เรื่องผีพันทิป | เกาะส่วนตัวสยอง..ที่เคยโดนภัยพิบัติสึนามิ

เรื่องนี้เป็น เรื่องผีพันทิป ที่มาจากประสบการณ์ตรงของสมาชิกหมายเลข 2249262 ที่ได้เล่าไว้ใน Pantip ถึงเหตุการณ์ในครั้งที่ตนเธอและเพื่อนๆได้จัดทริปฉลองจบการศึกษาที่ทะเลท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่ง กระทั่งได้ที่พักเป็นเกาะที่เป็นส่วนตัวสุดๆ โดยที่ไม่รู้มาก่อนว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องสยองขวัญ ที่นำมาสู่กระทู้ผีพันทิปกระทู้นี้…

เรื่องผีพันทิป ประสบการณ์หลอน เที่ยวเกาะส่วนตัว มีอยู่ว่า…

เรื่องนี้เกิดขึ้นมาไม่นานนัก และประสบมากับตัวเอง นี่เป็นกระทู้ผี Pantip เรื่องแรกและหวังว่าจะเป็นเรื่องสุดท้าย ตอนนั้นเป็นช่วงที่พวกเราพึ่งจบการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยกันมาหมาดๆ เลยตกลงจัดทริปไปทะเลกัน  ด้วยความที่ค่อนข้างกระทันหัน เราไม่ได้จองที่พักไว้ก่อน กะว่าจะไปหาเอาหน้างานเลย  พอไปถึงช่วงเที่ยงๆเราก็ตามหาที่พักกันโดยถามจากชาวบ้านแถวนั้น เราคุยกันว่าหากได้ห้องที่ติดชายหาดคงจะดี จนกระทั่งเจอป้าคนหนึ่งซึ่งแนะนำที่พักแห่งหนึ่งให้ ซึ่งเป็นบ้านแกเองที่เดิมเป็นเรือนของลูกสาว แต่ลูกป้าแกไม่ได้อยู่แล้ว  ซึ่งโดยปกติก็จะมีแขกหมุนเวียนกันมาพัก และตอนนี้ก็ว่างพอดี

ถึงแม้ว่าที่พักจำเป็นจะต้องนั่งเรือไป แต่เนื่องจากตอนนี้ทุกคนก็เหนื่อยจากการเดินทางและอยากพักกันแล้ว เราจึงตกลงพักที่นี่และจ่ายเงินให้ป้าทันที จากนั้นป้าก็พามาส่งที่ท่าเรือ และบอกว่าจะมีเรือไปรับตอนเย็น แต่หากกลางวันอยากออกไปเที่ยวตามจุดต่างๆก็สามารถโทรมาเรียกเรือได้

ขณะที่โดยสารมากับเรือเร็ว เรารู้สึกได้ว่าคนขับดูรีบเร่ง คล้ายกับว่าต้องการให้งานเสร็จแล้วกลับไวๆอย่างไรพิกล หากแต่มาย้อนนึกในภายหลัง นั่นคงเป็นปฏิกิริยาที่เป็นเหมือนลางบอกเหตุ และแล้วเราก็มาถึงที่พัก อย่างไรก็ตามมันเป็นที่พักที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างมาก มีชายหาดส่วนตัวที่จะไม่ถูกรบกวนจากคนอื่นๆ บรรยากาศก็ดูสดชื่นไปด้วยแมกไม้รายรอบ และมีเรือนไม้หลังเล็กเป็นที่พักอาศัย หลังจากทำธุระกันเสร็จ เพื่อนๆของเราก็เริ่มจัดปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนานกันยันดึกดื่น ในขณะที่หลายคนเริ่มจะได้ที่และสลบสไลกัน เราก็ตั้งกลุ่มนั่งคุยกันกับเพื่อนที่ไม่ได้ดื่ม ตอนนั้นเองที่เราเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ไม่คุ้นหน้า ไม่ใช่กลุ่มเพื่อนเราอย่างแน่นอน เราค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นผู้หญิงยืนอยู่หลังพุ่มไม้ในเงามืด แต่ดูเหมือนเพื่อนๆคนอื่นจะไม่สังเกตเห็น กระทั่งหันไปดูอีกทีก็ไม่เจอแล้ว จนเริ่มคิดไปว่าอาจจะตาลายไปเอง เลยขอตัวไปนอน สาบานได้ว่าจังหวะนั้นไม่ได้คิดไปทางเรื่องผีน่ากลัวๆอะไรเลย

แต่ก่อนหน้านั้นเราแวะไปที่ห้องน้ำภายนอก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราตั้งเตาปิ้งย่างกัน ขณะกำลังเงยหน้าขึ้นมาหลังล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว สายตาก็ไปเห็เข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนกำแพงห้องน้ำแล้วห้อยขาลงมา! ผมของเธอยามากจนประพื้น แม้ไม่ได้เจตนาจะจ้องมอง แต่เธอก็ได้ฉีกยิ้มกว้างชวนสยองกลับมา สิ่งที่เห็นทำให้เราตัวแข็งเกร็งอยู่ตรงนั้น ใจมันบอกว่าต้องเอาตัวเองออกไปจากที่นั่น แต่ขาเจ้ากรรมดันไม่ยอมขยับ ยังกับเส้นประสาทหยุดทำงานอย่างนั้น

ทันใดนั้นเอง ร่างนั้นก็กระโดดผลุงลงมา! เราตกใจมาก หลับนาแล้วร้องกรี๊ดสุดเสียงไปตามสัญชาตญาณโดยไม่ต้องคิด ดูเหมือนเพื่อนจะได้ยินและวิ่งมารวมตัวกันด้วยความเป็นห่วง ผลัดกันถามอย่างร้อนรนว่าเกิดอะไรขึ้น พอเรารู้สึกตัวตั้งสติได้ ตอนนั้นก็ไม่เจอร่างนั้นแล้ว เลยเล่าถึงสิ่งที่พบเจอมาเมื่อครู่ให้เห็นเป็นฉากๆ และสิ่งที่ทุกคนได้ยิน….ก็ทำให้ไม่มีใครซักคนหลับลงได้ในคืนนั้น ตอนนั้นเราภาวนาให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน โดยไม่นึกว่าสุดท้ายจะกลายมาเป็นประสบการณ์ เรื่องผีพันทิป 

เช้าวันถัดมา พวกเรารีบโทรไปตามเรือเร็วแต่เช้า ต้องการให้มารับโดยเร็วที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนที่ไม่ได้นอนแล้ว ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนจะไม่สบายเลยหายากิน ไม่รู้ว่าผลข้างเคียงของยาหรือพิษไข้ทำให้เราแทบไม่มีแรง ขณะที่คนอื่นๆช่วยกันขนของลงเรือกัน เราก็นอนพักโดยที่มีเพื่อนอีกคนคอยดูอยู่ข้างๆ ในจังหวะที่สะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแว่วๆมา แสงแดดแยงตาทำให้เห็นร่างของใครที่ดูคุ้นๆ อ๋อใช่แล้ว…นั่นมันผีผู้หญิงเมื่อคืน!

“จะกลับแล้วเหรอ…?”

นี่คือสิ่งที่เราได้ยิน แม้ว่าเราจะไม่มั่นใจ 100% ว่านั่นเป็นความจริงหรือความฝัน กระทั่งเรือออกห่างจากฝั่ง เราถามคนขับเรือที่มารับว่า…ที่นี่เคยมีเรื่องเล่าอะไรรึเปล่าคะ? ช่วยบอกด้วยเถอะ คนขับก็เล่าให้ฟังว่า…

“อย่าหาว่าพี่อย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ แต่เกาะแถวนั้นมันเป็นเกาะส่วนตัวที่ไม่มีค่อยมีใครเค้าไปกันหรอก เพราะเมื่อก่อนเคยถูกสึนามิถล่ม ตอนนั้นร่างผู้ประสบภัยนับสิบๆก็ไปเกยตื้นอยู่บนนั้น บอกตามตรงนะ คนแถวนี้ยังไม่กล้าผ่านทางนั้นเลย…”

พอได้ฟังแบบนั้นน้ำตาก็ไหลซึมออกมาไม่รู้ตัว พากันร้องไห้กอดกันกลม ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือโล่งใจที่ผ่านมาได้ มันหนักหนาเอาการอยู่ พึ่งจะเรียนจบกันมาแท้ๆ นึกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นซะแล้ว และหากเรื่องมันร้ายแรงกว่านั้น เราคงไม่มีโอกาสกลับมาถ่ายทอดเรื่องราวเป็นเรื่องผีพันทิปให้ทุกคนได้อ่าน กระทั่งขากลับบ้านตอนที่พวกเรายืนรอรถกันอยู่ เราได้แวะซื้อเครื่องดื่มจากร้านแถวนั้น แต่ถูกคนขายทักขึ้นอย่างแปลกใจ

“พวกน้องไปเกาะนั่นกัน อย่าบอกนะว่าเจอ…ผีมา”

มันทำให้เราทั้งทึ่งปนสงสัยว่าเค้ารู้เรื่องได้ไง เพราะไม่น่าจะมีใครรู้นอกจากพวกเรา กระทั่งพี่เขาเริ่มเล่า

“ที่พวกน้องไปเจอกันมาคงเป็น ผีผู้หญิงชุดสีน้ำเงิน ผมยาวลากพื้นล่ะสิ คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ ป้าแก่ที่พวกน้องไปติดต่อเช่าน่ะ แกมีปัญหาทางสุขภาพจิต เดิมทีบ้านบนเกาะนั้นถูกเตรียมเป็นเรือนหอของลูกสาวแกที่ชื่อปิ่น แต่เกิดเหตุสลดขึ้นเสียก่อน”

“ก็อย่างที่รู้ๆกัน เมื่อก่อนตอนสึนามิเข้าที่นี่ ลูกสาวแกก็ประสบภัยจนเสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น ภายหลังป้าแกก็เอาอัฏฐิไปฝังไว้บนเกาะนั้น…”

บทสรุปส่งท้ายเรื่องเล่าสยองขวัญ…บนเกาะ

หลังจากได้รับรู้เรื่องทั้งหมดทำเอาอึ้งไปเลย ไม่นึกว่าจะมีเบื้องหลังขนาดนี้ แต่ในที่สุดพวกเราก็ได้เดินทางกลับเสียที เราต่อรถไปขึ้นรถทัวร์ที่บขส. แต่แล้วช่วงดึกๆราวสี่ห้าทุ่ม หลังจากรถทัวร์วิ่งไปได้สักครึ่งทางนั่นเอง ตอนนั้นรถหยุดจอดเพื่อให้ผู้โดยสารลง สายตาเราก็เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ศาลาข้างทางมีใครบางคนยืนอยู่ ท่าทางคุ้นๆ…ในชุดสีน้ำเงิน ชัดเลย! นี่ตามมาถึงนี่เชียวเหรอ? เราหลับตาเอาหน้าซุกตลอดทาง กระทั่งรถทัวร์จอดแวะปั๊ม เราก็ลงไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า และตอนที่จะล้วงมือไปหยิบหลอดโฟมล้างหน้าในกระเป๋า ก็ไปพบกับอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ของตัวเอง…

มันเป็นกำไลโลหะประดับอัญมณี เลยไปถามเพื่อนๆในกลุ่มว่ามีใครลืมหรือหยิบสลับไปหรือไม่ จนมีเพื่อนคนหนึ่งออกมาเฉลยว่า กำไลอันนี้เพื่อนเราเห็นมันวางอยู่ที่ข้างหัวเตียง และเนื่องจากมันอยู่ใกล้กับกระเป๋าเรา ตอนที่เก็บของกันเลยยัดเข้ามาเนื่องจากคิดว่าเป็นของเรา

เราเองจำได้แน่นอนว่าเราเอาอะไรมาบ้าง และที่สำคัญคือเราไม่เรยเห็นกำไลอันนี้มาก่อน… แต่หลังจากสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน ก็ไปพบกับตัวอักษรบางๆที่สลักเอาไว้ด้านหลัง

“ป – ิ – น… ปิ่น!?”

พอเห็นชื่อนั้นเท่านั้นแหละ แทบจะเป็นลม สมองนึกภาพย้อนไปตอนพี่ที่ขายน้ำเล่าให้ฟัง อย่างไรก็ตามหลังจากกลับไปบ้านแล้ว วันรุ่งขึ้นเราก็ได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัดและให้หลวงพ่อทำพิธีให้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอกับผี “ปิ่น” อีกเลย… จนลืมเลือนไปจากความทรงจำกระทั่งได้นำมาเล่าอีกครั้งในฐานะของ เรื่องผีพันทิป

ขอขอบคุณที่มากระทู้ผีพันทิป : https://pantip.com/topic/33905815

อ่านเรื่องผี เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

24/11/2019

เรื่องผี Pantip | โฮสเทลหลอนข้างสุสาน จ.กาญจนบุรี

สมาชิกพันทิปหมายเลข 3009739 ได้แชร์​ประสบการณ์​หลอน เรื่องผี Pantip ซึ่งประสบพบมากับตัวเองไว้ว่า “โดนผีอำ” ที่โฮสเทลแห่งหนึ่งในกาญจนบุรี โดยในครั้งนั้นตนจะไปร่วมงานบุญกฐินที่วัดป่าในอำเภอสังขละ แต่ด้วยว่าผิดแผนจากกำหนดการที่วางไว้จนต้องจำใจหาที่พักเฉพาะกิจหนึ่งคืน และในคืนนั้นเองที่ซึ่งควรได้นอนหลับพักผ่อนเอาแรง กลับกลายเป็นคืนที่ชวนหลอนที่สุดในชีวิต!

หนุ่มดวงชงเล่า เรื่องผี Pantip สุดหลอนนี้ไว้ว่า…

เรื่องนี้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เพียงอาทิตย์เดียว! ด้วยความที่ภาพจำยังชัดเจน จึงได้ตัดสินใจมา เล่าเรื่องผี ลงพันทิป ในช่วงวันที่ 12-14 ต.ต.ที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานบุญกฐินเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของพระอาจารย์ที่เคารพนับถือในสำนักป่าที่อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี โดยวางแผนไว้ว่าตนจะไปขึ้นรถตู้ที่หมอชิตใหม่เพื่อเดินทางไป และคงถึงราวเย็นๆของวันที่ 12 แต่แล้วเมื่อวันเดินทางมาถึง ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงหยุดยาว รถตู้ถูกจองแน่นทุกที่นั่ง สุดท้ายผมไปได้คิวออกจากหมอชิตก็เที่ยว 4 โมงเย็น เรียกว่ากว่าจะถึงจริงๆคงมืดค่ำไปแล้วเรียบร้อย

แน่นอนว่าเมื่อแผนมันผิดเพี้ยนไปหมด จากเดิมที่กะว่าจะลงบขส.กาญจนบุรีแล้วต่อรถไปสำนักป่า แต่ป่านนั้นรถคงหมดเรียบร้อยไปแล้ว จึงได้คว้าโทรศัพท์คู่ใจออกมาสไลด์หาที่พัก แต่แล้วก็ต้อวพบกับความจริงที่ว่า “นั่นเป็นวันหยุดยาว” การจะได้ที่พักใกล้กับบขส.ในเวลากระชั้นชิดก็หาได้ยากแล้ว สุดท้ายก็ไปได้ที่พักในบริเวณใกล้เคียงที่ห่างออกไปหน่อย ซึ่งเป็นสุสานดอนรัก ใช่แล้ว ถึงที่พักที่ผมหาได้นั้นอยู่ใกล้ชิดกับสุสานขนาดนั้นผมก็ไม่ได้กังวลอะไร ออกจะรู้สึกโล่งใจด้วยซ้ำ ในที่สุดก็ไม่ต้องนอนข้างทาง!

กว่าจะถึงกาญจนบุรีก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มแล้ว เลยต้องต่อมอเตอร์ไซค์วินเพื่อเข้าไปที่พักที่จองไว้ผ่านแอพในราคาสามร้อยบาท โดยผมเลือกเป็นโฮสเทลเตียง 2 ชั้น เรียกว่าอน่างน้อยก็มีเพื่อนล่ะนะ ปรากฏว่าในซอยนั้นดีกว่าที่คิดไว้เยอะ แม้จะอยู่ติดสุสานแต่เต็มไปด้วยร้านั่งดื่มและบาร์มากมาย เรียกว่าที่นั่งผ่านสุสานมาเมื้อกี้คือหายกลัวไปเป็นปลิดทิ้ง แถมที่พกก็ยังสวยดูดีเกินคาด หลังจากได้หมายเลขห้องและเตียงตอนเช็คอิน ก็รีบจะไปนอนทันทีด้วยความเพลีย ห้องของผมอยู่ชั้นแรกตรงข้ามกับบันไดทางขึ้นไปชั้นสอง เปิดผัวะออกมาก็ถึงกับหน้าชาไปเลย เพราะในนั้นไม่เจอใครสักคน จนต้องเดินออกไปถามที่เช็คอินอีกที

“ใช่ครับ คืนนี้มีน้องเช็คอินเข้าพักคนเดียว”

สรุปว่ามีผมคนเดียวในห้องรวมคืนนี้จริงๆ! แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมตัดสินใจออกไปเดินเล่นแถวนั้นราวชั่วโมงจึงกลับมา โดยที่ไม่นึกไม่ฝันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะนำมาสู่การ เล่าเรื่องผี ในกระทู้นี้… เนื่องจากผมนอนคนเดียวเลยเปิดไฟห้องนอนซะเลย แล้วปิดไฟหัวอตียงและรูดม่านเอา นอนหปได้สักพักก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงคนคุยกัน ผมครึ่งหลับครึ่งตื่นด้วยความรำคาญใจ พรางนึกว่าห้องข้างๆคุยอะไรกันหนักหนา นี่มันก็ดึกมากแล้ว แต่พอลองสังเกตุดูดีๆเสียงนั่นไม่ได้ทะลุกำแพงมา แต่มันมาจาก “ร่างเงา” ร่างใหญ่ที่กำลังนั่งทับอกเราอยู่ต่างหาก!

แสงสลัวในห้องกระทบร่างใครบางคนที่ดูสูงใหญ่ โดยแสงทะลุผ่านเข้ามาเป็นเงาทอดอยู่บนม่าน ผมสะดุ้งตกใจอย่างหนัก ห้องนี้มันไม่ควรมีใครอื่นแล้วนะ พรางคิดหาเหตุผลไปเหงื่อก็เริ่มแตก มือไม้สั่นไปหมด ตอนนั้นเริ่มคิดได้ถึงจุดที่ว่า เราต้องสวดอะไรสักอย่างออกไปแล้ว เราต้องท่อง!

“พุทธธังอาราธนัง ธรรมมังอาราธนัง สังคังอาราธนัง”

สวดเสร็จลองเปิดไฟที่หัวเตียงดู ปรากฎว่าไม่เจออะไร นี่มันเรื่องอะไรกัน ใช่ผีรึเปล่า? ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ ขยับตัวก็ลำบาก พลางเริ่มสวดแผ่เมตตาต่อ แล้วเอามือควานค้นหาของที่พอจะช่วยได้ในเวลาแบบนั้นก็ไปเจอผ้ายันต์ในกระเป๋าผืนหนึ่ง เพราะเกิดแผ่ไปแล้วเขาไม่รับก็ซวยนะสิ!

สวดจบ สาธุๆ ก็มีเสียงเฮโลดีใจของผู้ชายดัง เฮๆๆๆ เหมือนกับดีอกดีใจรอดดังเข้ามาอีก พยายามคิดให้ได้ส่าเป็นเสียงคน เรียกความกล้าเฮือกสุดท้ายหยิบข้าวของแล้ววิ่งออกจากห้องไปที่ล็อบบี้ทันที ในใจคือไม่อยู่ที่นี่แล้ว เลยออกเดินไปเรื่อยๆ เจอที่พัก 3 ที่ก็เต็มมันทุกที่ ตอนนั้นตี 2 แล้วสุดท้ายก็ยอมจำนน ต้องกลับมาที่เดิมแต่ไม่เข้าไปนอนในห้องกับผีแล้วนะ งั้นก็นอนมันหน้าล็อบบี้นี่แหละ ที่ล็อบบี้แม้ไม่มีใคร(เจ้าของจะเข้ามาตอนมีแขกโทรไปเรียกมาเช็คอินเท่านั้น) อย่างน้อยก็ยังมีกล้องวงรปิดเป็นเพื่อน ซ้ำยังมีโซฟาและพัดลมให้นอนได้ นอนจนกระทั่ง 7 โมงเช้าเจอแขกคนนึงออกมาทานอาหารเช้าในก้องถัดจากล็อบบี้ ทีแรกลุงแกนึกว่าเป็นพนักงาน ถามไปถามมาแกก็สงสัยว่าทำไมเรามานอนตรงนี้ ครั้นจะเล่าไปก็กลัวจะหาว่าบ้า เลยแกล้งบอกไปว่าเมื่อคืนเมาแล้วเผลออ้วกใส่ที่นอน จนกระมั่งฟ้าสว่างแล้วถึงกล้ากลับเข้าไปเอาของที่เหลือในห้อง เนื่องจากว่าในห้องมีห้องน้ำแยกในห้อง ปรากฎว่าในห้องตรงหัวเตียงผมนี่หันเข้ากับส้วมพอดิบพอดี ฮวงจุ้ยไม่น่านอนเอาซะเลย

ตอนจบของ กระทู้ผีพันทิป จากประสบการณ์จริง…

สรุปสุดท้ายผมก็ไม่ได้เล่าเรื่องหรือถามกับใครในนั้น กระทั้งได้มาเรียบเรียงเล่าเป็น เรื่องผี Pantip เพียงแต่ได้ยินว่ามีแขกผู้หญิงคนนึงบ่นว่าตอนตีสอง อยู่ๆแอร์ในห้องก็ดับ ซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่ผมเจอเงาประหลาดพอดิบพอดี สุดท้ายหลังจากเสร็จงานกลับไปแล้ว ได้เอาเลขเตียงไปซื้อสลาก ปรากฎว่าถูกได้ตังค์มานิดหน่อย จังทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณตนนั้น

ขอบคุณที่มาประสบการณ์สยอง : https://pantip.com/topic/39325142

อ่าน เรื่องผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

19/10/2019

เรื่องผี พันทิป | “บนชั้นที่ 12” หอพักม.ดัง หน้าโลตัสหาดใหญ่

เรื่องผี พันทิปเรื่องนี้มีอยู่ว่า…สมาชิกพันทิปหญิงท่านหนึ่งได้มาเล่าประสบการณ์สยองครั้งเป็นเฟรชชี่ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในหาดใหญ่ ใบ้มาว่า..สถานศึกษาแห่งนี้ตั้งอยู่หน้าห้าง Tesco Lotus และด้วยความจำเป็นจึงต้องย้ายมาอยู่หอพักภายในมหาวิทยาลัยลัย โดยได้อยู่หอหลังหนึ่งบนชั้นที่ 12

เรื่องผี พันทิป : ชั้น 12 สยองขวัญ! หอพักของนักศึกษาม.ดังภาคใต้

เธอมีรูมเมทเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลาย โดยครั้งแรกที่ย้ายเข้ามาก็ได้สังเกตเห็นว่า..ห้องดังกล่าวมีแผ่นยันต์ติดไว้ที่หน้าประตูห้อง หากแต่ไม่ได้คิดอะไรไปกว่า นั่นคงเป็นของที่ทิ้งไว้จากเจ้าของห้องคนก่อน…

จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากที่เรียนมาตลอดทั้งวัน และยังมีกิจกรรมเฟรชชี่ต้องไปทำต่อ ในช่วงเย็นวันนั้น…เธอจึงได้นอนพักผ่อนเอาแรง รอเพื่อนๆรูมเมทกลับมาแล้วจะได้ออกไปทำกิจกรรมด้วยกัน

ในช่วงที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น…ได้เหลือบมองไปทางระเบียงก็พบว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจ หากแต่เป็นร่างของผู้หญิงผมสั้นคน(ตน)หนึ่ง ที่เดินทอดมาจากระเบียงมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียงของเธอ ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆหันหน้ามามอง…จนทำให้เธอเห็นว่า หน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ซึ่งควรจะมีตา ปาก จมูกจัดรูปวางเรียงอยู่ กลับหายไป…มีเพียงแต่ใบหน้าโล้นๆ ดำๆ อยู่ภายใต้เงามืด!

เธอพยายามจะขยับตัวตอบสนอง หากแต่ร่างกายไม่ขยับดังใจนึก ทันใดนั้นเพื่อนร่วมห้องก็เข้ามาพอดี จู่ๆผู้หญิงปริศนาคนนั้นก็หายตัวไป

เธอไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้รูมเมทฟัง จนกระทั่งกลับมาจากทำกิจกรรม เธอยังคงรู้สึกกลัวมากจนต้องอาบน้ำด้วยการเปิดประตูไว้ และในคืนนั้นเอง ขณะที่เพื่อนในห้องอีกสองคนหลับไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็มาปรากฏตัวอีก

ผู้หญิงคนนั้นเอาแต่จ้องเธอเขม็ง เธอทำได้แต่เพียงร้องไห้อย่างที่ทำอะไรไม่ถูกอยู่ใต้ผ้าห่ม จนกระทั่งตีสาม รูมเมทคนนึงตื่นมาพอดี เธอจึงเล่าเรื่องที่พบเจอให้ฟังแบ้วอยู่คุยเป็นเพื่อนกันยันเช้า

เย็นวันนั้นเพื่อนๆรูมเมทหนีกลับบ้านกันหมด เธอได้ไปเล่าให้ยามประจำหอฟัง ยามก็ยิ้มแบ้วบอกอย่างมีเลศนัยว่า “โดนเข้าแล้วไงลูก” เธอตัดสินใจเอาหมอนผ้าห่มมานอนใต้หอพักจนเช้า และจะขึ้นไปก็เฉพาะตอนอาบน้ำเท่านั้น

จนกระทั่งวันต่อมาเพื่อนรูมเมทได้กลับมา โดยบอกว่าได้ไปเล่าให้ที่บ้านฟังและนำน้ำมนต์จากวัดดังมาด้วย เธอกับเพื่อนจึงนำน้ำไปรดพรมทั่วห้องบนชั้น 12 หากแต่ว่าไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย เธอยังคงรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ในเวลากลางคืน

ต่อมามีเหตุการณ์รุ่นพี่รหัสที่อยู่หอใกล้กัน ขอมาใช้ห้องน้ำในห้องพักของเธออาบน้ำ เนื่องจากน้ำที่หอไม่ไหล หลังรุ่นพี่อาบเสร็จก็เล่าให้หังว่ารู้สึกแปลกๆกับห้องนี้ เธอจึงได้ตัดสินใจเล่าเรื่องที่พยเจอมาให้รุ่นพี่ฟัง

หลังจากที่ได้ฟัง รุ่นพี่มีอาการทันที หน้าถอดสีและนึกขึ้นได้ว่า…เมื่อก่อน มีเหตุการณ์ที่นักศึกษาสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่บนหอชั้นสูงๆ แต่ไม่ทราบว่าชั้นไหน ได้นั่งมอเตอร์ไซค์ไปกัยแฟนหนุ่มแล้วประสบอุบัติเหตุรถล้ม คนผู้ชายไม่เป็นอะไร หากแต่ผู้หญิงกลับถูกรถที่ขับตามมาทับ เหยียบใบหน้าเต็มๆ

ในช่วงแรกที่นศ.หญิงคนนั้นเสีย ของใช้ต่างๆยังคงอยู่ในห้องนั้น เนื่องจากทางญาติๆยุ่งอยู่กับงานฌาปนกิจ แต่แล้วในเวลากลางคืน..เพื่อนร่วมห้องกลับไม่สามารถนอนหลับได้ เนื่องจากนศ.คนนั้นหวงที่หวงของมาก เธอยังคงกลับมาเดินวนในห้องบ้าง มาเข้าฝันบ้าง จนเพื่อนร่วมห้องต้องนำผ้ายันต์มาติดไว้ที่ประตูทางเข้าและระเบียง แม้ว่าจะไม่มาเดินในห้องแล้ว แต่ยังคงมาเข้าฝันแล้วบอกเพื่อนว่า..เธอต้องการมาเอาของของเธอ ทำไมต้องติดยันต์กันเธอด้วย!

ได้ฟังเช่นนั้นเฟรชชี่ผู้เล่าได้หันไปดูที่ประตูและพยกับยันต์ที่ว่าจริงๆ แต่เมื่อหันกลับไปดูที่ประตูระเบียง มันเหลือเพียงคราบกาว 2หน้าเก่าๆเท่านั้น ผ้ายันต์หายไป! แย่แล้วไงล่ะ!

หลังจากนั้น เพื่อนร่วมห้องก็ไม่กลับมาอยู่ห้องนี้อีกแล้วกลับไปอยู่บ้าน ส่วนตัวคนเล่าก็มักจะไปอยู่ห้องเพื่อนข้างเคียง จะเข้ามาก็เฉพาะเวลาอาบน้ำหรือหยิบของ โดยทุกครั้งก็จะให้เพื่อนมาด้วย และยังคงรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองดูอยู่ตลอดทุกครั้งที่เข้ามา…

หลังจากนั้นภายในกระทู้เรื่องผี พันทิปที่เธอได้เล่าไว้ในเว็บไซต์ Pantip ก็มีผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นกันมากมาย โดยในจำนวนนั้นก็มีคนที่เคยเรียนที่เดียวกันออกมาเล่าประสบการณ์ที่ตนเองได้พบเจอ….

ขอขอบคุณที่มา กระทู้ผีพันทิป : สมาชิกพันทิปหมายเลข 2421884 https://pantip.com/topic/35711236

อ่านเรื่องผี เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

30/09/2019

กระทู้ผีพันทิป | บ้านพักผีสิงที่หัวหิน หลอนกันยกครัว!

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับสมาชิกพันทิปท่านหนึ่ง ที่มีโอกาสได้มาแชร์ประสบการณ์สุดสะพรึง กระทู้ผีพันทิปของการไปเที่ยวหัวหินในช่วงปีใหม่ โดยเธอและครอบครัวได้ไปพักที่พักแห่งหนึ่งแล้วต้องพบกับเหตุการณ์ประหลาดที่ไม่คาดฝัน กระทั่งบทสรุปที่เฉลยเรื่องราวอย่างไม่คาดคิด จนเป็นอีกหนึ่งกระทู้ที่ได้รับความสนใจในตอนนั้น หากแต่ “จู่ๆ” กระทู้ผีพันทิปดังกล่าวก็ถูกลบออกไปจากระบบ จนเป็นที่กล่าวขานและถามถึงเรื่องราวในกระทู้นั้นกัน ว่ามันเป็นมาอย่างไร กระทั่งเรื่องราวได้มาปรากฎขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตอีกครั้งจากปากคำบอกเล่าของผู้ที่คงจะทันได้อ่านกระทู้นั้นเมื่อหลายปีก่อน โดยเรื่องราวมีรายละเอียดดังนี้

กระทู้ผีพันทิป ประสบการณ์สยองตอนไปเที่ยวช่วงปีใหม่

ทางสมาชิกพันทิปเจ้าของเรื่องเล่าไว้ว่าในช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ เธอและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดราชบุรีและหัวหิน ในช่วงสองวันแรกเหตุการณ์เต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน กระทั่งเข้าวันที่ 3 ซึ่งเธอได้เข้าพักที่พักแห่งหนึ่งผ่านการจองจากทางอินเตอร์เน็ต เะอบอกเล่าถึงลักษณะของที่พักแห่งนี้ค่อนข้างละเอียด เป็นต้นว่า เป็นบ้านพักในหัวหินที่เป็นบ้านเดี่ยว ซึ่งมีสระว่ายน้ำในตัว มีห้องหับให้เลือกใช้มากถึง 4 ห้องนอนและ 3 ห้องน้ำ ส่วนเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งรวมถึงข้าวของเครื่องใช้ก็มีอย่างไม่ขาดตก อีกทั้งยังมีที่จอดรถขนาดใหญ่ซึ่งสามารถจอดได้ถึงสามคัน เรียกได้ว่ามองยังไงนี่ก็เหมือนเป็นบ้านคนอยู่ มากกว่าที่จะตกแต่งเพื่อไว้ให้เช่าพักเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทีแรกเป็นที่พึงพอใจของเธอและครอบครัวมาก เพราะเธอขนญาติๆกันมาถึงสี่ครอบครัว ในราคาคืนละ 12,000 บาทก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างมาก ซึ่งในวันแรกที่เข้าพักก็ได้เจอกับ “เจ้าของบ้าน” เป็นหญิงร่างเล็กผิวคล้ำ อายุราวสี่สิบกว่าๆ ซึ่งเล่าให้เธอฟังว่าเดิมทีที่นี้เป็นบ้านที่เธอกับสามีชาวต่างชาติอาศัยร่วมกัน กระทั่งมีเหตุให้สามีต้องกลับไปต่างประเทศ ทำให้บ้านหลังนี้ว่างลงจึงปล่อยให้เช่าเป็นที่พัก เพราะปัจจุบันเธอเองก็ไปอาศัยกับลูกสาวในตัวเมือง

สมาชิกพันทิปท่านนี้เล่าอีกว่าตอนที่เธอเข้ามายังบ้านหลังนี้ในทีแรกก็รู้สึกได้ถึง “อะไรแปลกๆ” ทันที รู้สึกหวั่นวิตกกับบรรยากาศแปลกๆ ซึ่งเธออธิบายเพิ่มเติมว่าปกติเธอจะมีสัมผัสกับเรื่องผีๆอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาเจอศาลพระภูมิเธอก็ได้ไหว้บอกกล่าวขอเจ้าที่เจ้าทางไปหนึ่งทีเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ พร้อมคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าต่างหากที่ทำให้รู้สึกไม่ดี คืนนั้นพวกเธอก็สร้างสรรค์ปาร์ตี้กันอย่างอรรถรถ เนื่องจากมีสระน้ำในตัวบ้าน เหมาะแก่การดื่มฉลอง กระทั่งเริ่มดึก 4 ทุ่มกว่าก็พาเด็กๆไปเข้านอน เหลือเพียงหนุ่มสาวที่ตอนนี้ย้ายเข้ามาตั้งวงกันในบ้าน จู่ๆพี่สาวของเธอก็เอ่ยถามเปิดประเด็นขึ้นมา

“คิดว่า…บ้านหลังนี้เป็นยังไง?”

อาจจะดูเป็นคำถามที่ไม่ได้เจาะจงอะไรเป็นพิเศษ แต่เธอรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที จึงพยายามกลบเกลื่อนพูดไปว่า “ก็สวยดี…” แต่พี่สาวก็ยังวกกลับมาจนได้

“พี่รู้สึก…แปลกๆอ่ะ”

หลังจากนั้นเหมือนแฟนของน้องชายจะรู้ทันว่าต้องการสื่ออะไร จึงพยายามเซ้าซี้ให้เราและพี่สาวพูดออกมา อย่างไรก็ตามบทสนทนาจบลงที่แฟนพี่สาวพูดปัดขึ้นมาว่า “ไม่เห็นมีอะไรแปลกนี่ คิดมากกันเปล่า” เป็นกันตัดบทเข้าสู่วงสนทนาเรื่องเล่าผีแค่ตรงนั้น หลังจากนั้นต่างคนต่างก็ย้ายกันไปนอนกันตอนตี 1 มีเพียงเพื่อนชายของน้องชายที่มาด้วย นอนอยู่ที่โซฟาที่โถงกลาง กระทั่งเวลาตี 2 ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น

ตอนนั้นเธอลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำด้วยความงัวเงีย ซึ่งต้องผ่านโถงกลางที่มีเพื่อนน้องชายสองคนนอนอยู่ไป แต่แล้วสิ่งที่สะดุดตาเธอท่ามกลางความมืดคือ ร่างของเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่ริมสระน้ำด้านนอก เธอตกใจสะดุ้งเนื่องจากไม่คิดว่าจะมีใครไปทำอะไรในเวลาแบบนั้น แต่เมื่อเขยิบเข้าไปดูใกล้ๆก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะนั่นเป็นหนึ่งในหลานสาวของเธอ น้องแบมอายุ 8 ขวบ กำลังนั่งห้อยขาอยู่ในสระน้ำด้านนอกอยู่ตามลำพังคนเดียว ในตอนตี 2 เธอเรียกหลานเธอเสียงดัง

“น้องแบม…มาทำอะไรตรงนี้ลูก”

ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่จู่ๆร่างนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในขณะที่มือก็ตีน้ำในสระเล่นอย่างพึงพอใจ เธอเห็นว่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบเปิดประตูแล้ววิ่งไปจับหลานทันที แต่ต้องสะดุ้งแทบหยุดหายใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าเธอไม่ได้ลืมตา เธอหลับอยู่!? เธอพยายามจะปลุกด้วยการเขย่าตัวเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น กระทั่งเพื่อน้องชายที่นอนอยู่รู้สึกตัวเลยตามออกมาแล้วอุ้มร่างน้องแบมเข้าบ้าน

เธอไปปลุกน้าสาวซึ่งเป็นแม่ของน้องแบม ปรากฎว่าตกใจมากเมื่อรู้เรื่อง อย่างไรก็ตามน้องแบมยังคงหลับตาอยู่ น้าจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องเนื่องจากเปียกปอนทั้งๆอย่างนั้น คนอื่นๆถูกปลุกขึ้นมาตามๆกันด้วยเสียงดังโหวกเหวกกลางดึก ตอนนั้นเธอรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ “ไม่มาดีแล้ว” จึงเดินออกไปยกมือกล่าวกับศาลพระภูมิที่หน้าบ้านว่า…ตนและครอบครัวมาเพื่อเที่ยวพักผ่อนเท่านั้น ได้โปรดอย่าแกล้งหรือรับแกกันเลย ปรากฎว่าหลังจากเข้ามาในบ้านก็พบว่าน้องแบมตื่นขึ้นแล้ว! คุณพ่อของน้องก็ซักถามเธอว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น โดยจับใจความได้ว่า น้องถูกใครบางคนชวนมาเล่นน้ำ คนในที่นั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ใครที่ว่าน้องเองก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน สุดท้ายพ่อของน้องก็ตัดบทด้วยการบอกว่า น้องแค่ละเมอเอาไปฝันจากตอนที่ได้เล่นน้ำตอนเย็นเท่านั้น ขอให้ทุกคนกลับเข้านอน ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยเข้าตีสาม อย่างไรก็ตามน้องแบมะคยมีอาการละเมอมาก่อน แต่การที่จะเดินออกไปนอกบ้านเพื่อไปเล่น้ำในที่แปลกที่แปลกทาง แถมยังบอกว่ามีคนชวนนั้น นับว่าไม่ปกติ

คืนนั้นเรานอนไม่หลับ กระทั่งได้กินยาคลายเครียดไปจึงนอนได้จนมาตื่นตอนเช้า เราก็พากันออกไปเที่ยวกันในช่วงกลางวัน อย่างไรก็ตาม…ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะเคลียร์ใจกันแล้วว่าเป็นเพียงอาการละเมอ หรือเพราะว่ากลัวที่จะหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง แต่เธอก็แอบบอกกับแฟนว่า “ที่นี่มันมีอะไรแปลกๆจริงๆนะ เรารู้สึกแบบนั้น” แต่แฟนก็ตัดบทและปลอบว่าเธอคงเครียดแล้วคิดมากเกินไป เอาเรื่องนํ้นะรื่องนี้มาผสมกัน เธอก็ทำได้แค่คิดเงียบๆภายในใจ กระทั่งแฟนน้องชายเปิดบทสนทนาขึ้นมาว่า…เมื่อคืนตัวเองฝันเห็นชายชาวต่างชาติมานั่งกินดื่มสังสรรค์กันในวงด้วย ก่อนจะตบมุกติดตลกว่า สงสัยอยากได้แฟนฝรั่งเลยเก็บเอาไปฝัน เรียกเสียงฮาให้กับโต๊ะอาหาร แต่ไม่ใช่กับเธอแน่นอน มันยิ่งทำให้เธอยิ่งประติดประต่อไปไกลมากขึ้น

และแล้วในคืนนั้นเอง แม้ว่าใจจริงเธอไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว แต่ก็จำใจอยู่ต่ออีกคืน คืนนั้นเธออาสาไปนอนกับหลาน โดยที่ปล่อยให้น้าๆและหนุ่มสาวอยู่สังสรรค์กันให้เต็มที่ ในขณะที่อยู่ในห้องเธอก็ชวนพาเด็กๆเล่นกันอย่างสนุกสนาน กระทั่งน้องแบมเอ่ยปากเล่าขึ้นมาว่า

“เมื่อคืนน้องแบมไม่ได้ละเมือนะคะ แต่มีลุงฝรั่งมาอุ้มน้องแบมไปเล่นน้ำที่สระ เค้ายังร้องเพลงภาษาอังกฤษให้ฟังด้วยค่ะ”

แม้จะเป็นบทสนทนาสั้นจากปากเด็ก แต่ไม่น่าเชื่อว่าเวลานี้มันจะทำให้เธอขนลุกยิ่งกว่าดูหนังผีน่ากลัวๆเรื่องไหนๆ เธอพยายามซักหลานต่อไป

“แล้วน้องแยมรู้จักเค้าเหรอ? ถึงได้ไปเล่นกับเค้าน่ะ”

“น้องแบมไม่รู้จักแต่จำได้ค่ะ เมื่อวานตอนเรามาถึง…ลุงคนนี้มากับป้าเจ้าของบ้าน เค้ายืนอยู่ตรงระเบียงตรงนั้น น้าไม่เห็นหรอคะ?”

ตอนนั้นเธอเริ่มรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็เก็บเงียบไว้โดยตัดสินใจที่จะยังไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพราะกลัวจะขวัญเสียกันเปล่าๆ ก่อนบอกให้หลานๆรีบเข้านอน แล้วเธอก็แยกกลับห้อง กระทั่งเที่ยงคืนแล้วแต่ตัวเธอเองกลับนอนไม่หลับ ในขณะที่ข้างนอกยังคงนั่งดื่มกันอยู่ เธอจึงลุกขึ้นมาจัดแจงเก็บข้าวของคร่าเวลา ถ้าเพียงแค่ย่นเวลาที่จะยืนอยู่ในบ้านหลังนี้ได้เพียงสัก 15 นาทีก็ยังดี หลังจากเสร็จแล้วเธอก็พยายามคร่าเวลาต่อด้วยการมองหาไปทางชั้นและหัวเตียง เผื่อว่าจะเจอหนังสือหรือนิตยสารให้อ่านบ้าง กระทั่งเธอไปหยิบได้หนังสือเล่มหนึ่งเข้า…

“รู้มั้ยคะ? ว่าเราไปเจออะไรเข้า…!!”

สิ่งที่เธอเจอเข้าโดยบังเอิญ เป็นอัลบั้มภาพถ่ายเล่มใหญ่สองเล่ม โดยที่เล่มแรกเป็นรูปงานแต่งงานองเจ้าของบ้านที่เธอได้พบไปแล้วตอนเข้าพักวันแรก กับสามีชาวต่างชาติที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก…อย่างไรก็ตามปัญหาอยู่ที่เล่มถัดมา เพราะเป็นรูปจากงานฌาปนกิจศพ โดยที่เจ้าของงานคือตัวสามี! ทันทีที่เห็นก็ทำให้เธอช็อคไปในทันที…กว่าที่จะเรียกสติกลับมาได้ในอีกพักใหญ่ แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพียงแต่ออกไปชักชวนให้คนอื่นๆเลิกดื่มแล้วเข้านอน เพื่อจะได้รีบออกจากที่นี่กันแต่เช้า โดยที่แฟนเธอก็แย้งขึ้นมาอย่าบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่า จะรีบไปไหน พรุ่งนี้เรามีแพลนพาเด็กๆไปเที่ยวสวนน้ำกัน กว่าจะออกก็บ่ายๆ แต่เธอก็โน้มน้าวว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เหมือนจะเป็นไข้ ก็ตกลงกันว่าจะออกไปหาหมอตั้งแต่เช้า ในใจตอนนั้นก็อยากเล่าเรื่องให้ทุกคนฟังแต่เหมือนในใจยังไม่ค่อยมั่นใจ อยากยืนยันรูปกับน้องแบมก่อน ว่าชายชาวต่างชาติที่เจอนั้นใช่คนเดียวกันกับในรูปหรือไม่ 

กระทั่งตอนเช้า แฟนของน้องชายจากห้องข้างๆเข้ามาปลุกเธอ

 “เจ๊ๆ เมื่อคืนหนูฝันอีกแล้ว…ฝันเห็นฝรั่งคนนั้น คราวนี้มานอนบนเตียงด้วยเลย!”

เธอได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจเด็ดขาด หยิบอัลบั้มรูปถ่ายเล่มแรกออกมาให้ดู ปรากฎว่าแฟนของน้องยืนยันได้แทบจะในทันทีว่า “เป็นคนเดียวกันค่ะเจ๊!!” สุดท้ายเธอให้แฟนน้องไปตามตัวน้องแบมมา ปรากฎว่าหลานก็ยืนยันชัดเจนว่า

 “ใช่ลุงคนนี้แหละค่ะ เมื่อคืนก็มาชวนน้องแบมอีกแล้ว แต่น้องแบมไม่ได้ไปด้วย เพราะกลัวคุณแม่ดุอีก”

ถึงตอนนี้เรียกได้ว่ามีหลักฐานและพยานชัดเจน แต่เธอก็ไม่ได้นำรูปเล่มที่สองให้ทั้งสองคนดู เนื่องจากกลัวจะตื่นตกใจกันเปล่าๆ ทางแฟนน้องชายก็พยายามเร่งรัดเอาคำตอบว่าเรื่องมันยังไงอะไรกัน ซึ่งเธอก็กล้ำกลืนฝืนทนจริงๆ กระทั่งสิบดโมงเช้า ทุกคนเตรียมของขึ้นรถเสร็จและจะออกจากที่นี่กัน เธอจึงโทรขอกกับเจ้าของบ้านว่าจะกลับแล้ว แต่เจ้าของบ้านขอกว่าสามารถกลับได้เลย โดยที่กุญแจบ้านนั้นให้นำไปวางไว้บนชั้นวางหน้าบ้าน แล้วเดี๋ยวจะไปเก็บในภายหลัง 

ก่อนออกจากบ้านเธอบอกให้แฟนน้องนำกุญแจไปเก็บที่ชั้นหน้าบ้าน ตัวชั้นนั้นอยู่ค่อนข้างสูงขึ้นไปด้านบนจึงจำเป็นต้องนำเก้าอี้มาวางแล้วปีนขึ้นไป แล้วจู่ๆแฟนน้องที่ปีนขึ้นไปวางก็ทำหน้าราวกับเจอผี! 

 “เจ๊ๆ ขึ้นมาดูสิ!”

เธอปีนขึ้นไปดูบ้างก็เข้าใจทันที ว่าชั้นวางลอยด้านบนนั้นไม่ใช่ชั้นวางธรรมดา หากแต่เป็นหิ้งบูชาที่ซึ่งมีรูปของสามีชาวต่างชาติเจ้าของบ้าน รูปเล็กๆตั้งอยู่! ใช่แล้วมันคือหิ้งบูชาสามีที่ตายจากไป ตอนที่เรามาครั้งแรกเรามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านบน เลยเข้าใจไปว่าเป็นหิ้งพระ 

กระทั่งรถได้เดินทางออกมา โดยที่เธอนั่งเงียบๆมาตลอดทางจนแฟนผิดสังเกต และตอนพักทานข้าวกัน  ดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่ายแฟนของน้องชายที่อึดอัดจนต้องถามออกมากลางวงว่า “ถามจริงๆเถอะ มีใครเจออะไรแปลกๆในนั้นมั้ย?” จนทีนี้แหละที่มีคนยอมเล่ากัน โดยเริ่มตั้งแต่ครอบครัวน้องแบม น้าหญิงเล่าว่าตอนกลาคืนหลานมีอาการละเมอหัวเราะ ราวกับกำลังเล่นกับใครอยู่ ส่วนน้าชายเล่าว่าเมื่อคืนตอนที่นั่งดื่มกัน เค้าเห็นชายต่างชาตินั่งอยู่ริมสระมองมาทางนี้แล้วยกแก้วขึ้น คล้ายกับจะขอชนแก้ว แต่น้าทำเป็นไม่ใส่ใจเพราะรู้แน่แล้วว่านั่นไม่ใช่คน ในณะที่เพื่อนน้องชายอีก 2 คนที่นอนโซฟาด้านนอกเล่าว่าในคืนแรกกลางดึกได้ยินเสียงคนพูดเป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้เอะใจเพราะเข้าใจว่ามาจากทีวีของห้องใดห้องหนึ่ง ส่วนคืนถัดมาก็เจอเงาคนเดินไปมาอยู่แถวสระด้านนอก แต่ไม่มีใครกล้าทัก เพียงแค่สะกิดเรียกันดูเท่านั้น

ส่วนสาเหตุที่เธอนิ่งเงียบมาระหว่างนั้งรถนั้น เพราะตอนที่ออกมาเธอได้ยินเสียงเพลงภาษาอังกฤษ เป็นเพลงที่คล้ายกันกับที่น้องแบมเล่าให้ฟังตอนเหตุการณ์สระน้ำ บางทีอาจเป็นเพลงส่งลา หลังจากทริปนี้จบลงเธอก็ได้ไปทำบุญใส่บาตรและอุทิศส่วนกุศลให้ฝรั่งคนนั้น ส่วนน้าชายพาน้องแบมไปอาบน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ที่วัด อีกทั้งนึกย้อนไปว่าหากวันนั้นไม่ได้ไปพบน้องก่อน น้องอาจถูกพาตัวไปอยู่ด้วยแล้วก็ยิ่งขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เพราะสระที่ว่านั้นลึกระดับอกของผู้ใหญ่ และน้องก็ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ในความเห็นของเธอคิดว่าเขาคงจะเหงาเพียงเท่านั้น จึงออกมาปรากฏตัวให้เห็น คงไม่ได้มีเจตนามิดีมิร้าย

อย่างไรก็ตาม ทริปนั้นก็ทำเอาคนเจ้าสำราญอย่างพวกเพื่อนน้องชายสงบเสงี่ยมไปเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์จริง ซึ่งถ้าหากไม่เจอกับตนเองก็คงจะไม่เข้าใจ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มันน่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องเล่าผีที่เคยอ่านมาทั้งหมด…และนี่คือเรื่องราวของหนึ่งในกระทู้ผีพันทิประดับตำนาน

ขอขอบคุณที่มา กระทู้ผีพันทิป : https://pantip.com/topic/35113856

อ่านเรื่องผี เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

12/04/2018

กระทู้มหากาพย์…จากคนสู่ ‘เปรต’

จากเรื่อง : เล่าประสบการณ์…ภรรยาเก่าผมตาย และเธอไปเกิดเป็นเปรต
เรื่องเล่าจาก : เรื่องเล่าสยองขวัญ พันทิป
เล่าโดย : สมาชิกหมายเลข 4020977

สวัสดีครับทุกท่าน กระผมชื่อบุญส่ง (นามสมมุติ) อายุอยู่ในวัยพอสมควร ผมใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นานว่าควรจะแบ่งปันเรื่องราวของผมดีหรือไม่ เหตุผล เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวกับโซเชียลมากนัก ด้วยเป็นคนสมถะ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเกินความจำเป็น

แต่พระอาจารย์ ผู้มีเมตตา และกรุณาช่วยเหลือผม ท่านแนะนำว่า ผมคือผู้มีประสบการณ์ตรง เหมือนพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้วออกประกาศสิ่งที่พระพุทธองค์รู้ ให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย จึงจะเกิดกุศล ผมเองก็ควรจะออกไปประกาศสิ่งที่พบ ให้ผู้อื่นได้รู้เช่นเห็นจริงดังที่ผมได้เจอมา

ผมถามพระอาจารย์ว่า มันจะดีจริงๆหรือครับ เพราะเรื่องพวกนี้ ทุกวันนี้ มันกลายเป็นหนัง เป็นความงมงาย เป็นเรื่องตลกขบขันไปหมดแล้ว หากผมนำออกไปเล่า คงจะมีคนพากันเหน็บแนม ดูถูกให้ผมเคืองใจเป็นแน่

พระอาจารย์ตอบผม บัวยังมี4เหล่า เต่ายังมี4ขา ปลาหรือก็มีหลายชนิด มนุษย์ล้วนเป็นไปตามกรรม หากเขาฟังเธอ แล้วติเตียนเหน็บแนมเธอ ก็ขอให้คิดเสียว่า นั่นคือกรรมของเขาเอง

แต่หากมีผู้ฟังสิ่งที่เธอเล่า แล้วประพฤติตาม นั่นคือผู้มีบุญ เธอเล่าไป1000คนมีคนเชื่อเธอแล้วเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เกรงกลัวต่อบาปเพียง1คน นั่นคือกุศลต่อตัวเธอแล้ว

เมื่อได้ฟังคำตอบดังนี้แล้ว ผมจึงตั้งใจมาถ่ายทอดเรื่องราว ชีวิตของผมเอง ให้ท่านได้พิจารณาตามแต่เวรและกรรมของตัวท่านเอง

ว่าจะมองไปในทิศทางไหน เรื่องที่จะเล่านี้ ผมไม่ได้แต่งเติมเสริมความแต่ประการใด เป็นการพยายามเรียบเรียงจากความทรงจำ

ผมไม่ใช่นักเล่า นักพูดมืออาชีพ เป็นเพียงผู้ปฏิบัติธรรมขั้นต้น ที่มาเล่าสู่ท่านฟังท่านอ่านเท่านั้น ขออย่าได้กล่าววาจาว่าร้ายต่อกัน

แต่เพราะเรื่องราวนี้ มีผู้เกี่ยวข้องโดยตรงคือ อดีตภรรยาของผมและเธอก็เป็นแม่ของลูกสาวผม ผมไม่ได้ต้องการมาประจานเธอ

ผมจึงขอใช้นามแฝง และไม่เจาะจงลงไปให้แคบมากเกินไป เพราะนั่นไม่ใช่ใจความสำคัญที่ต้องการจะสื่อให้ทราบ

ผมเป็นคนบ้านนอกครับ เป็นคนกระบี่ ผมมีพี่น้อง6คน พ่อแม่ผมค่อนข้างมีฐานะ เพราะมีสวนปาล์มหลัก100ไร่

ผมเป็นลูกคนสุดท้อง เลยได้มีโอกาสเรียนสูงกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ผมเรียนจบ ปริญญาตรี ซึ่งในยุคนั้นคนจบ ป.ตรี ถือว่ามีความเก่งและได้รับการเยินยอ ยอมรับจากชาวบ้านค่อนข้างสูง ผมมาเรียนที่กรุงเทพ ก็ยังติดใจสังคมเมือง เลยบอกครอบครัวไปว่า ผมจะขอหางานทำอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ได้ไม่ดี ค่อยกลับใต้ ไปช่วยครอบครัวบริหารงานสวนปาล์ม พ่อแม่ผมก็ตามใจ ช่วงนั้นผมไปได้งานที่ชลบุรี ในปี42

ผมทำงานที่นั่นได้2ปี กลางๆปี44 ผมไปสะดุดตาสาวโรงงานคนหนึ่งเข้า เธอเป็นคนผิวขาว รูปร่างหน้าตาดี ผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบในร้านข้าวแกง ที่ผมไปนั่งกินเป็นครั้งแรก เพราะร้านนั้นชาวโรงงานจะนิยมมากินกัน และยูนิฟอร์มเธอก็บ่งบอกให้รู้

ผมเองตอนนั้นก็เป็นหนุ่มแน่น ตั้งใจเรียนจนได้งานทำ ก็ไม่เคยมีแฟน ถึงจะเคยชอบๆสาวกรุงเทพบ้าง แต่ก็ไม่เคยไปสานสัมพันธ์กับใคร ผมไม่กล้าเข้าไปทัก ได้แต่แอบมอง เพราะเธอนั่งกับเพื่อนเธอหันหน้ามาทางผม

บ่อยครั้งที่เผลอสบตา ผมก็จะหลบไปมองอย่างอื่นทุกครั้ง ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็จะไปนั่งกินข้าวที่ร้านนั้นทุกวัน ผมทำแบบนั้นอยู่ประมาณ1เดือน ผมไม่เคยเห็นว่าเธอจะเดินควงผู้ชายสักครั้ง

ผมจึงมั่นใจว่าเธอน่าจะยังไม่มีคู่ครอง เลยเริ่มที่จะถามคุณป้าเจ้าของร้านข้าวแกงเกี่ยวกับเธอคนนั้น คุณป้าก็บอกข้อมูลผมเท่าที่คุณป้าทราบว่า

อ๋อ นั่นหรอ ชื่อ มาลัย (นามสมมุติ) คนอุบล เป็นคนงานโรงงานนี้แหละ ลูกผัวไม่มีหรอก ทำไม สนใจหรือ

ผมบอกคุณป้าไปตามตรงว่า ที่ผมมานั่งกินข้าวร้านนี้ทุกวัน เพราะชอบสาวคนนั้น คุณป้าก็หัวเราะ แล้วยิ้มคุยกับผมด้วยความเป็นกันเอง

คุณป้าบอกผมว่า รักชอบ ก็เข้าไปคุยดูสิ ไม่ลองจีบ แล้วจะมีเมียได้ยังไง

วันรุ่งขึ้น ผมจึงรวบรวมความกล้า เข้าไปพูดจาปราศรัยกับเธอ ด้วยคำว่า …สวัสดีครับ ผมชื่อบุญส่ง มันคงจะดูแปลกๆที่ผมเข้ามาคุยกับคุณ เพราะเราไม่รู้จักกัน

แต่ผมอยากบอกกับคุณว่า ผมจะขอรู้จักกับคุณจะเป็นการรบกวนไหม ถ้าคุณจะไม่ถูกใจและปฏิเสธผมก็จะไม่รบกวนคุณ แต่ผมอยากบอกว่า ที่ผมมานั่งกินข้าวร้านนี้ทุกวัน เพียงเพราะผมอยากเห็นหน้าคุณ

เธอมองผมเหวอๆ และหันไปทำท่าเขินๆกับเพื่อนของเธอ ที่นั่งอยู่2คน เธอคุยกันเป็นภาษาอีสาน ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก

เพื่อนเธอคนหนึ่งถามผมว่า …ชอบมาลัยหรือ….ผมบอก (ใช่ครับ) พวกเธอเชิญผมนั่งข้างๆมาลัย ผมยิ้มให้มาลัย มาลัยเขินม้วน เอามือปิดปาก

แล้วยิ้มหัว พูดอะไรไม่ออก เมื่อยามที่เพื่อนของเธอยิงคำถามและคำแซวใส่ผมแทนมาลัย เพราะการแต่งตัวของผมนั้น เห็นได้ชัดว่า

ทำงานมีตำแหน่ง ไม่ใช่ระดับแรงงาน การเริ่มต้นครั้งนั้น จบลงที่เพื่อนของมาลัย เป็นคนชวนพูดและยุยงเสียส่วนใหญ่

เพราะมาลัยเหมือนจะเอาแต่เขินจนพูดไม่ออก คงจะไม่ชิน เพราะผมเป็นคนที่พูดจาสุภาพ ในขณะที่มาลัยจะเป็นคนพูดเล่นแก่นนิดๆเมื่อเจรจากับเพื่อนของเธอ

เธอไม่มีโทรศัพท์ ผมจึงจะสามารถคุยกับเธอได้ ผ่านการไปพบเจอที่ร้านข้าวแกงร้านนั้น หรือหากอยากจะเจรจายาวๆ

ผมก็จะเขียนจดหมาย พร้อมการ์ดสวยๆ ไปให้เธอ เพื่อที่ผมจะพรรณนาความรู้สึกทั้งหมดให้เธอได้รู้ แล้วเธอก็ตอบสนองผมด้วยการ

เขียนจดหมายคุยกลับมาเช่นกัน ผมคุยกับเธออยู่แบบนั้นเรื่อยมา ผมเรียนรู้และศึกษาเธอทั้งข้อมูลส่วนตัว อุปนิสัยใจคอ

เธอเรียนมาแค่ ม.3 และทางบ้านมีฐานะไม่ดี เธอเคยมีสามีผูกข้อไม้ข้อมือกันมาตั้งแต่อายุ16 พออายุได้20 สามีเธอคนนั้น ก็เลิกกับเธอไป

ทำให้เธอตัดสินใจมาทำงานโรงงานกับเพื่อนที่ชลบุรีจนถึงตอนนี้ มีคนมาจีบมาลัยเยอะ เพราะมาลัยเป็นคนขาว สวย รูปร่างดี ตามฉบับสาวงามเมืองอุบล

หลังเทศกาลปีใหม่ ปี45 ผมกลับมาทำงาน ผมไปรอเจอมาลัยที่ร้านข้าว ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงาน แต่ผมไม่เจอมาลัย ผมเจอแต่เพื่อนของเธอ ผมทุกข์ใจเพราะเธอไม่มีโทรศัพท์ จะโทรถามก็ไม่ได้ เลยไปถามเพื่อนเธอ ว่ามาลัยหายไปไหน เพื่อนเธอบอกว่า มาลัยย้ายที่ทำงานแล้ว

เพราะทางบ้านมาลัยมีหนี้ก้อนใหญ่ งานโรงงานได้เงินน้อย เธอเลยไปพัทยา จะไปทำงานที่นั่น ผมตกใจเมื่อรู้ว่ามาลัยจะไปทำงานที่พัทยา

คนรูปร่างหน้าตาดี แต่เรียนมาน้อยอย่างมาลัยจะไปทำงานอะไรได้ ให้ได้เงินมากๆ ผมลางานในวันรุ่งขึ้น และจ้างเพื่อนของมาลัยให้พาผมไปหามาลัย ด้วยเงิน1000บาท เพื่อนของมาลัยก็พาผมไปหามาลัยที่พัทยา เป็นร้านนวด

ผมขอเจอมาลัย เจ้าของร้านก็ให้เจอ มาลัยตกใจ แล้วบอกผมว่าจะมาทำไม ผมบอกกับเธอว่าผมรักเธอ และอยากจะรับเธอไปอยู่ด้วยกัน เธอจะได้ไม่ต้องมาทำงานในที่แบบนี้ มันดูไม่ดีนักหรอก ส่วนเรื่องแต่งนั้น ผมจะเข้าไปคุยกับทางบ้านของเธอเองที่อุบล

เธอดูลังเล เธอบอกว่าเธอต้องทำงานเพื่อหาเงินช่วยครอบครัวไปใช้หนี้เขา เธอคงไปอยู่กับผมไม่ได้หรอก ผมถามเธอว่าเท่าไหร่กัน

เธอบอกผมว่า (2แสน) ผมเองตกใจมาก เพราะเงิน2แสน ยุคนั้น มันไม่น้อยเลย ผมเองก็ทำงานมา มีเงินเก็บไม่ถึงแสนเลย

แต่ผมก็บอกเธอไปว่า เดี๋ยวผมจะหาทางช่วยมาลัยเอง ขอแค่มาลัยเลิกทำงานนี้ แล้วไปอยู่เป็นเมียผมที่ห้องเช่า

มาลัยจะทำงานโรงงานตามเดิม หรือทำงานอื่นก็ได้ ส่วนหนี้นั้นผมจะพยายามช่วยเหลือเอง

มาลัยมีความลังเล เหมือนเธอใช้ความคิดอย่างหนัก แต่เพื่อนเธอที่ไปด้วย ก็ช่วยพูด จนมาลัยยอมลาออก และมาอยู่กับผมในฐานะเมีย

ผมโทรไปบอกกับแม่เรื่องผมมีเมียแล้ว แม่ผมก็แสดงอาการไม่พอใจอยู่มาก เมื่อรู้ปูมหลังของเมียคนแรกผม เหมือนจะบอกว่า แม่มองหาสาวแถวบ้านที่เหมาะสมไว้ให้แล้ว อย่าเอาเลยคนนั้น

แต่เมื่อผมบอกไปว่า ผมกับมาลัยได้เสียกันแล้ว และมาลัยก็ท้องกับผมแล้ว แม่จะให้ผมทิ้งเธอกับลูกของผมหรือ แม่ผมเป็นคนธรรมมะธรรมโม เมื่อรู้แบบนั้น แม่ก็ เออๆ แล้วแต่ผมแล้วกัน ผมเลยถือโอกาสขอยืมเงินแม่

1แสน5หมื่นบาท เมื่อตอนพาเมียลงมาไหว้แม่ ในช่วงสงกรานต์ แม่ผมไม่ขัดข้อง เพราะผมยืนยันว่าผมจำเป็นต้องใช้เงิน

แล้วจะคืนให้แม่ทุกบาท และการเจอกับญาติๆของผมในครั้งนั้น แรกๆก็ดูอึมครึมอยู่บ้าง แต่เพราะมาลัยเป็นคนที่เข้ากับคนได้ค่อนข้างดี สมัยนี้คงใช้คำว่า (เฟรนลี่) น่าจะได้ ทำให้ญาติๆผมรู้สึกชอบมาลัยในที่สุด…

Admin

15/02/2018
1 2