรงฐานปูน”

“จากนั้นผมเลยไปแจ้งแฟนพี่C ว่า “พี่เมย์หุ่นในศาลหักชำรุด ทำยังไงดี”

หุ่นไม่น่าตกลงมาเองได้… เพราะภายในศาลหลังใหญ่ คุณโบนัสจึงไปขอดูกล้องวงจรปิดภาพในวันนั้นจากพี่เมย์ เนื่องจากกล้องไม่ได้ถูกติดตั้งให้โฟกัสจับภาพบริเวณศาล ในคลิปจึงเห็นภาพศาลค่อนข้างไกลออกไป แต่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าช่วงกลางดึกคืนนั้น… พี่B เดินเข้ามาในเฟรม แล้วค่อยๆเดินเหยียบขึ้นไปบนศาล ไม่รู้ว่าด้วยสภาพที่เมาอยู่หรือไม่ จู่ๆเขาก็ล้วงมือเข้าไปในศาล อะไรบางอย่างกลิ้งตกหลุนๆลงมาที่ฐานในสภาพไร้ซุ้มเสียง เนื่องจากกล้องไม่ได้บันทึกเสียงไว้

วันต่อมาเรื่องนี้ได้รับการขยายความเพิ่มเติมจากน้องอีกคนที่เป็น ‘บาร์น้ำ’ หรือแผนกเครื่องดื่ม ซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หลังร้านวันนั้นพี่B เดินไปเหยียบเข้ากับถาดใส่อาหารสัมภเวสี ด้วยความโกรธจึงสบออกมาว่า ‘เกะกะชิบหายเลย’ จากตรงนั้นเดินไปที่ลานจอดรถจะต้องผ่านหน้าศาลก่อนแน่นอน จู่ๆพี่B ก็เดินขึ้นไปบนศาลแล้วพูดว่า

“กินดีอยู่ดีจังนะ เป็นแค่หุ่นแท้ๆ”

หลังจากนั้นบาร์น้ำเล่าว่า พี่B เอื้อมมือเข้าไปหยิบหุ่น ไม่รู้ว่าเพราะลื่นหลุดมือหรือตั้งใจปาลงพื้น ในที่สุดหุ่น 3-4 ตัวนั้นก็ลงมากองบนฐานปูนอย่างที่กล่าวไปแล้ว

ตรงนี้ขยายความกันในภายหลังว่า เนื่องจากพี่B เองไม่ค่อยเชื่อในเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว กอปรกับอาจจะมองว่า…นี่ไม่ใช่ศาลพระภูมิ อย่างที่ที่ทำการอื่นๆมีไว้ปกป้องดูแลสถานที่ แต่‘ศาลตา-ยาย’ ให้พูดอีกอย่างก็คือเป็นแค่ศาลผีนั่นเอง บางทีพี่B คงดูแคลนว่า ‘แล้วทำไมจะต้องไปกราบไหว้บูชา?’ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลยังสูงมากถึงวันละเกือบพันบาท เนื่องจากหุ่นแต่ละตนก็กินไม่เหมือนกันอีก ในแต่ละถาดยังต้องมีอาหารมากถึง 4 กระทง

คุณโบนัสเล่าเรื่องนี้ให้พี่C ฟังรวมทั้งให้ดูกล้องวงจรปิด ตัวพี่C เองก็ค่อนข้างเชื่ออีกทั้งยังเล่าว่า “ตอนงานศพคืนที่4 พี่ฝันว่ะ ฝันว่าพี่B มายืนอยู่ตรงลานจอดรถแล้วชี้ไปที่ศาล แล้วบอกว่า…”

“ฝากหลานด้วยนะ ตัวเมิงเองก็ระวังด้วย…”

พี่C ยังไม่ทันจะได้ถามว่า ‘ให้ระวังอะไร’ ความฝันนั้นก็เลือนหายไปก่อน จนกระทั่งเรื่องดำเนินไปถึงวันเผาพี่C เดินมาบอกคุณโบนัสว่า

“เนี่ย ช่วงนี้พี่ฝันเห็นพี่B ทุกคืนเลย แล้วก็บอกให้พี่ ‘ระวัง’ อะไรไม่รู้ พี่ไม่กล้าออกไปไหนเลยช่วงนี้”

“งั้นพี่พักก่อนมั้ยล่ะช่วงนี้”

หลังจากนั้นพี่C จึงเรียกประชุมทุกแผนก เนื่อจากพี่C จะขอพักชั่วคราว โดยที่พี่K (หุ้นส่วนคนที่มีโรงงาน) จะเข้ามาดูแลแทน พี่K ก็บอกคุณโบนัสไว้ว่าหากมีธุระจะคุยงานเกี่ยวกับโปรโมทคอนเสิร์ตหรืออะไรให้ติดต่อกับทางพี่เมย์(แฟนพี่B) แล้วกัน พี่เขาจะเข้ามาช่วงเที่ยงๆ

โดยปกติแล้วพี่C จะรับหน้าที่ไหว้ศาล เนื่องจากทางเจ้าของที่กำชับมาว่า ‘ขอให้เจ้าของร้านไหว้เอง…แล้วร้านก็จะดีเอง’ แต่ครั้นพอพี่K มาดูแลแทน ด้วยความที่ยังอยู่ในเหตุการณ์ของความสูญเสียทำให้มองข้ามเรื่องนี้ไป และมอบหมายให้แม่ครัวเป็นผู้ดูแลการไหว้แทน เนื่องด้วยมองว่าแม่ครัวเป็นคนทำอาหารไหว้อยู่แล้ว จึงพอรู้ว่าต้องเตรียมอะไรไหว้ยังไงบ้าง

3-4 วันผ่านไป ผู้จัดการร้านถามหาพี่C กับคุณโบนัสว่า ‘เจอพี่C บ้างมั้ย’ ดูเหมือนว่าภายหลังจากวันนั้นพี่แกจะไม่ได้ติดต่อกลับมาทางร้านเลย คุณโบนัสจึงไปถามหากับพี่เมย์

“พี่เมย์ พี่C เค้าเป็นยังไงบ้างจะถามเรื่องงาน ติดต่อหาแกไม่ได้เลย”

“พี่ก็ไม่รู้นะ ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน”

เนื่องด้วยถึงแม้ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน วันนั้นพี่เมย์รับปากว่ายังไงก็ตามเดี๋ยวเย็นนี้จะไปดูให้แล้วกัน ว่าอยู่กินยังไงหลังจากนั้นผ่านไปร่วม 10 วัน นับจากวันที่พี่C หายหน้าไปทางร้านและคุณโบนัสก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าพี่C อาการเป็นยังไง แกเครียดอะไรรึเปล่า คุณโบนัสก็ถามไถ่จากพี่เมย์อยู่ทุกวัน พี่เมย์ก็บอกเพียงว่า ‘เท่าที่ไปดูก็เห็นพี่C นั่งซึมๆตลอดนะ แกคงเครียดเรื่องที่เพื่อนเสีย แต่คงไม่มีอะไรน่าห่วง’

ผ่านไปอีก2 วัน น้องเฟิร์นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์วันนั้น ก็ฟื้นตัวพอจะให้ปากคำกับตำรวจได้ ซึ่งตอนนี้น้องย้ายมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในจังหวัดเดียวกันกับผับแล้ว น้องเล่าว่า…วันนั้นที่รอดมาได้เพราะคาดเข็มขัดไว้ และยังมีตุ๊กตากับหมอนที่กอดรองหน้ารองคออยู่ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บถึงชีวิต น้องเล่าถึงบทสนทนาระว่างพ่อกับแม่ในวันนั้น แม้ตนจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์เองเนื่องจากนั่งอยู่เบาะหลัง… ขณะเกือบจะเข้าหัวหินคุณแม่ก็ทักขึ้นมาว่า…

“ดูสิคุณ ทำไมคนแก่มายืนอยู่ชิดถนนเลนขวาขนาดนั้น ไม่กลัวถูกรถชนเอาหรืออย่างไร”

“สงสัยอยากไปเฝ้ายมบาลน่ะสิ”

ผ่านไปอีกไม่ไกลนัก คุณแม่ก็ทักขึ้นอีก…

“ทำไมคนแก่แถวนี้เขาไม่เดินริมถนน แล้วนี่จะ5 ทุ่มแล้ว มาเดินอะไรกันตอนนี้”

“เออ เดินแบบนี้ไม่นานเดี๋ยวได้ดับ”

หลังจากนั้นไม่ถึง5 นาที น้องเล่าว่าไม่ได้สติรับรู้อะไรอีก… รถน่าจะชนเข้าไปแล้ว เรียกว่าตรงกับคำพูดของพนักงานโบกไฟฉุกเฉินที่เล่าว่า รถวิ่งมาด้วยความเร็วโดยไม่ได้เบรกและซัดเข้าไปเต็มแรง

พี่C หายไปร่วม2 อาทิตย์แล้ว ตอนนั้นคุณโบนัสก็ไม่ติดตามเรื่องนี้อีก และใกล้จะกลับบ้านแล้ว เนื่องจากจะครบกำหนดสัญญา3 เดือน เช้าวันหนึ่งคุณโบนัสได้นัดทางบริษัทเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งมาติดป้ายไฟและทำโปรโมชั่นให้ ขณะเดินเข้ามาในร้านและคุยกันเรื่องตำแหน่งภายในร้าน ว่าจะให้ติดตั้งตรงไหน คุณโบนัสก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง… ตรงบูทดีเจที่อยู่กลางร้าน มีพี่C นั่งเอาหัวพิงกับบูทอยู่ ใบหน้าดูเศร้าหมองและซีดเซียว

“เอ้าพี่ มาตอนไหนทำไมไม่เห็น”

“มาได้สักพักละ แต่กรุเห็นคุยงานกันอยู่ก็เลยไม่ได้ทัก”

หากยืนอยู่ตรงกลางร้านย่อมจะมองเห็นทางเดิน รวมทั้งลานจอดรถ เนื่องจากร้านสร้างด้วยกระจกใสโดยรอบ ในร้านตอนนั้นควรจะมีแค่แม่บ้านคนเดียว และคุณโบนัสไม่คิดว่าเห็นใคร แม้กระทั่งพี่C เดินเข้ามาเลย แต่แล้วจู่ๆแกก็มาโผล่อยู่ที่บูทดีเจ ตอนนั้นคุณโบนัสอดคิดถึงเรื่องน่าขนลุกไม่ได้และภาวนาขอให้ไม่ใช่อย่างที่ตนคิด!

“พี่ดีขึ้นแล้วเหรอ”

“ไม่เลย แย่กว่าเดิมอีก พี่ไม่อยากอยู่เลย”

“เครียดเรื่องอะไรพี่ นี่หลานก็ฟื้นแล้ว ถ้าไม่มีพี่สักคนแล้วหลานจะอยู่กับใคร อย่าไปเครียดเลย..พี่B แกคงหมดเคราะห์แล้ว”

“กรุยังทำใจไม่ได้ว่ะ”

“ถึงยังไงก็ต้องทำใจให้ได้แหละพี่ คนเราถ้าประมาทก็ถึงฆาตได้ทั้งนั้นแหละพี่ เออ..ใช่ ก็ยังดีที่พี่กลับมา ผมก็ถามหาจากพี่เมย์ให้ไปดูพี่ตลอด เพราะติดต่อพี่ไม่ได้เลย”

“ก็ที่กรุเงียบหายไป…ก็เพราะไปงานศพเมย์มานี่แหละ!! เมิงบ้ารึเปล่า…เมิงจะคุยกับเมย์ได้ยังไง”

“พี่!! ให้ใครเป็นพยานก็ได้ คนในร้านก็เห็นกันหมด..ว่าแกมาทำงาน”

ความจริงอันน่าตกตะลึงพาลให้พี่C ยิ่งร้องไห้เศร้าโศกหนักกว่าเดิมอีก นานทีเดียวกว่าแกจะตั้งสติได้และเล่าให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“เมื่อ 4-5 วันที่แล้ว พี่เมย์จะเข้าไปในเมืองเพื่อทำธุระ แต่ถูกรถกระบะพุ่งเข้ามาชนมอเตอร์ไซค์พี่เมย์กลางสี่แยก”…

Admin

01/04/2020
1 37 38 39 40