เรื่องเล่าผีในคืนที่แผ่นดินไหว

แผ่นดินไหว เป็นปรากฏการณ์ที่น่ากลัวและมักนำมาซึ่งความเสียหายทางกายภาพสู่โลกมนุษย์ แต่บางครั้งมันก็เป็นบ่อเกิดของเรื่องเล่าผีที่น่าสยดสยอง โดยเฉพาะในคืนที่แผ่นดินไหวเกิดขึ้น ผู้คนมากมายรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินก่อนถึงเหตุการณ์นั้น และหลายคนได้ยินเสียงต่างๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ แม้จะเป็นเรื่องเล่าที่ดูเหมือนจะแค่ในหนังสือ แต่หลายคนก็บอกว่าได้สัมผัสด้วยตนเอง เมื่อคืนหนึ่งที่หนังสือของชาวบ้านถูกปิดสนิท ไม่มีใครสามารถคิดได้ว่าค่ำคืนนี้จะเป็นค่ำคืนที่พวกเขาจะต้องพบเจอกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติณ หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในเขตที่แผ่นดินไหวเกิดบ่อย ค่ำคืนที่ไม่มีดาวพร่างพรายเต็มฟ้า ชาวบ้านทุกคนรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังหลบซ่อนอยู่ในความมืด เสียงกรีดร้อง และเสียงกระแทกแปลกๆ ดังขึ้นจากที่ไหนก็ไม่รู้ บางคนเริ่มวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างตื่นตกใจ ขณะที่บางคนไม่มีแรงแม้จะขยับตัว เล่าขานกันว่าเป็นเงาแห่งอดีต มันมาที่นี่เพราะมีบางอย่างเกิดขึ้น เพราะแผ่นดินไหวก็มักทำให้การติดต่อระหว่างโลกนี้กับโลกหลังความตายง่ายขึ้นคนที่ออกไปนอกบ้านในเวลานั้นมักจะเห็นแสงสว่างประหลาดที่ลอยอยู่เหนือโคลน และมีเสียงกระซิบเข้าหูพวกเขาว่า “หลีกหนีไปซะ!” เป็นการเตือนที่ขนลุกซู่ เพราะหลังจากนั้น ไม่นานเสียงดังก้องดั่งฟ้าผ่ามากระทบพื้นดิน ล้มล้างทุกสิ่งอย่าง และทำให้โลกตรงนั้นสลายหายไปในพริบตา ไม่ใช่แค่บ้านเท่านั้น แต่คือความหวังและชีวิตของคนอีกมากมาย ทุกคืนที่เกิดแผ่นดินไหว คนในหมู่บ้านจะเกิดอาการประสาทหลอน เพราะต้องตื่นขึ้นมาในเวลาเดิมๆ เสียงนั้นราวกับว่ามันกำลังตามหลอกหลอน พวกเขาทุกคนได้เรียนรู้ที่จะaหลีกเลี่ยงคำว่า “แผ่นดินไหว” เป็นคำที่มาพร้อมความตาย และจะไม่มีวันลืมมันเมื่อหน้าหนาวมาถึง ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มทำการบูชาผีสงคราม เพื่อขอให้พ้นภัยจากภัยธรรมชาติ พวกเขาเชื่อว่าผีอาจจะรู้จักพวกเขามากกว่าใครเนื่องจากมีประวัติศาสตร์แห่งความหวาดกลัวโดยเฉพาะในคืนที่ แผ่นดินไหว มักเกิดขึ้น ยิ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวและรู้สึกว่าพวกเขาต้องพึ่งพาพลังจากโลกอื่น เพราะมีข่าวลือว่าในคืนที่เกิดแผ่นดินไหวจะมีเสียงหัวเราะหวาดกลัวจากผู้ที่สูญสิ้นไปแล้ว ทำให้เกิดความสงสัยว่าคนไหนที่ยังอยู่ที่นี่เพียงแค่เฝ้ามองและเยาะเย้ยคนมีชีวิตอยู่กันแน่ทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับแผ่นดินไหว เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ชาวบ้านจะรู้สึกกลัวในลึกลงไปในใจ และดินแดนของพวกเขาก็ทำได้เพียงเฝ้ารอขอโอกาสที่จะไม่เป็นอีกหนึ่งอุบัติเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้.ในขณะที่สิ่งนี้เป็นเรื่องราวจริงในหมู่บ้านแห่งนั้น แต่มีใครรู้บ้างว่าในโลกนี้ยังมี “เมืองแห่งแผ่นดินไหว” ที่ใช้ชีวิตอยู่พร้อมๆ กับเสียงที่ก้องอยู่ในหู เสียงของความโกรธที่สื่อสารมาในรูปของแผ่นดินไหว?บรรยากาศของมันช่างเยือกเย็น ผู้คนขนลุกอย่างต่อเนื่อง และรู้สึกเหมือนมีบางอย่างยืนมองพวกเขาอยู่จากมุมมืด ทุกก้าวที่เดินพาไปยังจุดที่แผ่นดินไหวเกิดขึ้น เป็นการกลับไปพบกับผู้ที่เคยมีชีวิตซึ่งถูกกลืนหายไปเพราะ แรงสั่นสะเทือนและนี่คือวิถีชีวิตที่น่าสยดสยอง ที่คนในหมู่บ้านนี้จะต้องอยู่กับมันไปตลอด…

ghoststory

05/07/2025

Del Monte ล้มละลาย: เรื่องผีที่ไม่มีวันตาย

ในคืนที่ฝนตกพรำ เสียงฟ้าร้องก้องไปทั่วท้องฟ้า Del Monte ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางจากฟางเส้นที่ล้มละลาย แต่ทำไมความล้มละลายนี้ถึงได้กลายเป็น เรื่องเล่าผี ที่เย้ายวนใจ? เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นจากโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องที่สูงตระหง่าน การผลิตที่เคยเฟื่องฟู โหดร้ายต่อเสียงสะเทือนใจของผู้คนมากมาย ในคืนหนึ่ง เสียงที่น่าสะพรึงกลัวดังก้องไปทั่วโรงงาน ผลิตภัณฑ์ที่เคยสร้างชื่อเสียงดังไกล และเปลี่ยนสถานที่นี้ให้กลายเป็น ความยิ่งใหญ่。」 ตั้งแต่หัวค่ำหลังจากที่ประกาศว่า Del Monte ล้มละลาย มีกลุ่มบุคคลที่กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่เคยสัมผัสบรรยากาศของโรงงานรู้สึกได้ถึง ความน่าสะพรึงกลัว เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาใกล้ เราจะเห็นว่าวิญญาณของคนงานที่ไม่สามารถส่งลูกหลานไปเรียนหรือสร้างอนาคตที่ดีกว่า ได้วนเวียนอยู่ในซากอาคารที่เคยเป็นสถานที่ทำมาหากิน แต่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่หลอน เมื่อมีการเล่าเรื่องข้าวของถูกโยนทิ้ง ว่ามีเสียงพูดคุยแผ่วเบา ซ้ำร้ายกว่านั้น ยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กที่ถูกทอดทิ้งในโลกนี้ เสียงที่ทำให้หัวใจเราหดตัวลง…การล้มละลายไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น มีพร้อมกับวิญญาณของคนที่เรามองไม่เห็นอาศัยอยู่ใน del monte แต่เมื่อหลาย ๆ คนได้ฟังเรื่องนี้ จึงได้รู้จักกับทางคำว่า “ล้มละลาย” ว่าไม่เพียงแต่เป็นแค่การหมดตัว ทางกฎหมาย หรือความไม่สามารถชำระหนี้ แต่ยังเป็นการสิ้นสุดชีวิต สิ้นสุดความหวังและอนาคตคืนนั้นอากาศเย็นลง เริ่มมีไฟฟ้าเปิดในโรงงาน ที่นั่น ผู้คนสังเกตเห็นว่า มีเงาคล้ายมนุษย์เดินไปมา ความเคว้งคว้างของโลกที่พวกเขารู้จัก มันกลายเป็น ความหลอน ที่น่ากลัวเข้าขั้น【อ่านข้อความเต็ม การล้มละลายที่ไม่ต้องการความยุติธรรมอีกต่อไปอีกแล้ว ไม่เพียงแต่คนงานที่ถูกทอดทิ้ง แต่ยังมีเลขจำนวนหนี้ที่รบกวนจิตใจเราหมายเลขที่ถูกฝังอยู่ในใจ ทุกครั้งที่สนทนา เกิดเป็นคำถาม ทำไมเราถึงต้องอยู่ในสภาพที่ไร้ค่าแบบนี้? ในไม่ช้า สิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็น เรื่องเล่าผี ที่ถูกขับเคลื่อนจากเหตุการณ์ล้มละลาย ตั้งแต่เวลาที่ผ่านไป เพื่อนฝูงเริ่มแชร์เรื่องราวที่ไม่สามารถบอกเล่าให้ใครฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กที่เดินเล่นในโรงงาน เรียกร้องหาความรักที่ถูกลืมไป ความเป็นจริงของการล้มละลายอาจจะมาจากสิ่งที่ต้องการสะท้อนสังคม แต่ตอนนี้เมื่อมีคำว่า “Del Monte ล้มละลาย” ท่องไปในโลกออนไลน์ มันจะกลับมากดดันและหลอกหลอนทุกคนที่เคยผ่านมาในโรงงานนี้

ghoststory

05/07/2025

เรื่องหลอนในคืน 4 กรกฎาคม: ผีที่ไม่ควรลืม

### เนื้อหาหลัก ตอนที่ 1: คืนที่ 4 กรกฎาคมอาถรรพ์ในคืนที่ทุกคนรอคอย วันที่ 4 กรกฎาคม อาจฟังดูเป็นวันสงบสุขที่เต็มไปด้วยแสงไฟและเสียงระเบิดจากดอกไม้ไฟ แต่มีเรื่องราวแปลกประหลาดที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับวันนี้ วันหนึ่งในเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่ผู้คนต่างสนุกสนานชื่นชมการเฉลิมฉลอง มีใครบางคนที่ไม่ได้มีความสุขเช่นนั้น การเฉลิมฉลองครั้งนี้กลับกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีใครสามารถลืมได้มีคนบอกเล่าเกี่ยวกับการปรากฏตัวของ วิญญาณในคืน 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “เชอรี่” เชอรี่คือหญิงสาวที่เสียชีวิตในวันที่ 4 กรกฎาคม ในสมัยโบราณ เธอเป็นคนมีชื่อเสียงในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่น่าเศร้าที่ความรักของเธอถูกทำลายเมื่อคนรักของเธอหายไปในสงครามคืนที่เธอตัดสินใจที่จะตามหาคนรัก มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างในคืนรก แต่แทนที่จะพบสิ่งที่หวังไว้ เชอรี่มักจะพบกับ สิ่งเหนือธรรมชาติ สัตว์ต่างๆ ที่กลายเป็นวิญญาณคอยกระซิบบอกเธอว่า คนรักของเธอนั้นตายไปแล้ว และความรักที่เธอมีต่อเขาก็ไม่อาจกลับคืนมาได้ ตั้งแต่นั้นมา ในทุกๆ วันที่ 4 กรกฎาคม ผู้คนที่อยากสนุกสนานมักจะได้รับการเตือนจากเสียงไม่รู้ที่มาของลม และสายตาของเชอรี่ที่สาดมาจากความมืด เสมือนกับว่าหญิงสาวกำลังมองหาความรักและความสงบสุขในคืนที่เต็มไปด้วยความสุขนี้ผู้ที่เคยไปที่บ้านเก่าของเชอรี่ในค่ำคืน 4 กรกฎาคม จะบอกเล่าว่า พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความเศร้าโศกและความคาดหวังของเธอในอากาศ ปรากฏการณ์นี้ทำให้คนรอบข้างรู้สึกถึงการมีอยู่ของวิญญาณที่เฝ้ารอ ไม่ว่าจะาร์บอเรื่องแค่ไหน ก็ยังมีคนจำนวนมากที่หวาดกลัวไม่กล้าไปที่นั้นอีกต่อไป### เนื้อหาหลัก ตอนที่ 2: เทศกาลปีนี้ที่แตกต่างในปีนี้ วัน 4 กรกฎาคม จึงเป็นวันสำคัญที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากขึ้น เพราะมีข่าวลือแตกกระจายว่า เชอรี่กลับมาอีกครั้งในคืนที่มีการเฉลิมฉลองนี้ ขณะที่ผู้คนเตรียมพร้อมสำหรับการฉลองและแสดงไฟประดับทุกประเภท มีผู้คนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจจะมาท้าทายความเชื่อว่า เชอรี่ยังมีชีวิตอยู่กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งตัดสินใจที่จะแก้ไขตำนานนี้ พวกเขาตั้งใจจะไปที่บ้านเก่าของเชอรี่ในคืน 4 กรกฎาคม ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยแสงสีสันจากดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า แต่ใต้อารมณ์ของสนุกสนานเหล่านั้น กลับมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงที่หมาย ท้องฟ้ายามค่ำคืนกลับแลดูแปลกประหลาด หน้าบ้านเก่าแก่ของเชอรี่มีบรรยากาศที่หนาวเหน็บอย่างไม่เคยมีมาก่อน เสียงของลมพัดเบาๆ ฟังดูคล้ายเสียงระบายความเศร้าของหญิงสาวในอดีต แสงจากดอกไม้ไฟที่ส่องถึงที่ทำให้ความอดสูนี้โดดเด่นยิ่งขึ้นขณะที่กลุ่มวัยรุ่นเริ่มตั้งใจจะทำพิธีกรรมเพื่อลองเรียกเชอรี่ขึ้นมา คำพูดของพวกเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าสยดสยอง ในขณะเดียวกันที่พวกเขาเป็นกลุ่มที่สดใสกลับมีลมหายใจที่เย็นเหน็บผสมผสานเข้ากับความเศร้าของคืน 4 กรกฎาคม นี้ เสียงที่ร้องเรียกของพวกเขาถูกกั้นด้วยเสียงของหญิงสาวทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจงานเฉลิมฉลองเตือนถึงความคิดที่ว่าการค้นหาความจริงอาจทำให้พวกเขาไม่หลุดพ้นจากเงาของความตาย มันไม่ใช่แค่เรื่องของช่วงเวลา แต่เป็นการเดินตามทางที่ถูกห้าม และในขณะนี้ ที่ที่ได้ริเริ่มพิธีกรรมอาถรรพ์ กลับกลายเป็นที่ซึ่งชีวิตจะไม่เหือนเดิมอีกต่อไป### บทสรุป: เล่าขานซ้ำในคืน 4 กรกฎาคมเรื่องราวของเชอรี่และคืนนี้ในวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นเครื่องเตือนใจให้เราเห็นถึงอำนาจของความรักและการสูญเสียที่ไม่อาจลบล้าง โดยเฉพาะในคืนที่มีมวลมนุษย์รวมกันเพื่อตลึงในความสุข แต่ก็ไม่อาจลืมเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้น ในคืนที่มีการเฉลิมฉลองเช่นนี้ กลับเป็นคืนที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสยองประสบการณ์ของกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นสร้างการตระหนักให้ผู้อื่นได้เข้าใจว่า แม้ในคืนที่เต็มไปด้วยความสุข ความเศร้าโศกสามารถแฝงอยู่ในเมฆหมอกของความเป็นอยู่ชีวิตประจำวันได้ และทุกครั้งที่คืน 4 กรกฎาคม มาถึง ควรมองมันด้วยความระมัดระวัง สำคัญมากกว่าแค่การเฉลิมฉลอง แต่ยังหมายถึงการเรียกคืนคติด้วยความรักที่เรามีต่อกันในที่สุด ทุกคนต่างเฝ้ารอให้ถึงค่ำคืนนี้อีกครั้ง รอจะค้นพบเรื่องราวใหม่ที่น่าหวาดหวั่น แต่ก็ยังไม่ลืมถึงความจริงที่เบื้องหลังความสนุกนั่นเอง คงจะเราได้ยินเสียงเชอรี่ในคืน 4 กรกฎาคม ที่ยังคงสะท้อนในใจของผู้ที่ได้เห็นงานเฉลิมฉลองนั้นไปอีกนานถ้าคุณรู้สึกถึงความรู้สึกนี้ จะมีอีกหนอสำหรับคืนนี้ที่ 4 กรกฎาคม ที่ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่

ghoststory

05/07/2025

ตำนานเฮี้ยนของตั้มวิชญะจารุจินดา

เรื่องราวของตั้มวิชญะจารุจินดา เริ่มต้นขึ้นในหมู่บ้านหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของป่าใหญ่ ในค่ำคืนหนึ่ง เมื่อเดือนเต็มดวงส่องแสงจ้า เป็นคืนที่ผู้คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงกระซิบเล่าเรื่องขึ้นมาอย่างน่ากลัวเกี่ยวกับตั้มวิชญะจารุจินดา ผู้ที่เคยเป็นคนธรรมดา ก่อนจะกลายเป็น วิญญาณที่ไม่สงบ ตัวเขาได้รับการกล่าวถึงในฐานะที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่ด้วยพลังที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้เขาเผชิญกับชะตากรรมที่น่าสยดสยองตั้มวิชญะจารุจินดา เป็นเด็กหนุ่มผู้มีพลังจิตที่เหนือธรรมชาติ เขาสามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มีการทำนายอนาคตได้ แต่ความสามารถนี้กลับมาพร้อมกับความเลวร้าย เพราะทุกครั้งที่เขาทำนายอะไร แสดงว่าสิ่งนั้นจะต้องเกิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อตั้มเริ่มเห็นวิญญาณที่ล่องลอยอยู่รอบตัวเขา มันส่งผลให้จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล และความกลัวที่มีอำนาจสุดท้ายเขาพบวิญญาณหนึ่งที่ต้องการคำตอบ ตั้มพยายามจะสื่อสาร แต่กลับพบว่ามันเป็นความผิดพลาดที่เลวร้าย วิญญาณนั้นสั่งให้เขาต้องทำสิ่งที่เขาไม่ต้องการการต่อสู้เกิดขึ้นในจิตใจของเขาและทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาดแยกตัวออกจากผู้อื่นจะกระทบอย่างมากเมื่อความจริงเปิดเผยออกมาตั้มวิชญะจารุจินดา แต่ละคืนเขาเห็นภาพของการเสียชีวิตของคนที่ไม่รู้จัก รู้ว่าตัวเองไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ ความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าเริ่มพอกพูนขึ้น จนในที่สุดเขาได้ตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองในวันแรม 15 ค่ำ บนเขาที่เขาเคยเล่นในวัยเด็ก เสียงที่ทุกคนได้ยินในคืนหมู่บ้านนั้นสั่นสะเทือนจิตใจเพราะมันเกิดจากการจากไปของจิตที่ยังดองดึง วิธีที่เขาจากไปทำให้วิญญาณของเขากลายเป็นของเล่นของวิญญาณอื่น ในขณะที่คนในหมู่บ้านเคยชินกับเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความสยดสยอง จนกระทั่งเป็นเรื่องที่ถูกเล่าขานมาถึงวันนี้ตตั้มวิชญะจารุจินดา ยังเป็นที่กล่าวถึงในสถานที่ต่างๆ เพราะเชื่อกันว่า คนที่ได้รับพลังจิตหรือสามารถเห็นวิญญาณมีโอกาสสูงที่จะพบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด และบางคนถึงขั้นเกิดประสบการณ์ที่หลอนอย่างรุนแรง

ghoststory

05/07/2025

บ้านเช่าหลอนที่อนุสาวรีย์…

เรื่องมีอยูว่าเรากับแฟนได้เช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่แถวย่านอนุเสาวรีย์ เราเช่าอยู่ในราคา 20,000 บาท บ้านหลังนี้มีรูปแบบบ้านที่แปลกไม่เหมือนที่อื่นคือ…

ตรงกลางบ้านโล่งขึ้นไปถึงหลังคา บ้านหลัง นี้มี 4 ชั้นรวมชั้นดาดฟ้า บนดาดฟ้านี้มีศาลอยู่ด้วยค่ะ เราพอทราบมาว่าก่อนหน้าที่เราจะมาเช่า บ้านหลังนี้ว่างอยู่เกือบ 2 ปี หลังจากที่เราทั้งครอบครัวย้ายเข้ามานั้น เป็นช่วงที่ตรงกับฟุตบอลโลกพอดี คืนที่ 2 หลังจากย้ายเข้าบ้านทุกคนหลับหมดแล้ว เหลือแต่น้องชายนั่งดูบอลอยู่จนกระทั่งบอลจบ

ช่วงเวลาประมาณตี 2 ครึ่ง น้องก็ได้เดินจากชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่น กลับเข้ามานอนที่ห้องของตัวเอง

ระหว่างทางที่เดินผ่านที่พักบันได น้องชายไม่ได้เปิดไฟทางเดิน แต่มีไฟสลัวตรงหน้าต่าง น้องชายได้ยินเสียงผู้หญิง 2 คนคุยกันอยู่ตรงหัวบันได ประมาณว่า “ผู้ชายคนนี้เป็นใครเนี่ยเข้ามาในบ้านเราได้ยังไง” แต่น้องเราก็คิดว่ามันหูฝาด เพราะน้องไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ก็เข้านอนตามปรกติ จนหลับไปได้สักพักน้องชายเรารู้สึก ว่ามีคนมาดึงขา ลากลงมาจากที่นอน น้องเรากลัวมาก รีบมาเคาะห้องขอนอนกับแม่ หลังจากคืนนั้นน้องเรามันย้ายกลับไปอยู่บ้านเดิมไม่มานอนที่นี่อีกเลย

มาพูดถึงห้องนอนเราบ้างนะ

เพื่อนๆลองนึกภาพ ห้องน้ำที่มีชักโครกที่เวลาเงยหน้าขึ้นไปจะมีหน้าต่างกระจก สามารถมองขึ้นไปแล้วเจอกับศาลตรงชั้นดาดฟ้าพอดี คิดเอาเถอะค่ะ เราไม่กล้าทำทุกข์หนักตอนกลางคืนกันเลยทีเดียว บอกได้ว่าน่ากลัว เราไม่สามารถข่มตาหลับในห้องนอนเวลาเรานอนคนเดียวได้แม้แต่ครั้งเดียว

มีความรู้สึกเหมือนมีคนมองตลอด เวลาเพื่อนที่มานอนที่บ้านเหมือนกัน โดนผีอำทุกราย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราโดนทุกวัน จนเราชินมาก แต่บางครั้งก็ยังกลัวนะ ตลอดเวลาเกือบสองปีเจอแบบนี้ตลอดเหมือนมีคนอยู่ด้วยทั้งๆๆที่เราอยู่คนเดียว

หมาเราชอบเห่ามุมของห้องนอน (มุมนั้นมุมเดียวจริงๆๆห้องนั้นห้องเดียวด้วยตลอดระยะเวลาเกือบ2ปีมันเห่าทุกวันและต้องเป็นเฉพาะตอนเราอยู่คนเดียว)จนก่อนที่เราจะย้ายออก เรายืนล้างจานอยู่ในครัวซึ่งน่ากลัวมากด้านหลังติดกับห้องครัวเป็นห้องเก็บของที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปคนเดียวนอกจากแฟนเรา

ขณะที่เรายืนล้างจานอยู่เราได้ยินเสียงมีใครเรียกชื่อเราอยู่ตรงข้างหู เราตกใจมากสะดุ้งสุดๆเพราะมันอยู่ข้างหูเราเองสามารถรู้สึกได้แต่เราไม่ได้ขานรับนะจากนั้นมาเราก้อย้ายออก จากนั้นพอเราย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่เรีบยร้อยแฟนเราก็เล่าให้เราฟังว่า…

เค้าเป็นคนไม่เคยเชื่อเรื่องผี เพราะเค้าเป็นต่างชาติ แต่เค้ากลับบอกเราว่า ตลอดเวลาที่เค้าอยู่บ้านหลังนั้น เค้ารู้สึกเหมือนมีคนอื่นอยู่ด้วยนอกเหนือจากเรา เวลาที่เค้าอยู่ในบ้าน รู้สึกถึงสายตาจ้องมองตลอด เค้าบอกว่าไม่อยากเล่าให้เรากลัวหรือไม่สบายใจ ขอยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริงจากที่เจอ หลอนนิดๆๆกันบ้างไหมคะ

Admin

22/03/2022

เฮี้ยนตั้งแต่คืนแรก…เพลงอย่างหลอน

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของคุณบอย คุณบอยเล่าว่าครั้งนึง ป้าของเพื่อนชวนคุณบอยและพวกไปเยี่ยมเยียนกัน เลยพากันไปหาแก บ้านของป้าแกเป็นบ้านเดี่ยวในโครงการบ้านจัดสรร แบบที่ทุกคนคงเคยเห็นกันจนชินตา รอบบริเวณบ้านจะถูกกั้นด้วยรั้วปูน ความสูงประมาณครึ่งตัวคน โดยที่บ้านแต่ละหลังก็จะอยู่ติดๆกัน มีเพียงรั้วที่ว่ากั้น ถัดเข้ามาภายในบ้านก็จะเป็นสนามหญ้าโดยมีตัวบ้านอยู่ตรงกลางของผืนที่ดิน

อย่างไรก็ตาม คุณบอยและเพื่อนๆมาเยี่ยมคุณป้าครั้งนี้ ไม่ได้วางแผนที่จะค้างคืนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเรื่องเล่าจากคุณป้าว่า… ‘เมื่อสามวันก่อน ข้างบ้านติดกันมีคนตาย’ คุณบอยได้ยินก็แทบอยากจะกลับทันที แต่ก็ได้คุณป้าคะยั้นคะยอ ว่าไหนๆก็มาทั้งที อยู่เป็นเพื่อนป้าหน่อย ค้างคืนกันซะที่นี่แหละ

คุณป้ายังเล่าอีก… ได้ยินว่าสามีของคนตายไม่กลับบ้านกลับช่อง ในลักษณะว่ามีเมียน้อย เลยเป็นเหตุให้เธอเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่แต่งงานกันมาได้ไม่นาน ก่อนที่เธอจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยผ้าที่ผูกกับพัดลมเพดาน ป้าแกซึ่งเป็นเพื่อบ้านก็มักเข้าไปปลอบโยนดูแลเธอเสมอเท่าที่จะทำได้ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งจิตใจที่แตกสลายของเธอผู้นั้นไว้ได้ คุณป้ายังจำได้ดี วันที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ มาพาร่างเธอออกจากบ้านในสภาพที่ถูกห่อไว้ในห่อผ้าอย่างมิดชิด ก็อดใจหายไม่ได้

คืนนั้นคุณบอยก็นอนกับเพื่อนอีก 3 คน ในห้องเก็บของบ้านป้าที่ชั้น 1 ถึงจะบอกว่าเป็นห้องเก็บของ แต่ก็ไม่ได้รกอะไร มีที่พอจะให้นอนกันได้อย่างกว้างขวาง กระทั่งกลางดึกไม่แน่ใจว่ากี่โมงกี่ยาม คุณบอยที่ยังไม่หลับ ก็สังเกตเห็นว่าบ้านข้างๆดังกล่าว ซึ่งมืดทึบมาตั้งแต่หัวค่ำ บัดนี้มีไฟสลัวเล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างชั้น 2 คุณบอยนึกได้ว่า บ้านหลังนั้นไม่น่าจะมีคนอยู่ ก็เลยนึกอยากรู้อยากเห็นเข้า เลยแอบดูจากหน้าต่างในห้องเก็บของ

คุณบอยเห็นว่า… มีเงาอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวขยุกขยิกอยู่ แต่ด้วยมุมเงยที่ไม่ชัด เลยขึ้นบันไดบ้านไปชั้นสอง แล้วมองจากหน้าต่างชั้นบน คราวนี้คุณบอยมั่นใจว่า… มีใครบางคนอยู่ในบ้านหลังนั้น เงาใครที่ว่านั่นกำลังเอามือยกขึ้นไปบนหัว ราวกับกำลังขยำศีรษะด้วยความหงุดหงิด หรือโมโหอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเรื่องผีไม่ได้อยู่ในความคิดของคุณบอย นึกไปว่าอาจจะเป็นสามีของเธอที่รู้ข่าว ก็เลยกลับมาจัดการอะไรๆที่บ้านหลังนี้

ระหว่างที่สังเกตการณ์อยู่ ไฟในบ้านหลังนั้นก็มืดทึมลงอีกครั้ง ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิต มันเงียบสงัดราวกับบ้านร้าง พอไฟมืดลงคุณบอยเลยละความสนใจจากไฟที่ลอดหน้าต่าง ไปสังเกตที่รั้วเลื่อนหน้าประตู มีบางสิ่งที่ทำให้คุณบอยผิดสังเกต สิ่งนั้นคือแม่กุญแจที่ล่ามโซ่ล็อคมันไว้อย่างแน่นหนา จนอดคิดไม่ได้ว่า…มีใครอยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆหรือ?

คุณบอยได้แต่เก็บงำความสงสัย แล้วกลับลงไปนอนต่อที่ห้อง ระหว่างที่นอนๆอยู่ ก็สัมผัสได้ว่า… มีใครบางคนอยู่ด้านนอก เสียงเหยีบย่ำลงบนสนามหญ้าที่อยู่ระหว่างกำแพงบ้านกับผนังห้องเก็บของ บวกกับแสงภายนอกที่ส่องเข้ามาในห้องถูกบดบัง แม้ไม่กี่วินาที แต่นั่นหมายความว่า… ใครบางคนเดินผ่านหน้าต่างห้องเก็บของไปไม่ใช่หรือ? เงาที่พาดเข้ามาอยู่บนขอบหน้าต่าง ผ่านไปทางด้านหลังบ้าน แล้วผ่านกลับไปอยู่ทางหน้าบ้าน

คุณบอยลุกขึ้นมาแอบดูอยู่ชิดขอบหน้าต่างอย่างใจจดจ่อ ภาพที่เห็นคือ มีคนอยู่ในเขตบริเวณบ้านของป้าจริงๆ เขาหรือเธอก็ไม่ทราบได้ เพราะถูกคลุมโปงด้วยผ้าผืนยาวสีขาวหม่น ตอนนั้นคุณบอยตกใจมาก เข้าใจว่าเป็นขโมยขึ้นบ้านแน่ๆ บางทีอาจเป็นรายเดียวกับที่ขึ้นบ้านหลังข้างๆ เลยพยายามจะปลุกเพื่อน แต่ก็ไม่มีใครตื่น

จู่ๆก็มีเสียงเพลงลอยแว่วมาตามลม มันเป็นเพลงที่คุณบอยก็ไม่รู้จักมาก่อน แต่ค่ำคืนนั้นมันทำให้คุณบอยจำได้ไม่มีวันลืม…

“โอ้ห้วยแก้วเป็นพยาน สาบานว่าใจจะรักจริง ไม่เปลี่ยนแปลง…”

มันเป็นเพลงที่ขับร้องด้วยเสียงผู้ชาย ฟังจากทำนองและดนตรี เป็นเพลงเก่าคล้ายเพลงลูกกรุง ตามด้วยท่อนที่เป็นเสียงผู้หญิง ในลักษณะเพลงคู่

“ใจยังเกรงจะทิ้ง ลวงล่อ เพียงพะนอนแนบแลล้วงหน่าย…”

ทั้งๆที่เป็นเพลงรัก เนื้อหาหวานซึ้งแท้ๆ แต่คุณบอยกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบที่ได้ฟัง ระหว่างนั้นก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาสอดประสานกับเสียงเพลง

“ฮืออ…ฮือๆๆ…”

เสียงสะอื้นร้องไห้ที่บาดลึก และเหน็บหนาวที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน มันเป็นเสียงสะอื้นที่ดังมาจากทาง ใครบางคนในชุดคลุมสีขาว คุณบอยได้แต่กลืนน้ำลายตัวแข็งทื่อ ทำได้เพียงจ้องมองดูเหตุการณ์ชวนประหลาดดังกล่าว และแล้วเสียงเพลงก็ดับลงกระทันหัน พร้อมๆกับเสียงร้องไห้ ดูเหมือนใครบางคนที่ว่าจะรู้ตัวว่ามีคนแอบมองอยู่ เลยค่อนๆหันมาทางคุณบอยช้าๆ…

คุณบอยถลากลับไปหากลุ่มเพื่อนในห้อง กี่งวิ่งกึ่งคลาน ขดตัวแน่นบนที่นอน กระทั่งเสียงเพลงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับเพลงที่พอสไว้ ถูกกดปุ่มเพลย์ขึ้นอีกครั้ง บทเพลงที่ว่าบรรเลงต่อเนื่องจากรอบแรก แต่ต้นเสียงมันใกล้มาก พร้อมๆกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ที่ดังกว่าเดิม คุฯบอยรู้สึกได้ว่ามันอยู่ใกล้แค่เพียงกำแพงกั้น

คุณบอยใจดีสู้เสืออีกครั้ง ความคาใจมันเอาชนะความกลัวชั่วขณะ เลยไปส่องที่ข้างหน้าต่างอีกครั้ง ภาพที่เห็นทำเอาคุณบอยช็อค ล้มทั้งยืน บุคคลนิรนามที่ว่าเป็นสตรี ที่บัดนี้กำลังนอนอยู่ชิดกำแพงใต้หน้าต่าง ด้วยความที่ใกล้มาก มันทำให้คุณบอยเห็นอย่างชัดเจนว่า… เครื่องนุ่งห่มที่เธอสวมใส่ ไม่ใช่เสื้อผ้าหรือผ้าห่มกันหนาว หากแต่มันเป็นผ้าดิบที่ใช้ห่อศพต่างหาก เธอหันหน้ามาช้าๆ ก่อนจะร้องเพลงต่อบทในท่อนของผู้หญิง ในเพลงที่ชวนขนลุกว่า…

“แม้ใครเลวเลือนลืมคำ… ขอจงจมน้ำวังบัวบาน”

นั่นเป็นภาพและเสียงสุดท้ายที่คุณบอยรับรู้ ก่อนจะสลบเหมือดไปนานเท่าใดไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกทีก็ช่วงสายของวันถัดมา คุณบอยเล่าให้เพื่อนๆ ก็หน้าถอดสีกันยกแก๊ง มีเพียงคุณป้าเท่านั้นที่สงบนิ่งราวกับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับแก

คุณป้าสอบถามถึงรูปพรรณสัณฐานของหญิงคงดังกล่าว ก็บอกกับคุณบอยว่า ความจริงตั้งแต่คืนแรกที่มูลนิธินำร่างของเธอไป คนแถวนี้ก็เจอกันทุกคืน! จนบางหลังก็ย้ายหนีกันไปชั่วคราวแล้ว แม้แต่ป้าแกเองก็เจอ วันดีคืนดีก็เห็นนางไปยืนร้องเพลงที่ว่าอยู่บนหลังคาบ้าน หนักกว่านั้นคือมีบางคนเห็นนางห้อยต่องแต่ง เวลาเดินผ่านบ้านนางกลางคืน

เท่าที่คุณป้าเสวนากับคนในละแวกมา พอจะได้ความว่าผัวเธอหายไปอยู่กับเมียเก็บ ทิ้งให้เธอเหงาอยู่คนเดียว ทั้งๆที่เป็นคนที่เธอรัก คนที่เธอมั่นใจและไว้ใจ หลังแต่งได้ไม่นานก็มาเป็นซะแบบนี้ ส่วนเพลงเจ้าปัญหา ได้ยินมาว่าเป็นเพลงที่เธอร้องคู่กับสามีในงานแต่ง ดังนั้นมันจึงเป็นเพลงที่เธอหวงแหน เป็นเพลงแห่งคำมั่นสัญญาในความรักระหว่างเธอและเขา และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม… เพลงดังกล่าว แม้เป็นเพลงรักหวานชื่น แต่ต้นฉบับก็มีความหลอนในตัว ‘เพลงวิมานรักห้วยแก้ว’ เป็นเพลงที่มีเนื้อหาว่า ใช้น้ำตกห้วยแก้วเป็นสักขีพยานในความรักของคู่หนุ่มสาว หากใครผิดคำสัญญา ก็ขอให้จมน้ำตกแห่งนี้ตาย ต่อให้น้ำจะเหือดแห้งเพียงใด แต่ความรักจะมั่นคงตลอดไป บอกเลยว่า… ต้องลองไปหามาฟังกัน

Admin

27/02/2022

ห้องแลปหลอน…มหา’ลัยดังในชลบุรี

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของ ‘คุณแบงค์’ ซึ่งเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง นำประสบการณ์เรื่องราวของตัวเอง มาเล่าผ่านรายการ ‘อังคารคลุมโปง’ ทาง EFM94 เป็นเหตุการณ์สมัยที่เขาอยู่ทำแลปตั้งแต่ดึกดื่นยันฟ้าสาง ในตึกที่มีประวัติเรื่องเล่าจากรุ่นพี่ว่า…ระวังจะ ‘ได้เจอ’ อะไรเข้า

คุณแบงค์เคยเป็นนักศึกษาปี 4 คณะวิทยาศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ในช่วงนั้นคุณแบงค์มีโปรเจคต์จบการศึกษาที่ต้องทำ ข้ามวันข้ามคืนนานนับสัปดาห์ แม้ว่าโปรแกรมชีวิตของนักศึกษาภาควิชานี้จะสาหัสแค่ไหน แต่มันก็คงไม่มากไปกว่า…การที่คุณแบงค์ต้องเข้าไปทำแลปบนตึกนั่น

ในหมู่ตึกหลายตึกของคณะวิทยาศาสตร์ ตึกที่จะกล่าวถึงต่อไป เป็นตึกของคณะที่เก่าแก่ที่สุด อาจจะอยู่มานานพอๆกับมหาวิทยาลัยเลยก็เป็นได้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตึกหลังนี้อยู่มากมาย เป็นเรื่องที่เล่ากันมาปากต่อปาก อย่างไรก็ตามในฐานะคนที่เรียนวิทยาศาสตร์ คุณแบงค์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องกลัวอะไร แม้ก่อนหน้าที่จะเข้าไปใช้ชีวิตข้ามคืนในตึกนั้น จะมีเพื่อน มีรุ่นพี่ทัก ว่า ‘ระวังจะได้เจอล่ะ’ ก็ตาม สำหรับนักศึกษาทั่วไปแล้ว การไม่ได้จบการศึกษาตามเวลาที่ควรจะเป็นต่างหาก ที่หวั่นเกรง

คืนนั้นคุณแบงค์ขึ้นตึกไปที่ชั้นสาม ออกจากลิฟต์มาทางซ้าย จะเป็นทางเดินยาวรูปตัว T ห้องแลปที่คุณแบงค์ต้แงใช้ในค่ำคืนนี้ อยู่ข้างๆกับลิฟต์พอดี เนื่องจากตึกแห่งนี้สร้างมานานมาก ห้องหับจึงไม่ได้ใหม่นัก กระทั่งกระจกก็ยังเป็นบานเกล็ดธรรมดา คุณแบงค์นั่งที่โต๊ะซึ่งห่างจากประตูห้องและบานเกล็ดที่ว่าราว 3 ก้าวเท่านั้น บนโต๊ะมีกล้องจุลทรรศน์กับขวดแก้วบีกเกอร์ที่ใส่สารละลายอยู่

ระหว่างที่คุณแบงค์นั่งส่องตัวอย่างในเพลทกระจกบนกล้องจุลทรรศน์ มีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาทำลายสมาธิอย่างเงียบๆ คุณแบงค์เห็นผ่านหางตาอีกอีกข้าง ว่ามีใครบางคนเดินผ่านประตูห้องไปทางบานเกล็ด แล้วหยุดยืนส่องเข้ามาในห้อง แต่พอคุณแบงค์หันไปดู เงาตะคุ่มนั่นก็ผลุดนั่งหายลับลงไปในผนังใต้บานเกล็ด คุณแบงค์ลุกจากเก้าอี้ออกไปดูด้านนอก ก็ไม่พบใคร ก็ทั่งมีรอบที่ 2 เลยคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนมาแกล้งเล่น เพราะห้องแลปด้านข้าง มีเพื่อนอีกคนทำแลปอยู่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มันมีครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 โดยเฉพาะครั้งที่ 4 คุณแบงค์ไม่ได้กลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยซ้ำ แต่ยืนรอจังหวะเปิดประตูกะว่าจะจับให้ได้คาหนังคาเขา แต่ปรากฏว่าก็ไม่เคยทันที่จะเห็นเจ้าขอเงาตะคุ่มนั่นสักครั้ง มันหายไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย ในค่ำคืนที่เงียบเชียบแบบนี้ คุณแบงค์นึกถึงเรื่องที่เพื่อนๆ หรือแม้แต่รุ่นพี่เคยเตือนก่อนหน้า แล้วก็รู้สึกโมโหอยู่ในใจ

“ไอซั๊สส ถ้าเมิงมีจริง ก็เลื่อนบีกเกอร์บนโต๊ะให้ดูหน่อยดิ๊!”

ไม่ทันให้คุณแบค์ได้รอนาน จู่ๆ บีกเกอร์บนโต๊ะข้างกล้องจุลทรรศน์ก็ขยับ ‘กลุก…กลัก’ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นไปปัดมัน จนสารละลายในนั้นกระฉอกออกมาเลอะเป็นหย่อมๆบนโต๊ะ คุณแบงค์ตรงไปนั่งทำแลปต่อเงียบๆทันที เพราะสัมผัสได้ว่า… มีโทสะเจือปนอยู่ใน ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เค้าเล่าขานกันซะแล้ว ยังดีว่าตอนนั้นก็รุ่งเช้าพอดี เกือบ 6 โมง ฟ้าสางแล้ว

อย่างไรก็ตาม เรื่องในวันนั้นก็ถูกเก็บอยู่ในใจคุณแบงค์เรื่อยมา โดยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ถัดจากวันนั้นมาสองสัปดาห์ คุณแบงค์ต้องไปทำแลปที่ตึกเดิมแต่เช้า หากว่าคราวนี้เป็นชั้นหนึ่ง ห้องนี้เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยที่เลี้ยงสาหร่ายไว้ในตู้กระจก คุณแบงค์เข้าไปเพื่อจะเก็บตัวอย่างมาทำการวิจัย ห้องที่ว่าจะมีลักษณะเฉพาะอยู่ คือเป็นห้องซ้อนห้อง เปิดประตูเข้าไปบานแรก จะเป็นโถงที่มีโต๊ะแลปยาว 2 โต๊ะติดกัน ทางด้านซ้ายของห้องนั้นจะมีประตูเพื่อเข้าไปสู่ห้องเรียนเลคเชอร์

ขณะที่คุณแบงค์แง้มประตู้เพื่อจะเข้าไปในห้องเลคเชอร์ เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ไม่ควรมีในห้อง ตรงโต๊ะสำหรับอาจารย์หน้าห้อง มีผู้หญิงในชุดกราวด์สีขาวตัวยาว นั่งหันข้างให้เขาอยู่ ทั้งๆที่คุณแบงค์พึ่งจะ ‘ไขประตู’ ด้วยกุญแจเข้ามาเป็นคนแรกของวัน ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองไปทางประตูอีกบานที่อยู่สุดห้องนั้น ซึ่งด้านในเป็นห้องเล็กๆที่มีตู้กระจกเลี้ยงสาหร่าย ซึ่งเป็นเป้าหมายของคุณแบงค์

ทันใดนั้นเอง ผู้หญิงที่ว่าก็ผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะซอยเท้าสวบๆที่สวมรองเท้าคัทชูสีดำเป็นมัน ตรงไปที่ประตูห้องด้านใน แต่แทนที่หยุดเปิดประตู เธอกลับพุ่งทะลุหายเข้าไปในประตูนั้น คุณแบงค์ที่ยืนดูอยู่ห่างๆก็อดหวั่นไม่ได้ ถ้าหากว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเค้า ซึ่งเป็นเวรต้องมาจดบันทึกข้อมูลของตัวอย่างทดลองในห้องนี้ ซึ่งมีเพื่อนร่วมชั้นจำเป็นต้องใช้ข้อมูลชุดนี้รออยู่เช่นกัน เขาคงถอยหลังกลับไปแล้ว

คุณแบงค์ทำใจดีสู้เสือ เปิดประตูห้องด้านในเข้าไปโดยไม่คิดจะงับประตู บรรยากาศวังเวงกว่าที่เคย ในห้องเล็กๆที่มีตู้ปลาซึ่งใส่สาหร่ายไว้แทน กำลังร้องดัง ‘ปุดๆๆ’ จากเครื่องเพิ่มออกซิเจน ไฟสลัว และความหนาวเย็นจากแอร์ที่เปิดทิ้งไว้รักษาอุณหภูมิ มันเพิ่มความไม่ชอบมาพากลไปเป็นเท่าตัว

ระหว่างนั้นคุณแบงค์วัดค่าจากตัวอย่างไปพลาง บันทึกลงในเอกสารไปพราง ขณะที่กำลังจะเอามือถือเก็บใส่ในกระเป๋ากางเกง ดันทำร่วงลงพื้น ตอนที่ก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา คุณแบงค์เห็นขาเจ้าของรองเท้าคัตชูสีดำมัน …มายืนชิดอยู่ด้านหลังของเขา ผ่านทางใต้ท้องแขน ราวกับกำลังมาสอดแนมอย่างอยากรู้อยากเห็น พอดูจนพอใจ ขาคู่ที่ว่าก็ก้าวสวบๆออกจากห้องไป คุณแบงค์รีบวิ่งออกจากห้องทั้งหมด ก่อนจะล็อคกุญแจทันที เรื่องนี้คุณแบงค์เล่าให้เพื่อน รุ่นพี่ หรือแม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาฟัง อาจารย์ก็ปลอบอย่างใจดีว่า ‘ไม่มีอะไรหรอก รุ่นพี่ในแลปเค้ามาดู ว่าเธอบันทึกข้อมูลมาถูกรึเปล่า’

หลังจากที่เรื่องของคุณแบงค์รับทราบกันในวงกว้าง ก็มีกันพูดกันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่ศึกษาที่นั่น แล้วเกิดหัวใจวาย แม้จะไม่ได้เสียในตึกนั้นก็ตาม แต่ด้วยความที่รักการทำแลปเป็นชีวิตจิตใจ สมัยยังมีชีวิตก็คลุกคลีในตึกนี้ จนแทบจะนอนในห้องแลปมากกว่าในหอด้วยซ้ำ เลยเกิดเป็นความผูกพันกับที่แห่งนี้ พอมีคนมาถาม ว่าผู้หญิงที่คุณแบงค์เจอ รูปร่างหน้าตา ทรงผม ประมาณนั้นนี้หรือเปล่า? ปรากฏว่าก็ตรงกันกับที่เคยมีคนอื่นๆเห็น จนคุณแบงค์ก็อดคิดย้อนกลับไปไม่ได้ว่า ถ้ามันจะขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครบอกกันก่อนเลย!

เหตุการณ์แปลกๆที่คนอื่นพบเจอก็เช่นว่า ลิฟต์ของตึกหลังนี้จะมีความผิดปกติอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ว่าคุณจะกดไปที่ชั้นในก็ตาม มันมักจะไปหยุดที่ ‘ชั้นสาม’ ก่อน แม้จะไม่มีใครกดก็ตาม หรือบางครั้งลิฟต์ตัวนี้จะขึ้นข้อความ ‘Overloaded’ เพื่อเตือนว่าลิฟต์กำลังบรรทุกเกินน้ำหนัก แม้จะมีอยู่ไม่กี่คนในลิฟต์ก็ตาม แต่เรื่องที่หนักที่สุดคงจะเป็นเรื่องของน้ายาม…

น้ายามคนนี้เฝ้าอยู่ตึกที่ว่า แกจะนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าลิฟต์ชั้นหนึ่ง มีแยู่ช่วงนึงที่คุณแบงค์ไม่เจอแกเลยนานหลายสัปดาห์ กระทั่งบังเอิญเจอกันที่อื่นในมหาวิทยาลัย ด้วยความคุ้นเคยคุณแบงค์เลยเข้าไปทักทาย …ว่าน้าไปไหนมา ช่วงนี้ไม่เห็นเลย น้ายามก็ตอบกลับมาว่าผมลาออกแล้วครับ คุรแบงค์ก็อดประหลาดใจไม่ได้ เลยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ถ้าผมเล่าไปแล้ว จะไปทำให้กลัวรึเปล่า”

เกริ่นกันมาขนาดนี้ คุณแบงค์ไม่ล้อช้าที่จะคะยั้นคะยอให้น้าแกเล่าให้ฟังอยู่แล้ว น้ายามแกเล่าว่า ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเงียบลงมาก แต่แน่นอนว่าแกยังต้องมาเฝ้าตึกทุกวัน วันนั้นเองแกก็มั่นใจว่า ไม่มีใครอยู่ในตึกแน่นอน กระทั้งเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านทางเดินรูปตัว T บนชั้นสาม ผ่านทางจอของกล้องวงจรปิด

“อ้าว มีขโมยขึ้นตึกเหรอครับน้า” คุณแบงค์ไม่ได้เอะใจในทีแรก

“มันจะไม่แปลกหรอกครับ ถ้าผู้หญิงคนนั้น…เดินอยู่บนพื้น”

ประโยคนี้ทำเอาคุณแบงค์เหมือนเดินสะดุดหินก้อนใหญ่…

ผู้หญิงคนที่ว่านั่น ไม่ได้บนพื้น แต่เดินห้อยหัวอยู่บนเพดานไปตามทางเดินของชั้นสาม ศีรษะของเธอผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ด้านบนไปที่ละตัวๆ สิ่งที่น้ายามเห็นในจอกล้องวงจรปิดคือ เธอผ่านกล้องไปตามชั้นต่างๆอย่างรวดเร็ว… จากชั้น 3 มาชั้น 2 และมาชั้น 1… ชั้นที่น้ายามกำลังนั่งอยู่ตามลำพังนั่นเอง น้ายามไม่รอให้ภาพสุดท้ายที่คิดในหัวปรากฎขึ้นบนจอ เพราะรีบวิ่งออกมาอย่างเร็วที่สุด เรื่องเล่าก็มีเพียงเท่านี้…

Admin

21/02/2022

เป็นผีหรือเห็นผี? เหตุเกิดในคืนฝนตก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหนึ่ง เกียร์ 8 ได้รับฟังมาอีกทีหนึ่ง แล้วนำมาถ่ายทอดให้ฟังในหลายรายการ ทั้งเดอะช็อค อังคารคลุมโปง ฯลฯ เกี่ยวกับเหตุการณ์หลอนที่ ‘คุณโจ’ เจ้าของเรื่องตัวจริง พบเจอมาเมื่อราว 7-8 ปีก่อน ครั้งเมื่อเย็นวันหนึ่ง ขณะคุณโจเข้าไปหลบฝนที่ศาลากลางทาง แล้วถูกคน(?)แปลกๆทักขึ้นว่า “ผมเป็นผี” กับตอนจบสุดหักมุม ที่ยากจะคาดเดาชนิดที่ว่าหงายเงิบกันไปเลย

ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 2557 คุณโจเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกทม. คุณโจได้รับข้อเสนอจากทางบริษัทแม่ที่ตนทำงานอยู่ว่า ทางบริษัทสาขาในต่างจังหวัด มีความต้องการพนักงานเพิ่ม เลยมีโครงการให้พนักงานเดิมที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดนั้นๆ ย้ายกลับถิ่นฐานไปทำงานกับสาขาได้ คุณโจเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี หนึ่งคือได้เงินเดือนเพิ่มนิดหน่อย สองคือได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อและแม่ที่ต่างจังหวัด

แต่คนที่ดูจะดีใจกับเรื่องนี้ที่สุด เห็นจะเป็น ‘แป้ง’ ลูกพี่ลูกน้องของคุณโจ เธอเป็นลูกสาวอาคุณโจ สาเหตุก็เพราะในทุกๆวัน แป้งต้องขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านเข้าตัวเมืองไปทำงานหลายสิบกิโลเมตร ในขณะที่ข้างทางก็เต็มไปด้วยป่าหญ้ารกชัฏชวนสะพรึง จนคุณโจยังอดถามไม่ได้ว่า ‘แป้งไม่กลัวบ้างเหรอ?’ แต่ลูกพี่ลูกน้องตอบกลับมาว่า…

“แป้งออกจากบ้าน 7 โมงเช้า กลับ 4 โมงเย็น กลางวันแสกๆ จะมีอะไรให้กลัวล่ะพี่?”

อย่างไรก็ตาม การที่ได้คุณโจกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน เท่ากับว่าในทุกๆวัน แป้งก็จะติดสอยห้อยตาม ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปทำงานพร้อมกับคุณโจได้ เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ 4-5 เดือน กระทั่งเย็นวันหนึ่งที่ฝนเริ่มตั้งเค้า เมฆดำส่งกลิ่นชื้นลอยมาแต่ไกล คุณโจมองออกไปที่หน้าต่างดูกลุ่มเมฆด้วยสายตาเหงาๆ ตอนนี้ใกล้ 5 โมงเย็นเข้ามาทุกที แต่เขาต้องรอจนกว่าเข็มยาวจะเดินไปทับเลข 12 เพื่อจะได้สแกนนิ้วกลับบ้านได้ แบบที่ไม่มีปัญหาภายหลัง

คุณโจเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง แป้งมายืนรออยู่พักนึงแล้วร้องทัก

“ไปเร็วพี่ ฝนจะตกแล้วเนี่ย”

คุณโจก็แซวทีเล่นที่จริง ‘อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวฝนทำไม’ ทำเป็นไม่เคยโดนฝนไปได้ ถ้าตกหนักอย่างมากก็จอดแวะข้างทาง แต่แป้งชูโทรศัพท์ ‘ไอโฟน’ เครื่องโปรดขึ้นมาเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า เธอหวงโทรศัพท์ต่างหากล่ะ คุณโจก็แอบขำอยู่ในใน ก็เด็กสาวสมัยนี้หวงมือถือยิ่งกว่าอะไร คงจะเพราะพึ่งซื้อมาใหม่กระมัง …แต่หากมาลองคิดดูดีๆในภายหลัง จะพบว่าการที่แป้ง ‘ห่วงโทรศัพท์’ มีเหตุผลลึกลับซ่อนอยู่ คุณโจเลยไขเบาะมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเอากระเป๋าสะพายข้างยัดลงไป เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ แล้วออกตัวรถทันที

คุณโจกับแป้งขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ราว 10 กิโลเมตร ก็เจอกับปัญหาที่คาดไว้จริงๆ ฝนตกลงมาหนักขึ้นทุกทีจนไม่สามารถทนฝ่าไปได้ เลยตัดสินใจจอดแวะพักที่ศาลาไม้ริมทาง เนื่องด้วยวันนี้ฟ้าฝนกระหน่ำ ทำให้ 5 โมงเย็นดูมืดไวผิดตา พอรถจอดสนิ แป้งรีบวิ่งดิ่งเข้าศาลาทันที คุณโจตามเข้าไปพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กยื่นให้แป้ง แต่แทนที่เธอจะเช็ดหน้าเช็ดตา กลับเช็ดโทรศัพท์จนแห้งก่อน ระหว่างนั้นฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง แถมมีฟ้าแลบฟ้าร้องคำรามไปทั่วบริเวณ ในจังหวะที่ฟ้าแลบ ‘แว่บบ’ ความสว่างสไวในชั่วอึดใจ ส่องให้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก

“อุ๊ยยยยย”

เสียงแป้งร้องตกใจ ก่อนพยักเผยิดหน้าไปด้านหลัง เป็นนัยว่าเธอพบเจอบางอย่างที่ไม่คาดคิดลึกเข้าไปด้านในศาลา คุณโจหันกลับไปมองก็ตกใจเช่นกัน ภายในความมืดสลัวใต้เงาหลังคาของศาลา มีร่างใครบางคนนั่งตะคุ่มอยู่ที่ม้านั่ง ทั้งๆที่ก่อนจะเข้ามาคุณโจไม่สังเกตเห็น ทันใดนั้นเอง ฟ้าแลบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คุณโจเห็นร่างนั้นอย่างชัดเจน เป็นชายเนื้อตัวมอมแมม หัวยุ่งเป็นรังนก ดูราวกับวนิพกพเนจรหรือคนไร้บ้านยังไงยังงั้น แต่สิ่งที่ทำให้ชายคนนั้นดูแปลกแยกกับสิ่งอื่นรอบข้าง คือเสียงครางในลำคอ ‘อืออออ… อืออออ…”

คุณโจรู้สึกใจหวิวๆ ในใจภาวนาอยากให้เป็น ‘ผี’ มากกว่าคนด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าเป็นผีที่ไม่มีกรรมผูกพันกันก็ต่างคนต่างอยู่ แต่กับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ในที่มืดเปลี่ยวเช่นนี้ ชวนให้ไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง คุณโจอดกลัวไม่ได้เหมือนกัน ว่าถ้าหมอนั่นเกิดลุกตรงเข้ามาหาทั้งคู่ จะทำอย่างไรดี คุณโจเลยพยายามไม่คลาดสายตา คอยเหลือบไปมองอยู่บ่อยๆในระหว่างที่ต้องรอฝนหยุดตกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่แล้วสิ่งที่คุณโจไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงฝนกระทบหลังคาดังราวกับลำโพงแตก มันมีเสียงของชายคนนั้นปนเข้ามาด้วย…

“ผม…เป็นผี ผะ…ผมเป็นผี”

อะไรนะ! หมอนั่นมันว่ายังไงนะ แต่พอได้ยินอยู่สองสามรอบ ‘ผมเป็นผี… ผมเป็นผี’ นายคนนั้นยังคงพูดต่อไปซ้ำๆ ในขณะที่นั่งกอดเข่าคู้ตัวสั่นๆ ขนทั่วทั้งตัวของคุณโจพร้อมใจกันลุกแบบไม่ได้นัดหมาย แป้งก็มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งฝนเริ่มซาลงแป้งเลยสะกิดบอกคุณโจ ‘พี่ๆ ไปเลยกีกว่า’ เลยตัดสินใจขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนไปเลย ตอนที่ออกตัวมาได้ไม่กี่สิบเมตร ฟ้าก็แลบขึ้นอีกครั้ง เผยให้เห็นในกระจกมองข้างว่า… ชายผู้ประกาศตนว่า ‘เป็นผี’ กำลังวิ่งไล่ตามมาทางพวกเขา แน่นอนว่าคุณโจบิดอย่างแรง จนหายลับตาไป

กว่าจะมาถึงบ้านก็ 6 โมงกว่าเข้าไปแล้ว ตอนที่เลี้ยวเข้าซอยหมู่บ้าน หมาทั้งซอยที่คุณโจคุ้นเคย แจกข้าวแจกน้ำกันอยู่บ่อยๆ ก็พร้อมใจกันเห่าหอนมาทางพวกเขา จนแอบคิดหวั่นใจว่า ‘หรือมันจะตามเรามาด้วย?’ พอถึงหน้าบ้านของแป้ง แป้งก็ลงไปไขรั้วเลื่อนหน้าบ้านให้คุณโจนำรถเข้าไปจอด จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายเข้าบ้าน ซึ่งบ้านคุณโจอยู่เลยไปอีก 2 หลัง พอคุณโจมาถึงหน้าบ้านตน หมาที่เลี้ยงไว้ก็ขู่ฟ่อๆทันที หมาที่เคยน่ารัก ทั้งเชื่องและแสนรู้ วันนี้กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนคุณแม่คุณโจจะได้ยินเสียงหมาเห่า เลยเปิดหน้าต่างออกมาต้อนรับคุณโจ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดระคนร้อนใจ

“ไอโจจจ ไปมัดหัวอยู่ไหนมา ทำไมกลับมามืดค่ำเอาป่านนี้!”

“ฝนมันตกจ่ะแม่ จะให้ขับฝ่ามายังไง”

“แล้วทำไมเอ็งไม่รับโทรศัพท์ ทั้งพ่อทั้งอาโทรตามแกเป็นร้อยๆครั้ง เอ็งไม่รู้เหรอ…ว่าอีแป้งน้องเอ็งโดนรถชนตายเมื่อเย็นนี้!!”

“เห้ยยยยยยย! ว่าไงนะแม่ แม่พูดอะไรเนี่ย”

คุณโจก็ยืนยันเสียงแข็ง ว่าตนขี่รถมากับแป้งจริงๆ ระหว่างทางเจออะไรมาบ้าง กระทั่งจอดส่งน้องที่บ้าน แม่คุณโจก็บอกให้ดูโทรศัพท์ซิ คุณโจหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค มีพายุ missing call กระหน่ำเข้ามาจนนับไม่ถ้วนจริงๆ เหงื่อเริ่มออกตามง่ามนิ้วมือของคุณโจ จนมันลื่นซะจนแทบกำโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่ คุณโจเดินย้อนกลับไปที่บ้านแป้งก็แทบหยุดหายใจ สิ่งที่พบมันทำให้ความหวังเล็กๆในใจเลือนหายไปในทันที

‘รถมอเตอร์ไซค์ที่คุณโจพึ่งเอาเข้าไปจอดในบ้าน โดยที่แป้งเปิดประตูรั้วให้… บัดนี้มันยังถูกจอดไว้หน้าบ้านนอกรั้ว ในสภาพที่ยังมีกุญแจเสียบคาอยู่ ประตูรั้วเลื่อนก็ปิดสนิทพร้อมกับแม่กุญแจคล้องอยู่’

ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ไม่เคยเกิดขึ้น…

คุณโจรีบควบมอเตอร์ไซค์แล้วบิดกลับเข้าตัวจังหวัดอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน แต่ตรงไปที่โรงพยาบาล ซึ่งร่างของแป้งนอนสงบนิ่งอยู่ที่นั่น เมื่อไปถึงที่นั่นก็พบว่าทั้งพ่อ อา และเพื่อนร่วมงานแป้งอยู่ที่นั่นกันเต็ม พ่อคุณโจเห็นว่ามาช้าเลยสวดเข้าให้ชุดใหญ่ คุณโจเลยเล่าเรื่องที่พบให้ฟัง กลายเป็นว่านาทีนั้นไม่มีใครอยากตำหนิคุณโจแล้ว หลังสอบถามกับเพื่อนของแป้ง ได้ความว่าตอนที่เลิกงานเมื่อ 4 โมงเย็น ขณะเดินข้ามถนน จู่ๆก็มีรถพุ่งมาชนเธอ สภาพร่างเธอดูไม่ดีเอาซะเลย แต่น่าแปลกว่าโทรศัพท์ไอโฟนเครื่องเก่งของเธอนั้นไร้รอยขีดข่วน

เนื่องจากคืนนั้นมืดค่ำแล้ว ทางโรงพยาบาลจึงยังไม่อนุญาตให้นำร่างของแป้งกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาได้ทันที คุณโจและพ่อกับอา เลยค้างคืนกันที่โรงแรมในตัวเมือง กระทั่งรุ่งเช้าถึงได้ทำเรื่องดำเนินการนำร่างเธอกลับไป อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อของคนแถบนั้น หากเป็นวิญญาณตายโหงจะไม่นำเข้าบ้าน ร่างของเธอจึงถูกส่งไปที่วัดทันที ส่วนคุณโจขณะกำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับ ก็นึกย้อนถึงเหตุการเมื่อเย็นก่อน สิ่งที่ยังติดในใจคือ…ชายวนิพกที่ศาลาแห่งนั้น คุณโจเลยตรงไปที่นั่น

ชายวนิพกยังคงนั่งอยู่ในศาลาเหมือนคืนวาน หากแต่ครั้งนี้พบกันในสถานการณ์ที่อากาศสดใสยามเช้า อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นมีอาการตั่วสั่นไปด้วยความหวาดกลัวทันทีที่เห็นคุณโจ ‘อือออ… อืออออ…’ ชายคนนั้นคราง คุณโจเดินเข้าไปหาใกล้ๆ จนได้ยินเสียงชายคนนั้นพึมพำอย่างชัดเจน

“ผม…เ ็ น ผี ผะ ผ ม … เ ห็ น ผี”

เนื่องจากจอกันครั้งก่อน เสียงฝนกระหน่ำบวกกับจิตปรุงแต่งของคุณโจ ทำให้คุณโจฟังผิดไปว่าเป็น ‘ผม…เป็นผี’ แต่ประโยคแท้จริงที่ชายคนนั้นสื่อสารคือ ‘ผม…เห็นผี’ !!

เขาหวาดกลัว เพราะเขาเห็น…แป้ง!

คุณโจถึงกับเข่าทรุดนั่งลงกับพื้นศาลาข้างชายที่พึมพำไม่หยุดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจากไปโดยทิ้งแบ็งค์ 100 สองใบไว้ให้ชายคนนั้น ไม่ว่าเขาจะต้องการมันหรือไม่

ในช่วงสวดอภิธรรมงานแป้ง คุณโจฝันเห็นเธอ เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรถึงเขา คุณโจคิดไปว่า…แป้งอาจอยากได้ของใช้ส่วนตัวที่เธอหวงแหนอย่าง ‘ไอโฟน’ คุณโจเลยเป็นคนจัดการ นำไปใส่ไว้ในโลงให้ คืนถัดมาคุณโจยังคงฝันเห็นแป้งอีก แต่รอบนี้ดูชัดเจยกว่าครั้งก่อน …

Admin

05/02/2022

นะโม๊ะ~ตัสส๊ะ? เจอผีญี่ปุ่นสวดมนต์ล้อเลียน

เรื่องนี้มีผู้ฟังรายการ “อังคารคลุมโปง” โทรเข้ามาบอกเล่าประสบการณ์สยองต่างแดน สมัยที่เธอไปพักในโรงแรมค่ายทหารอเมริกันในญี่ปุ่น แล้วเจอผีผู้หญิงสองคน จนตกใจโพล่งบทสวดออกมา แต่แทนที่ผีจะกลัว กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

คุณแพทเล่าไว้ว่า… ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เนื่องจากสามีคุณแพทเป็นทหารอาชีพของกองทัพอเมริกัน ทำให้มีประสบการณ์ต้องเดินทางติดสอยห้อยตามสามี ไปทำงานหรือประจำการในต่างประเทศอยู่บ่อยๆ

แต่ประเทศหนึ่งที่เธอไม่เคยลืมเลย คือที่ฐานทัพทหารอเมริกันในญี่ปุ่น ตอนนั้นเธอกับสามีได้ที่พักเป็นโรงแรมในเขตฐานทัพ ตัวโรงแรมแม้จะดูมีอายุอานามมากโขอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมถึงขนาดไม่น่ามอง อย่างไรก็ตามห้องพักของที่นี่ก็ไม่ได้อยู่อาศัยสบายนัก เนื่องด้วยขนาดห้องที่แคบมากๆ ตามสไตล์ห้องพักในญี่ปุ่น ซึ่งพื้นที่มีราคาแพง

ถึงอย่างนั้น…คุณแพทก็อดกังวัลไม่ได้ ด้วยบรรยากาศที่ดูวังเวงพิกล เธอเล่าว่าเลย์เอาท์ของห้องค่อนข้างแปลก เปิดแระตูเข้าไปจะพบโถงเล็กที่มีโทรทัศน์ และโต๊ะทำงานพร้อมโคมไฟตั้งอยู่ ถัดเข้าไปจะเป็นทางเดินยาวแคบๆไปสู่ห้องนอนด้านใน แต่ระหว่างทางไปสู่ห้องนอนจะต้องผ่านอีก 2 ห้อง ทางด้านซ้ายเป็นห้องอาบน้ำ ส่วนด้านขวาเป็นห้องส้วม ซึ่งดูไปดูมาก็ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ‘นี่มันทางสามแพร่งในห้องชัดๆ ไม่ใช่เหรอ?’

คืนนั้นคุณแพทก็เล่าว่าจู่ๆตนกลัวรู้สึกเพลียอย่างหนัก ราวกับมีใครเอามือมาดึงหนังตาเธอให้ปิดลง อาจจะด้วยการเดินทางระยะไกลมาก็เป็นได้ ในขณะที่สามีเธอนั่งทำงานอยู่ในส่วนโถงหน้าห้อง จนกระทั่งกลางดึก คุณแพทก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกระซิบกระซาบ ทั้งๆที่ในห้องมีเพียงเธอกับสามี เธอฟังอยู่ครู่หนึ่งก็พอจับใจความได้ว่า มันเป็นเสียงการสนธนาที่มีอารมณ์แฝงอยู่ของผู้หญิงสองคน แต่คุณแพทไม่เข้าใจความหมาย เพราะพวกเธอเหล่านั้นใช้ภาษาญี่ปุ่น

ถึงตรงนี้คุณแพทเหงื่อแตกพลั่ก ทั้งๆที่อากาศเย็น เธอรู้สึกตัว…นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ทันทีที่เธอพยายามจะลุกขึ้นมานั่ง ปรากฎว่าทำไม่ได้! ราวกับมีมวลสารหนักอึ้งที่มองไม่เห็นในห้อง ฉุดรั้งเธอเอาไว้กับเตียง เธอทำได้เพียงขยับแขนขา แหวกว่ายเบาๆในอากาศ ต่อให้ดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ซ้ำร้ายกว่านั้น เปลือกตาของเธอยังลืมขึ้นได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่เธอก็พยายามสอดส่องไปในความมืดสลัว เพื่อมองหาต้นกำเนิดเสียง

มันมาจากทางปลายเตียงของเธอ ไม่ห่างจากเธอมากนัก มีผู้หญิงผมยาวคลุมหน้าคลุมตาจนไม่เห็นใบหน้า 2 คนกำลังนั่งถกเถียงกันอยู่ที่ปลายเตียงคุณแพท ขณะที่ด้านหลังถ้ดออกไปมีชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ ในชุดทหารอเมริกันยืนเป็นฉากหลังมองการปะทะคารมกันของสองสาวตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย แม้ไม่เข้าใจว่าพวกเธอและเขามีเรื่องอะไรกัน แต่คุณแพทก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นตรงหน้า ชวนคิดได้ว่าเป็นเรื่องราวรักสามเศร้า ของสองหญิงกับหนึ่งชายไม่ใช่หรือ

ในระหว่างที่คุณแพทจ้องมองภาพข้างหน้าราวกับจะค้นหาคำตอบ ชายในชุดทหารก็มีปฏิกิริยาบางอย่าง ดูเหมือนเขาเริ่มจะตระหนักได้ว่า…มีคนรับรู้ตัวตนของพวกเขาได้ เลยพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษกับคุณแพทว่า

“อย่าเข้ามายุ่งกับพวกเรา”

สิ้นสุดคำพูดนั้น หญิงในชุดกิโมโนสีขาวล้วนทั้งสอง ก็ค่อยๆหันหน้ามาทางคุณแพท พวกเธอโน้มตัวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คุณพระ! ส่วนที่ควรจะเป็นที่ตั้งของดวงตา คิ้ว จมูก บนใบหน้าของพวกเธอ มันกลับขาวโล้นเลี่ยนว่างเปล่า ผีไร้หน้าสองตนแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย คุณแพทตกใจอย่างหนัก ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ ที่มีอะไรก็ต้องคว้ามาเอาตัวรอดไว้ก่อน บทสวดเดียวที่หลุดออกมาจากปากเธอแบบอัตโนมัติคือ… นะโมตัสสะ ภัคคะวะโต

“นะโม๊ะ~ ตัสซ๊ะ??”

“ผักคะวาโต๊ะ…!!”

แทนที่จะช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าสองผีสาว กำลังทวนคำท่องบทสวดมนต์ของคุณแพทอย่าง ‘หน้าตาเฉย’ แต่มาในสำเนียงญี่ปุ่น ในน้ำเสียงบ่งบอกถึงความขบขัน คล้ายกับกำลังล้อเลียนคุณแพทอย่างสนุกสนาน พวกเธอยกแขนที่มีชุดกิโมโนขาวคลุมไว้เกือบถึงข้อมือมาป้องปากสีแดงฉาน พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก มันเป็นบรรยากาศสุดเลวร้ายสำหรับคุณแพท

เธอพยายามจะเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากสามี แต่เสียงตะโกนด้วยแรงทั้งหมดกับหายลงไปในคอ ไม่มีสักเดซิเบลเล็ดลอดออกมาเลย คุณแพททนดูภาพน่าจนลุกอยู่สักพักจนเริ่มตั้งสติได้ ก็เริ่มตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้ปกปักคุ้มครองเธอ ต่อมาเธอก็ปล่อยให้ร่างนำใจ กายนำจิต เธอเริ่มแช่งผีทั้งสามตนด้วยอารมณ์โมโหสารพัดสารเพ ออกมาแบบไม่รู้ตัว

“ถ้าพวกแกไม่เลิกหลอกเลิกหลอน ขอให้พวกแกจมปลักอยู่ในก้นบึ้งของวังวนความรัก จนไม่ต้องไปผุดไปเกิด ตราบชั่วฟ้าดินสลาย!!”

สิ้นคำนั้นเสียงหัวเราะก็หยุดลงแทบจะในทันที ผีทั้งสามจางหายไปราวกับหมอกควัน ไม่มีร่องรอยอะไรเหลืออยู่ ในขณะที่คุณแพทก็ผลุบลุกขึ้นมานั่งแบบแทบไม่ต้องใช้เรี่ยวแรง เธอเล่าให้สามีฟัง ว่าทำไมไม่ช่วยเธอ ฉันอุตส่าห์เรียกตั้งนาน แต่คนผู้เป็นสามีตอบว่า…เห็นเพียงเธอกำลังทำท่าราวกับรำไทเก๊ก เลยเข้าใจว่าคงนอนละเมอ

ภายหลังคุณแพทก็ไปสอบถามกับผู้ดูแล รีเซปชั่นของที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ความอะไร เนื่องจากที่นี่เป็นที่พักทหาร มีพนักงานหมุนเวียนไปมาตลอด ไม่มีใครที่เคยอยู่มาตั้งแต่สมัยเมื่อก่อน เลยไม่ทราบประวัติความเป็นมา อย่างไรก็ตาม ภาพในคืนนี้นติดตาเธอมาก คุณแพทจำได้แม่นว่าชุดกิโมโนสีขาวโพลนของผีสาว มีลักษณะการใส่แบบ ‘ขวาทับซ้าย’ เมื่อเธอไปค้นข้อมํลเพิ่มเติมก็ได้ทราบว่า ปกติคนเป็นจะสวมกิโมโนในแบบที่ให้ชายเสื้อด้านซ้ายทับด้านขวา ส่วนแบบด้านขวาทับซ้ายนั้น…เค้าเอาไว้ใส่ให้ ‘ศพ’ ในพิธีกรรม เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้

สุดท้ายก็มีผู้ใช้ยูทูบท่านอื่นมาแสดงความคิดเห็นไว้ว่า “นะโมตัสสะ เป็นบทสวดที่เราระลึกคุณพระรัตนไตย ไม่มีทางที่ผีจะหลัวหรอก จะสวดมนต์ตรงเข้าใจความหมายและจุดประสงค์ ขอแนะนำเป็น ‘บทสวดพาหุงมหากาฬ’ ที่มีเนื้อหาว่าด้วยเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าปราบเหล่าภูติผีและมารร้าย ซึ่งมีผลทางพุทธคุณมาก แม้ว่าบทสวดจะยาว แต่หากท่องได้ก็เหมือนมีไม้กายสิทธ์เอาไว้ใช้ปราบผี นั่นเอง…

Admin

28/01/2022

“คนหลอกผี” ถูกผีตามติด…เลยหลอกมันขึ้นรถทัวร์ไปลงเชียงใหม่

เรื่องเล่าคราวนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณนัท คุณนัทเล่าว่าชีวิตในวัยเด็กของเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เกิด แม้ตัวเธอจะคลอดก่อนกำหนดราวหนึ่งเดือนเลยต้องอยู่ในตู้อบ แต่หลังจากนั้นเธอก็เป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างแข็งแรง จนกระทั่งวันหนึ่งตอนอายุ 4 ขวบกว่าๆ

คุณนัทบอกว่า ตอนนั้นไปเที่ยวต่างจังหวัดกันทั้งครอบครัว แต่กว่าจะถึงก็ค่ำเข้าไปแล้ว เลยทำได้เพียงเดินเล่นในย่านตลาดค้าขายแถวนั้น ระหว่างที่สามคนพ่อแม่ลูก กำลังผิดหวังที่มาถึงตอนตลาดก็เริ่มวายแล้ว ก็เดินไปสะดุดตาเข้ากับศาลเจ้าจีนเล็กๆ ที่มีแสงสีแดงฉูดฉาด ตรงสุดซอย เลยตัดสินใจว่าไปขอพรไหว้พระกันก็แล้วกัน

ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติ จนกระทั่งตอนจะเดินออกจากศาลเจ้า คุณแม่คุณนัทก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เพราะจู่ๆลูกสาวตัวเองก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง ท่ามกลางความเงียบ

“แม่ๆ ป้าเค้าเอาไก่มาให้หนูด้วย ดูสิ…ไก่ตาแดงด้วย”

คุณแม่คุณนัทมองตามสายตาลูกสาวไปที่มือ สิ่งที่เธออุ้มอยู่…ไม่ใช่ไก่เป็นๆ หากแต่เป็นตุ๊กตา/รูปปั้นไก่สีทอง คล้ายกับวัตถุมงคลตามศาลเจ้านั่นเอง เว้นซะแต่ว่า…ดวงตาของมัน ดูปูดโปนซ้ำยังแดงก่ำแวบวับจนเห็นชัดในความมืด ชวนให้ขนลุก

“ลูกเอามาจากตรงไหน เอาไปวางคืนที่เดิมๆ อย่าเอาของเค้ามา”

คุณนัทในวัยสามขวบก็ทำตามอย่างว่าง่าย เอากลับไปวางที่เดิมโดยไม่ได้โต้แย้งใดๆ แล้วก็กลับที่พักกัน นี่คือเรื่องราวที่คุณนัทเองก็ลืมไปแล้ว แต่ได้ฟังมาจากคุณแม่

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ตาม หลังจากค่ำคืนนั้นคุณนัทก็มีพฤติกรรมที่แปลกไป คือชอบนอนละเมอตอนกลางคืน ไม่ใช่อาการละเมอธรรมดาๆ อย่างการพูดอะไรงึมงำคนเดียวบนเตียง แต่หนักถึงขั้นเคยลุกเดินไปมากลางบ้านอยู่หลายครั้ง ครั้งที่หนักสุดคือละเมอเดินไปเข้าห้องน้ำชั้นล่างทั้งที่หลับตา นั่งส้วมในชุดนอน แล้วจู่ๆตัวก็ล้มฟุบลงหัวแทบจุ่มลงส้วม ยังดีว่าเสียงดังพอที่พ่อแม่ของเธอจะได้ยิน แล้วลงมาดู เลยกลายเป็นความกังวลใจในความปลอดภัยขึ้นมา

ครอบครัวเลยพาไปพบแพทย์ แต่ก็ได้ความว่าอาจจะเกิดจากตัวคุณนัทนอนไม่พอ นอนน้อย จนทำให้มีพฤติกรรมนอนละเมอ คุณแม่คุณนัทก็งง ลูกอยู่ในวัยเรียนเข้านอนแต่หัวค่ำเสมอ คืนนึงคุณแม่คุณนัทเลยแอบสอดส่องดูพฤติกรรม หลังจากส่งคุณนัทเข้านอนไปแล้ว ช่วงเกือบๆเที่ยงคืนก็ได้ยินเสียงพูดดังออกมาจากห้องนอนลูกสาว ทีแรกแม่คุณนัทก็เข้าใจว่า เป็นส่วนนึงของอาการละเมอ แต่พอตั้งใจฟังดู…ในเนื้อความเหมือนคุยกับใครบางคนมากกว่า…

“คุณป้า…มาหา…นัททุกวัน…แบบนี้ ไม่เบื่อเหรอ”

“หนู หนูยัง…ไม่อยากไป…ค่ะ คุณป้า หนูยัง…ต้องเรียนหนังสือ ต้องไปโรงเรียน”

คุณแม่เริ่มตกใจเลยเปิดเข้าห้องไป พบว่าคุณนัทลุกมานั่งบนเตียงในสภาพหลับตาสนิท แต่เหงื่อท่วมไปทั้งตัวราวคนพึ่งตื่นจากฝันร้าย อย่างไรก็ตาม…คุณนัทจำเรื่องราวตอนที่เธอละเมอพูดไม่ได้เลย

หลังจากหาหมออยู่พักหนึ่ง อาการไม่ดีขึ้นนัก แถมคุณนัทเองเริ่มมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ กลายเป็นคนป่วยง่ายไปเลย สุดท้ายคุณแม่เลยพาคุณนัทไปหาพระที่วัดดังแห่งหนึ่ง

พอลงจากรถยังไม่ทันเดินไปไหนไกล ก็ถูกพระหนุ่มที่กวาดลานวัดอยู่แถวนั้นทักขึ้นมาพอดี “ไปสัญญาอะไรเอาไว้ล่ะหนู เค้าถึงได้ตามติดเป็นเงาเลย”

คุณแม่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็กลืนคำนั้นลงคอ เพราะท่านชี้มือไปอีกทาง “หลวงพ่อท่านรออยู่ รีบไปพบเถอะโยม”

หลังจากได้พบหลวงพ่อ ท่านก็พูดคล้ายกับที่หลวงพี่พระหนุ่มทักไป คือมีวิญญาณตามติดคุณนัทเนื่องจากเคยไปรับคำสัญญาอะไรเอาไว้ คุณแม่คุณนัทก็งง ว่าลูกของตนไม่เคยเข้าร่วมพิธีกรรมอะไร ถามไปถามมาก็เลยรู้รูปพรรณของวิญญาณที่ตามติด ว่าเป็นอาม่าอายุราว 70 สวมชุดคล้ายกี่เข้าดูจีนๆสีขาวเลื่อมทอง ทีนี้คุณแม่คุณนัทก็นึกขึ้นได้ทันที… ราวครึ่งปีที่ผ่านมา เคยไปเที่ยวศาลเจ้าจีน แล้วลูกพูดจาแปลกๆ ก็เล่าเหตุการณ์วันนั้นให้พระท่านฟัง

พระท่านก็ว่า…แม้คุณนัทไม่ได้รับของ (ไก่ตาแดง) มาแต่ตอนเอาไปวางที่เดิม ก็ไม่ได้มีคำพูดถอน หรือคำขอคืนแต่อย่างใด ทางนั้นเค้าก็ทึกทักเอาแล้วว่ารับของจากเค้าไป เค้าชอบใจคุณนัท เค้าอยากเอาไปอยู่เป็นลูกเป็นหลาน คุณแม่คุณนัทได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็หน้าซีด ถามพระว่ามีทางไหนจะแก้ไขเรื่องนี้บ้าง

พระท่านก็ว่า…ตอนนี้เค้ารู้จักรูปร่าง หน้าตา ชื่อเสียงเรียงนามคุณนัทแล้ว และเค้าชอบคุณนัทมาก คงไม่ยอมเทง่ายๆ สิ่งที่พระท่านแนะนำ แม้แต่คุณแม่ก็ยังตะลึง ท่านว่าให้ทำการ “หลอกผี” ซะ ตัวคุณแม่เองเกิดมากว่า 40 ปี เคยได้ยินแต่คำว่าถูกผีหลอก แต่นี่พระกลับแนะนำให้หลอกผี หลังจากนั้นก็แนะนำวิธีเตรียมตัวต่างๆให้

เย็นวันเสาร์ ปฏิบัติการลับสุดยอดก็เริ่มต้นขึ้น คุณพ่อคุณนัทพาเธอไป “หมอชิต” พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางแปะชื่อคุณนัท ที่ใส่เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ของคุณนัทไปด้วย เมื่อถึงเวลาใกล้รถออก คุณพ่อจุดธูปขึ้นมาดอกนึง แล้วกล่าวว่า…

“อยากได้ลูกกรุนักใช่มั้ย ถ้าอยากได้ก็จะให้…แต่ตามไปเอาเองนะ!”

ใช่แล้ว! พระท่านแนะนำให้หลอกผี ด้วยการหลอกพามันไปให้ไกลที่สุด คุณพ่อคุณนัทก็จัดตั๋วรถทัวร์ “กรุงเทพ – เชียงใหม่” ให้เลย ไกลสะใจ จากนั้นก็ขึ้นไปบนรถพร้อมทั้งสัมภาระข้าวของ แล้วบอกคนขับจอดตรงหน้าทางออกจากหมอชิต ก่อนจะพาคุณนัทลง โดยที่ทิ้งข้าวของไว้บนรถให้ผีมันตายใจ Go to Chiangmai กันไปเลย

หลังจากนั้น คุณนัทก็ไม่ได้ใช้ชื่อเดิมอีกต่อไป เปลี่ยนทั้งชื่อจริง และชื่อเล่น นามสกุลก็ใช้นามสกุลแม่แทน และแน่นอนว่า “นัท” ก็ไม่ใช่ชื่อเล่นดั้งเดิมของเธอ

อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ อาการคุณนัทก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรักษา หรือแผนจารกรรมปล้นลูกคืนจากผีอาม่าในครั้งนั้นกันแน่ จนถึงปัจจุบันคุณนัทกับครอบครัวก็ไม่แวะเวียนไปจังหวัดดังกล่าวตอนต้นเรื่องอีกเลย กลัวว่าเดี๋ยววันนึง บังเอิญไปเจอกับอาม่าอีก แล้วจะมองหน้ากันไม่ติด นี่คือเรื่องราวทั้งหมด…

Admin

18/01/2022
1 63 64 65 66