ผีรู้เลข…เพราะในโลกวิญญาณเวลามันเร็ว

ค่ำคืนวันที่ 31 ย่างเข้าวันที่ 1 สุชาติฝันประหลาด… ในฝันสุชาติพบชายชราที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยตีนกา สุชาติรู้สึกคับคล้ายคับคลา แต่นึกไม่ออก

“ไอหนุ่มๆ เอ็งง…จำข้าไม่ได้หรือวะ”

สุชาติจำเสียงแกได้ เสียงแบบนี้…เดี๋ยวก่อนนะ อ้อใช่ แกคือลุงด้วงยังไงล่ะ แต่แทนที่สุชาติจะยินดีปรีดากับข้อเท็จจริงที่ตนพึ่งค้นพบ มันกับทำให้เสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว รูขุมขนทุกรูบนตัวเซ้นซิทีฟต่ออากาศขึ้นมาซะอย่างนั้น …ถ้าจำไม่ผิด ลุงด้วงพึ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน

ในฝันแต่ความคมชัดระดับ HD ลุงด้วงยิงฟันซี่เหลืองอ๋อยอย่างอ่อนโยนเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ ‘จำข้าได้สักทีสินะ เอ็งน่ะ’ สุชาติพยักหน้ารับคำ แต่สีหน้าบอกบุญไม่รับ ‘ข้ามีเรื่องให้เอ็งช่วย’ นั่นคือสิ่งที่สุชาติจับใจความสำคัญมาได้ หลังลุงด้วงท้าวความหลังสมัยที่รู้จักกันตอนยังไม่ตายอยู่พักใหญ่

“ข้าหิววววว ข้าหิวข้าวเหลือเกินนนน”

“ละ…แล้วทำไมลุงไม่ไปกินข้าว ลุงเป็นผี จะไปที่ไหนก็ได้ ไปตลาด ไปร้านข้าวแกงก็ได้ จะมาหาผมทามมายย~”

“ทำได้ที่ไหนล่ะ เจ้าโง่… ฟังให้ดีนะ อีกไม่กี่วัน ข้ากำลังจะไปสู่ภพภูมิอื่นแล้ว”

“ก็ดีแล้วนี่ลุง ได้ไปสู่สุขคติเถอะสักที รีบไปเถอะ”

“ข้ายังมีบางอย่างค้างคา ข้า…อยากกินข้าวหมูแดงร้านยายทองเป็นครั้งสุดท้ายย”

สุชาติใจชื้นขึ้นมาทันที โถ่เอ๋ย ที่แท้มาขอข้าวหมูแดงหรอกเหรอ นึกว่าจะมาหลอกมาหลอน ขอให้ทำเรื่องลำบากลำบน สุชาติเริ่มพูดอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ต่อรองกับลุงแกอย่างทีเล่นทีจริง

“มาขอกันง่ายๆ ฟรีๆอย่างนี้เหรอลุงงง แล้วทำไมต้องเป็นผม?”

“เอ็งเป็นคนจิตใจดี มีเมตตา ข้ารู้จักเองมานาน ข้าดูออกกก”

สุชาติไม่แน่ใจนักว่าควรยินดีกับคำชมยกยอของลุงด้วงมั้ย ‘หนอย จะหาว่ากูหัวอ่อนว่าง่ายงั้นเถอะ สงสัยจบงานนี้ ต้องไปบูชาหลวงพ่อดังๆมาอยู่ด้วยสักองค์ ไม่งั้นคงมีผีมาขอส่วนบุญทุกคืน’ สุชาติแอบคิดอยู่ในใจ

“ข้าไม่ได้มาใครกินฟรีๆโว้ยย” ลุงด้วงพูดอย่างรู้ใจ

“เอ็งรู้ใช่ไหม พรุ่งนี้วันอะไร?” ลุงด้วงถามหยั่งเชิง

“วันอังคารไงลุง เช้าผมมีธุระต้องไปทำ มีอะไรก็ว่าๆมาเถอะ”

“วันหวยออกโว้ยยย ไอนี่ เอ็งคงเคยได้ยินเรื่อง ‘หวยผีบอก’ ใช่มั้ย?” สุชาติถึงกับหูผึ่ง เมื่อได้ยินคำว่าหวย

“ข้าจะบอกเลขให้ล่ะกัน แต่เอ็งจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็เรื่องของเอ็งนะ”

“เชื่อสิครับผมเชื่อ ได้โปรดบอกมาเถอะครับ” เขากล่าวออกมาเหมือนอีกฝ่ายเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักท่านหนึ่ง

“ได้สิวะ” ชายแก่ยิ้มออกมา “แต่มันก็มีข้อแม้เล็กน้อยนะ เอ็งจะเที่ยวไปซื้อสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”

“หวยที่จะถูกรางวัล ต้องไปซื้อกับแม่ค้าหวยคนที่ถีบจักรยานผ่านบ้านเอ็งทุกวันเท่านั้น”

“โอ๊ย ไม่มีปัญหา เดี๋ยวซักเจ็ดโมงก็คงผ่านมาหน้าบ้านผม”

“ไม่ได้ ๆ” ลุงด้วงส่ายหน้า “เอ็งซื้อที่หน้าบ้านไม่ได้ ต้องไปดักรอซื้อที่บ้านปากซอย”

“ทำไมต้องหน้าปากซอยล่ะลุง”

“เอ็งไม่ต้องรู้เยอะหรอก หน้าปากซอยก็หน้าปากซอยสิ”

“ครับ ๆ” สุชาติพยักหน้า “แล้วเลขที่ผมจะต้องซื้อล่ะ”

ลุงด้วงกระซิบที่ข้างหู “384”

ให้สามตัวเลยหรอวะ สุชาติใจเต้นตุบตับ 384…384…เขาจำมันได้ขึ้นใจ

“แล้วถ้าถูกขึ้นมาก็อย่าลืมสัญญาเสียล่ะ”

“สัญญาอะไรหรอ” สุชาติตื่นเต้นจนนึกไม่ออก

“เอ้า! ไอ้เวรตะไล ก็ข้าวหมูแดงไง ต้องเป็นร้านยายทองนะ ร้านอื่นข้ากินไม่ลง”

“ได้เลยลุง ถ้าถูกผมจัดให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย”

ชายแก่ยิ้ม “ดีมากถ้างั้นข้าไปล่ะนะ”

สุชาติสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขามองไปรอบ ๆ พบว่าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น หันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียง บอกเวลา 04:36 น ความฝันเมื่อซักครู่ทำให้เขาไม่นึกอยากจะนอนต่อ ลุกขึ้นนั่งทบทวนถึงสิ่งต่าง ๆ

“384… 384… ต้องซื้อกับแม่ค้าหวยที่หน้าปากซอยเท่านั้น”

สุชาติรีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เขามีภารกิจสำคัญ

สุชาติควบมอเตอร์ไซค์มาซุ่มอยู่หน้าปากซอยตั่งแต่06:46 นเข้าไหว้วานไอ้ป๋องเด็กที่ชอบมาวิ่งเล่นแถวปากซอยให้คอยสอดส่องมองดูแม่ค้าล็อตตารี่ถ้าเห็นว่าถีบจักรยานมาทางนี้ให้รีบโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่อง

    ระหว่างรอสุชาติก็นึกทบทวนเรื่องราวต่างๆเคยมีญาติห่างๆของเขาคนหนึ่งประสบกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้มีหญิงแก่ชุดขาวมาเข้าฝันบอกให้ไปซื้อหวยที่หน้าวัดปรากฏว่างวดนั้นแกได้ค่าขนมลูกไปสองหมื่นหรือยายเบิ่งบ้านข้าง 

ๆก็เคยเล่าว่าผีมาเข้าฝันบอกเลขแกไปสองตัวงวดนั้นทำเอาเจ้ามือแถวบ้านถึงกับล้มละลาย

    ทำไมผีจึงรู้ได้ว่าล๊อตตารี่จะออกเลขอะไรสุชาตินึกสงสัยคนที่ตายไปแล้วสามารถรู้อนาคตได้หรอครั้งหนึ่งเคยมีคนเล่าให้สุชาติฟังว่าเวลาในโลกของวิญญาณจะเร็วกว่าเวลาในโลกมนุษย์หนึ่งวันทำให้เหล่าวิญญาณสามารถรู้ตัวเลขได้ก่อนมนุษย์ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆพวกเขาก็น่าจะรู้ผลบอลผลมวยผลเลือกตั้งด้วย

    แต่ถ้ามาคิดถึงหลักความเป็นจริงทำไมเหล่าญาติพี่น้องของสุชาติที่ตายไปไม่มาเข้าฝันบอกเลขบ้างปล่อยให้ตนต้องอยู่อย่างอดมื้อกินมื้อไปวันๆสรุปมันเป็นยังไงกันแน่วะเรื่องนี้

    ตื๊ด…ตื๊ด….ตื๊ด…เสียงโทรศัพท์สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงสุชาติล้วงมันขึ้นมาดูเป็นเบอร์ของไอ้ป๋องเขากดตัดสายทิ้งเป้าหมายกำลังใกล้เข้ามา

    แม่ค้าหวยเลี้ยวจักรยานเข้ามาในซอยจู่ๆก็มีชายคนหนึ่งวิ่งออกมาตัดหน้าพร้อมร้องตะโกน“เดี๋ยว! ซื้อหวยหน่อย” เธอเบรกเอี๊ยดขาตั้งปักลงพื้น

    “จะเอาเลขอะไรดีล่ะจ๊ะ” แม่ค้ากล่าวขณะเปิดแผงล็อตตารี่ให้อีกฝ่ายชม

    “อ่า…” สุชาติกวาดสายตามองดูสลากบนแผง384 อยู่ไหนหนอ384…นั่นไง! เขาเจอแล้วขายรวมชุดซะด้วยมีตั้งสิบใบอย่างน้อยถ้าถูกสามตัวท้ายก็ได้เงินราวสามหมื่นบาท

    โอ้แม่เจ้า! เงินสามหมื่นรออยู่ตรงหน้า

    สุชาติกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าสลากแต่ขณะนั้น! ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง…

    “มี384ไหมครับ”

    สุชาติหันขวับเจ้าของเสียงเป็นชายร่างใหญ่วัยกลางคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังเขารู้สึกคุ้นๆกับใบหน้าของอีกฝ่ายอ๋อไอ้มาวินนี่เองมันมีอาชีพหลักเป็นคนขายลูกชิ้นทอดอยู่หน้าปากซอยมีอาชีพเสริมเป็นเซียนหวยคนแถวนี้สมญานามมันว่าไอสไตน์แห่งวงการล็อตตารี่

    “อ้าวพ่อมาวินนี่เองมีสิจ๊ะแต่ฉันขายเป็นชุดนะ” แม่ค้าหวยบอก

    มาวินยิ้มออกมา“เอามาทั้งชุดนั้นแหละครับ”

    “เดี๋ยวก่อน!” สุชาติเอ่ยขึ้นขณะที่เธอกำลังจะดึงสลากชุดนั้น

    แม่ค้าและเซียนหวยมองมาที่เขาอย่างแปลกใจ

    สุชาติบอก“คุณขายให้เขาไม่ได้นะครับผมกำลังจะหยิบหวยชุดนั้นอยู่แล้ว”

“ฮะ!” มาวินหันขวับมาทางแม่ค้า“จริงหรือเปล่าพี่”

“เอ่อ…ฉันเห็นเขาแค่มายืนเลือกนะ”

มาวินหันมาทางสุชาติ“แบบนี้ก็ไม่นับล่ะสิคุณแค่มายืนดู”

“ไม่ได้ๆผมกำลังจะหยิบเลขนั้นอยู่แล้วจู่ๆคุณก็โผล่มา”

แม่ค้าล็อตตารี่เห็นลูกค้ายืนเถียงกันเธอก็เสนอทางออกให้ทั้งสอง“เอาแบบนี้ดีไหมจ๊ะชุดนึงมันมีตั้งสิบใบแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้นี่”

“ไม่ได้!” ทั้งสองกล่าวอย่างพร้อมเพรียงเงินตั้งสามหมื่นใครล่ะจะแบ่งให้โง่

“หวยนี่ผมคำนวณมาหลายคืนกว่าจะได้เลขออกมาไม่ใช่ง่ายๆขายให้ผมเถอะ” เซียนหวยกล่าว

“ไม่ได้ๆ” สุชาติสบตาอีกฝ่าย“กว่าจะได้เลขนี้มาผมก็ลำบากแทบแย่เหมือนกัน”

“แต่ผมเป็นคนบอกเธอก่อนนะเอาแบบนี้ดีไหม? ให้เธอเป็นคนเลือกเองดีกว่าว่าจะขายให้ใคร” มาวินหันไปทางแม่ค้าล็อตตารี่ “ดีไหมครับคุณพี่”

สุชาติรู้ว่าตนกำลังตกเป็นรอง ไอ้หมอนี่มันลูกค้าประจำ ถ้าให้เธอตัดสินยังไงเธอก็เลือกมันแน่ เขาต้องทำอะไรซักอย่าง “เอาแบบนี้ไหมพี่ ถ้าพี่ขายให้ผม ผมให้เงินเพิ่มอีกสองร้อย” สุชาติบอกขณะล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา

    แม่ค้าล็อตตารี่ตาลุกวาว หันมาทางสุชาติ ในใจอยากจะตอบตกลงแต่ก็เกรงใจลูกค้าประจำที่ยืนทำหน้ารถเมล์ไม่จอดรับอยู่ข้าง ๆ

    “หวยเท่าไหร่พี่ ผมเพิ่มให้สองร้อยห้าสิบ” มาวินไม่ยอมแพ้

    แม่ค้าหวยยืนทำอะไรไม่ถูก ในใจเชียร์ทั้งสองฝ่าย “ช…ชุดละพันจ้ะ”

    ฝ่ายสุชาติก็สู้ไม่ถอย ควักแบงค์พันกับแบงค์ห้าร้อยออกมา “ผมให้พันห้า”

    มาวินถึงกับต้องกลืนน้ำลาย เงินในกระเป๋าสตางค์มีไม่ถึงสองพัน แต่เมื่อโอกาสทองอยู่ตรงหน้า ใครล่ะจะยอมปล่อยให้หลุดมือ “ผ…ผมให้พันหก”

    “พันแปด” สุชาติพูดสวนทันควัน

    “พ…พัน…ก…เก้า” เซียนหวยกล่าวเสียงสั่น

    “พันเก้าห้าสิบ” สุชาติสู้ขาดใจ

    มาวินเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ เขาจึงล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรไปหาที่บ้าน “ฮัลโหล…แม่หรอ ให้ไอ้จุกหยิบเงินมาให้พันซักสามพันสิ…เนี้ยกำลังยืนประมูลเลขที่บอกไว้อยู่น่ะ…เร็ว ๆ นะ แม่ค้าหวยเขารออยู่…เออจะเอามาซักสี่ห้าพันก็ได้นะ เผื่อต้องใช้” มาวินพูดเน้นประโยคสุดท้าย เขาหันไปบอกแม่ค้าล็อตตารี่ “ผมให้สองพัน”

    สุชาติพูดไม่ออก ในกระเป๋าเขามีเงินเพียงแค่สองพันบาท ล็อตตารี่ใบนั้นกำลังจะหลุดมือไป เขาสังเกตเกตอีกฝ่ายหันมายิ้มเยาะ

    มาวินรู้สึกว่าตนคือผู้ชนะ เมื่อเห็นท่าทีของคู่แข่งที่นิ่งไป “เดี๋ยวรอแปบนึงนะพี่ ลูกผมกำลังเอาตังมาให้” 

    สุชาติมองอีกฝ่ายอย่างเจ็บใจ ถึงประมูลสู้ไปยังไงก็แพ้ บ้านมันอยู่แค่หน้าปากซอย มีเงินสำรองไม่อั้น บ้าชะมัด!

    ระหว่างที่รอเงินมาส่ง สายตาของสุชาติก็จับจ้องไปที่ล็อตตารี่ชุดนั้น มันยังถูกติดอยู่บนแผงรอใครซักคนดึงออกมา เงินรางวัลสามหมื่นบาท กำลังจะหลุดลอยไป เอ…หรือว่าเราจะดึง…

    ไม่สิ! ทำแบบนั้นโจรชัด ๆ ได้ไปก็ขึ้นเงินไม่ได้อยู่ดี สุชาติพยายามคิดหาทองออก มันต้องมีซักทางสิ…

    จริงด้วย! เขานึกอะไรดี ๆ ขึ้นมา

    “ผมไม่เอาละ” สุชาติเอ่ยขึ้น “ผมขอเปลี่ยนเป็นเลข 483 แทนละกัน”

    มาวินที่ได้ยินคำพูดนั้นหันมาอย่างสงสัย “หา…”

    “คือผมเพิ่งมานึกได้น่ะ เลขที่คำนวณได้มา ผมยังไม่ได้กลับ จาก 384 ต้องกลับเป็น 483”

    มาวินถึงกับเข่าอ่อน จริงด้วยสิ ทำไมไอสไตน์แห่งวงการล็อตตารี่อย่างเขาถึงลืมเรื่องพื้นฐานแบบนี้ไปได้ ตัวเลขที่ได้มายังไม่ได้มีการตีความหรือกลับอะไรทั้งนั้น โอ…ให้ตายเถอะ 

    ระหว่างที่มาวินกำลังยืนหน้าซีด ไอ้จุกลูกของเขาเดินนำเงินมาส่ง “นี่ครับพ่อ” มาวินรับเงินสดมาอย่างเก้ ๆ กัก ๆ

    “เอ้าคุณ! รีบจ่ายไปสิ ผมรอซื้ออยู่” สุชาติที่ได้เห็นท่าทีลังเลของอีกฝ่าย กล่าวออกมาอย่างได้ใจ

    “อ…เอ่อ…ผมไม่…” มาวินพูดเสียงสั่น ความมั่นใจหายไปหมดสิ้น

    “อะไรกัน นี่จะไม่ซื้อหรอคุณ ตกลงราคาไปแล้วไม่ใช่หรอ”

    “คือ…เอ่อ…ผม…”

    สุชาติใช้จังหวะนั้นส่งเงินสองพันบาทให้แม่ค้าล๊อตตารี่ แล้วดึงสลากชุดนั้นออกมาจากแผง “ถ้าคุณไม่รับ ผมรับไว้เองก็ได้”

    มาวินหันขวับ “อ้าวเฮ้ย! เดี๋ยว…”

    “เมื่อกี้ผมถามคุณแล้วว่าจะรับไหม แต่คุณไม่ตอบ มันก็เท่ากับหวยชุดนี้เป็นของผม” สุชาติกล่าวออกมาอย่างสะใจ ก่อนจะรีบเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์อย่างผู้ชนะ ปล่อยให้เซียนหวยหน้าโง่ยืนกุมขมับอย่างผู้ปราชัย

——————-

แม่ค้าล็อตตารี่ปั่นจักรยานไปตามทาง นี่เป็นการขายหวยที่พิสดารกว่าครั้งไหน ๆ โชคดีที่หลายคืนก่อนมีตาลุงคนหนึ่งมาบอกกับเธอว่า วันนี้จะมีลูกค้าสองคนมาแย่งกันประมูลเลข 384 เธอจึงได้นำเลขเหล่านั้นมารวมชุดขาย

    เธอไม่รู้ว่าเย็นนี้ล็อตตารี่ชุดนั้นจะทำให้ผู้ที่ซื้อกลายเป็นเศรษฐีหน้าใหม่หรือเปล่า แต่สิ่งที่เธอรู้ตอนนี้ก็คือ…

    เธอเองก็มีภารกิจ ต้องไปซื้อข้าวหมูแดงร้านยายทองสองห่อใหญ่!

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : Pungpron (พังพรอน)

Admin

01/02/2022

คุณยาย…ตายแล้วฟื้น กับผีผัวที่หวงกระท่อม

หมู่นี้ฝนตกหนักมาก หนักจนบางทียืนตากเฉยๆก็ยังรู้สึกเจ็บตัว มันเลยทำให้ผมมีเวลาว่างเว้นจากการกรีดยาง มาเล่าประสบการณ์พิศดารให้ได้ฟังกัน ขอออกตัวก่อนว่า ตัวผมเองก็ไม่ได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์อะไร ที่จะมาอ้างอิงหรือถกเถียงแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้น ต้องยอมรับว่าเรื่องราวอย่างปรากฏการณ์ “ตายแล้วฟื้น” มีให้พบอยู่ทั่วโลก สำหรับคนบ้านนอกแบบผม ถ้ามีใครสักคนที่เคยหยุดหายใจไปครั้งหนึ่งแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าตายนั่นแหละ เรื่องนี้เป็นเรื่องของ “ยายพร” คุณยายที่อาศัยอยู่กับหลานสาวข้างบ้านผม

ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ยายพรอายุได้ 65 ขวบปี ก่อนหน้านี้ยายพรเคยอยู่อาศัยกับลูกสาวสองคน เนื่องจากสามีเสียไปนานหลายปีแล้ว จนกระทั่งลูกสาวสองคนเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็พากันออกไปทำงานที่อื่น ผมเองก็ชอบแวะเวียนไปเที่ยวเล่นบ้านยายพรบ่อยๆ นั่นเพราะบ้านของแกมี “ต้นกระท่อม” ปลูกอยู่หลังบ้าน ผัวแกที่เสียไปเคยปลูกไว้นานแล้ว ด้วยความที่บ้านติดกัน ยายพรก็ใจดีแบ่งให้ผมฟรีๆ ไม่เคยคิดกะตังค์แม้สักสลึง แต่ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็อย่าได้หวัง เพราะแกขายเป็นจริงเป็นจังน่าดู

ครั้งนึงแกเคยโวให้ที่บ้านผมฟัง ว่าที่ตนส่งเสียลูกสาว 2 คนจนได้ดิบได้ จบมหาวิทยาลัยดัง ก็เพราะต้นท่อมนี่แหละ เวลาที่ราคายางมันตกต่ำ รายได้ขัดสน แกก็ไม่ต้องเอากล้ายางไปปลูกขายบนดาวอังคารเหมือนบ้านอื่นเค้า เพราะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากใบกระท่อม อันที่จริงก็อย่างที่รู้ๆกัน ณ เวลานั้น มันไม่ได้เปิดเสรีเหมือนวันนี้ แต่ตำรวจที่อาศัยแถวบ้านเค้าก็รู้เห็นนะ แต่ก็ปิดตาข้างหนึ่งมาตลอด ก็นะ…คนท้องถิ่นกับใบกระท่อมมันอยู่คู่กันมานับร้อยๆปี มันก็เหมือนสมุนไพร ไม่ต่างจากปลูกพริก ข่า ตะไคร้ ไว้หลังบ้านนักหรอก

เรื่องพิศดารของยายพร มันพึ่งจะเริ่มขึ้นตรงนี้นี่แหละ ตอนที่หลานสาวแท้ๆ ที่แกรับเลี้ยงให้ลูกสาวที่ไปทำงาน เริ่มโตจะเป็นสาว อายุได้สัก 15 ก็หนีตามหนุ่มข้ามจังหวัด ยายพรแกก็อุตส่าห์ไปตามกลับ แต่เด็กสาวก็หัวรั้น ในโลกของเธอตอนนี้มีแต่ไอหนุ่มที่เธอหลงหัวปักหัวปำ เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของยายพรอย่างมาก เหนื่อยเลี้ยงเหนื่อยดูก็พอแรงแล้ว ยังมาถูกลูกสาวในไส้ก่นด่า หาว่าเลี้ยงหลานยังไง ทำไมปล่อยให้มันมีผัว กลายเป็นว่าตอนนี้ยายพรก็หัวเดียวกระเทียมลีบ อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว

ยายพรเริ่มมีอาการซึม ไม่ค่อยพูดจา หนักเข้าก็ไม่ยอมกินข้าวกินปลา เอาแต่นั่งเหมือนเหม่อลอย สายตาทอดออกไปไกลนอกบ้าน แม่ผมก็เป็นห่วง เลยคอยแวะเวียนไปดูยายแกทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งปลอกมะพร้าวอยู่หลังบ้าน เสียงแม่ผมตะโกนดังมาจากฝั่งบ้านยายพร

“บ่าววววๆ ไอ้บ่าวๆ ยายพรเสียแล้ว”

ผมรีบวิ่งข้ามไปบ้านยายพร สิ่งที่พบคือยายพรนอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดหน้าโทรทัศน์ ขณะที่มันยังคงฉายรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งที่แกโปรดปราน ดวงตาของแกหลับสนิท ร่างกายนอนนิ่งไม่ไหวติงในท่าทางปกติ ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดแสดงออกมา ดูเผินๆก็ไม่ต่างจากหญิงชรานอนพักกลางวัน แต่พอผมลองเอามือไปอังลมหายใจที่จมูกของแก ผมก็พบความจริงที่น่าเศร้าใจ ยายพรแกไม่หมดลมหายใจไปแล้ว จับที่ตัวก็ยังอุ่นๆ แสดงว่าพึ่งเสียได้ไม่นาน ถึงตอนนั้นผมเลยรีบคว้าโทรศัพท์โทรแจ้งตำรวจ และผู้ใหญ่บ้าน

ตำรวจกับผู้ใหญ่บ้านมาถึงในไม่ช้า พากันตรวจดูร่างของยายพร พบว่าไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย แกอาจจะมีโรคอะไรที่ทำให้เสียไปอย่างสงบ และพร้อมส่งศพให้ญาติจัดการทางศาสนาต่อไป ผู้ใหญ่บ้านก็จัดแจงโทรศัพท์ไปแจ้งลูกสาวทั้ง 2 ของแก แน่นอนว่าก็ตกใจกันใหญ่ และบอกว่าจะรีบลางานเพื่อกลับใต้ให้เร็วที่สุด แต่ในระหว่างที่ทุกคนมัวแต่สาละวนอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมา…

“มาทำอะไรกันเต็มบ้านฉ้าาน”

ผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว นับตั้งแต่ที่ผมพบศพยายพร แต่บัดนี้ ดวงตาแกกลับเบิกโพลง แล้วพยุงตัวลุกขึ้นมาช้าๆ พวกผู้หญิงก็พากันกรีดเสียงร้อง พวกผู้ชายก็ได้แต่ยืนอึ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะพากันเอ่ยปากถามยายพรแกว่า

“นั่นใครน่ะ ใช่ยายพรรึเปล่า”

ปรากฎว่าแกก็ตอบรับเสียงใส ทำเอาใครต่อใครโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ด้วยกลัวว่าจะมีสัมภเวสีมาชิงสิงร่างยายพรแทน ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวให้ยายพรฟัง แกก็เถียงว่า “กูตายตอนไหน ก็แค่ดูทีวีแล้วเผลอหลับไป” แต่ตำรวจ แม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านก็ยืนยันเรื่องนี้ ว่าแกไม่หายใจแล้วจริงๆ จะว่าไปร่างแกก็เริ่มเย็นๆแล้วด้วยซ้ำ แกก็เหมือนคิดอะไรได้ แล้วตอบอย่างจำยอม “เมื่อกี้ กูตายไปแล้วจริงๆน่ะ”

แกบอกว่าตอนที่เคลิ้มหลับไปแกก็ฝัน มันเป็นฝันยาวนานและแปลกเอามากๆ แต่ก็จำเรื่องราวต่างๆได้อย่างชัดเจน แกรู้สึกว่าสบายเหมือนนอนบนน้ำ มันเย็นหลัง ตัวเบาหวิง 
พอสักพักแกเห็นว่ามีแสงสีขาวๆเป็นจุดให้แกเห็นมาจากข้างบน  พอถึงมันค่อยๆสว่างแล้วก็กว้างขึ้น  ขนาดประมาณนี้  (แกทำมือน่าจะประมาณลูกบอล)
แล้วแกว่าในฝัน (ตามที่แกเข้าใจ) แกก็เหมือนถูกแสงนั้นดูดขึ้นไปหา แกแสบตาเลยหลับตา  แต่รู้สึกตัวเองวูบวาบไปหมด
สักพักรู้สึกหายแสบตา  แกเลยลืมตา  แล้วแกก็เห็นว่า  ตัวแกอยู่ที่ไหนสักที่  มันคุ้นๆ  แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน 

แล้วตัวแกก็โผล่ไปเห็นตรงนั้นตรงนี้หลายที่เหมือนแกเหาะได้อยู่บนยอดไม้  แล้วทุกๆที่ ที่ไปเห็น  แกก็คุ้นเคยหมดแต่นึกไม่ออกว่าเป็นที่ไหนบ้าง
บางจุดเหมือนแกเคยเห็นตอนเด็กๆ  บางจุดเหมือนแกเคยเห็นตอนสาวๆ  แกว่าบางจุดแกเห็นคนอื่นด้วย  แต่เขาอยู่ข้างล่าง
บางคนมองมาที่ยายพรแล้วตะโกนคุยกัน  ยายพรจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกันบ้าง  แต่จำได้ว่าคุย

พอถึงแกลอยไปไหนต่อไหนไม่รู้ เยอะแยะไปหมด  แต่จุดนึงแกลอยไปพบยอดเขา  แกเห็นว่าผัวแก (ที่เสียไปแล้ว) ยืนอยู่ 
ข้างๆผัว มีต้นกระท่อมหลังบ้านขึ้นอยู่  ส่งยิ้มให้ยายพร  ยายพรแกดีใจ  เลยพยายามหาทางลงไปหา  แต่พยายามเท่าไหร่ แกก็ลงไปหาไม่ได้
ผัวแกได้แต่ตะโกนมาบอกประมาณว่า  “เธอลงมาหาช้านไม่ได้หรอก  กรรมเติ้น ไม่เหมือนช้าน ช้านต้องอยู่เฝ้าต้นท่อมนี้และ”
ยายพรว่า  แกก็ไม่ยอมแพ้  จะลงไปหาผัวแกให้ได้  เพราะตายจากมาหลายปีก็ยังคิดถึงกันอยู่  แต่แกว่ายิ่งอยากลงไป  ตัวยิ่งลอยไกลออกมา  จนเห็นกันแค่ลิบๆ  ยายพรก็ร้องไห้เสียใจ  แต่ตัวแกก็ไม่หยุดลอย  ลอยมาจนถึงไหนไม่รู้  มาหยุดที่หน้าศาลาอะไรสักอย่าง
เสาใหญ่โตประมาณต้นยางนาเต็มวัย   ยายพรก็ลอยลงไปยืนตรงหน้าศาลานั้น

ทีนี้แกไม่รู้จะไปทางไหน  เท้าเหยียบโดนพื้น  แต่ก็เหมือนโดนแบบไม่เต็มเท้า รู้สึกสัมผัสถูกแค่เบาๆ ยืนงงๆอยู่  ก็มีผู้ชายเดินออกมาจากหลืบเสา
ยายพรว่าแกก็ตกใจ  เพราะหน้าผู้ชายคนนั้น  หน้าเหมือน เอกชัย  ศรีวิชัย  ที่เป็นขวัญใจยายพรเลย
ยายพรแกบอกแกก็ถามว่า  น้องเอก ไซรมาอยู่ที่นี้  ผู้ชายคนนั้นไม่ตอบเอาแต่ยิ้มให้ แล้วกวักมือเรียกยายพรให้ตามเข้าไป
ยายพรแกก็ดีใจว่าได้เจอเอกชัย  ศรีวิชัย  เลยเดินตามไปง่ายๆ  ยายพรว่าแกพูดอะไรไปเยอะเหมือนกัน  แต่จำไม่ได้ อารามดีใจที่ได้เจอนักร้องขวัญใจ
จนลืมมองไปเลยว่าข้างทางที่เดินตามไปเป็นยังไง  รู้ตัวอีกทีคือทะลุทางออกอีกด้านที่เหมือนกับตอนเข้ามา  ชายคนนั้นก็เดินหายไปด้านข้าง

ทีนี้ตรงนั้นยายพรแกเห็นว่ามีชาย2คน ยืนอยู่คนละด้านของเสายักษ์  คนนึงยิ้มแย้ม หน้าตาดี เหมือนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
อีกคนหน้าตาบอกบุญไม่รับเหมือนเจ้าหน้าที่เวลาที่ยายพรไปติดต่อธุระเรื่องเอกสารที่อำเภอ  แต่คนหน้าไม่ยิ้มนั้นตัวใหญ่มาก  ใหญ่กว่าคนยิ้มแย้มไปประมาณเท่านึง  แกว่าแลๆตัวใหญ่เหมือนโยกเยก  (โยกเยก เชิญยิ้ม)  แต่หน้าดุมาก  แต่คนที่ยิ้มแย้มส่งเสียงเรียกยายพรว่า


“มานี่ มานี่ต่ะ  ไม่ต้องกลัว”

ยายพรก็เลยเดินเบี่ยงๆไปหาคนตัวปกติ  ที่ยิ้มแย้ม  แต่แอบชำเลืองมองคนตัวใหญ่  คนตัวใหญ่ก็เหลือบมองยายพรมาสบตาเหมือนกันตาดุมาก
พอยายพรเข้าไปใกล้คนยิ้มแย้ม  แกว่าแกได้กลิ่นหอมเหมือนกลิ่นดอกมะลิกระจายฟุ้ง  มีกลิ่นธูปหอมปนมาอ่อนๆด้วย

คนยิ้มนั้นก้ถามว่า  “พร้อมไปนะ”

ยายพรถาม “ไปไหนอ่า”

คนนั้นบอก “เอ้า  เขาไม่บอกทีเหอ”

“เขาไหน”  “คนที่พาเข้ามาไง”

“คนที่หน้าเหมือนเอกชัย งั้นฮึ ไม่เห็นแหลงไรเลย”

คนนั้นเขาก็นิ่งๆแล้วบอกให้ยายพรยืนรอ  แล้วไม่รู้เขาเดินหายไปเฉยๆ  สักพักเขากลับมา แล้วบอก “ชาดเวรจริง  เติ้นหลบบ้านต่ะ “

ยายพรว่ายายพรพยายามจะถามว่าอะไรยังไง  จะให้ไปไหน  แต่เขาไม่ยอมพูดอีกเลย  เอาแต่เอามือดันยายพร แบบยืนที่เดิม แต่แขนน่ะยาวออกมาเรื่อยๆ
ดันยายพรมาจนถึงอีกด้านเหมือนตอนเข้าไป  ยายพรก็ยังยืนงงๆไม่รู้จะไปไหน  พักนึงคนที่หน้าเหมือนเอกชัย  คนพาเข้าไป  ก็เดินออกมาแล้วบอกว่า
“เอ้า  ไม่หลบบ้านล่ะ”  ยายว่า “หลบทางไหน ไปใช่ถูก”  คนนั้นบอกให้ยายพรหันหลังแล้วโดด  ยายพรก็หันมามอง  เห็นว่าเป็นเหวสูงมากๆ ยายพรก็กลัว
กำลังจะหันไปบอกว่าไม่กล้าโดด  ก็รู้สึกเหมือนโดนผลักไม่ทันตั้งตัว  ก็ลอยละลิ่ว รู้สึกเสียววูบที่ท้องน้อย  รู้ตัวอีกทีคือ ลืมตาตื่นมาแล้วเห็นคนเต็มบ้านนี้และ

คนอื่นๆก็วิเคราะห์กันตามความเชื่อ  ว่ายายพรน่ะคงตายไปแล้วไม่รู้ตัว  วิญญาณหลุดออกจากร่างไปเที่ยวที่ต่างๆตามความทรงจำ  ถึงได้รู้สึกคุ้นๆกับทุกที่ที่เห็น  แล้วที่ไปเห็นผัว  ยืนบนยอดเขา  แล้วมีต้นกระท่อมหลังบ้านอยู่ข้างๆน่ะ  อาจจะเป็นไปได้ว่า  เพราะผัวแกเป็นคนปลูกต้นกระท่อม  ตอนตาย อาจจะเพราะพะวงกับต้นกระท่อม  รู้สึกหวง (แกเป็นคนหวงของมาก)  เลยต้องอยู่เฝ้าต้นกระท่อม  ตามที่ยายพรไปเห็นมา
ส่วนศาลาเสายักษ์  บางคนว่า นั่นอาจจะเป็นทางเข้าไปนรกหรือสวรรค์   ยายพรว่า  แล้วทำไมคนที่มากวักมือเรียก หน้าถึงเหมือนเอกชัย  ศรีวิชัย  เอกชัยไม่ตายที  คนก็ว่า  อาจจะเป็นผู้นำทางเฉยๆ เพราะยายพร ชอบไปดูวงเอกชัย  ศรีวิชัยแสดงมากๆ
เขาก็เลยเนรมิตหน้าตาให้เหมือนคนที่ยายพรชอบ  เพื่อที่ยายพรจะได้เดินตามเขาไปง่ายๆ
(ผมคิดในใจตอนนั้น ฉิหายล่ะ ผมชอบดูผลงานของอาโออิมาก  ถ้าผมตายผมจะเจออาโออิม้ายวะ)

ส่วน2คนที่ยืนเฝ้าเสาอีกด้าน คนหน้าดุๆตัวใหญ่ๆ อาจจะเป็นยมบาล รอพาคนไปนรก  ส่วนคนยิ้มๆนั้นอาจจะเป็นเทวดารอพาคนไปสวรรค์ เพราะยายพรก็ถือว่า  เป็นคนที่เข้าวัดทำบุญ  จิตใจดีคนนึงของหมู่บ้าน  และต้นกระท่อม  ก็คงเป็นแค่ต้นไม้ชนิดนึงไม่ได้เป็นสิ่งบาปเลวในโลกวิญญาณหรอก  การฟื้นกลับมาเล่าเรื่องสิ่งที่แกคิดว่าหลับฝันไป นั้น  แน่นอนครับว่า  ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านที่รู้เรื่องมุ่งมั่นมาก

แต่ไม่ใช่การทำบุญ  แต่มุ่งมั่นกับการเอาอายุยายพรไปซื้อหวย  แน่นอนครับว่า ถูกแดรกกันเป็นแถว   ส่วนยายพร พอคิดว่าผัวแกยังยึดติด จนต้องเฝ้าต้นกระท่อมหลังบ้านอยู่  แกก็เลย จ้างคนมาโค่นต้นกระท่อมทิ้ง  แล้วบอกกล่าวผัวแกว่า  ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ  อย่ามาเฝ้าเลย
ช้านไม่เอาไว้แล้ว  พวกลูกๆก็หันมาใส่ใจยายพรมากขึ้น  เพราะร้องไห้หนักมากตอนคนโทรไปบอกว่ายายพรสิ้นลม พอยายพรได้รับโอกาสฟื้นกลับมา   ก็เลยดีใจ และเอาใจ ใส่ใจยายพร  เรื่องที่ผมจะมาเล่าสู่กันฟังก็มีเท่านี้แล

ก็อย่างว่าล่ะครับ   ผมก็ไม่เคยตาย  คุณก็ไม่เคยตาย  การที่เราจะรู้ว่าโลกหลังความตายมีจริงไหม  ผมก็ไม่กล้ายืนยัน  
ได้แต่ฟังประสบการณ์จากคนที่ตายแล้วได้กลับมาเล่านี่ล่ะเล่าให้ฟัง  อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ลองตายด้วยตัวเองนะครับ  สวัสดีครับ

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : สมาชิกพันทิปหมายเลข 3978178

Admin

23/01/2022

Pantip | ใคร? ตามมาจากสถาบันนิติเวชตอนไปรับร่างคุณพ่อ

สมาชิกหมายเลข 4470522 เว็บไซต์ Pantip ได้เล่าประสบการณ์หลอน เรื่อง “เคยไปรับศพคุณพ่อที่สถาบันนิติ ปี 2543” ระบุว่า ตอนนั้น..บ้านเราอยู่ใกล้ๆ รพ.ตำรวจ และคุณพ่อก่อนเสียก็มารักษาตัวที่นี่เสมอๆ พอคุณพ่อเสียที่รพ.ตำรวจ ด้วยโรคทางอายุกรรม ความที่คุณพ่อหย่าร้างกับคุณแม่ และแม่กับญาติๆก็อยู่ต่างจังหวัดหมด เราซึ่งอยู่กับคุณพ่อแค่สองคนเหนื่อยมากๆ ไหนจะไปติดต่อวัด เคลียร์ค่ารักษา แจ้งขอใบมรณบัตรที่เขตปทุมวัน

ทำให้ศพของคุณพ่อ ซึ่งทางรพ.ตำรวจ นำไปเก็บที่สถาบันนิติ พ่อก็อยู่ที่นั่นตั้ง 2 วัน กว่าที่เรากับคุณแม่และญาติๆจะนำโลงมาบรรทุกศพไปวัด ก็เป็นวันที่สามที่พ่อเสีย โดยทางเราให้ร้านขายโลง ซึ่งทางเจ้าของร้าน เป็นคุณพ่อของเพื่อน มารับศพไปวัด

พ่อเพื่อนเจ้าของร้านโลง รู้จักสถาบันนิติดี วันที่เราไปรับศพคุณพ่อ คนมารับศพเยอะมากๆ รอคิวยาวมากเลย อย่างว่า ที่นี่เป็นที่รวมศพไม่มีญาติ และรถจากมูลนิธิต่างๆ ไปเก็บศพมาจากทั่วกรุงเทพและปริมณฑล

พ่อเพื่อนเห็นว่ารอนาน ท่านเลยพาผมเดินเข้าไปด้านใน…อาศัยความคุ้นเคยรู้จัก จนท.ข้างใน ขอติดต่อรับศพก่อน ท่านพาผมเข้าไป ตอนราวๆ 11.45 น. แล้วท่านก็ให้ผมเดินผ่านห้องพิธีการศพ ซึ่งเป็นสถานที่ที่..ให้ญาตินำโลงมาบรรจุศพตรงนี้ แต่พ่อเพื่อนพาเข้าไปด้านในเลย ภาพที่เห็นคือ

ศพที่ถูกถอดเสื้อผ้าล่อนจ้อน ตัวแข็งทื่อ ถูกนำมาวางซ้อนๆกันในเตียงเข็น เตียงละ 2-3 ศพ ผู้หญิง ผู้ชาย วางซ้อนๆกันไป เพราะสถานที่คงคับแคบ และไม่มีพื้นที่พอที่จะวางเตียงละศพ และ จนท. ต้องถอดเสื้อผ้า ทำความสะอาดศพ ที่มีอยู่เป็นจำนวนหลายสิบศพ..อาจจะถึงหลักร้อยในแต่ละวัน

เราเดินผ่านห้องทำงานนี้ไปด้วยความสยอง เหมือนในหนังสยองขวัญ ในที่สุดพ่อเพื่อน ให้เรามายืนรอด้านนอกอาคาร เป็นลานปูนโล่งๆ ขนาด 20 x 20 เมตร เป็นที่วางศพที่มูลนิธินำมาส่งใหม่ๆ
ห่อผ้าขาวมา

เอามาถึง แกะผ้าขาวออก โชว์ศพให้นอนหงาย ตาลืมโพลงทุกศพ แบบศพที่มีเลือดเลอะเทอะ ก็วางตรงนี้เลย กองกับพื้นปูนไม่ต่ำกว่า 20 ศพ คือ พ่อเพื่อนเค้าให้เรายืนรอตรงลานนี้ เค้าขึ้นไปเอาศพคุณพ่อเรากับ จนท. ข้างบนอาคารใหญ่ 15 ชั้นอีกหลังนึงที่ิอยู่ถัดไป โดย จนท. บอกว่า คุณพ่อผม เสียมา2 วันกว่า กลัวศพเน่าจึงนำไปแช่ ในห้องเย็นบนอาคาร จะไปนำลงมาให้ ให้ผมยืนรอข้างนอก พอพวกเค้าขึ้นไปได้แค่ 2-3 นาที ก็พักเที่ยง พวก จนท. ที่ทำงานกับศพ เดินออกไปกินข้าวกลางวัน
ไปกันหมดเลยนะ 7-8 คน แล้วเราก็ยืนรออยู่คนเดียว

มองบนพื้นปูน ศพทั้งนั้น มองไปในอาคารจะเจอศพเปลือยวางซ้อนๆกันบนเตียงเข็น ตัวแข็งทื่อ เหมือนตุ๊กตา เพราะตายมาหลายวัน เส้นเอ็นตึง ข้อสังเกตอย่างนึง ผู้หญิง ไม่มีหน้าอก หน้าออกฟีบไปหมด ถ้าไม่สังเกตอวัยวะเพศก็นึกว่าเหมือนผู้ชาย
ผมมองดูจนกลัว แล้วเสียงแอร์ เสียงเครื่องต่างๆมันดับหมด คนไปพัก ข้างในก็เงียบ หันมามองศพใหม่ๆ ที่วางบนพื้นใกล้ๆ คนแก่ตายแบบคนจรจัด นอนตาลืมโพลง ตัวดำผอมลีบในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ

มี ผู้หญิงสาวคนนึง สวยครับ แบบคนเชื้อจีน แต่ว่า คนเชื้อจีนตาย..ผิวจะเหลือง…คือขาวเหลือง ก็เลยพึ่งรู้ว่า พอคนขาวตาย ผิวจะเหลือง ผู้หญิงสาวคนนี้ อายุยังวัยรุ่น…นอนตายเหมือนคนนอนหลับเลย….ถ้าผิวไม่เหลืองก็ไม่รู้ว่าตาย (ทีหลัง พอรับศพพ่อจะเสร็จ เจอพี่สาวเด็กคนนี้มากกับพี่เขยร้องไห้มากๆ เด็กสาวคนนี้กินยาฆ่าตัวตาย ที่เรารู้เพราะไปถามพ่อเพื่อน ที่เค้าก็สังเกตศพนี้เช่นกัน)

เราก็ไปมองศพเละๆ ประเภทรถชนตายเปื้อนเลือด มองแล้วสยอง เลือดเขรอะทั้งนั้น มองไปมองมา เอาหน้าขึ้นฟ้านึกถึงเรื่องงานศพ คือพยายามไม่มองศพอีก พ่อเพื่อนก็ยังไม่มาซักที ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ไม่รู้จะหลบไปทางไหน และอีกอย่างคือ อยากรับศพคุณพ่อไปวัดเร็วๆ เรามารอคิวตั้งแต่เช้า คนเยอะ ถ้าเราหายไป จนท.ก็อาจไม่ช่วยนำศพออก ต้องรอถึงตอนเย็นคงแย่ เรารอถึง 12.30 น. จนท.เข็นร่างคุณพ่อออกมา

ที่เค้าให้เรารอ เพราะว่า จะให้เรายืนยันว่าใช่พ่อของเราไหม เค้ากลัวเข็นมาผิดศพ คุณพ่อเราเหมือนคนนอนหลับ แบบหลับสนิทเลย ดูไม่เหมือนคนตายแม้แต่นิดเดียว ก็เอาเสื้อผ้าชุดโปรดคุณพ่อให้เค้าสวม….และก็นำร่างบรรจุโลง..เราก็ช่วยกันยกใส่ จุดธูปเชิญวิญญาณ นั่งรถกะบะนำไปวัดต่อไป วันนั้นกว่าจะสวดพระอภิธรรมเสร็จวันแรก เหนื่อยมาก นอนตอนสี่ทุ่มกว่า หลับไป ฝันว่ามีคนไม่รู้จักมาหามากมาย ชายหญิงเยอะแยะ มาคุย มาทักทาย

พอเวลาผ่านไปในฝัน ไปนึกถึงศพที่วางกองไว้เต็ม ในฝันจึงเห็นศพเยอะแยะไปหมด จนสะดุ้งตื่น ฝันแบบนี้ 3 คืน ช่วงงานศพคุณพ่อ ไปเล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่เล่าให้พระในวัดที่จัดงานศพ ท่านรดน้ำมนต์ให้ และให้แผ่เมตตาเยอะๆ ถามญาติๆผู้ใหญ่บอกว่าคนตายที่สถาบันตามมา อาจจะมาขอให้ช่วยทำบุญให้เค้า ก็แปลกครับ พอรดน้ำมนต์ก็ไม่ฝันเห็นอีก ทำบุญแผ่เมตตาให้พวกเค้าก็ไม่เจอฝันแบบรังควาญแบบนี้อีก

ขอบคุณที่มา : กระทู้ผีพันทิป https://pantip.com/topic/37564760

Admin

21/04/2020

เรื่องผี Pantip : ต้นเชอร์รี่ในบ้านร้าง

เรื่องเล่าคราวนี้เป็น เรื่องผี Pantip จากสมาชิกหมายเลข 3626889 ที่นำประสบการณ์สยองสมัยยังเด็กมาถ่ายทอดให้ฟังในแท็กเรื่องเล่าสยองขวัญของเว็บไซท์พันทิป โดยบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เคยไปเล่นซนกันที่บ้านร้างหลังหนึ่ง แล้วแอบไปเก็บผลเชอร์รี่มากินโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของบ้านที่เสียไปไม่นาน…

เรื่องผี Pantip เรื่องนี้มีอยู่ว่า…

เรื่องนี้เกิดเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน ผมไม่ได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องเล่าผีมากนัก แต่ในสมัยที่ผมยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ต่างจังหวัด ในช่วงวันหยุดน้องชายที่อายุน้อยกว่าสี่ปี ซึ่งเป็นญาติๆกัน มักจะมาเล่นด้วยที่บ้านของผม และในวันนั้นซึ่งเราพากันไปว่ายน้ำเล่นในคลองเล็กๆละแวกนั้น ด้วยความที่ขนาดของคลองไม่ลึกและกว้างนัก ทำให้ผมพูดขึ้นตามประสาเด็ก ชวนกันว่ายข้ามไปเก็บลูกเชอร์รี่ที่ฝั่งตรงข้าม ต้นเชอร์รี่ที่ว่านี้เป็นต้นที่ปลูกไว้ในเขตบ้านของ “ทวดหวาน” โดยแกเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่อายุอานามมากโขจนชาวบ้านพากันเรียกแกด้วยคำว่าทวด บ้านของทวดหวานมีลักษณะเป็นเรือนยกสูงมีใต้ถุนที่ทำจากไม้ นอกจากเชอร์รี่ที่แกปลูกไว้แล้ว ก็ยังมีต้นผลหมากรากไม้อื่นๆอยู่อีกมากมาย แต่ทวดหวานแกพึ่งจะมาเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ที่นี่ร้างคนดูแล ตัวบ้านก็เก่าทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว

ด้วยความที่เห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว ผมจึงชวนน้องไปเก็บผลไม้กันที่นั่น ครั้นว่ายข้ามไปถึงแล้ว ก็พากันตรงดิ่งไปที่ต้นเชอร์รี่ที่เป็นเป้าหมาย มันอยู่ข้างๆตัวบ้านไม้ที่จะพังมิพังแหล่ ซึ่งอยู่ห่างจากริมฝั่งไม่ไกลไปราวๆร้อยเมตร หากแต่จังหวะหนึ่ง…ผมสังเกตเห็นน้องชายมีท่าทีแปลกๆเมื่อขึ้นมาถึง ท่าทางเหมือนไปพบเจอแล้วกลัวอะไรมา อย่างไรก็ตามผมไม่ได้ซักถามทันทีในตอนนั้น เนื่องจากใจจริงก็กลัวคำตอบที่จะได้ยินอยู่เหมือนกัน แม้จะไม่ได้คิดถึงขนาดที่ว่าวันนี้ตัวเองกำลังจะได้รับบทนำจำเป็นในหนังผีน่ากลัวเรื่องนี้ เพื่อไม่เป็นการทำลายบรรยากาศและเสียความตั้งใจในทีแรก ผมจึงเร่งชวนน้องไปนั่งกินเชอร์รี่ที่ใต้ต้น กระทั่งหลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินไปคุยเล่นกันไปจนสาแก่ใจแล้ว ก็ถึงเวลาพากันกลับบ้าน

ขณะที่ลุกจะเดินออกไปนั้นก็มีเสียงคนถ่มน้ำลายดังออกมาจากบนเรือนไม้ที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ แถมเสียงยังค่อนข้างดังฟังชัดจนชวนให้คิดว่ามีเจตนาที่ต้องการทำให้คนได้ยิน จังหวะนั้นผมเองได้พูดขึ้นด้วยความตกใจว่า “เมื่อกี้ เสียงใครอ่ะ” หากแต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากน้อง เห็นขัดเจนว่าน้องก็หน้าซีดไปแล้วเหมือนกัน หลังท่าทีที่ดูสับสนว่าจังหวะนั้นควรอยู่ฟังให้แน่ใจ ควรค่อยๆย่องออกมาหรือวิ่งหนีด้วยความเร็วดีนั้น สุดท้ายดูเหมือนว่าพอมีคนนึงออกตัววิ่ง อีกคนก็รีบใส่เกียร์หมาตามมาติดๆทันที เราพากันมาหยุดพักหายใจกันอยู่ริมตลิ่ง พลางปรึกษากันว่า…เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้นี้ เป็นเสียงของทวดหวาน อดีตเจ้าของบ้ายนหลังดังกล่าหรือไม่ แต่นั้นคงไม่สำคัญเท่ากับการหนีกลับไปบ้านให้ได้ก่อน หากแต่ทางที่เหลือไม่ใช่แค่วิ่งก็ถึง มันมีคลองเล็กๆที่เราข้ามมาเมื่อกี้คั่นอยู่ ซึ่งด้วยความตื่นกลัวในขณะนี้ก็ทำให้คลองมันดูใหญ่กว่าความเป็นจริง

ผมพยายมปลอบน้องไม่ให้กลัว บอกให้น้องกล้าๆเข้าไว้ โดยน้องจะว่ายนำไปก่อนแล้วผมจึงว่ายตามเพื่อดูหลังให้ ในระหว่างที่ว่ายไปนั้นต่างคนก็ต่างตะโกนกันสุดเสียงเพื่อข้บไล่ความตื่นกลัวออกไป ขณะที่ว่ายออกไปได้ระยะหนึ่งผมก็รู้สึกเหมือนกับขาของตัวเองไปสัมผัสถีบกับอะไรเข้าให้ ผมจึงหันไปมองด้านหลังด้วยความตกใจ และสิ่งที่เห็นก็คือผิวน้ำทางด้านหลังที่แหวกนูนออกมาเหมื่อนคลื่นจากหัวใครบางคนที่ดูเหมือนจะดำน้ำว่ายตามเรามา ในหัวมีภาพของยายแก่จากเรื่องผีต่างๆที่มักตามเหยื่อได้รวดเร็ว แม้ว่าจะแก่แล้ว! ถึงตรงนั้นผมก็แหกปากทันทีด้วยความตกใจสุดขีด แล้วรีบจ้ำอ้าวอย่างสุดแรง พลางว่ายไปร้องไห้ไป กระทั่งน้องผมที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงผมร้องไห้ ก็ร้องตามแล้วพากันเร่งจ้ำจนในที่สุดก็มาถึงฝั่งอย่างปลอดภัย

บทสรุปของเรื่องเล่าผี…

หลังจากกลับมาถึงบ้านผมก็ซักถามน้องเรื่องที่คาใจอยู่ ว่าตอนที่ไปถึงฝั่งน้องไปเห็นอะไรเข้าหรือเปล่า โดยน้องชายเล่าให้ฟังว่าตัวเองไม่ได้เห็นชัด แต่คล้ายกับว่ามีใครบางคนจ้องมองอยู่จากทางหน้าต่างชั้นบน แต่พอหันไปดูให้ชัดก็ไม่เห็นตัว ในขณะที่ตอนขากลับน้องบอกว่าตัวเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นในสิ่งที่ผมเจอ เรื่องที่ว่ามีคลื่นนูนออกมาจากผิวน้ำ น้องเพียงได้ยินผมร้องไห้เลยกลัวแล้วรีบว่ายมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามเราคาดกันว่า นั่นอาจจะเป็นดวงวิญญาณของ “ทวดหวาน” ซึ่งแกได้ชื่อว่าเป็นคนหวงของโดยเฉพาะต้นไม้ที่แกปลูกดูแลประคบประหงมเหมือนลูกในสมัยที่ยังมีชีวิต หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยชวนน้องไปขึ้นที่ฝั่งนั้นอีกเลย จนกระทั่งบ้านหลังนั้นได้ถูกรื้อถอนออกไปในภายหลัง ไม่แน่ใจว่ามีใครได้พบเจอกับแกอีกมั้ย และนี่ก็เป็นเรื่องราวทั้งหมดของกระทู้ผีพันทิปนี้….

เรื่องผี Pantip เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนจิตได้อย่างนึงว่า อะไรที่ไม่ใช่ของของเรา เราไม่ควรไปเอา แม้ว่าจะเป็นเพียงผลไม้จากบ้านร้างที่ไม่มีคนก็ตาม เพราะอาจยังมี “ผี” เฝ้าอยู่ก็เป็นได้…

ขอขอบคุณที่มากระทู้ผีพันทิป : https://pantip.com/topic/36257683

อ่านเรื่องผีจากพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

19/03/2020

กระทู้ผีพันทิป | นั่งสมาธิกลางป่าช้า สนธนาหน้าโลง

กระทู้ผีพันทิปเรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ของสมาชิกพันทิปหมายเลข 2794605 ที่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดในจังหวัดพิจิตร แต่การปฏิบัตรธรรมครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่ “เจน” เคยไปมา เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า…ตัวเองจะต้องไปนั่งอยู่หน้าหลุมศพกลางป่าช้าตามลำพัง! แถมยังต้องพูดจาท้าทายอีกว่า…ให้ร่างที่อยู่ในหลุม ลุดขึ้นมาหลอกมาหลอนด้วยเถิด!!

กระทู้ผีพันทิป ปฏิบัติธรรม ด้วยการนั่งสมาธิกลางป่าช้า คนเดียว…

เรื่องราวต้นขึ้นจาก “เจน” เจ้าของเรื่องเล่าได้รับการชักชวนจากคุณแม่ แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิจิตร ซึ่งคุณแม่ของเจนไปมาก่อนแล้วรู้สึกว่าช่วยส่งเสริมให้ชีวิตพบเจอแต่เรื่องดีๆ ภายหลังจากที่กลับจากการปฏิบัติธรรม ในขณะทีช่วงนั้นเจนเองก็ประสบปัญหาหลายเรื่องในชีวิต เป็นต้นว่า ขับรถชนมาจนต้องเสียเงินเสียทอง อกหักรักคุด ทำให้เจนมองหากิจกรรมเพื่อหลีกหนีจากอารมณ์ท้อแท้ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงตัดสินใจตบปากรับคำไปร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดดังกล่าว

นอกจากเจนแล้วยังมีรุ่นพี่ที่เคยไปปฏิบัติธรรมมาก่อนอีกสามคน และญาติของเจนติดตามไปด้วยอีกคน รวมแล้วทริปนี้มีสมาชิกร่วมเดินทางไป 5 คน… เจนเล่าเรื่องราวตั้งแต่เริ่มเดินทางไว้ดังนี้… วันจันทร์เราออกจากสระบุรีกันตั้งแต่เช้ากว่าจะถึงที่หมายก็ราวเที่ยงวัน ที่วัดแห่งนั้นพบว่ามีผู้มาเข้าร่วมปฏิบัติธรรมกันเกือบ 20 คน ซึ่งหากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนจะยิ่งมากกว่านี้ เมื่อมาถึงสถานที่ พวกเราไก้รับการแนะนำให้เข้าไปสักการะไหว้พระและเจ้าที่เจ้าทางกันก่อน พอช่วงบ่ายก็เริ่มเข้าสู่คอร์สจริง สิ่งแรกเลยคือการเดินกรรมฐาน หลังจากนั้นจะเป็นการนั่งสมาธิอีกราว 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เจนเป็นคนสมาธิสั้นค่ะ ไม่สามารถจะทนนั่งนิ่งๆได้นานนัก เลยมีแอบลืมตามามองรอบข้างบ้าง ถัดมาก็มีการเดินกรรมฐานอีกรอบ แต่รอบนี้รู้สึกแปลกใจว่าเราทำได้ดีขึ้นหลังนั่งสมาธิมา เรียกได้ว่าเราคงเริ่มคุ้นชินแล้ว

รายการต่อมาคือการ “ปลุกญาณ” เป็นการให้เรานั่งสมาธิโดยท่องคำว่า “หนอ…” ไว้ในใจ โดยที่จะมีพระอาจารย์คอยกำกับจังหวะการท่องให้เร็วหรือช้า ปรากฏว่าช่วงที่พระท่านบอกให้เร่งจังหวะการท่องหนอรัวๆนั้น ไม่นานนักก็มีเสียงกรีดร้อง เกรี้ยวกราดดังขึ้นมาจากผู้นั่งปฏิบัติธรรมราวกับคนของขึ้น ตอนนั้นเจนหลับตาอยํ่เลยไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น บอกตามตรงว่าเราก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือกระทั่งทำเพื่อจุดประสงค์อะไร จนอดคิดไม่ได้ว่า…นี่ตัวเองมาทำอะไรอยู่ที่นี่กันแน่ จู่ๆพี่ที่มาด้วยกันคนหนึ่งที่มาเป็นพี่เลี้ยงให้ก็เข้ามากระซิบข้างหูเราว่า… ให้มีสมาธิ ท่องหนอๆๆๆเร็วๆเลย เราก็ทำตามนั้น หนอๆๆๆๆ กระทั่งถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก พี่เขาก็ให้ล้มตัวหงายลงนอนในขณะที่ก็ยังคงท่องไม่หยุด แต่สักพักก็หายใจสะดวกขึ้น แม้ว่าจะเหงื่อโทรมกายก็ตาม พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่า ที่แขนมีรอยปั้มคำว่า “ผ่าน” ประทับไว้

ตราผ่านในที่นี้ไม่รู้แน่ชัดว่ามีการวัดผลหรือคัดเลือกอย่างไร แต่เข้าใจว่าคนที่ได้รับการเลือกว่า “ผ่าน” จะได้เดินทางเข้าสู่รอบต่อไป นั่นคือการนั่งสมาธิกับอาจารย์ใหญ่ หลังจากนั้นก็มีการจับฉลากเพื่อเลือกว่าผู้ปฏิบัติธรรมคนไหนจะได้จับคู่กับอาจารย์ท่านใด โดยแต่ละคนจะได้รับป้ายแขวนคอที่ระบุชื่ออาจารย์ใหญ่อยู่บนนั้น เราเองก็หยิบป้ายใบหนึ่งออกมาจากกองอย่างสุ่มๆ แล้วได้ป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า “สายที่ ๒/๔” คู่กับชื่ออาจารย์ใหญ่ สายที่ว่าเรียกว่าเป็นการแบ่งกลุ่มกันก็คงได้ สรุปว่าเราได้อยู่สายที่ 2 จากทั้งหมด 6 สาย ที่นั่งปฏิบัติธรรมนี้จะมีขึ้นใน “มอ” สิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายกระท่อมซึ่งจะถูกแบ่งตามสายด้วยซอยเล็กๆ โดยคนที่จับฉลากได้สายใดก็ต้องแยกย้ายกันไปยังมอตามซอยของตน ด้านในก็จะมีร่างของอาจารย์ใหญ่รอคุณอยู่ที่นั่น และแน่นอนว่าคุณไม่สามารถพกเครื่องมือสื่อสารติดตัวไปได้

ถ้าใครมีโอกาส ไปลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหายนะคะ ใครมีประสบการณ์เคยนั่งกับอาจารย์ใหญ่ แล้วมาแชร์กันค่ะ

ขอบคุณที่มา กระทู้ผีพันทิป : ไปนั่งสมาธิกับอาจารย์ใหญ่ในป่าช้าคนเดียวมาค่ะ

อ่านเรื่องผี เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

21/02/2020

“ผีทะลุจอ” ถูกผีตามมาจาก FB เพราะกดปุ่มขำ!

นี่คือเรื่องผี Pantip ที่พิศวงที่สุดเรื่องนึงเท่าที่เราเคยได้ยินมา เมื่อสมาชิกเว็บไซต์พันทิป “คุณ chocolatebun” ออกมาเล่าประสบการณ์ระทึก หลอน สะพรึงของเหตุการณ์ที่ตนเองถูก “ผีหลอกผ่าน Facebook” เนื่องจากไปขำในขณะที่ดูภาพร่างไร้วิญญาณที่ถูกฟีดผ่านไทม์ไลน์ของเธอ และนี่เป็นชนวนที่ทำให้เธอถูกวิญญาณซึ่งไม่เคยรู้จักหรือพบกันตัวเป็นๆมาก่อน…ตามติดถึงคอนโด!

เรื่องผี Pantip : เจอผีจากไทม์ไลน์ในเฟสที่เพื่อนแชร์มา!

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ราเจอมากับตัวเอง มันเริ่มต้นจากในวันที่เรากำลังไสลด์เฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ ก็มีโพสต์นึงของเพื่อนของเราขึ้นมา ซึ่งมันเป็นโพสต์ที่เพื่อนแชร์มาอีกที โพสต์ที่ว่าคือรูปของคนผูกคอสภาพอย่างสยดสยอง โผล่ขึ้นมากลางไทม์ไลน์จนแทบผงะ มีเนื้อข่าวเป็นแคปชั่นขึ้นมากำกับว่า เป็นหญิงสาวชาวสกลนครที่มาทำงานอยู่ที่จ.ภูเก็ต สภาพของร่างเธอเรียกว่า…ดูไม่ได้เลย ขึ้นอืดมาก อย่างไรก็ตาม ในใจเราตอนนั้นสาบานได้ว่าไม่ได้คิดลบหลู่อะไรกับภาพที่เห็น ออกจะรู้สึกสงสาร สังเวชและปลงด้วยซ้ำ

แต่แล้วตาของเราก็ดันไปเหลือบเห็นคอมเมนท์ของเพื่อนอีกคนว่า… “โห เป็นศพแล้วอืดขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย! ขนาดตอนนี้เรายังไม่ตาย ร่างก็อืดจะแย่แล้วนะ”

เราหลุดขำออกมาอย่างที่กลั้นไวไม่ได้ ยอมรับว่าอ่านแล้วขำจริงๆ แต่ขอยืนยันอีกครั้งว่าเราเองไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ผู้เสียชีวิตเลยนะคะ ตอนนั้นไม่ทันฉุกคิดเลยด้วยซ้ำ

กระทั่งเรากลับมาที่คอนโดของตัวเอง ลักษณะของที่นี่คือเมื่อขึ้นลิฟท์มาแล้วจะพบว่าทางด้านซ้ายมือจะเป็นทางหนีไฟฉุกเฉิน และที่ทิ้งขยะ ทางขวาก็จะไปสู่ห้องพัก ซึ่งบนชั้นนี้มีเพียงห้องเรากับเพื่อนบ้านอีก 1 ห้อง ประมาณตี 3 ของคืนนั้น เราก็ทำธุระต่างๆไปเรื่อย แล้วก็กะว่าจะเอาขยะไปทิ้งข้างนอก ขาเดินไปทิ้งก้าวแรกก็ไม่มีอะไร พอทิ้งเสร็จหันกลับมา…ก้าวต่อไปเจอเต็มๆ!

สิ่งที่เราพบเจอคือ…ร่างของคนเดียวกันกับที่อยู่ในเฟส! มาปรากฎในสภาพเดียวกัน ท่าเดียวกัน ความบวมและขึ้นอืดเท่ากัน!

บอกตามตรงตอนนนช็อคมาก แทบไม่เชื่อสายตาว่าจะจุดใต้ตำตอ เจอคนที่พึ่งเจอในไทม์ไลน์เมื่อตะกี้ แต่ไม่ได้มาในสภาพคน ขาเราแข็งจนก้าวไม่ออก เหมือนมันไม่ตอบสนองกับความคิดของเราซะแล้ว ตอนนั้นก็พยายามประมวลบทสวดมนต์ที่มีในหัวแล้วท่องไปเรื่อยๆ จนพักหนึ่งตั้งสติได้ก็รีบวิ่งตัดมาเข้าห้องอย่างไวที่สุด โดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองเลย พร้อมจะโกนเรียกเพื่อนซึ่งอยู่ในห้องอีกคน

พอเข้ามาถึงห้องได้ก็พบเพื่อนนั่งหน้าตาตื่น นางก็ถามเราว่าเป็นอะไรๆ บอกตามตรงตอนนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เอาจริงๆคือมันเหลือเชื่อจนเราเองก็ไม่กลาแม้แต่จะกล้าเดินกลับไปเช็คในสิ่งที่เห็นเมื่อกี้เหมือนกัน เราแกล้งกลบเกลื่อนไปว่าไม่มีอะไรหรอก พลางหยิบแก้วน้ำมาดื่มให้ใจเย็นลง คุณพระช่วย! ยังไม่ทันได้ยกดื่ม อยู่ๆแก้วที่ไร้รอยร้าวใดๆก็แตก ‘เปรี๊ยะ’ คามือเราซะอย่างนั้น! เรายิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักไม่ชอบมาพากลแล้วสิ จึงได้เข้าห้องไปเพื่อที่จะสวดมนต์เงียบๆคนเดียว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะสวดบทแล้วบทเล่าใจเรามันก็ไม่ยอมหยุดสั่น ความกลัว กังวลมันรุมเร้า เลยตัดสินใจพูดกับเพื่อน เพื่อนก็ปลอบว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวเช้าเราไปใส่บาตรกัน อีกไม่กี่ชั่วโมงเอง ทนๆหน่อย

เล่าให้ฟังว่า โดยปกติตัวเราเองเป็นคนมีเซ้นซ์ พูดตรงๆว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก เจออยู่บ่อยๆเหมือนกัน แต่…ไม่เคยมีครั้งไหนที่เห็นชัดเจนเป็นตัวเป็นตนแบบนี้มาก่อน แถมมาในสภาพที่พูดได้ว่า ‘เละ’ เลยแหละ เราพยายามจะคิดหาเหตุผลว่ามันเกิดอะไร เขามาหาได้ยังไง หรือต้องการอะไรจนเครียด แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่ทราบ แต่…เราก็พลาดซะได้ ด้วยความเครียดและเพลีย เนื่องจากตอนเกิดเหตุเกือบตี 3 พอผล็อยหลับก็ยาวเลย เราตื่นไม่ทันใส่บาตรตอนตี 5 แต่ก็นับว่ามีโชคอยู่บ้าง เพราะก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติน่ากลัวๆอีกเลย จนกระทั่ง…คืนที่ 3

คืนนั้นหลังจากที่เข้านอนตามปกติ เราก็ฝัน…ฝันว่าตัวเราเองไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง สถานที่นี้มีลักษณะเป็นตึกแถวที่มีห้องพักเรียงราย ส่วนด้านล่างของตึกจะเป็ร้านอาหารตามสั่ง ดูเหมือนตัวเราในฝันกำลังจะขึ้นไปข้างบนตึกเพื่ออะไรสักอย่าง ขณะที่กำลังจะขึ้นไปก็มีผู้หญิงสามคนมาทักเรา พูดถึงชื่อผู้หญิงคนนึงที่เราไม่รู้จัก แล้วถามว่าจะไปหาคนคนนี้เหรอ ขอขึ้นไปด้วยได้มั้ย เราก็ตอบตกลงไปว่าได้ค่ะ เดี๋ยวเราขึ้นไปหาด้วยกัน แต่ขณะที่คุยกันอยู่มีคนดูแลหอนั่งอยู่กับโต๊ะหน้าบันไดทางขึ้น แล้วเรียกทักขึ้นว่า… “ไม่ต้องขึ้นไปหรอก มาดูในกล้องวงจรปิดก็ได้เจอแล้ว…” เราก็ไปดูที่จอมอนิเตอร์ด้วยความสงสัยว่าจะให้ไปดูอะไร ปรากฎว่าเป็นภาพของบันไดทางขึ้นหอพักนี้นั่นเอง แต่ในภาพมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ในสภาพคุ้นตา…ใช่แล้ว เป็นคนเดียวกันกับที่เราเจอที่คอนโดนั่นเอง!

เราตกใจร้องกรี๊ดดด และเหมือนจะรู้สึกตัวว่าเรากำลังอยู่ในฝัน สิ่งที่เห็นมันไม่ใช่เรื่องจริง ก็พยายามจะปลุกตัวเอง ปลุกสติกลับมา แต่พอสะดุ้งตื่นขึ้น..ก็เหมือนยังไม่ตื่น! ราวกับเป็นฝันซ้อนฝันแบบอินเซปชั่น เพราะหลังจากที่ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา คือใบหน้าบวมอืดของเธอแบบระยะโคลสอัพ! ตาปลิ้นลิ้นจุกปากออกมาอย่างงี้เลยล่ะคุณเอ้ย! พูดไม่ออกเลยทีเดียว เราก็หลับตาแน่นพลางภาวนาบอกว่าเราไม่เคยมีอะไรบาดหมางกัน ได้โปรดอย่าจองเวรซึ่งกันและกันเลย เดี๋ยวมีเวลาเราสัญญาจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณโดยเร็วที่สุด

รุ่งเช้าวันนั้น เราตัดสินใจโทรไปปรึกษาเล่าให้แม่ฟังเรื่องราวทั้งหมด แม่ก็กำชับมาเลยว่าให้รีบไปวัดทำบุญให้เขาอย่างเร็วที่สุด เขาคงต้องการความช่วยเหลือ เพราะการกระทำที่จากไปด้วยน้ำมือตัวเองนั้น ย่อมจะเป็นบาปและเป็นบ่วงกรรมผูกรั้งไม่ให้ไปที่ชอบๆได้

หลังจากคุยกับแม่เสร็จ เราฉุกคิดถึงเนื้อหาข่าวที่เพื่อนเคยโพสต์ไว้ยนไทม์ไลน์ เลยเริ่มต้นด้วยการค้นหาข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เลยได้ทราบว่าเดิมทีเธอคนนี้ทำอาชีพนวดอยํ่ที่จ.ภูเก็ต แล้วช่วงหนึ่งได้กลับบ้านเกิดที่จ.สกลนคร แต่ดันกลับไปเจอแฟนเก่าและถูกทำมิดีมิร้ายโดยตัวเองไม่ยินยอม จึงเป็นมูลเหตุให้เธอรู้สึกหมดอาลัยในชีวิตและคิดสั้นในที่สุด ตามข่าวที่ระบุรายละเอียดไว้ตามนี้

หลังจากนั้นเราก็ค้นหาเบอร์ของร้านนวดที่เธอเคยทำงานอยู่ แล้วจึงโทรไป ปรากฎว่ามีผู้ชายที่ร้านรับสาย เลยเล่าคร่าวๆถึงจุดประสงค์ว่าต้องการติดต่อคุณแม่ของผู้หญิงคนนี้ เลยได้เบอร์โทรศัพท์มา จากนั้นเราก็โทรไปทันทีและเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เราพบเจอมาอย่างละเอียดให้ทางนั้นฟัง คุณแม่ของผู้หญิงคนนี้ก็ดูตกใจดับเรื่องที่เล่า และบอกว่าแม่ก็พึ่งจะฌาปนกิจเผาไปไม่กี่วันเอง ยังไม่มีใครเจอวิญญาณของเธอมาหาเลย

แต่เราก็ยืนกรานว่า เรื่องที่เราพูดทั้งหมดเป็นความจริง เราเจอมาจริงๆ และเธอก็มาหาเราจริงๆ แม้ว่าเราจะไม่มีความรู้ด้านนี้มากนักว่าเกิดเรื่องแบบนี้เพราะอะไรก็ตาม แต่ก็ทำให้เราใช้ชีวิตลำบาก จากการเจอมา 2 ครั้งในรอบสัปดาห์ ทำเอาเราไม่สามารถนอนหลับได้สนิทสักคืน อย่างไรก็ตามทางนั้นก็คงจนปัญญาจะช่วยในเรื่องลี้ลับแบบนี้เช่นกัน การสนทนาจึงตัดจบลงเพียงแค่นั่น

วันถัดมาเราจึงไปวัดเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำแผ่เมตตาให้เธอทันทีค่ะ ตามที่ได้ตกลงสัญญากันไว้ในคืนนั้น และหลังจากวันนั้น เธอก็ไม่เคยมาปรากฎตัวให้เห็นอีก ไม่ว่าจะเป็นที่คอนโดหรือในฝัน กระทั่งผ่านไปได้สักพักใหญ่ เราก็ฝันถึงเธอ เธอมานั่งอยู่ตรงบันไดเหมือนที่เคยเห็น แต่คราวนี้มาในสภาพที่ดูดี ไม่เละบวมเหมือนครั้งก่อนๆ ซึ่งพูดตามตรงว่าเราก็จำหน้าไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันมั้ย?

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ชวนพรั่นพรึงในครั้งนี้ ก็เป็นบทเรียนให้เราสำรวมในการใช้ชีวิต ใครจะไปคิดว่าผีจะออกมาหลอกหลอนกันจากในเฟสได้ ทำให้เราตระหนักว่าการให้เกียรติผู้คนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเป็นหรือคนตาย ภายหลังเราได้มีโอกาสคุยกับคนทีศึกษาและมีความเชื่อในเรื่องราวของโลกวิญญาณว่า ของแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย บางคนอาจจะไม่มีทางได้เจอภูตผีหรือวิญญาณเลย แต่บางคนที่มีเซนส์และจิตแข็งพอแบบเรา ก็มักจะได้เจอเรื่องเล่าผีอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเขาต้องการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง ที่เขาไม่สามารถบอกกับคนทั่วๆไปได้ ซึ่งบอกตามตรงว่า…เราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่พบเจอนัก แต่หากเลือกได้ขออย่าได้เจออีกเลยดีกว่าค่ะ! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ความคิดเห็นจากสมาชิกชาว Pantip

สมาชิกหมายเลข 1636130 ให้ความเห็นว่า ตนเองก็เคยเจอเรื่องราวในทำนองเดียวกัน เนื่องจากเคยไปชมภาพยนต์เรื่อง พุ่มพวง ดวงจันทร์ และอินกับเนื้อเรื่องในพาร์ทดราม่าครอบครัวของพี่พุ่ม หลังจากไปเสิร์จหาประวัติของสามีคนแรกของพี่พุ่มใน google ก็ได้ออกปากวิพากษ์วิจารณ์ในตัวสามีไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไร และในคืนนั้นเอง เธอก็ถูกผีผู้ชายอำ!

ในขณะที่สมาชิกอีกท่านนึงให้ความเห็นว่า น่าจะไม่เกี่ยวกับการวิจารณ์หรือหัวเราะผ่านเฟสบุ๊ค แต่น่าจะเป็นเพราะบังเอิญว่าคลื่นของทั้งคู่จูนติดกันพอดี โดยที่การไปพบข่าวของผู้หญิงคนนั้นในเฟสเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้ได้พบกัน จึงสามารถติดต่อสื่อสารกันได้

ขอขอบคุณเรื่องผี Pantip : เจอผีจาก Timeline Facebook ของเพื่อน

อ่านเรื่องผีจากพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

11/02/2020

นศ.หลงป่าบนภูกระดึง ที่ออนแอร์ในรายการ ‘ตีสิบ’ เมื่อ 20 ปีก่อน

เรื่องหลอนในตำนาน ที่โด่งดังมากเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เรื่องจากรายการตีสิบ ประสบการณ์ลี้ลับ ที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านรังสิต ได้ไปเจอมาที่ภูกระดึง ระบุว่า เรื่องเกิดขึ้นจากการที่พวกเขานัด กันไป ท่องเที่ยว พักแรม ที่ภูกระดึง จ.เลย จนกระทั่งนำมาซึ่งเหตุการณ์ขนหัวลุกที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ซึ่งเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในเวลาที่เทปนั้นได้ออกอากาศ

ย้อนดูเรื่องผี Pantip เมื่อสมาชิกคนหนึ่งถามถึงเรื่องเล่าหลอนที่เคยออกในรายการดัง

การมาเที่ยวภูกระดึงในครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 10 คนที่เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากเห็นว่าเป็นการมาเที่ยวกันเองของกลุ่มวัยรุ่น หนึ่งในขณะก็ได้พูดถึงว่าก่อนจะมามีญาติผู้ใหญ่เป็นห่วงอยู่เช่นกัน อยากให้ระมัดระวังตัว มีสติไม่คึกคะนองกันจนเลยเถิด อีกทั้งยังกำชับว่าให้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง บอกเจ้าป่าเจ้าเขาด้วย แต่พอไปถึงที่จริงๆด้วยความตื่นเต้นตามประสา ก็ทำให้ลืมและละเลยคำเตือนในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มจะมีเพื่อนคนหนึ่งที่ออกจะห้าวกว่าคนอื่นเขา บอยเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อในเรื่องภูติผี หรือความเชื่ออาถรรพ์ใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งยังคึกคะนองพูดจาดผงผางตลอดทาง ยิ่งอยู่ในสถานที่แปลกหูแปลกตา บอยก็ยิ่งโชว์ของด้วยการพูดท้าทายสิ่งที่มองไม่เห็นบ้าง ใช้คำหยาบคายบ้าง เข้าทำนองที่ว่าไม่เชื่อ แต่จะลบหลู่ และแม้ว่าเพื่อนรูปทริปจะพยายามห้ามปรามเป็นระยะ ก็ไม่ต่างจากโยนฟืนเข้ากองไฟ บอยยิ่งทวีความกล้าจนคำพูดที่ออกมานั้นไม่สามารถพูดออกอากาศในรายการได้

กระทั่งระหว่างที่เดินเที่ยวเข้าป่าชมน้ำตกในป่ากันอยู่นั้น จู่ๆก็เกิดรู้สึกตัวกันว่า พวกตนน่าจะหลงทางเข้าให้แล้ว พยายามจะหาทางกลับก็ไม่เจอ ตอนนั้นเริ่มจะมีเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันแล้ว ว่าถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นพิโรธเอารึเปล่า ผู้นำทริปที่เป็นรุ่นพี่อายุเยอะที่สุดในกลุ่มก็เริ่มไม่สบายใจกับการกระทำที่คึกคะนองของน้องๆ จนเดินไปเจอต้นไม้ขนาดใหญ่มากต้นหนึ่งข้างหน้า จึงยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ขอขมาลาโทษ อย่างที่ยายของเขาเคยเตือนไว้ก่อนมาเที่ยว

หลังจากความพยายามพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เดินไปได้อีกสักพักก็พบกับไม้สีแดงประหลาดที่มีปลายไม้ม้วนงอดูราวกับไม้เท้าของผู้วิเศษ รุ่นพี่คนนั้นก็มองว่านี่อาจเป็นความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วบอกให้คณะเดินทางไปตามทิศทางที่ปลายไม้นั้นชี้ไป โดยที่ได้นำไม้แท่งนั้นเดินมาด้วยกัน กระทั่งไม่นานนัก กลุ่มนักศึกษาก็สามารถเดินออกมาพ้นเขตป่าได้จริง…

หลังหลุดออกมาจากป่าแล้วในช่วงเย็น กลุ่มนักศึกษาก็คลายกังวลและเริ่มเดินเที่ยวกันต่อ โดยจุดหมายคือผาหล่มสักเพื่อที่จะรอดูวิวทิวทัศน์ในช่วงเวลาตะวันตกดิน เมื่อไปถึงก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่มารอชมเช่นเดียวกัน ในระหว่างนั้นเพื่อนร่วมทริปก็ต่างพากันพักผ่อนตามอัธยาศัย บ้างก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปกัน บ้างก็นั่งพักคุยกันอย่างใจเย็น บ้างกจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องประสบการณ์ที่ทำให้เหงื่อตกเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีอยู่คนนึงที่ดูเหมือนจะยังมีแรงเหลือเฟือที่จะทำอะไรห่ามๆได้อยู่…

ไม่มีใครรู้ว่าบอย..คิดอะไรอยู่ จู่ๆเขาก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังลั่นอย่างหยาบคายว่า “ค” .. “ว” .. “ยยยย” ออกไปทางหน้าผาหล่มสัก จากนั้นก็เงี่ยหูเพื่อฟังเสียงที่สะท้อนกลับมาเหมือนในละคร

หลังจากพออกพอใจ บอยก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากระทันหัน โดยบอยบอกกับเพื่อนๆว่า รู้สึกเหมือนถูกสายตาแหลมคมจ้องมองไปที่เขา มีใครเห็นบ้างไหม บอยเข้าใจว่าอาจมีวัยรุ่นกลุ่มอื่นที่ส่งสายตาไม่พอใจมาก็ได้ เรียกว่าพร้อมบวกเต็มที่ แต่ถ้าถามกันจริงๆ ตอนนั้นมันก็คงไม่แปลกที่จะมีคนไม่พอใจการกระทำของบอย เราไม่ทันคิดถึงเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นเลย

หลังจากตะวันลับขอบฟ้าเรียบร้อยไปได้สักพัก ความมืดก็เข้ามาแทนที่อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว นักศึกษากลุ่มนี้ก็ใช้เส้นทางเรียบผาเพื่อที่จะกลับไปยังที่ทำการอุทยาน ในความจริงต้องเรียกว่าเดินตามๆนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นกันไปถึงจะถูก เพราะพวกเขาเองก็ไม่เคยมีใครในกลุ่มมีประสบการณ์มาเที่ยวที่นี่มาก่อน อีกทั้งยังไม่มใครพกไฟฉายหรือเครื่องส่องสว่างอื่นๆกันมา เลยต้องพยายามเกาะกลุ่มเดินอยู่ระหว่าง นักท่องเที่ยงกลุ่มหน้าที่มีไฟฉายนำทาง

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าเมื่อเดินตามไปเรื่อยๆ แสงไฟจากนักท่องเที่ยวกลุ่มที่อยู่ด้านหน้า ก็ค่อยๆห่างออกไปทุกที และแม้ว่าพวกนักศึกษาจะเร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน แต่ว่าก็ไม่สามารถจะตามทัน จนกระทั่งแสงจากกลุ่มหน้าหายลับตาไปแล้ว ในขณะที่เมื่อหันไปดูทางด้านหลัง ก็ไม่พบนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆที่ควรจะเดินตามกันมาอีกเช่นกัน ดูราวกับว่ามีเพียงพวกเขาที่เหลืออยู่ท่ามกลางความมืดกลุ่มเดียว นักศึกษากลุ่มนี้จึงรีบเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

กระทั่งเดินไปจนถึงร้านค้าของชำระหว่างทาง จึงได้สอบถามถึงเส้นทางกลับไปที่ทำการฯ อีกทั้งยังขอซื้อเทียนเพื่อใช้เป็นแหล่งของแสงสว่าง แต่ปรากฏว่าที่ร้านขายให้ได้เพียงแค่ 2 เล่ม เพราะของเหลือแค่นั้น นอกจากนี้ทีชางร้านค้าก็ยังแนะนำให้เดินกลับไปด้วยเส้นทางลัด เนื่องด้วยเห็นว่าดึกและมืดค่ำมากแล้ว (น่าจะเป็นเส้นทาง ผานาน้อย – องค์พุทธเมตตา) กระทั่งชาวคณะก็ออกเดินทางกันต่อทันที

ในช่วงแรกของเส้นทาง กลุ่มนักศึกษาจะเดินเรียงหน้ากระดานกันไป 4 คน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยิ่งเดินไปเรื่อยๆก็พบว่าเส้นทางค่อยๆแคบลงๆ บีบให้พวกเขาไม่สามารถเดินเกาะกลุ่มหรือหน้ากระดานไปด้วยกันได้แล้ว จึงเปลี่ยนไปเดินเป็นแถวเรียงหนึ่ง โดยที่มีหัวแถวเป็นผู้ถือเทียนนำทาง และมีบอยผู้ที่อยู่รั้งท้ายแถวเป็นคนถือเทียนอีกเล่ม และเนื่องจากวิสัยทัศน์ต้องเรียกว่าคับแคบมากๆด้วยความสูงของหญ้าที่บดบังจนเกือบสูงเท่าคน ในขณะที่มีหมอกลอยต่ำ ในค่ำคืนที่แทบไม่มีแสงดาว ระยะการมองเห็นจึงมีเพียงแค่รัศมีของแสงเทียนสองเล่มเท่านั้น โดยที่ทางกลุ่มมีวิธีเช็คจำนวนสมาชิกด้วยการผลัดกันนับยอด 1…2…3… 10 อยู่เป็นระยะ ตามแบบฉบับของการเค้าค่ายเดินป่า เพื่อที่หากมีสมาชิกหายไปหรือเพิ่มเข้ามา(?) จะได้รู้ตัว…

ในขณะที่กลุ่มนักศึกษาเดินไปตามเส้นทาง พวกเขาต่างรู้สึกตัวกันตลอด ถึงบางสิ่งที่ดูไม่ชอบมาพากล คือมีเสียงที่ราวกับว่าใครบางคนกำลังเอามือลูบราไปตามแนวต้นหญ้าเล่นไปตามทาง ซึ่งในเวลาแบบนั้นคงไม่มีใครในหมู่นักศึกษาที่จะสบายอารมณ์พอจะทำแบบนั้น แต่แม้ว่าจะรู้สึกกันได้ทุกคน ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักเรื่องนี้ขึ้นมาสักคน จนกระทั่งมีนักศึกษาคนหนึ่งกระซิบกระซาบว่า ตนเห็นเงาอะไรบางอย่างรูปร่างคล้ายคน แต่ตัวใหญ่กว่าคนปกติทั่วไปมาก นั่งกอดเข่าอยู่ภายในแนวหญ้าอยู่แวบหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็ถูกบอยที่รั้งท้ายตามมาเบิ๊ดโหลกเข้าให้ทีหนึ่ง ก่อนจะปรามว่า ไหน? กรุไม่เห็นจะเห็นใครเลย… แม้ว่าในภายหลังจะมีนักศึกษาในกลุ่มอีกหลายคนให้การคล้ายกันว่า พบเห็นเงานิรนามลักษณะสูงใหญ่เช่นกัน หากแต่เพราะทัศนวิสัยที่คับแคบ และก็ไม่มีใครที่ได้เห็นแล้วจะใจกล้าบ้าบิ่นพอที่จะเหลียวกลับไปดูอีก

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ…ทางข้างหน้าตอนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนเรียกันว่า “ทาง 3 แพร่ง” นอกเหนือไปจากเส้นทางที่เดินผ่านกันมา ด้านหน้าจำเป็นต้องเลือกว่าจะไปทางซ้าย หรือขวา… ในจังหวะนั้นเอง คณะเดินทางก็หยุดพักเพื่อนับยอดเช็คจำนวนกัน น่าแปลกที่คราวนี้นับได้เพียงถึงแค่ 9… พอมองหาดูดีๆก็พบว่าเป็นบอยนั่นเองที่หายตัวไป ขอย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เล็กน้อย จู่ๆก็มีเสียงบอยกระซิบกระซาบกับเพื่อนใกล้ๆกันว่า ตนรู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออกกระทันหัน แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่งหน้าขวาน ทุกคนใจจดจ่อแต่กับทางข้างหน้า จนคิดกันไปว่าบอยคงนึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมาได้อีกกระมัง เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก กระทั่งตอนนี้รู้แล้ว…ว่าบอยไม่ได้ล้อเล่น

กลุ่มนักศึกษาจึงแบ่งคนออกมาจำนวนหนึ่ง เดินย้อนกลับไปตามเส้นทางที่พึ่งจะผ่านกันมา เพื่อตามหาบอย เดินหากันอยู่สักพักหนึ่ง ก็พบบอยนอนล้มอยู่ริมทาง แต่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คือส่วนเอวลงไปของบอยหายเข้าไปในพงหญ้ารกชัฏ และดูเหมือนจะค่อยกลืนร่างบอยเข้าไปเรื่อยๆ ราวกับถูกอะไรบางอย่าง ชุดกระชากลากถูบอยเข้าไปในป่าหญ้า พอเพื่อนๆเห็นดังนั้นก็กุลีกุจอกันเข้าไปรั้งตัวบอยไว้ ส่วนคนที่วิ่งตามมาบ้างก็รีบร้อนจนไปเตะกิ่งไม้แห้งตำจนได้แผลมา

ภาพที่หลายคนเห็นตอนนั้นคือ บอยออกอาการไม่ค่อยดี มีภาวะกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ตัวแข็งทื่อ ตาเหลือกค้าง สร้างความตื่นตระหนกให้คนที่พยายามจะเข้ามาช่วยอย่างมาก แม้ว่าจะพยายามปฐมพยาบาลด้วยการบีบนวดให้คลายกล้ามเนื้อ แต่ปรากฏว่าร่างของบอยแข็งเกร็งราวกับท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น คณะนักศึกษาเลยเลือกที่จะช่วยกันแบกร่างของบอย ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าไร้สติไปเรียบร้อยแล้ว คนหนึ่งหิ้วแขน อีกคนหิ้วขา หามกันไปได้ครู่หนึ่ง กลุ่มนักศึกษาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ที่พื้นด้านหน้า… ปรากฏว่าเป็นงูตัวหนึ่งที่ทำท่าจะเลื้อยเข้ามาทางนี้

กระทั่งทั้งคณะก็ตกใจจนหยุดกึกกันหมด เจ้าสิ่งที่ดูคล้ายงูนั่นก็นิ่งตาม แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ พอลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มันกลับกลายเป็นเพียงท่อนไม้ท่อนหนึ่ง แม้ว่าทั้งเก้าคนจะให้การตรงกันว่า เมื่อกี้มันเป็นงูแน่ๆก็ตาม หลังเดินทางกันต่อไปได้สักพัก เพื่อนที่หามบอยจู่ๆก็ออกปากว่าหามไม่ไหวแล้ว หนักมากๆ เรื่องนี้ก็นับว่าแปลกมาก เพราะคนหามก็เป็นคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ขณะที่ตัวบอยก็ไม่ได้จัดว่าเป็นชายรูปร่างใหญ่อะไร ออกจะเล็กกว่ามาตรฐานชายไทยเสียด้วยซ้ำ เพื่อนอีกคนก็เลยไปช่วยซ้อน ปรากฏว่าคราวนี้บอยตัวหนักกว่าเดิม จนแม้จะใช้ถึงสามคนก็พยุงไม่ขึ้น ร่างของบอยก็ร่วงแผละลงไปกับพื้น ก่อนที่จะเริ่มชักดิ้นชักงออย่างน่ากลัว

ในระหว่างนั้นเอง นักศึกษาคนหนึ่งในกลุ่มก็สังเกตดวงไฟผ่านมาทางนี้ พอสังเกตดูดีๆก็พบว่าเป็นแสงจากโคมไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ ผู้ที่กำลังขับขี่อยู่นั้นใส่ชุดพรางคล้ายทหาร เลยโบกและตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือได้ทัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่มีใครได้ยินหรือสัมผัสถึงเสียงรถได้เลย เจ้าหน้าที่ในชุดพรางก็เรียกให้นำคนป่วยขึ้นรถทันที โดยที่มีรุ่นพี่นำกลุ่มตามขึ้นไปคอยพยุงร่างบอยกลับไป ส่วนคณะนักศึกษาที่เหลืออีก 8 คน ทางเจ้าหน้าที่แนะนำให้เดินเลี้ยวขวาที่ทางแยก 3 แพร่งที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า เพื่อที่จะกลับไปยังที่ทำการฯได้เร็วที่สุด โดยรุ่นพี่ก็ส่งมอบไม้แดงที่เก็บไว้กับตัวให้นักศึกษาคนหนึ่งนำติดตัวไป

ภายหลังรุ่นพี่ที่ขึ้นรถไปกับบอยก็เล่าว่า จังหวะนั้นเองก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีก คือทั้งๆที่เจ้าหน้าที่แนะนำเส้นทางว่าทางขวาจะใกล้ที่สุด แต่กลับพาบอยกับตนเลี้ยวซ้ายแทน รุ่นพี่คนนี้ก็นึกครึ้มใจขึ้นมาเลยชวนคุยว่า พวกตนไปเจออะไรกันมาบ้างตลอดวันกระทั่งบอยหายตัวไปก่อนจะพบตัวอยู่ในพงหญ้า จู่ๆเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่จะเอ่ยปากเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงยานคาง แบบที่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เคยได้ยิน ว่า… “มันน ไม่เป็นน อะไรหรอกก” รุ่นพี่สารภาพว่าตอนนั้นกลัวมาก แม้ว่าสุดท้ายจะเดินทางไปถึงสะพานไม้หลังที่ทำการอุทยานได้อย่างปลอดภัยก็ตาม

ตอนนั้นน้ำหนักบอยไม่ได้มากเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในป่า รุ่นพี่เพียงคนเดียวก็พอที่จะหิ้วปีกเข้าไปห้องพยาบาลได้ ตอนนี้บอยอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่แล้ว โดยที่มีรุ่นพี่คอยเฝ้าดูอาการอยู่ กระทั่งผ่านไปไม่นานบอยก็ฟื้นขึ้นมาได้ซะเฉยๆ แต่ยังมีอาการสับสนงุนงงอยู่ จึงให้นอนพักต่อ อีกด้านนึงนักศึกษาทั้ง 8 ที่ลัดเลาะมาตามเส้นทางแยกขวา ในที่สุดเทียนที่มีอยู่ก็หลอมละลายจนหมด แสงสว่างก็ดับลงทันที แต่ยังพอจะมีแสงไฟจากจอมือถืออีกสองสามเครื่อง โดยที่ภายหลังนักศึกษากลุ่มนี้ก็ให้การว่าระหว่างทางก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนนอกเหนือจากพวกเขาติดตามมาด้วยตลอดทาง และในจำนวน 8 คนมีบางคนที่ถูกพลักตกหลุ่มบ่อลงไปนอนวัดพื้นถึง 2 ครั้ง 2 ครา แน่นอนว่าไม่มีใครแกล้งเอาสนุกในเวลาเช่นนั้น

กระทั่งกลุ่มนักศึกษาเดินไปจนพบกับแสงไฟห่างออกไปข้างหน้า ลักษณะเหมือนไฟจากอาคารบ้านเรือน ทั้งกลุ่มจึงมีความหวังและเร่งฝีเท้าออกเดินมุ่งหน้าไปยังแสงที่ว่านั้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปไกลแค่ไหน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใกล้แสงนั่นเลย ซ้ำดูเหมือนมันค่อยๆห่งออกไปเรื่อยๆทุกก้าวที่เดินหน้าไป จนในที่สุดมันก็เลือนหายไปในความมืด หลายคนเริ่มรู้สึกแล้วว่าพวกตนกำลังเดินวนเป็นวงกลม หลงอยู่ท่ามกลางความมืดรึเปล่า ความกลัวก็เริ่มแทรกเข้ามาเกาะกุมหัวใจ พร้อมกับที่ความหวังเมื่อครู่ดับไปพร้อมกับดวงไฟ หนึ่งในนั้นก็ยกมือที่กำไม้แดงแน่นขึ้นกราบไหว้ บนบานศาลกล่าว ขอเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้ช่วยด้วยเถิด ขอให้นำทางไปพวกตนไปที่ถูกที่ควรด้วย …

Admin

10/02/2020

กระทู้ผีพันทิป : นางรำปริศนา…ผู้มารำโดยไร้คู่

เรื่องเล่าสยองขวัญ กระทู้ผีพันทิป นี้มาจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2279458 สาวมัธยมปีที่ 5 เล่าถึงประสบการณ์ที่ตนได้มีโอกาสแสดง “รำกฤษฎาภินิหาร” ในวันเปิดตัวอาคารใหม่ที่โรงเรียน โดยปกติการแสดงชุดนี้จะรำกันเป็นคู่ แต่ในการแสดงวันนั้นกลับมีบุคคลปริศนาที่ไม่ครบคู่ โผล่ออกมารำร่วมกับพวกเธอ ที่ซึ่งมีพยานรู้เห็นกันทั้งโรงเรียน

เรื่องเล่า กระทู้ผีพันทิป นางรำคนที่ 3

สำหรับเรื่องราวที่นำมาเล่าในวันนี้ เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญที่เราเจอมากับตัว ในช่วงม.5 เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในพิธีเปิดตัวอาคารเรียนหลังใหม่ที่พึ่งสร้างเสร็จ โดยในส่วนของการแสดงมีอยู่หลายชุด หนึ่งในนั้นคือการ “รำกฤษฎาภินิหาร” ซึ่งเป็นเรากับเพื่อนสาวกระเทยอีกนางหนึ่งรำคู่กัน โดยปกติเราเองก็มีความเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า “พ่อแก่” ซึ่งเปรียบเสมือนครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ หากทำอะไรไม่ถูกต้องก็จะยกมือไหว้ขอขมาแก่ท่านเสมอ

อย่างไรก็ตาม มีอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกไม่สบายใจ บางอย่างที่ทำให้รู้สึกกังวลกำลังก่อตัวขึ้น เวลาที่ไปซ้อมรำกฤษฎาภินิหารทุกครั้งที่ห้องนาฏศิลป์ แต่พอหันไปมองเพื่อนกระเทย นางกลับดูเฉยๆ เราก็พยายามจะบอกตัวเองว่าคงคิดมากเกินไป ห้องที่ว่านี้จะมีลักษณะเป็นห้องที่กรุล้อมรอบไปด้วยบานกระจกขนาดใหญ่ทั่วทุกทิศ โดยที่ด้านหลังของห้องจะมีแท่นวางองค์พ่อแก่ ชฎาต่างๆ และมีหุ่นพระหุ่นนางอยู่เคียงกัน ทุกครั้งที่เรามาซ้อมบรรยากาศค่อนข้างจะวังเวง เนื่องจากนักเรียนชั้นมัธยมปลายนั้นเลิกเรียน 5 โมงเย็น กว่าจะได้ลงมาซ้อมที่ห้องนาฏศิลป์ เด็กๆรุ่นน้องที่ซ้อมเสร็จก่อน ก็พากันกลับบ้านหมดแล้ว

ในเย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน เราลงมาซ้อมคนเดียว ขณะที่ซ้อมรำไปอยู่นั้น ก็รู้สึกขนลุกพิกลเหมือนกับว่ามีใครอีกคนกำลังจ้องมองมาทางเราอย่างเงียบๆ เวลาที่ขยับตัวหรือคอเอี้ยวไปมา หางตาก็เหมือนจะเหลือบไปเห็นคล้ายกับใครบางคนมายืนรำอยู่ข้างๆ แว่บไปแว่บมา จนพาลให้คิดว่าความเหนื่อยล้าคงทำให้ตาฝาด กระทั่งเพื่อนกระเทยเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วทักถามอย่างประหลาด… “เมื่อกี้ครูมาช่วยดูการซ้อมให้เหลือ มองเข้ามาจากข้างนอก เห็นรำท่าเดียวกันเลย” เท่านั้นแหละเหงื่อทุกเม็ดในร่างเราก็พร้อมใจกันผุดออกมาท่วมตัว จนดูเหมือนเดื่อนมันจะสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางเราไม่ดี จึงได้พากันยุติการซ้อม

และแล้ววันที่ต้องขึ้นแสดงก็กำลังจะมาถึง คืนก่อนที่จะถึงเช้าวันแสดงเราตั้งใจที่จะเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อจะรีบตื่นแต่เช้ามืด ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่รู้แน่ชัดว่ากี่โมงกี่ยาม เราลุกงัวเงียขึ้นมาแล้วพบว่าหน้าต่างบานหนึ่งถูกเปิดทิ้งเอาไว้ และแสงจากด้านนอกได้สาดส่องเข้ามาตกที่กลางห้อง แต่ที่แปลกจนทำให้ตาสว่างเป็นปลิดทิ้งก็คือเงาที่ฉายอยู่บนแสงนั่น มันดูคล้ายกับนางรำในชุดทรงเครื่องกำลังหักงอแขนเป็นวงตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางห้อง บอกตรงๆว่าขนลุกเลยค่ะ นึกอะไรไม่ออกก็ต้องพึ่งบทสวดสุดคลาสสิคอย่าง “นโมตัสสะ” สามจบแล้วรีบมมุดใต้ผ้าห่มทันที

กระทั่งเช้าตี 5 ก็ออกจากบ้านเพื่อที่จะรีบไปเตรียมตัวแต่งหน้าทำผมที่โรงเรียน ขณะจะออกจากบ้านนั่นเอง หมาเจ้ากรรมก็พากันหอนระงมดั่งสนั่นราวกับนัดกันมาตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย ในเวลาแบบนี้ยิ่งทำให้ใจคอไม่ดี ในที่สุดเราก็ไปถึงโรงเรียนและตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ตอนนี้อยู่ในชุดขนาดเต็ม สำหรับชุดในการแสดงนี้ หากใครอยากลองนึกภาพตาม ให้ดูอ้างอิงจากชุดแสดงเป็นนางสีดาจากรามเกียรติ์ดู เป็นลักษณะใกล้เคียงแบบนั้น อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกไม่สบายตัวแปลก แน่นจุกอยู่แถวหน้าอก ทั้งๆที่ชุดก็ไม่ได้เล็กหรือคับแต่อย่างใด จนเพื่อนกระเทยที่ต้องรำคู่กันมาพูดเปรยๆว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้อยู่รำให้จบตลอดรอดฝั่งนะ” ดูเผินๆก็เหมือนคำให้กำลังใจกัน แต่ก็แอบแฝงอะไรที่ชวนลึกลับอยู่ในที

ในที่สุดเวลาเริ่มการแสดงก็มาถึง เวลาเก้านาฬิกาที่ซึ่งเป็นเวลาพิธีเปิดตามกำหนดการ การแสดงชุดแล้วชุดเล่าต่างผ่านพ้นไปด้วยดี จนมาถึงชุดของเรา เราพยายามตามที่ซ้อมมาอย่างเต็มที่ที่สุด จนกระทั่งผ่านไปได้สักพักหนึ่ง เราก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อะไรที่ว่านั่นคือการที่มีนางรำอีกคนขึ้นมารำด้วยบนเวที! แม้จะมองไม่เห็นกะตา แต่ต้องมีคนที่ 3 อยู่บนเวทีวันนั้น และไม่ว่าเสียงอึกทึกและเสียงจากเครื่องดนตรีจะดังสนั่นเพียงใด เรายังคงได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดของใครคนนั้นอยู่ข้างหูเสมอ จนทำให้มือไม้ชักจะเย็นชาขึ้นมา เพื่อนที่รำคู่กันก็เอ่ยขึ้นมาว่า…ให้พยายามเข้านะ จนกว่าจะจบ กระทั่งเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการแสดง มีอยู่จังหวะหนึ่งที่เราเผลอเอี้ยวหัวผิดทาง จู่ๆก็มีเสียงกระซิบแหวกอากาศและเสียงดังรอบข้างเข้ามา “ตั้งใจ..รำหน่อยสิ..” พร้อมกันนั้นก็มีแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นค่อยๆดัดหัวเราให้เอียงกลับไปในทิศทางที่ถูกต้องช้าๆ…. ถึงตอนนั้นก็แทบจะกลั้นความสั่นไว้ไม่อยู่แล้ว แต่ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงด้วยดี มีเพียงเรานั่นเองที่ทรุดลงไปกับพื้น จนสตาฟท์รอบๆต้องหามลงมาจากเวที

กระทั่งอาจารย์ได้เข้ามาดูอาการ พร้อมๆกับที่เพื่อนคู่รำก็ตามมาสมทบ อาจารย์สอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เพื่อนกระเทยชิงตอบแทนขึ้นทันควัน “อาจารย์…มีใครก็ไม่รู้ขึ้นมารำกับพวกเราด้วย” พอได้ฟังแบบนั้น เราถึงกับตาโพลงแล้วถามขึ้นด้วยตกใจ ว่ามีคนเห็นเหมือนกันด้วยเหรอ?

“เออสิ เราเห็นเขาในชุดไทยเดินตามตั้งแต่ช่วงแต่งตัวกันแล้ว กระทั่งถึงเวลาแสดง เขาก็ขึ้นไปรำข้างๆแกร บางจังหวะก็เหมือนประคองรำไปด้วย”

ยิ่งฟังก็ยิ่งสยอง วันนั้นเราไม่เป็นอันทำอะไร กลัวจนตัวสั่นจนต้องโทรให้แม่มารับกลับ อย่างไรก็ตาม เรามาโรงเรียนได้ตามปกติในวันถัดมา มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ได้ชมการแสดงเมื่อวานเจอเราแล้วก็ทักขึ้นว่า…
“ปกติกฤษดาภินิหารเค้ารำกันเป็นคู่ไม่ใช่หรือ ทำไมงานเมื่อวานมีกัน 3 คน ??”
เราเองก็อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไม แล้วเธอคนนั้นเป็นใคร… หลังจากนั้น เราก็ชวนเพื่อนที่รำคู่กันไปทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้หญิงคนนั้น ขอขมาลาโทษหากได้ล่วงเกินสิ่งใดไป อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เราต้องทำใจอยู่พักใหญ่กว่าจะกล้าเข้าห้องนาฎศิลป์ได้ โชคยังดีที่ตั้งแต่คราวนั้น ก็ไม่เคยเจออะไรแบบนั้นอีกเลย อาจารย์และพี่ๆน้องๆชาวนาฏศิลป์เชื่อกันว่าวิญญาณผู้หญิงคนนั้น คงปรารถนาให้การแสดงของเราออกมาดี อย่างไม่ผิดพลาด จึงมาคอยช่วยเหลือมากกว่าจะมีเจตนาไม่ดี

ขอขอบคุณที่มากระทู้ผีพันทิป : https://pantip.com/topic/34965979

อ่านเรื่องผี เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

27/12/2019

เรื่องผีพันทิป | หอพักมีประวัติย่านศาลายาที่เจ้าของไม่ยอมบอก

เรื่องเล่านี้มีฉากหลังเป็นหอพักใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง แถวศาลายา ซึ่งมีนักศึกษามาใช้บริการเช่าพักกันมาก เรื่องผี พันทิป เรื่องนี้ สมาชิก Pantip หมายเลข 2255784 ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ชวนสยองในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ว่าการได้เข้าไปพักในห้องหนึ่งของหอนั้น ต้องพบเจอกับเรื่องอะไรที่สุดสะพรึงบ้าง

เรื่องผี พันทิป ในหอพักเรื่องนี้มีอยู่ว่า…

เรื่องเล่าสยองขวัญ กระทู้ผีพันทิป เรื่องนี้ มันเริ่มมาจากครั้งที่ผมกับแฟนได้ย้ายที่พักอาศัยไปอยู่ที่หอพักแห่งใหม่แถวศาลายา โดยหอที่ว่าอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงมีบรรยากาศเป็นเหมือนหอพักนักศึกษากลายๆ เนื่องด้วยราคาที่ไม่แพงมากนัก จึงมีนักศึกษาจากสถาบันที่ว่าเช่าที่นี่อยู่มาก น่าเสียดายอยู่นิดหน่อยที่ว่าหอนี้ไม่มีคนรู้จักกับผมอยู่เลย อย่างไรก็ตามเรื่องแปลกมันก็เริ่มขึ้นตอนที่เราย้ายข้าวของเข้าไปที่ห้องในหอใหม่ หลังสาละวนอยู่กับการจัดแจงข้าวของและกวาดถูพื้น เราไปพบกับ “เหรียญ 10 บาท” จำนวนหนึ่งวางเรียงรายที่ใต้เตียงนอน หลังจากนำออกมานับๆดูพบว่ามีจำนวน 18 เหรียญ อย่างไรก็ตาม อาจจะเนื่องด้วยที่เราทั้งคู่เป็นคริสตศาสนิกชน เลยมองข้ามในแง่ของไสยศาสตร์แบบไทยๆไป (มาทราบความหมายในภายหลังว่า มันคือเงินสำหรับซื้อที่จากคนตาย) ด้วยความที่ไม่ได้เอะใจ สุดท้ายก็นำเหรียญเหล่านั้นไปหยอดเครื่องซักผ้าอัตโนมัติใต้หอโดยไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าผีสุดหลอน

หลังเข้ามาอยู่ที่นี่แล้วก็ไม่ได้เจออะไรแปลกๆ แต่แล้ววันหนึ่งขณะกำลังนอนอยู่ที่เตียง ในสภาวะที่กึ่งหลับกึ่งตื่น จะว่าเป็นฝันก็อาจจะใช่…แต่ ภาพมันดูสมจริงราวกับสิ่งที่เห็นมันเกิดขึ้นตรงหน้า มีร่างผู้หญิงนางหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน กำลังอยู่ที่ปลายเตียง! ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่าง แต่ฟังไม่ได้ศัพท์เลยสักคำ โดยพูดออกเสียงซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักหนึ่ง ในขณะที่ผมเองกลับไม่ได้ตกใจอะไร แต่พยายามถามและทำความใจ จู่ๆเธอก็หยุดพูด ลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวเจ้ามาที่ผม! ผมเลยตกใจจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า เมื่อกี้ตัวเองฝันไป

แต่เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านั้น ขณะที่ผมกำลังพยายามจะหลับต่อ ตาก็ไปสะดุดเข้ากับภาพสะท้อนจากกระจกบานใหญ่ที่ตู้เสื้อผ้า ซึ่งมันกำลังสะท้อนภาพของฝั่งตรงข้าม ทำให้มองเห็นพื้นที่ส่วนห้องน้ำซึ่งผนังอยู่ติดกับเตียงด้านที่ผมนอน สิ่งที่ดึงดูดสายตาผมก็คือ มือนิรนามข้างหนึ่งที่เกาะขอบประตูห้องน้ำ โผล่ออกมาให้เห็นนิ้วมือซึ่งระบุไม่ได้ว่าหญิงหรือชายในความมืดสลัว แล้วกำลังเกร็งนิ้วและต้นแขนที่หลบเข้าไปด้านหลัง คล้ายกับพยายามที่จะตะเกียกตะกายออกมาให้พ้นจากประตูห้องน้ำที่ว่านั้น! ผมสะดุ้งลุกขึ้นแล้วรีบกระโจนไปเปิดไฟห้องน้ำดูทันที แต่กลับพบแต่เพียงความว่างเปล่า ขณะเดียวกันกับที่แฟนซึ่งยังนอนอยู่บนเตียงทักถามขึ้น ผมได้แต่กลบเกลื่อนไปว่า ตัวเองปวดท้องหนักและรีบจะเข้าห้องน้ำ เพราะไม่อยากให้รู้ แฟนผมเป็นคนกลัวเรื่องเล่าผีมากๆ

กระทั่งคืนถัดมาคืนหนึ่ง ผมก็ฝันประหลาดเหมือนกับครั้งก่อน แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเหมือนเดิมไม่มีผิด ตอนนั้นราวตีสองได้ ผมมองไปทางกระจกที ห้องน้ำที ด้วยคิดว่าจะมีมือปริศนาโผล่ออกมาอีก แต่ก็ไม่มีกระทั่งเริ่มสังเกตความผิดปกติบางอย่างขึ้นที่ผ้าม่านริมหน้าต่าง มันพริ้วไหวแปลกๆ ทั้งๆที่หน้าต่างปิดสนิท แล้วจู่ๆมันก็ค่อยนูนขึ้น คล้ายกับมีอะไรดันขึ้นมาจากหลังผ้าม่าน จนในที่สุดก็เห็นชัดว่ามันเป็นรูปร่างคล้ายใบหน้าคน! ผมสตั๊นท์ไปเลยเมื่อเห็นรอยที่ว่าจนนอนไม่หลับ ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่อย่างนั้นด้วยความระแวงจนเช้า จนได้ไปเล่าเรื่องผีนี้ให้เพื่อนฟัง ก็ได้คำแนะนำมาว่าให้นำสิ่งของวัตถุบูชาที่นับถือไปไว้ใต้หมอนตอนนอน ซึ่งในที่นี้ผมเลือกเป็นไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจออะไรแปลกๆอีก

แต่ เรื่องผี พันทิป เรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไป จนเหตุการณ์ครั้งถัดมานั้น มันเกิดขึ้นในวันที่ผมและแฟน ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านในช่วงวันหยุด ซึ่งมีเพื่อนที่เป็นนักดนตรีคนหนึ่งมีงานต้องมาเล่นใกล้กับมหาวิทยาลัย จึงมาขอรบกวนนอนที่ห้องผมคืนนึง สำหรับผมแล้วยินดีด้วยซ้ำ จะได้มีคนช่วยดูห้องให้ ทำให้เราได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านอย่างสบายใจ แต่แล้ว…กลางดึกคืนนั้นเองที่มีสายโทรศัพท์จากเพื่อนคนนี้ดังขึ้น ผมดูเวลาปรากฎว่าตีสาม มันเรื่องด่วนอะไรถึงขนาดต้องโทรมาในเวลาแบบนี้ ทันทีที่ผมรับสายก็รับรู้ได้ถึงความกระอักกระอ่วนใจที่จะพูดของเพื่อน คล้ายกับไม่แน่ใจว่าจะพูดหรือควรพูดดีหรือเปล่า บางทีอาจจะไม่มั่นใจในสิ่งที่เจอหรือเห็นมาด้วยซ้ำ จนในที่สุดเหมือนตัดสินใจได้แล้ว เลยบอกว่า “เรื่องนี้..ไว้คุยตอนเช้าดีกว่า” ก็เลยตัดบทจบแต่เพียงแค่นั้น แม้ผมจะพอเดาได้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็เห็นด้วยสุดๆว่าเรื่องนี้…ควรคุยกันตอนเช้าแล้ว

กระทั่งเช้านั้นเพื่อนผมก็โทรมา แล้วเริ่มเล่าให้ฟังยาวเหยียด โดยจับใจความได้ว่า… เมื่อคืนเพื่อนคนนี้กลับมาจากเลิกงานเล่นดนตรีแล้ว ก็อาบน้ำและเข้านอนตามปกติ จนกระทั่งมาตื่นเอาตอนที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคาะกับประตูกระจกทางระเบียงด้านหลัง แต่พอลองไปชะโงกดูก็ไม่เห็นอะไร เสียงก็เงียบไป บางทีอาจจะเป็นเสียงนกที่มาทำรังแถวนั้น หรืออาจะแมวก็ได้ แต่พอกลับมาที่เตียงสักพักก็ดังขึ้นอีก ก็เดินไปเดินมาอยู่ 4-5 รอบได้ จนในที่สุดเลยจะเดินออกไปเปิดดูให้รู้แน่ชัด ขณะกำลังจะเปิดนั่นเอง เสียงเคาะก็ย้ายไปดังขึ้นที่ประตูหน้าห้องทันที! จังหวะนั้นเพื่อนคนนี้ก็ไม่รอช้า ไปเปิดประตูหน้าทันที แต่สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าไม่ใช่นกหรือแมว กลับเป็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาก้มหน้าก้มตาอยู่ใต้ผมยาวดำ เลยทักถามไปว่า “มาหาใครรึเปล่าครับ” แต่ไม่มีเสียงตอบรับ แล้วอยู่ๆเธอก็วิ่งหายไปทางบันไดหนีไฟของตึก เพื่อนก็งงๆกับเหตุการณ์อยู่ซักพัก แต่แล้วก็อดขนลุกซู่ขึ้นมาไม่ได้ เพราะนึกถึงคำที่ผมเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ไม่ได้ว่า “หอนี้ไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จัก” เพื่อนผมก็เลยโทรมาตอนตีสามเพื่อจะถามนั่นเอง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามตอนนั้น และเก็บของออกจากหอกลับไปเงียบๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นผมกับแฟนยังคงอยู่ที่หอนั้นพักหนึ่ง จนในที่สุดเราก็ย้ายหอกันอีกครั้ง วันที่จะย้ายออกเราสองคนช่วยกันเก็บข้าวของกันจนเรียบร้อย จนมาถึงเตียงเจ้าปัญหา…อาจจะดูไม่ดีต่อเจ้าของหอไปบ้าง แต่ความจริงก็คือว่าปกติเราจะรีดเสื้อผ้ากันบนที่นอนนั่นแหละ เลยเป็นเหตุให้ทิ้งรอยคล้ำไหม้ไว้เป็นหย่อมๆ เลยคุยกันว่าเราน่าจะพลิกที่นอนกลับด้านเพื่อกลบเกลื่อนรอยที่ว่านั่น แต่สิ่งที่เราสองคนเจอที่อีกด้านหนึ่งของที่นอนซึ่งเราสองคนนอนกันมาทุกวัน มันเป็นอะไรที่สะพรึงและสยองกว่ารอยไหม้เตารีดด้านบนมากมายนัก เพราะมันมีผ้ายันต์สีแดงบ้าง ขาวบ้าง ติดอยู่กับเตียงเป็นสิบๆแผ่น! ผมก็ได้แต่พูดบอกกับแฟนว่า…มันก็เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อนั่นแหละ แต่ละคนก็มีแตกต่างกันไป

บทสรุปเรื่องเล่าผี Pantip…

จนเมื่อเราได้ย้ายไปอยู่ที่หอใหม่แล้ว ผมยังมีโอกาศได้แวะเวียนมา เลยถือโอกาสถามกับคนดูแลหอที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีว่า… ที่นี่เคยมี “เรื่องเล่าผี” รึเปล่า? และคำตอบของเขาก็ไม่ทำให้ผมแปลกใจแม้แต่น้อย เขาเล่าว่า

“เมื่อราว 2 ปีก่อน มีคดีสะเทือนใจเกิดขึ้น นักศึกษาสาวท้องแล้วคิดสั้น กินยาตายทั้งกลมอยู่ในห้องเช่าที่ว่านั้น ผ่านไปหลายวันถึงพึ่งมีคนมาเจอเพราะกลิ่น”

“แต่รู้มั้ย? ถึงห้องนั้นจะมีประวัติแบบนั้น ก็มีคนย้ายเข้าย้ายออกห้องที่ว่าอยู่เสมอ เป็นเพราะอะไรน่ะเหรอ…ก็เรื่องเงินๆทองๆล้วนๆ เจ้าของเค้าก็รู้ดี แต่ก็ยังเปิดให้เช่าต่อไป ชโดยไม่ทำอะไรเลย เพราะจะได้หลอกกินเงินมัดจำล่วงหน้าฟรีๆยังไงล่ะ ก็เหมือนที่เราโดนมานั่นแหละ”

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://pantip.com/topic/38639861

กระทู้ผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

20/12/2019

เรื่องผีพันทิป | พระธุดงค์ครั้งแรกกับประสบการณ์หลอนนอกวัด

ประสบการณ์ “ธุดงค์ครั้งแรก” เรื่องผีพันทิป จากสมาชิกหมายเลข 2830723 ซึ่งได้เล่าเอาไว้ในเว็บไซต์ Pantip.com ในแท็กเรื่องเล่าสยองขวัญ บอกเล่าเหตุการณ์ของหลวงพี่ท่านหนึ่ง (ซึ่งปัจจุบันเป็นหลวงพ่อที่น่าเคารพนับถือ) ในสมัยที่ตัดสินใจที่จะออกไปแสวงหาและขัดเกลาจิตใจด้วยการออกธุดงค์ป่าเป็นหนแรก ซึ่งย่อมมีความกังวลหรือกลัวเกิดขึ้นบ้าง กระทั่งในคืนแรกที่ท่านไปปักกลดและพบเจอกับกลุ่มวัยรุ่นที่มาตั้งวงกันกลางป่าใกล้กับจุดที่ท่านนั่งสมาธิ เหตุการณ์สยองที่ท่านไม่เคยลืมก็เกิดขึ้น!

เรื่องผีพันทิป : ธุดงค์ครั้งแรก มีอยู่ว่า…

เรื่องเล่าผี เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของหลวงพี่ท่านหนึ่ง จากวัดในเชียงใหม่ ซึ่งมีสมาชิกพันทิปท่านนึงนำเรื่องราวมาบอกเล่าไว้ ย้อนกลับไปเมื่อราวสามสิบปีที่ผ่านมา ขณะนั้นท่านได้บวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดมาได้ 5 พรรษาแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาศได้ออกธุดงค์ตามที่ตั้งใจไว้ ด้วยความที่อะไรๆยังไม่ค่อยลงตัว แม้ว่าการออกธุดงค์จะไม่ข้อบังคับปฏิบัติของวัดแห่งนี้ แต่ก็พระรุ่นพี่ที่บวชมาก่อน แก่พรรษากว่า ได้ออกธุดงค์กันไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตามหลวงพี่ท่านเห็นว่าเวลานี้ถึงสมควรแก่เวลา ที่จะเดินทางออกไปฝึกจิตฝึกใจ ปฏิบัติธรรมตามลำพัง เพื่อมีเวลาในการพินิจพิจารณาสิ่งต่างๆตามหลักธรรม

ในที่สุดก็มาถึงวันที่ต้องออกเดินทาง หลวงพี่นำของใช้ติดตัวสำหรับการออกเดินทางธุดงค์เพียงเท่าที่จำเป็น โดยมากเป็นเครื่องใช้สำหรับการพักแรมในป่า ท่านออกเดินทางเท้าไปเพียงองค์เดียวด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ผ่านชุมชนอยู่อาศัยและหมู่บ้านหลายแห่ง ก็ได้รับความเคารพนับถือด้วยความยกย่อง บ้างก็นำอาหารแห้งและนำดื่มมาถวาย หลวงพี่รู้สึกได้ว่าท่านคิดไม่ผิดที่ได้เดินทางออกมาขัดเกลาจิตใจเพียงลำพัง เป็นประสบการณ์ใหม่ๆที่หาไม่ได้หากปฏิบัติธรรมอยู่เพียงแค่ในวัด โดยไม่นึกไม่ฝันว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ท่านได้พบเจอเรื่องเล่าผี

กระทั่งตกบ่าย หลวงพี่เริ่มมองหาจุดที่เหมาะสมจะเป็นที่พักแรมสำหรับคืนแรก หลังจากเดินเท้าอยู่ครู่หนึ่งก็พบเข้ากับเชิงเขาที่มีพื้นที่ราบเรียบ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจากสายตาจะดูเหมือนเชิงเขาที่ว่าอยู่ไม่ไกลนัก หากแต่ความจริงก็พบว่ามันอยู่ห่างออกไปพอสมควร ซึ่งก็ถือเป็นอีกประสบการณ์ที่ได้รับ จนมาถึงเชิงเขาก็พบว่าเป็นจุดที่เหมาะสมมากเนื่องจากอยู่มนจุดที่สูงมีทิวทัศน์ที่สวย ในขณะที่จุดนี้ก็อยู่ห่างจากชุมชนออกไปไกลพอที่จะแสวงหาความสงบได้ หลวงพี่ปักกลดลงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านแผ่ปกคลุมไปรอบๆ ท่านก็เริ่มนั่งสมาธิ ทำกรรมฐานขัดเกลาจิตใจอย่างที่ได้ตั้งใจไว้ กระทั่งฟ้าเริ่มมืดลงก็ชวนให้สมาธิของท่านหลุดออกมาบ้าง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาพักแรมกลางป่าเขาตามลำพัง ย่อมเกิดความกังวลหรือกลัวขึ้นมาบ้าง อย่างไรก็ตามท่านไม่ปล่อยให้โอกาสในการขัดเกลาทิ้งไป ท่านเริ่มเข้าสมาธิอีกครั้ง จนเวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่ทราบได้ กระทั่งท่านได้ยินเสียงกลุ่มมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คล้ายกับขี่ขึ้นมาทางเขาที่ท่านพำนักอยู่

หลวงพี่ยังคงอยู่ในสมาธิอยู่ ในขณะที่ก็เพ่งจิตใจเพื่อติดตามเสียงที่เกิดขึ้น กระทั่งมันบ่งบอกให้ทราบว่าเหล่ารถจักรยานยนต์หลายคันได้ขี่ผ่านไปไม่ไกล ราวๆไม่เกินร้อยเมตร เสียงรถก็ดับลงแล้วตามมาด้วยเสียงกลุ่มชายวัยรุ่นคึกคะนองพูดคุยกันเสียงดังโหวเหวก แมไม่เห็นด้วยตาแต่ท่านได้ยินเสียงจุดกองไฟชัดเจน สักพักก็ตามมาด้วยเสียงร้องรำทำเพลงและเครื่องดนตรีกันอย่างครึกโครม ดูเหมือนพวกเขาจะมาตั้งวงดื่มกันกลางป่าเขากันในเวลาดึกๆดื่นๆเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเสียงอึกทึกฟังไม่ได้ศัพท์ดำเนินต่อไปอีกราวๆชั่วโมง แล้วจู่ๆโดยที่ไม่มีสัญญาณบอก เสียงผู้คนเหล่านั้นก็ดับหายไปแบบทันทีทันใด กระทั่งเสียงปะทุของท่อนฟืนในกองไฟก็ไม่มี….

เรื่องผีพันทิป ในกระทู้ดังกล่าวยังเล่าต่อไปว่า… จังหวะนั้นเองหลวงพี่ท่านนี้รู้สึกแปลกใจ จึงลืมตาขึ้นท่ามกลางแสงสลัวจากดวงจันทร์ที่สาดส่องลงมา ก่อนจะหันมองไปทางต้นเสียงเมื่อครู่ แต่แล้วก็ได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด จุดที่ควรจะมีกลุ่มวัยรุ่นตั้งวงสังสรรค์รอบกองไฟ กลับไม่มีใครอยุ่ตรงนั้นสักคน มีเพียงกลุ่มควันก้อนใหญ่ลอยอยู่หลังดับไฟ ซึ่งตอนนี้มันรวมรวมตัวจับกันแล้วกลายเป็นรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายกับหน้าคน! ใบหน้านั้นค่อยๆหันมาทางหลวงพี่ ตอนนี้ท่านทำได้เพียงนั่งตัวแข็งเกร็งด้วยความกลัว ควันก้อนนั้นก็ค่อยจับตัวกันใหญ่ขึ้นจนดูแล้วเหมือนกับเป็นร่างผู้ชายสีขมุกขมัว ร่างนั่นค่อยๆเดินมาทางนี้ทีละน้อย มือข้างนึงก็กุมท้องไปด้วยซึ่งมีของเหลวสีแดงสดไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าหวาดหวั่น หลวงพี่พยามตั้งสติและสมาธิเพื่อต่อสู้กับความกลัวในใจท่าน

ในตอนนั้นเองที่มีหยดน้ำหยดลงมาขัดจังหวะจากด้านบน ท่านแหงนหน้าขึ้นไปมองตามสัญชาตญาณ แต่ไม่พบอะไรนอกจากกิ่งไม้และใบไม้ กระทั่งก้มหน้ากลับลงมา ก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ เพราะสิ่งที่อยู่ต่อหน้าท่านตอนนี้คือร่างของชายจากกลุ่มควันที่ลอยห่างออกไปเมื่อครู่ มานังประจันหน้าอยู่ในระยะเผาขนแล้ว! สภาพของร่างนั้นดูน่าสังเวชจากของเหลวสีชาดที่ไหลย้อยออกจากช่วงท้องอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นี่ไม่ใช่คนแต่เป็นผีแน่ๆ ท่านหลับตาลงทันที…แล้วถามออกไปว่า

“โยมมีเรื่องอะไรที่อาตมาพอจะช่วยได้บ้างหรือไม่”

ไม่มีเสียงใดๆขานตอบรับ มีเพียงเสียงลมหายใจฟืดฟาด ตามด้วยเสียงคล้ายกับใครกำลังกินอะไรอย่างเอร็ดอร่อย ในจังหวะเดียวกันกับที่มีกลิ่นคาวเหม็นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ หลวงพี่หรี่ตาขึ้นมามองแวบนึง และได้เห็นภาพที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาปรากฎอยู่ตรงหน้า ร่างที่ว่ากำลังเลียลิ้นดื่มกินของเหลวสีแดงจากช่องท้องตัวเอง! จนเปรอะเปื้อนไปทั้งปาก ท่านเห็นแล้วรีบเอ่ยขึ้นว่า

“อาตมาไม่ได้มีวิชาอาคมอะไร อาตมาไม่สามารถจะสื่อสารกับโยมได้ อย่างไรก็ตามแม้จะไม่รู้ว่าอะไรทำให้โยมตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สิ่งที่อาตมาจะพอทำได้คือ…สวดแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ หากขาดเหลืออะไร ขอให้โยมบอกอาตมาเถิด…”

บทสรุป เรื่องผี Pantip จากปากคำของชาวบ้าน

คืนนั้นหลวงพี่ก็อยู่สวดแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ร่างนั้น กระทั่งรู้สึกตัวอีกทีร่างนั่นก็หายไปแล้ว เช้าวันถัดมาหลวงพี่ก็ออกธุดงค์ต่อไป ในภายหลังหลวงพี่ก็ทราบเรื่องราวว่า ในบริเวณที่ท่านปักกลดในคืนนั้น เคยมีเหตุที่วัยรุ่นมามั่วสุมตั้งวงกัน แล้วเกิดมีการทะเลาะกันรุนแรงถึงขนาดใช้อาวุธมีด จนเป็นเหตุให้หนึ่งในนั้นสิ้นชีพอยู่บนเขาที่ว่านั่น อย่างไรก็ตามหลังจากวันนั้นท่านก็ไม่ได้พบเจอร่างนั่นหรือเหตุการณ์เรื่องเล่าผีใดๆอีกเลย ตลอดทางการธุดงค์ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดใน กระทู้ผีพันทิป นั้น

ขอขอบคุณที่มา เรื่องผี Pantip : https://pantip.com/topic/38065663

กระทู้ผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

06/12/2019
1 2