รูมเมทใหม่โชว์กายกรรม โดดระเบียงจากชั้น 5 ใครเห็นก็ว่าตาย…

เรื่องนี้เคยถูกเล่าใน the Shock Story ซึ่งเป็นช่วงหนึ่งในรายการเดอะช็อค ที่นำเรื่องเล่าผีที่แฟนๆรายการส่งเข้ามาทางอีเมล์ เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นอินยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี อินศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมปลาย ม.5 ปัจจุบันได้ย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพแล้ว เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่โรงเรียนเก่าสมัยที่อินยังเรียนอยู่ในโรงเรียนม.ปลายดังกล่าวนั้น เธอพักที่หอพักประจำของนักเรียนหญิง ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณของโรงเรียนเอง ตัวอินนั้นอยู่ที่หอพักหญิงมาตั้งแต่ ม.4 

ก่อนอื่นต้องขออธิบายลักษณะของหอพักแห่งนี้ก่อน หอพักแห่งนี้นั้นจะมีทั้งหมด 3 ตึก ตึกละ 5 ชั้นแต่ไม่ทราบว่าแต่ละชั้นนั้นมีกี่ห้อง และยังแบ่งเป็นหอพักชายเรียกว่าตึก ช1 หอพักหญิงนั้นเรียกว่าตึก ญ1, ญ2 อีก 2 ตึก ซึ่งหอพักนักเรียนหญิงจะมีเยอะกว่า เพราะนักเรียนหญิง
จะนอนพักที่หอพักของโรงเรียนซะเป็นส่วนใหญ่ ช่วงที่อินเข้าเรียนแรกๆนั้นอินได้พักที่ห้อง ญ1 3005 ซึ่งเป็นตึกที่ 2 ตั้งอยู่ระหว่างกลางของตึกทั้ง 3 ตึก ใน 1 ห้องนอนนั้นทาง
โรงเรียนจะจัดให้นักเรียนพักได้แค่ 2 คน เนื่องจากเตียงนอนเป็นเตียงแบบ 2 ชั้น

ในห้องพักของอินนั้นพักอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 คน คืออิน กับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อว่าใหม่ ใหม่เป็นเด็กนักเรียนที่มาจากภาคใต้ ตามคุณพ่อมาทำงานที่จังหวัดนี้ ก็เลยต้องจากบ้านมาไกล อินนั้นได้พักอยู่กับใหม่ตั้งแต่เข้ามาในโรงเรียนเลย ใหม่เป็นคนที่มีสภาพร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงดี หรือเรียกอีกอย่างว่าขี้โรคนั่นเอง เพราะเวลาอากาศเย็นหน่อย ใหม่ก็จะเป็นหวัดเร็วกว่าใครเพื่อน เพราะเหตุนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

 มีคืนหนึ่งระหว่างที่อินกำลังนั่งทำการบ้านที่อาจารย์สั่งมาอยู่นั้น ใหม่ก็อยู่ในห้องด้วยแต่ว่าใหม่เขานอนอยู่บนเตียงซึ่งอยู่ชั้นบน ส่วนอินนั้นนอนที่เตียงชั้นล่าง ระหว่างที่อินกำลังนั่งทำการบ้านอยู่นั้นใหม่ก็เริ่มที่จะไอ ค่อกแค่ก ค่อกแค่ก ไอเป็นระยะๆ จนกระทั่งใหม่นั้นไอแรงขึ้นๆ อินก็ลุกขึ้นมาดู เห็นว่าอาการไม่น่าจะดีแล้ว รีบพาเพื่อนไปหาอาจารย์ก่อนจะดีกว่า เวลาในขณะนั้นประมาณทุ่มครึ่ง อาจารย์ที่นอนพักอยู่บริเวณชั้น 1 ก็ยังไม่ได้เข้านอน อินก็เลยรีบไปตามอาจารย์มาดูอาการของใหม่ 

เนื่องจากบริเวณคอของใหม่นั้นแดงมาก เป็นผื่นสีแดงขึ้นเต็มคอไปหมด อาจารย์จึงตัดสินใจโทรศัพท์ติดต่อคุณพ่อของใหม่ เพื่อที่จะพาน้องไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด พอพ่อมารับก็ได้ส่งไปโรงพยาบาลโดยด่วน อาจารย์กับอินกลับไปดูในห้องพัก เห็นสีที่ผนังและบริเวณเพดานนั้นสีหลุดออกมาหมดแล้วทำให้มีฝุ่น อาจารย์ก็เลยบอกว่า “ถ้าขืนอินยังอยู่ห้องนี้ต่อก็คงมีอาการแบบเดียวกับใหม่แน่นอน” อาจารย์จึงออกความเห็นว่าให้อินนั้นเก็บข้าวของ ไปนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ที่ตึก ญ2 นั่นเอง เนื่องจากตึกนั้นยังคงมีห้องว่างอยู่พอสมควร

ผ่านไปซักประมาณครึ่งชั่วโมงได้ อินก็เก็บข้าวของใกล้จะเสร็จแล้ว อาจารย์ก็เดินกลับมา
พร้อมกับกุญแจห้องที่ตึกใหม่ อาจารย์ยื่นกุญแจให้กับอินแล้วก็บอกกับอินว่า “เอากุญแจนี้ไป แล้วเดินไปที่ตึกใหม่ เข้าไปหาอาจารย์ที่ดูแลตึกนั้น แล้วบอกให้อาจารย์พาไปที่ห้อง คืนนี้เธอคงต้องนอนพักที่ตึกนั้นคนเดียวไปก่อน ได้เรื่องยังไงแล้วค่อยตกลงกันอีกที” พอพูดจบ
อาจารย์ก็รีบตรงไปโรงพยาบาล ตอนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม อินพอเก็บข้าวของเสร็จก็เดินไปที่ตึก ญ2 พอไปถึงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับอาจารย์ผู้ดูแลตึกได้ฟัง อาจารย์ผู้ดูแลนั้นพอรับเรื่องทั้งหมดแล้วก็หากุญแจ แล้วก็เตรียมตัวจะพาอินนั้นขึ้นไปพักที่ห้องหมายเลข ญ2 5016 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคาร

อินบอกกับอาจารย์ที่ดูแลหอว่าให้อาจารย์ลงไปก่อนเลยก็ได้ อินสามารถเดินไปที่ห้องคนเดียวได้ อาจารย์จึงบอกว่า “ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรก็ลงมาตามอาจารย์ได้ตลอดเวลานะ” จากนั้นอินก็เดินมุ่งหน้าขึ้นสู่ชั้นบน พอไปถึงหน้าห้อง อินก็ได้เห็นสิ่งผิดปกติทันที นั่นก็คือ ที่หน้าประตูของห้องพักนั้นมีผ้ายันต์อะไรสักอย่างสีแดงๆแปะเอาไว้หน้าห้อง แล้วบริเวณหน้าห้องนั้นยังมีถาดอาหาร แก้วน้ำ ขนม วางเอาไว้เยื้องๆกับประตูหน้าห้อง อินก็คิดในใจ สงสัยเจ้าของเก่าเค้าอาจจะเป็นคนกลัวผีหรือมีความเชื่ออะไรสักอย่าง อินก็เอากุญแจไขไปที่ลูกบิดของประตูเพียงแต่ว่าประตูมันไม่เปิดออก แต่ว่าลูกบิดนั้นสามารถหมุนได้ เหมือนกับว่า
ประตูห้องถูกล็อคด้วยกลอนจากด้านใน

อินก็เริ่มที่จะแปลกใจ เนื่องจากอาจารย์ผู้ดูแลตึกเก่าบอกว่าจะให้ไปนอนที่ห้องว่าง แต่นี่ลักษณะเหมือนกับว่ามีคนอยู่ล็อคกลอนจากด้านใน อินก้มลงมองดูที่กุญแจหมายเลขนั้น ก็ตรงกับหมายเลขที่ประตู ตอนนั้นอินคิดว่าที่นี่น่าจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว โดยที่อาจารย์ผู้ดูแลตึกเก่าไม่ทราบ คิดเอาว่าเดี๋ยวลงไปหาอาจารย์ที่ดูแลตึกนี้แล้วขอห้องใหม่จะดีกว่า พออินหันหลังกลับกำลังจะถอยออกจากห้องนั้น ก็ได้ยินเสียงไขกลอนดัง แกร๊ก แล้วก็มีคนเปิดประตูออกมา คนที่ว่านั้นเป็นผู้หญิง เธอเรียกอินแล้วถามว่า “เธอๆ ไขประตูห้องเราทำไม”

อินก็เลยเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟังว่าต้องมาพักชั่วคราวที่ตึกนี้แต่ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ก่อนแล้ว เดี๋ยวจะลงไปหาอาจารย์ขอเปลี่ยนห้องใหม่ แต่ว่าผู้หญิงเจ้าของห้องนั้นก็บอกว่า “เอาอย่างนี้ ไม่เป็นไรหรอก มาพักกับเราก็ได้ เพราะว่าเราก็พักอยู่คนเดียว” อินก็เลยตอบตกลงทันที เพราะว่าไม่อยากไปกวนอาจารย์อีกครั้ง แล้วอินก็ค่อยๆย้ายของเข้าไปในห้องห้องนั้น ระหว่างที่ย้ายของอยู่นั้นอินก็ได้แนะนำตัว แล้วก็ถามชื่อของเจ้าของห้องว่าเธอชื่ออะไร เจ้าของห้องนั้นบอกว่าเธอชื่อน้ำ ระหว่างที่กำลังเก็บ ข้าวของอยู่นั้นทั้งสองคนก็คุยกันไปเรื่อยๆ เลยทราบว่าน้ำนั้นเรียนอยู่ชั้น ม.6 

พออินจัดข้าวของเสร็จ จัดที่นอนเสร็จ ก็เลยถามกับน้องน้ำว่า “จะเข้านอนหรือยัง อินขอทำการบ้านต่ออีกหน่อยได้ไหม เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องส่ง” น้ำก็บอกว่า

“เอาเลย ตามสบาย คืนนี้…น้ำไม่นอนหรอก”

อินก็งง ทำไมตอบแบบนั้น น้ำนั้นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผิวขาว หน้าตาดี ผมยาวถึงบ่า น้ำเป็นคนสวยมาก แต่ว่าเวลาที่น้ำพูดนั้นเสียงของเธอจะฟังดูเยียบเย็น พูดแบบเหมือนกับเสียงนั้นไม่ได้ออกมาจากปาก เหมือนกับมันก้องอยู่ในลำคอ เวลาผ่านไปสักครู่อินก็ทำการบ้านจนเสร็จ ซึ่งในระหว่างนั้นน้ำก็นั่งอยู่ที่เตียงข้างๆ เวลาในขณะนั้นเข้าสู่ช่วง 4 ทุ่มแล้ว อินทำการบ้านเสร็จก็หันไปมองน้ำ เธอก็ยังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ อินเลยบอกว่า “น้ำงั้นขอตัวนอนก่อนนะ” น้ำก็บอกให้อินนอนก่อนได้เลย ส่วนตัวเธอเองขอคุยกับแฟนก่อน อินก็เลยล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า

หลับไปได้สักพักหนึ่งก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้น เนื่องจากเสียงโทรศัพท์ของน้ำนั้นดังขึ้น ก็เลยได้ยินเสียงของน้ำรับโทรศัพท์ เดินออกไปคุยที่นอกระเบียง น่าจะคุยกับแฟนของเธอเอง เวลาก็ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็เริ่มที่จะดังขึ้นเหมือนกับว่าทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน จับใครความได้
บางส่วนว่าน้ำนั้นน่าจะกำลังท้องอยู่ อินก็ไม่ได้สนใจอะไรเนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว อินกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นแล้วก็ได้ยินเสียงน้ำเปิดประตูระเบียงเดินเข้ามา เธอกำลังร้องไห้ น้ำมายืนอยู่เบื้องหน้าของอินพร้อมกับร้องไห้หนักมาก เธอพูดออกมาเบาๆว่า

“เดี๋ยวเรามานะ…เพื่อนใหม่”

หลังจบประโยค…น้ำก็เดินไปเปิดประตูระเบียง แล้วเธอก็กระโดดลงไปจากชั้น 5 ทันที ตอนนั้นอินตกใจจนตื่น ถึงกับช็อค งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก นั่งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้แป๊บเดียวเท่านั้น พอรู้สึกตัวก็รีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อจะบอกอาจารย์ว่าเพื่อนร่วมห้องกระโดดลงไป อินกำลังวิ่งลงไปจนกระทั่งกำลังจะถึงชั้น 1 อินก็ต้องหยุดวิ่งเพราะสิ่งที่อินเห็นนั้นก็คือ น้ำ…ที่เมื่อสักครู่นี้ทิ้งตัวลงไปจากระเบียงชั้น 5 กำลังเดินสวนขึ้นมา ทั้งตัวนั้นอาบไปด้วยสีแดงฉาน น้ำแหงนหน้าขึ้นมามองอินจากบันไดทางขึ้น แล้วก็พูดกับอินว่า

“จะไปไหน! กูบอกว่าเดี๋ยวกลับไปไง” 

แค่นั้นเองอินรู้แล้วว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร อินทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าแล้วก็ร้องกรี๊ดเสียงดังมาก เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ จากความรู้สึกของอินนั้นรู้สึกว่ามันยาวนานมาก  อินมารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่ออาจารย์วิ่งมาเขย่าตัวของอิน และคนที่อยู่ในหอก็ออกมามุงดูกันเยอะแยะไปหมด ตอนนั้นอินไม่มีสติพอที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ใครฟังได้เลย แล้วอาจารย์ก็พาอินไปนอนพักที่ห้องของอาจารย์ก่อน พอสติกลับมาทั้งหมด อินก็เลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับอาจารย์ฟัง อาจารย์ก็ยังถามอีกว่าอินนั้นได้ไปอยู่ที่ห้องไหน อินตอบกลับไปว่าห้อง 
5016 อาจารย์จึงถามอีกครั้งว่า “แน่ใจนะ” อินบอกว่า “แน่ใจ เพราะเป็นห้องที่มีผ้ายันต์แปะอยู่หน้าประตู” อาจารย์ได้ยินแบบนั้นก็มีสีหน้าตกใจมาก บอกกับอินว่า “ห้องนั้นมันห้อง 5017 ไม่ใช่ 5016”

อินตกใจแล้วก็บอกว่าแน่ใจ เนื่องจากก้มลงมองตัวเลขที่กุญแจ พร้อมกับมองตัวเลขที่ประตู อาจารย์ผู้ดูแลเธอก็เลยถามว่า “มันใช่ห้องที่มีกับข้าว น้ำ ขนม วางอยู่เยื้องๆหน้าห้องใช่ไหม” อินตอบไปว่าใช่ อาจารย์ก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่า “กับข้าวและน้ำพวกนั้นอาจารย์เอาไปวางไว้ทุกวันเอง เนื่องจากเคยมีนักเรียนที่เคยอาศัยอยู่ในห้องนี้ได้โดดตึกเสียไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว” พูดจบอาจารย์ก็เดินไปค้นเอกสารในห้องแล้วมาให้อินดู รูปนั้นก็คือรูปของน้ำ คนเดียวกันแน่นอน เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้…

Admin

22/02/2022

ถูกผีตามราวี…เธอให้ผมหาผัวที่หนีไปมาพบ

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านเช่าที่อยู่แถวๆย่านสามเสนเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อตอนนั้น คุณแบงค์อายุ 25 ได้ทำงานเป็นครีเอทีฟอยู่บริษัทแถวๆนั้น คุณแบงค์นั้นพักอยู่ซอยระนอง 1 และก็มีรุ่นน้องอีกคนนึงอยู่ซอยระนอง 2 แล้วอยู่ๆเขาก็ได้ไปเช่าบ้านเช่า 2ชั้นหลังนึง แต่เขาจะแบ่งให้เช่าแยกกันระหว่างชั้นบนกับชั้นล่าง รุ่นน้องคุณแบงค์ได้ห้องเช่าข้างบน แต่พอรุ่นน้องเข้าไปอยู่ได้ 4 วัน เขาก็ย้ายออก และพอกลางดึกรุ่นน้องคนนี้ก็โทรมาหาคุณแบงค์และบอกว่า พี่แบงค์ว่างเปล่า คุณแบงค์ก็ตอบไปว่า ว่างดิ รุ่นน้องก็บอกต่อว่า พี่ ไปเฝ้าของให้คืนนึงสิ คุณแบงค์ก็ถามว่าทำไม รุ่นน้องก็บอกว่า อ๋อ ผมได้หอใหม่ ดีกว่าที่เดิม ก็กะว่าจะย้าย คุณแบงค์ก็บอกว่า ได้ๆๆ เดี๋ยวพี่ไปเฝ้าให้ แล้วรุ่นน้องก็บอกต่ออีกว่า พี่พาใครก็ได้มาเป็นเพื่อนซักคนนะ กันพลาด คุณแบงค์ก็คิดว่าจะกันพลาดทำไม คุณแบงค์ก็เลยบอกว่า ไม่ต้องหรอก แต่รุ่นน้องก็ยังย้ำอยู่ว่า พี่ พามาเถอะ คุณแบงค์ก็เลยโทรชวนรุ่นน้องอีกคนนึงชื่อว่า ไฮน์ ไฮน์ก็ตกลงที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแบงค์

คุณแบงค์ก็นัดเจอกับไฮน์ที่ซอยระนอง 2 พอมาถึงที่บ้านก็เป็นเหมือนทาวเฮ้าท์ไม้ 2 ชั้น สภาพบ้านถือว่าดูดี ตอนเดินเข้าไปก็เจอลุงยามคนนึง แกเปิดประตูออกจากห้องมา พอเขาเห็นพวกคุณแบงค์เขาก็ดูแปลกๆ แล้วก็ค่อยเดินออกไป ตอนนั้นคุณแบงค์ก็คิดว่า เขาคงสงสัยหละมั๊งว่าเราเป็นใคร ทีนี้คุณแบงค์กับไฮน์ก็ขึ้นไปบนห้อง แล้วไฮน์ก็บอกคุณแบงค์ว่า พี่ผมขอไปอาบน้ำก่อนนะ ซึ่งห้องน้ำจะอยู่นอกห้องนอน คุณแบงค์ก็บอกว่า ได้ แล้วคุณแบงค์ก็นั่งทำงานอยู่บนที่นอน

ซักแปปนึงก็ได้ยินเสียงไฮน์ออกจากห้องน้ำและเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วไฮน์ก็เรียก พี่แบงค์ คุณแบงค์ก็เงียบไม่ได้พูดอะไร ไฮน์ก็เรียกอีกด้วยเสียงสั่นๆว่า พี่แบงค์ จนครั้งที่ 3 คราวนี้เสียงเรียกของไฮน์เหมือนคนจะร้องไห้ ทีนี้คุณแบงค์ก็ลุกขึ้นมาถามว่า ไฮน์เป็นอะไร แล้วไฮน์ก็เรียกอีกครั้งแบบว่าไม่ไหวแล้วว่า พี่แบงค์ครับ คุณแบงค์ก็ถามไฮน์ว่า ไม่สบาย หรือหนาวหรือเปล่า ไฮน์ก็บอกว่า พี่ผมทะเลาะกับแฟนอ่ะ ผมไปหาแฟนก่อนนะ คุณแบงค์ก็บอกว่าไปว่า อ้าว มีเรื่องกันหรอ ไปๆๆๆ ไฮน์ก็บอกกับคุณแบงค์ว่า พี่แบงค์อยู่ได้นะพี่ คุณแบงค์ก็บอกว่า อยู่ได้ แต่ไฮน์ก็พยายามพูดในทำนองว่า พี่ไปกับผมดีกว่านะ

คุณแบงค์ก็บอกว่า ไม่เป็นไร นายทะเลาะกับแฟน ก็ไปเคลียร์กับแฟนให้รู้เรื่อง ไม่ต้องเกรงใจพี่ ไฮน์ก็ยังบอกอีกว่า พี่ ไปเถอะ แต่คุณแบงค์ก็บอกให้ไฮน์รีบไป เพราะแฟนของไฮน์เป็นคนที่อารมณ์ร้ายมาก ไฮน์ก็เลยยกมือไหว้แล้วก็พูดว่า ผมขอโทษนะ แล้วก็เก็บของทุกอย่างหมดเลย คุณแบงค์ก็เลยถามว่า จะไม่กลับมาละหรอ ไฮน์ก็บอกว่า ไม่กลับมาแล้วพี่ ผมคงไปนอนค้างนู่นเลย คงเคลียร์กันยาว

หลังจากนั้นพอไฮน์เปิดประตูออกไป คุณแบงค์ก็ได้ยินเสียงไฮน์วิ่งลงไปจากบันไดเร็วมาก ซึ่งตามปกติ ไฮน์จะเป็นคนที่เชื่องช้ามาก แล้วบ้านของไฮน์ค่อนข้างมีฐานะ พ่อแม่ก็ซื้อมอเตอร์ไซด์ DUCATI ให้ แต่ว่าไฮน์เป็นคนที่ขับ DUCATI ช้ามาก แต่คืนวันนั้นคุณแบงค์ได้ยินเสียงไฮน์บิดมอไซด์แล้วก็หายไปเลย คุณแบงค์ก็คิดว่าสงสัยจะทะเลาะกันแรง ถึงรีบขนาดนี้

คุณแบงค์ก็เลยทำงานต่อ แล้วคุณแบงค์เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเปิดแอร์ ก็เลยเปิดแค่พัดลมธรรมดา แล้วซักพักพัดลมก็หยุดเองแต่ด้วยความที่คุณแบงค์ไม่เชื่อเรื่องผี คิดว่าพัดลมมันเก่า คุณแบงค์ก็ไม่ได้สนใจอะไร แล้วซักพักคุณแบงค์ก็เข้านอน แต่พอนอนอยู่ ตัวขยับไม่ได้ ตาลืมไม่ได้ เหมือนโดนผีอำ แต่คุณแบงค์ก็คิดว่าพักผ่อนน้อย หรือนอนทับเส้นหรือเปล่า และนอนแปลกที่ด้วย ซักแปปนึง คุณแบงค์ก็ขยับตัวได้ ก็ลุกขึ้นมานั่งมองซ้ายมองขวาก็ไม่มีอะไร

แต่พอนอนต่อ คราวนี้มันหนักกว่าเดิม โดยที่ตัวคุณแบงค์ขยับไม่ได้ แต่ตาลืมได้ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงพูดข้างๆหูว่า ต้องให้กูทำยังไง มึงถึงจะยอมออกไปจากบ้านกู ต้องให้กูออกไปให้มึงเห็นใช่มั๊ย แล้วบนฝ้าของบ้านก็เหมือนมีเสียงคนเดินอยู่ข้างบนฝ้า เดินมาจากด้านหลังเดินมาตรงด้านหน้าประตู ซึ่งด้านหน้าประตูก็จะมีฝ้าที่แตกอยู่ช่องนึง พอที่จะมีคนโดดลงมาได้

คุณแบงค์ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็เลยคว้าทุกอย่างที่คว้าออกมาได้ แล้วก็วิ่งออกจากห้องไป ขึ้นมอเตอร์ไซด์เรียบร้อย โดยที่ไม่สนว่าห้องรุ่นน้องจะโดนงัดแงะหรืออะไร ระหว่างที่คุณแบงค์กำลังจะสตาร์ทเครื่อง คุณแบงค์ก็เงยหน้าขึ้นไปดูที่บนบ้าน ปรากฏว่า เห็นผู้หญิงธรรมดาคนนึง แต่หน้าเขาจะคล้ำๆกว่าปกติ ใส่เสื้อยีนส์ กางเกงยีนส์ขายาว นั่งอยู่บนขอบระเบียงและชี้นิ้วลงมา เหมือนว่าโกรธมาก ตอนนั้นคุณแบงค์ทำอะไรไม่ถูก ขับมอไซด์ไม่เป็น คุณแบงค์ใช้เข็นจากซอยระนอง 2 มาซอยระนอง 1 กลับมาบ้านตัวเอง จะเข้าห้องก็ไม่กล้า วินาทีนั้นคือกลัวทุกอย่าง เอามอเตอร์ไซด์จอดฝากยามไว้ แล้วก็หิ้วของที่มีกลับบ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร

คุณแบงค์ก็ไปเรียกแท็กซี่ แท็กซี่ก็ยอมให้คุณแบงค์ขึ้นมา แล้วเขาก็เห็นว่าคุณแบงค์ดูท่าทางผิดปกติ เขาก็เลยถามว่า น้องมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า คุณแบงค์ก็บอกว่า ขอเปิดไฟนะ ไม่ไหวจริงๆ ผมกลัว เขาก็เปิดไฟให้ พอคุณแบงค์สงบสติอารมณ์ได้แล้ว คนแรกที่คุณแบงค์โทรหาเลยก็คือ ไฮน์ ว่าไฮน์เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า เจออะไรบ้างหรือเปล่า พอโทรไป คำแรกที่ไฮน์พูดก็คือ พี่ผมขอโทษ คุณแบงค์ก็ถามว่า ไฮน์เจอหรอ ไฮน์ก็ตอบว่า ครับพี่ ผมเจอ แล้วไฮน์ก็เล่าให้ฟังว่า

ตอนที่ออกจากห้องน้ำมา พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นว่าคุณแบงค์นอนทำงานอยู่ และก็เห็นว่าข้างๆตัวก็มีผู้หญิงนั่งอยู่ตรงขอบๆที่นอน แล้วก็ชะโงกหน้ามองคุณแบงค์ พอไฮน์เห็นก็ตกใจ ทีแรกก็คิดว่า คุณแบงค์พาแฟนมาหรือเปล่า แต่ว่าถ้าพามาพร้อมกันก็ต้องเห็นตั้งแต่แรกแล้วสิ แล้วไฮน์ก็ถามคุณแบงค์ว่า ที่พี่เจอคือ เสื้อยีนส์กางเกงยีนน์ขายาว ผมยาวๆใช่มั๊ย คุณแบงค์ก็ตอบว่า ใช่ ไฮน์ก็บอกอีกว่า ผมเจอก่อนพี่ แต่ผมพูดไม่ได้จริงๆ

เหตุผลที่ไฮน์ไม่พูด เพราะว่า ตอนที่ไฮน์เรียกคุณแบงค์ครั้งแรก คุณแบงค์ไม่หัน แต่ว่า ผู้หญิงนั้นหันไปมอง พอเรียกครั้งที่ 2 คุณแบงค์ก็ยังไม่เห็น แต่ผู้หญิงมองไฮน์แบบจิกตา และพอเรียกครั้งที่ 3 คุณแบงค์ก็ถามไฮน์ว่ามีอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ชี้หน้าไฮน์ ประมาณว่า มึงเงียบนะ พอครั้งที่สี่ ที่ไฮน์เรียกว่า พี่แบงค์ครับ ปรากฏว่าร่างของผู้หญิงคนนั้นหายไป พอฟังจบ คุณแบงค์ก็บอกไฮน์ไปว่า พี่ไม่ได้โกรธ แล้วก็ถามไฮน์ว่าปลอดภัยนะ ไฮน์ก็ตอบว่า ปลอดภัย แล้วคุณแบงค์ก็เล่าให้ฟังว่าเจออะไร

ทีนี้ก็รุ่นน้องเจ้าของห้อง ที่บอกให้พาเพื่อนมาด้วยนะ กันพลาด คุณแบงค์ก็โทรหารุ่นน้องคนนี้ ชื่อว่า ต้น พอโทรหาต้น ต้นก็พูดคำแรกว่า เจอแล้วใช่มั๊ยพี่ คือต้นรู้อยู่แล้ว แล้วต้นรู้ว่าคุณแบงค์ไม่เชื่อเรื่องผี คิดว่าถ้าไม่เชื่ออาจจะไม่เจอ แล้วต้นก็เล่าเรื่องให้คุณแบงค์ฟังว่า วันแรกที่เข้าไปอยู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอวันที่ 2 เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้กระจายมาอยู่ตรงพื้นหมดเลย ต้นก็เข้าใจว่า ยามต้องเข้ามารื้อห้องตอนที่เขาหลับ แต่ไม่มีของมีค่าหาย จนมาคืนที่ 3 ต้นก็นอน พอนอนๆอยู่ เหมือนว่า มีอะไรเฉี่ยวจมูก พอต้นลืมตามาก็เห็นสิ่งที่เฉี่ยวจมูกของต้นคือ เท้าของผู้หญิง เป็นผู้หญิงผูกคอตายอยู่กับพัดลมเพดานซึ่งพัดลมหมุนอยู่ แล้วปลายเท้าก็เลยแกว่งมาโดนจมูกของต้นพอดี ต้นก็มองตาค้างอยู่แบบนั้น จนผู้หญิงกระตุกตัวแรงๆเหมือนจะให้หลุดลงมา พอต้นเห็นแบบนั้นก็สลบไปเลย ตื่นเช้ามาก็ไม่อยู่แล้ว ค่ามัดจำก็ไม่เอาแล้ว

แล้ววันถัดมา คุณแบงค์ก็กลับมาเอาทองที่ลืมไว้บนหัวนอน แล้วก็มาเจอลุงยาม ลุงยามก็เรียกคุณแบงค์ว่า น้อง เข้ามาคุยกันในห้องดีกว่า พอพี่ให้สัญญาณน้องเข้าห้องนะ แล้วเขาก็สวดอะไรงึมงัมๆแล้วก็เป่าไปที่มือ แล้วก็จับลูกบิดเปิดประตูเข้าห้องเลยแล้วเขาก็บอกอให้เข้ามาเลย คุณแบงค์ก็รีบเข้าไป เขาก็ปิดประตูล็อคห้อง ซึ่งห้องของเขาที่ชั้นล่าง มีดินสอพองเขียนทั้งห้องเลย เขาบอกว่าเขาอ่ะเป็นพระมาก่อน สึกออกมามาทำงานเป็นยาม …

Admin

07/02/2022

สาวข้างห้องตายซ้ำๆที่เดิม…ทุกสามทุ่ม

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับคุณซัน ที่ได้โทรมาเล่าผ่านรายการ The Shock FM

โดยตัวคุณซันนั้นนับถือศาสนาคริสต์ ที่ไม่ได้มีความเชื่อตามแบบพุทธอยู่แล้ว และคุณซันมีอาชีพเป็นนายแบบก็จะไป-กลับ
บ้านที่คุณซันอาศัยอยู่นั้นเป็นบ้านเดี่ยวและอาศัยอยู่คนเดียวเพราะครอบครัวอาศัยอยู่ตปท.กันหมด

คุณซันเองก็สนิทกับน้องข้างบ้านที่ชื่อก้อยและกิ๊ฟ จนนับถือเป็นพี่เป้นน้องกัน โดยห้องของก้อยอยู่ชั้นบนจะตรงกับห้องคุณซันพอดี คือถ้าหากว่าเปิดหน้าต่างห้องมาก้จะชนกันพอดี คุณซันและก้อยก็มักจะชอบพูดคุยกันผ่านทางหน้าต่างเป็นประจำ

และในวันนั้นคุณซันจะต้องเดินทางไปถ่ายแบบที่ตปท. เมื่อขึ้นเครื่องไปแฟนก็บอกกับแฟนรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้ รู้สึกแค่มันไม่ดี บ้านของคุณซันนั้นจะไม่มีคนอยู่ แต่จะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกวัน คือเข้างานตั้งแต่8โมงเช้า เลิกงาน5โมงเย็นเขาก็จะกลับบ้านไป

พอกลับจากตปท.มาถึงเมืองไทยก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ พอกลับมาถึงบ้านก็มีข้อความจากก้อยส่งมา

‘กว่าจะกลับมาได้นะ นานเหลือเกินรอตั้งนาน’

พอคุณซันทำอะไรเสร็จก็ขึ้นไปบนห้องเพื่อจะคุยกับก้อย ก็เห็นห้องของก้อยเปิดไฟอยู่เป็นไฟจากพัดลมเพดานจะมีสีเหลืองๆส้มๆ ก็เห็นก้อยเดินออกมา ก็ทักทายกันตามปกติถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนเคย พอคุณซันมองไปที่โรงรถบ้านก้อยก็ไม่เห็นรถพ่อกับแม่ของก้อยอยู่ คุณซันก็เลยถามว่าพ่อแม่ไม่อยู่หรอ ก้อยก็บอกว่าพ่อกับแม่ไปงานศพแล้วก้อยก็ถามคุณซันว่า

‘พี่ซัน ถ้าหนูทำอะไรไม่ดีพี่จะโกรธมั้ย’

ด้วยความเป็นห่วงคุณซันก็บอกว่า ‘ถ้าไม่ดีมากก็โกรธแหละแต่ไม่มากหรอก แต่มีอะไรก็ต้องบอกพี่นะ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘หนูก็อยากบอกนะ แต่พี่ไม่อยู่’

คุณซันก็เลยบอกว่า ‘นี่ไงพี่กลับมาแล้วมีอะไรก็บอก’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ยังอ่ะ ยังไม่บอกหรอก ไว้ค่อยบอกทีหลัง’

หลังจากนั้นก็ไม่ได้อะไรก็คุยกันปกติ พอสักประมาน3ทุ่มแฟนคุณซันก็โทรเข้ามา พอคุณซันหันกลับมามองไปที่หน้าต่างก็เห็นก้อยปิดม่านแต่ไฟยังเปิด ภาพที่เห็นก็จะเป็นเงาของก้อนเดินอยู่ในห้อง คุณซันก็คุยกับแฟนอยู่แต่สายตาก็เห็นก้อยเดินขึ้นไปบนเตียงและยืนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน

คุณซันก็ว่าทำไมก้อยมายืนบนเตียง ไม่ยอมไปนอนก็เลยส่งข้อความไปแกล้งแซวว่า ‘ยืนทำไรไม่นอน ยืนไปก็ไม่สวยหรอก’ แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับ สักพักไฟก็ดับไปแต่คุณซันก็ไม่เห็นว่าก้อยจะเดินไปปิดไฟหรืออะไรเลย

แฟนคุณซันถามว่าได้ให้ผ้าพันคอน้องก้อยไปรึยัง น้องก้อยนั้นเป็นคนชอบผ้าพันคอมาก เวลาคุณซันไปเที่ยวหรือไปถ่ายงานก็มักจะซื้อผ้าพันคอมาให้ตลอด พอตอนตี5 คุณซันก็ได้ยินเสียงของก้อยมาตะโดนเรียก ‘พี่ซัน’ คุณซันได้ยินเสียงก็ตื่นแล้วก็เดินไปถามว่ามีอะไร ก้อยก็บอกว่าไม่มีอะไรแค่มาปลุก

คุณซันเลยขอตัวไปอาบน้ำเพราะมีนัดกินข้าวเช้ากับแฟน พอลงมาก็ยังไม่เจอแม่บ้านเพราะแม่บ้านเข้า8โมงเช้า พอกลับมาถึงบ้านก็ดึกอีก พอขึ้นมาข้างบนห้องก็เห็นก้อยนั้งอยู่ คุณซันก็ถามกับก้อย ‘อ้าวก้อย พ่อกับแม่ไปงานศพอีกแล้วหรอ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ใช่’

‘แล้วกิ๊ฟอ่ะ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ไปกันหมดเลย’ คุณซันเองก็แปลกใจว่าทำไมก้อยถึงอยู่บ้านคนเดียวไม่ไปงานศพด้วยแต่ก็ไม่สนใจอะไรมาก คุณซันก็เลยบอกกับก้อยว่า ‘เนี่ยพี่ซื้อผ้าพันคอมาให้ เดี๋ยวเอาลงไปให้’ ก้อยก็บอกว่า ‘ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยให้ก็ได้’

ก็คุยกันไปสักพักก้อยก็เดินหายเข้าไปในห้องแล้วก็หยิบผ้าพันคอมา2ผืน แล้วก็ถามคุณซันว่าพี่จำผ้าพันคอนี้ได้มั้ย คุณซันก็บอกจำได้ ก้อยบอกว่ามันเป็นผืนแรกที่พี่ให้ก้อยส่วนอีกผืนเป็นผืนที่ก้อยชอบมากที่สุด คุณซันก็แซวว่าพี่ซื้อให้ก้อยก็บอกว่าชอบหมดแหละ

ก็คุยกันสักพักคุณซันขอตัวลงไปข้างล่าง พอขึ้นมาบนห้องก็เป็นเวลา3ทุ่ม ก็เห็นว่าก้อยปิดหน้าต่างปิดม่านแล้วแต่ยังเปิดไฟที่ติดกับพัดลมอยู่ ก็จะเห็นเป็นเงาของก้อยอยู่ในห้อง ภาพที่เห็นก็ยังคงเป็นแบบคืนก่อนคือก้อยขึ้นไปยืนอยู่บนเตียงสักพักแล้วไฟก็ดับไป คุณซันเห็นแบบนั้นก็ไม่อยากกวน เลยโทรศัพท์คุยกับแฟนก็เลยคุยถึงเรื่องเมื่อเช้าที่ยังคงบ่นกับแฟนว่ายังรู้สึกไม่ดีอยู่ นอนก็ไม่ค่อยหลับ

พอตอนเช้าตื่นมาก็ประมาน7โมงกว่าๆ อาบน้ำลงมาข้างล่างก็เห็แม่บ้านทำความสะอาดอยู่ คุณซันก็คุยกับแม่บ้านว่าเนี่ยข้างบ้านเค้าไปงานศพ 2 วันติดเลย แม่บ้านก็บอกว่า

‘คุณซันไม่รู้หรอว่าลูกสาวบ้านนั้นเค้าเสีย’

คุณซันตกใจก็คิดว่าเป็นกิ๊ฟน้องของก้อย แต่ไม่ใช่กลายเป็นก้อยเองที่เสียชีวิต คุณซันไม่เชื่อก็แย้งว่าจะเป็นไปได้ไงเพราะก็เพิ่งคุยกับก้อยมาเอง คุณซันรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องแล้วตะโดนไปที่ห้องของก้อยก็ไม่มีใครตอบรับ คุณซันเลยรับวิ่งไปที่บ้านของก้อยไปตะโดนเรียกแม่กับพ่อของก้อย ก็ได้ความว่าก้อยผูกคอในห้องนอนของตัวเอง

คุณซันแทบไม่อยากเชื่อเลยวิ่งขึ้นไปที่ห้องของก้อยก็เห็นผ้าพันคอที่คุณซันซื้อให้ผืนแรกกับผืนที่ก้อยชอบคล้องเป็นห่วงอยู่ที่พัดลมเพดาน พัดลมเพดานนี้ก้อยก็ติดตั้ง ตามที่คุณซันแนะนำ ที่ตัวพัดลมจะมีไฟอยู่ด้วยพอเปิดก็จะเป็นแสงสีส้มๆนวลๆ สรุปได้ว่าก้อยใช้ผ้าพันคอนั้นผูกคอกับพัดลม

ในวันที่คุณซันกลับมาถึงวันแรกที่ก้อยส่งข้อความมาหานั้นก้อยเสียไปแล้ว5วัน คุณซันเลยไปวันที่เผาก้อย ก่อนที่จะเผาก็จะมีเปิดโลงศพให้ดูเป็นครั้งสุดท้าย คุณซันก็ได้ใส่ผ้าพันคอลงไปในโลงของก้อยแล้วก็พูดว่า

‘มันเป็นผืนสุดท้ายที่พี่จะให้แล้วนะ’

‘แล้วพี่ก็ไม่ได้โกรธด้วย แต่ทำไมถึงไม่รอพี่’ คุณซันก็เอาผ้าพันคอใส่ลงไปในโลงของก้อยแล้วก็ยกโลงเข้าเตาเผาไป…

ในทุกๆวันเวลา3ทุ่ม คุณซันจะเห็นว่าห้องของก้อยเปิดไฟอยู่และเงาของก้อยจะยืนอยู่บนเตียงอย่างนั้นแล้วไฟก็ดับไป คุณซันไม่ได้กลัวกับสิ่งที่เห็น แต่เป็นความสงสารก้อยมากกว่า ที่จะต้องมาตายทุกวันเวลาเดิม จนกว่าจะครบ 100 วัน ตามความเชื่อที่ว่า…วิญญาณจะอยู่ในโลก 100 วันก่อนที่จะเดินทางไปปรโลก หรือแย่กว่านั้นก็จนกว่าหมดอายุขัยตัวเองจริงๆ

การที่จะต้องมาตายซ้ำๆนี้ คุณซันก็รู้มากจากเพื่อนที่เป็นคนพุทธว่าจะต้องทำซ้ำๆแบบนี้และจะไม่มีทางแก้ได้เพราะเป็นกรรมหนัก จนคุณซันทนดูภาพนั้นทุกๆวันไม่ไหวบวกกับยังทำใจไม่ได้เลยออกไปอยู่คอนโดแล้วก็ไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีกถ้าไม่จำเป็น คุณซันเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ… เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้

Admin

04/02/2022

เดอะช็อคติดต่อให้เล่าเรื่องผี…แต่ตายก่อน

หนึ่งในเรื่องเล่าที่มีสตอรี่น่าติดตามที่สุดเรื่องนึง จริงๆเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องเล่าของทางบ้านจากสายที่ชื่อ ‘คุณแนน’ เธอโทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘บิ๊กช็อค’ ทางสถานี Big fm ซึ่งเป็นรายการเรื่องผีที่มีทีมงานคุ้นหน้าคุ้นตาจากเดอะช็อค เพียงแต่ออกอากาศกันคนละสถานี คนละเวลากับรายการหลัก โดยวันนั้นมี ‘ขวัญ น้ำมั้นพราย’ ดีเจชื่อดังเป็นผู้จัดรายการ

เรื่องเล่าผีของคุณแนนมีอยู่ว่า ตัวคุณแนนนั้นประกอบอาชีพเป็นคนขับรถบรรทุก ไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้น ทางครอบครัวของแฟน คือพ่อ แม่ หรือแฟนหนุ่ม ต่างก็ขับรถสิบล้อเช่นเดียวกัน โดยมีเส้นทางหลักคือกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เชียงใหม่-กรุงเทพฯ แม้กระทั่งในค่ำคืนนั้น คุณแนนก็โทรมาเล่าในรายการบิ๊กช็อค ขณะที่ตัวเองจอดพักรถบรรทุกในปั๊มระหว่างทาง

คุณแนนบอกว่า เมื่อไม่นานมานี้ ตนและแฟนขับรถบรรทักจากกรุงเทพฯสู่เชียงใหม่เหมือนอย่างเคย ระหว่างทางก่อนเข้าเชียงใหม่จะแวะพักในบ้านที่ลำปาง เพื่อนอนค้างคืน แต่คืนนั้นแฟนตนดูแปลกไป กล่าวคือแทนที่จะเข้าไปนอนในห้องด้วยกัน แฟนหนุ่มก็บ่นว่าอากาศร้อน นอนไม่ได้ จะขอออกไปนอนนอกห้อง หลังนอนไปสักพัก แฟนคุณแนนก็มีอาการนอนไม่หลับอีก บ่นว่าปวดหัว คุณแนนก็ถามว่า วันนี้ไม่ได้กิน ‘กาแฟ’ รึเปล่า แต่แฟนหนุ่มก็บอกว่าไม่ใช่

อย่างไรก็ตาม แฟนคุณแนนก็งอแงหงุดหงิด เลยจะออกไปหน้าบ้าน ทั้งๆที่ก็ดึกดื่นมากแล้ว ทันใดนั้น…หมาทั้งซอยก็รุมหอนประสานเสียงราววงออเครสตร้าชวนขนลุกมาทางบ้านคุณแนน คุณแนนเริ่มรู้สึกวิตกถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากล เลยชวนแฟนกลับเข้าข้างใน แต่แฟนเธอก็ยังคงดื้อดึงไม่ยอมเข้า กระทั่งคุณแนนต้องใช้จริต บอกว่าตนปวดท้องพาเข้าบ้านก่อน แฟนหนุ่มถึงยอมฟัง ก่อนจะพยุงคุณแนเข้าบ้าน

ขณะที่แฟนพยุงเธอเข้าประตู คุณแนนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ข้างรั้วบ้านที่เสียงประมาณเอว มันเป็นเงาดำที่ดูคล้ายเงาคน ยืนอยู่ชิดกับรั้วบ้าน ราวกับกำลังจับจ้องสอดส่อง มองพฤติกรรมคนในบ้านหลังนี้อย่างน่าขนลุก คุณแนนเหงื่อแตก รีบเร่งเร้าแฟนให้พาเข้าบ้านโดยเร็ว จากนั้นคุณแนนปิดประตูหน้าต่างทั้งหมด ร่วมทั้งรูดม่านทุกผืน คืนนั้นคุณแนนพยายามจะติดต่อพ่อกับแม่แฟน เพื่อจะปรึกษาบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ตนพบเจอที่บ้าน แต่น่าเสียดายที่โทรยังไงก็ไม่มีคนรับสาย อาจเป็นได้ว่าทั้งคู่อาจอยู่ระหว่างขับรถ ไม่ว่างรับ เลยจำต้องเข้านอนทั้งๆที่กลัว

แต่สำหรับคุณแนนผู้น่าสงสาร นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความกลัวเท่านั้น เพราะตอนเช้ามา เธอพบรอยเท้าปริศนา รอยเท้าเปื้อนโคลนที่ย่ำจากหน้าบ้าน ข้ามธรณีประตูเข้าไปภายในตัวบ้าน รอยที่ว่ายังตรงขึ้นบันไดไปสู่ชั้นสอง ก่อนจะหยุดที่หน้าประตูห้องนอนของเธอกับแฟน สิ่งนี้สร้างความวิตกให้แก่คุณแนนอย่างมาก เธอมั่นใจว่าก่อนนอน ตนได้ปิดและล็อคประตูอย่างดี แม้กระทั่งหน้าต่างทุกบาน ไม่มีทางที่หัวขโมยหรือใครก็ตามจะเข้ามาได้แน่ เธอพาเพื่อนบ้านแถวนั้นมาดูรอยที่ว่าด้วย ต่างก็ลงความเห็นไปในทางเดียวกัน ว่ามันเป็นรอยเท้าคน(?)จริงๆ

คุณแนนพยายามติดต่อกับพ่อแม่แฟนอีกครั้ง ในเช้าวันนั้น แต่ความสะพรึงที่สุดก็มาถึง คุณแนนได้รับข่าวร้าย เกิดอุบัติเหตุขึ้นขณะขับรถสิบล้อ พ่อแฟนเธอดับคาที่ ยังดีที่แม่แฟนไม่เป็นอะไรมาก โดยคำให้การของผู้พบเห็นเหตุการณ์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขับรถบรรทุกอีกคันตามรถพ่อแม่แฟนของเธอ บอกว่า… ระหว่างทางมีอะไรบางอย่างตัดหน้ารถ ทำให้รถต้องหักหลบเข้าป่าข้างทางจนพลิกคว่ำ โดยที่คุณแนนก็ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ตนพบเจอเมื่อคืน รวมถึงรอยโคลนเมื่อเช้า มันเชื่อมโยงกับอุบัติเหตุมั้ย เป็นไปได้มั้ยว่ามันคือ ‘ลางบอกเหตุ’ ก่อนที่จะเกิดเรื่องเศร้า หรือแม้กระทั่ง ‘เงาดำ’ เจ้าของรอยเท้าปริศนา จะเป็นดวงวิญญาณของพ่อแฟน ที่กระเสือกกระสนกลับมาบ้าน?!

ดีเจขวัญน้ำมันพรายได้ฟังจบ ก็รู้สึกว่าเรื่องที่คุณแนนเล่านั้น มีบรรยากาศที่ชวนขนลุกดี เลยแนะนำให้คุณแนนนำไปเล่าในรายการดังอย่าง ‘เดอะช็อค fm’ อีกรอบหนึ่ง ผ่านไปหลายวันทางทีมงานเดอะช็อคอย่างคุณบี่บี๋ โทรติดต่อทางคุณแนนกลับมาว่า คืนนี้สะดวกหรือไม่ อยากให้เธอเข้าเล่าเรื่อง “ลางบอกเหตุ” ในรายการ ตั้งแต่หลังตีหนึ่งเป็นต้นไป ทางคุณแนนก็ตบปากรับคำเสียงเยียบเย็นว่า…

“ค่ะ…ได้ ค่ะ”

คืนนั้นทางทีมงานโทรติดต่อกลับไปหาคุณแนนอีกครั้ง เพื่อจะนัดคิวประสานงาน แต่โทรไปเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย กระทั่งเที่ยงคืนกว่าๆสายจากคุณแนน ที่ทุกคนในห้องส่งรอคอยก็โทรเข้ามา แต่สิ่งที่จะสร้างความเซอไพรส์ให้คนฟัง ไม่ใชเรื่องเล่าผีที่คุณแนนเคยเล่า แต่กลับเป็นการแจ้งข่าวว่าตัวคุณแนนเอง ได้เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน เมื่อสามวันก่อน

เรื่องคือคนที่โทรกลับมาหาทีมงาน เป็นน้องสาวคุณแนน เธอเห็นเบอร์นี้ขึ้นมิสคอลล์หลายสายในโทรศัพท์ของพี่สาว เลยโทรกลับมาโดยไม่รู้ ทางทีมงานก็นึกว่าคุณแนนเลยทวงถามถึงสัญญาที่คุยกันไว้เมื่อกลางวัน แต่น้องสาวเธอกลับแสดงความแปลกใจออกมา…

“หาา อะไรนะ? จะโทรไปเล่าได้ยังไงคุณ พี่แนนแกเสียไปได้สามวันแล้วนะ”

“นี่หนูพึ่งจะมาเจอโทรศัพท์ มันอยู่ในตู้เสื้อผ้าของแก กำลังจะโทรแจ้งเพื่อนๆแก ว่าพี่แนนเสียแล้ว”

คุณบี่บี๋และทีมงานได้ฟังก็แปลกใจ มันจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตนพึ่งจะสนธนากับคุณแนนอยู่เลย คุณขวัญ น้ำมันพรายก็ย้ำถามกับน้องสาวคุณแนนว่า “เรื่องจริงเหรอครับ…ไม่ได้แกล้งล้อกันเล่นใช่มั้ย?”

“โธ่พี่… เรื่องแบบนี้ใครจะมาล้อเล่น”

นั่นเป็นคำตอบสั้นๆแต่เคลียร์ใจกันไป ว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก แต่อีกคำถามนึงที่ยังไม่ได้รับคำตอบ…คือ หากคุณแนนตายไปเมื่อสามวันก่อน แล้วใครกันเล่า ที่คุณบี่บี๋และทีมงานเดอะช็อคได้คุยด้วยตอนกลางวัน? ยิ่งกว่านั้น…ภายหลังมีทีมงานฝันแปลกๆ ว่าเห็นผู้หญิงแปลกหน้ามานั่งราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง อยู่หน้าห้องจัดรายการ พอถามเธอก็บอกว่านั่งรอจะมาเล่าเรื่องสยองขวัญในรายการ บ้างก็มีคนเจอเหตุการณ์แปลกอย่าง ได้ยินเสียงเคาะที่โซฟา เวลาที่ทีมงานไปนอนงีบ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

03/02/2022

คุณไสย…จากน้ำล้างช่องแคบแฟน!

เรื่องนี้เคยเป็นเรื่องรายที่ถูกเล่าในรายการ “เดอะช็อค เรดิโอ” เมื่อนานเกือบ 10 ปีมาแล้ว โดยเจ้าของเรื่องส่งประสบการณ์ของตัวเองมาทางอีเมล์ ในช่วงที่เรียกว่าเดอะช็อค สตอรี่ เรื่องมีอยู่ว่า… เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวผมเองเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมมีโอกาสได้รู้จักกับสาวนักศึกษาปี 1 หลังจากคุยกันได้ไม่นานเราก็เริ่มคบกัน กระทั่งสานความสัมพันธ์ลึกซึ้ง คืนหนึ่งผมก็ได้ไปนอนค้างที่ห้องของเธอ

คืนนั้นระว่างที่นอนอยู่บนเตียง ผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงกุกกักแถวห้องน้ำ ซึ่งกำแพงอยู่ติดกับเตียงด้านที่ผมนอนอยู่ สักพักผมรู้สึกได้ว่ากำลังถูกสายตาบางคู่จ้องมองมาจากหลังประตูของห้องน้ำ แต่เมื่อผมหันหลังไปดู ใครบางคนที่ว่า…ก็หลบหายเข้าไปในห้องน้ำมืดสนิท ผมยังคงแกล้งทำเป็นนอนต่อ เสียงกุกกักก็เริ่มดังขึ้นอีก คราวนี้รู้สึกได้ว่า…ใครบางคนนั้น ออกมายืนค้ำหัวผมอยู่ข้างเตียงแล้ว ยื่นหน้าออกมาใกล้เรื่อยๆ ราวกับกำลังสำรวจอะไรสักอย่าง

ผมหันขวับกลับมาทันที เห็นเพียงเงาลับหลังไวๆ วิ่งหลบเข้าไปในห้องน้ำ ผมกระโจนออกจากเตียงสุดแรง กะว่าจะไล่ตามไปดูให้เห็นคาหนังคาเขา สิ่งที่ผมเจอในห้องน้ำ…ปรากฎว่าเป็นเด็กตัวคล้ำๆ พยายามจะวิ่งหนีเข้าไปในซอกหลังโถส้วม ผมจับขามันได้แล้ว แต่มันก็ดิ้นจนหลุด แล้วหายลับเข้าไปในโพลงด้านหลัง ทันใดนั้นผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียง… มันเป็นความฝันหรอกหรือ? แต่…มันก็เป็นความฝันที่สมจริงมาก ผมบอกได้เลยว่าสิ่งที่ผมเห็นในฝัน ถอดแบบออกมาจากห้องที่ผมกำลังนอนอยู่นี่ชัดๆ

ผมสงสัยว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเบื้องหลังรึเปล่า เลยถามแฟนดู ทีแรกเธอก็เลี่ยงที่จะตอบ แต่พอผมคาดคั้นเข้า เธอก็สารภาพว่า…ในอดีตเธอเคยท้องกับแฟนคนก่อน แต่ในเมื่อยังอยู่ในวัยเรียน และเธอก็ไม่มีปัญญาเลี้ยง เลยตัดสินใจทำแท้งด้วยตัวเอง เรื่องสิธีการขอไม่พูดถึงในที่นี้ จนกระทั่งเธอปวดท้องอย่างรุนแรงเลยไปเข้าส้วม จู่ๆก็มีก้อนเลือดหลุดออกมา ด้วยความตกใจ เธอก็รีบกดชักโครกให้น้ำหมุนวน ชำระบาปที่ติดตัวของเธอออกไป

เธอไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผม เธอบอกว่าไม่อยากให้ผมรู้สึกผิดหวัง รู้สึกรังเกียจหรืออยากเลิกคบกับเธอ… บอกตามตรง ทีแรกผมอดตกใจไม่ได้เหมือนกัน แต่พอคิดๆดูแล้วมันก็เป็นเรื่องในอดีต เป็นความผิดพลาดที่ย้อนไปแก้ไขไม่ได้ ผมเลยเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก หลังจากนั้นเราก็ยังคงคบกันเรื่อยมาอีกระยะหนึ่ง

กระทั่งช่วงหนึ่ง ผมเริ่มสังเกตว่า ตัวเองเจ็บออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันไข้ ไอแค่กๆจนเป็นเรื่องปกติ ไม่สบายบ่อยมาก มากจนแม่ทัก…ว่าตัวก็ใหญ่แต่ทำไมป่วยบ่อย โดยปกติถ้าไม่มีคลาสเรียน ผมก็จะไปอยู่กับแม่ช่วงเย็น เป็นช่วงที่ผมมีอาการเพลียอยู่เสมอ แต่พอกลับไปหาแฟนที่หอช่วงสามทุ่ม อาการต่างๆกลับดีขึ้นตาอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นผมไม่ได้ติดใจสงสัยแต่อย่างใด หากมาคิดดูดีๆในภายหลัง ต้องยอมรับว่านี่คือสัญญาณอันตราย ที่ผมละเลยด้วยความไว้ใจจริงๆ

มีอยู่วันหนึ่ง ผมไปช่วยแม่ขายของที่ตลาดนัดในช่วงเย็น จู่ๆอาการก็กำเริบ คราวนี้มันแตกต่างไปจากทุกที ผมรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง ราวกับมีใครเอามือบิดสุดแรง ปวดจนแทบทนไม่ไหว แม่ผมเลยนำส่งโรงพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดทันที แพทย์เวรลงความเห็นว่า…เป็นอาการของอาหารเป็นพิษ ติดในกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง ผมก็นึกสงสัยว่าผมเองก็ไม่ใช่คนซกมกจะหยิบอะไรซี้ซั้วเข้าปาก อาหารส่วนใหญ่ก็ปรุงสุกทั้งนั้น นึกไม่ออกเลยว่าตัวเองไปกินอะไรมาที่ทำให้ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ

ในระหว่างนั้นเอง ครอบครัวเราก็ได้รับข่าวร้าย ถึงแม้ว่าเราสองคนแม่ลูกจะเตรียมใจเอาไว้แล้วก็ตาม ทางโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อรักษาตัวด้วยโรคเรื้อรังอยู่นั้น โทรมาแจ้งว่าท่านเสียแล้ว ให้มารับร่างไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ผมเลยบอกแม่ว่าเดี๋ยวผมขอกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดดำก่อน ผมปลีกตัวออกมาแล้วตรงไปยังห้องของแฟนเพื่อเปลี่ยนชุด ปรากฎว่าอาการเริ่มแย่ลงอีกแล้ว มันรู้สึกปวดหัวและเพลียจนแทบสิ้นสติ เลยกะว่าขอนอนพักเอาแรงสักชั่วโมง ตื่นมาเข้าห้องน้ำอาบน้ำเตรียมตัวจะไปรับพ่อ อาการก็รุนแรงขึ้นอีกจนผมลุกไม่ไหว เลยล้มตัวลงนอนบนเตียงข้างๆแฟน

กว่าผมจะรู้สึกตัวแล้วตื่นมา ก็ตอนเช้าเสียแล้ว ผมหยิบมือถือมาดู พบว่ามีสายมิสคอลนับร้อยจากแม่ ผมรู้สึกผิดมากๆ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ผมจะมัวมานอนอยู่แบบนี้ไม่ได้ แต่ขาผมมันไม่ยอมขยับ สภาพผมตอนนี้ราวกับผีตายซาก ในกระจกสะท้อนใบหน้าซูบซีดจนผมเองยังตกใจ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมก็ไม่ทราบ ผมพยายามจะฝืนตัวเองลุกขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายก็ล้มลงไปกองที่หน้าประตู ตอนนั้นเองก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อผมอยู่หน้าประตู

ผมเปิดออกไปดู ปรากฎว่าเป็นแม่ผมเอง แม่มองผมด้วยสายตาเบิกโพลง สีหน้าแกดูตกใจระคนคลางแคลง ก่อนจะก้มลงไปพยุงผมขึ้นมา

“สภาพแบบนี้…แกโดนของเข้าแล้วล่ะ”

คำพูดของแม่ทำหัวใจผมแทบหลุดออกมาจากอก ‘ทำของ…เหรอ?’ หมายถึงคุณไสยมนต์ดำใช่มั้ย? ผมไม่เคยนึกถึงมุมนี้มาก่อนเลย แล้ว…ถ้าเป็นความจริง ใคร? จะทำใส่ผมล่ะ ทันใดนั้นผมก็หันกลับไปมองหาแฟนในห้อง สิ่งที่เห็นทำเอาใจผมหาย เธอเอาแต่นอนมุดตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่ ราวกับจะซ่อนตัวจากผมและแม่ผมยังไงอย่างนั้น

แม่ผมพาขึ้นรถ แล้วตรงไปที่วัด ระหว่างทางก็ด่าผมชุดใหญ่ ผมได้แต่นิ่งเงียบคิดทบทวน มันจะเป็นไปได้เหรอ? คุณไสยเนี่ยนะ มันงมงาย พ.ศ.นี้มันยุคไหนกันแล้ว เรื่องพรรค์นั้นมันจะไปมีจริงได้อย่างไร ไปถึงวัดก็พบหลวงพ่อรูปหนึ่ง ท่านอายุอานามมากโขแล้ว แม่ผมก็สอบถามท่านว่าลูกชายเป็นอะไรมากมั้ย หลวงพ่อท่านมองผมปราดเดียวแล้วก็พูดขึ้นว่า…

“คนบาป…”

ผมก็ได้แต่งง และสงสัยว่าคำพูดของท่านนั้นหมายถึงอะไร? ตัวผมไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้…อย่างไร หลวงพ่อท่านแนะนำให้ผมเปลี่ยนชื่อเป็นการแก้เคล็ด แล้วให้น้ำมนต์ปลุกเสกมาอาบจำนวนหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านเหงื่อผมก็ไหลไม่หยุดราวกับเปิดน้ำก๊อก แม่ผมยืนยันหนักแน่นว่า…ตัวผมต้องไปโดนคุณไสย มนต์ดำมาแน่ๆ แต่ตัวผมนั้น ยังไงก็ไม่มีทางเชื่อ กระทั่งมาถึงบ้าน อาการผมเริ่มทุเลาลงแล้ว คืนนั้นผมก็นอนพักค้างคืนที่บ้าน

คืนนั้นผมฝันประหลาด บ้านของผมจะเป็นลักษณะแบบอาคารพาณิชย์ ในฝันนั้นผมเห็นตัวเอง ยืนอยู่บนชั้น 2 จู่ๆก็มีผู้หญิงแปลกหน้าผมยาวรุงรังเดินขึ้นมา เธอมองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในตู้ ซึ่งมีรองเท้าคู่เก่งของผมเก็บอยู่ จากนั้นไม่นานก็มีผู้ชายในสภาพเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่ยเก่าปอน มองมาทางผมด้วยตาขวาง ก่อนจะเดินตามหายเข้าไปอีก เป็นแบบนี้คนแล้วคนเล่า จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งไล่หลังตามมาติดๆ…

“พวกนั้น…มันติดตามมากับเศษดินเศษหินในรองเท้า”

เสียงที่ว่านั่นเป็นของชายร่างใหญ่กำยำ น่าเกรงขาม ตามลำตัวมีรอยสักรวดลายอักขระอยู่ทั้งตัว ในมือหนึ่งมีค้อนเหล็ก ส่วนอีกมือมีสิ่ว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน…แต่จู่ๆผมก็วิ่งเขาไปกอดขาเค้า ราวกับผมรอคอยคนคนนี้มานาน จากนั้นชายนิรนามคนนั้น ก็ยกค้อนกับสิ่วขึ้นมาตอกลงไปบริเวณด้านหลังใต้คอผม เขาตอกดังโป๊กๆๆๆครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสุดแรง ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด แต่สัมผัสได้ถึงแรงกระแทก

สิ่งที่ชายคนนั้นทิ้งเอาไว้ เป็นรอยสักทรงสี่เหลี่ยมคล้ายกับยันต์เก้ายอด หากแต่ภายในว่างโล่ง ไม่มีอักขระอะไร จากนั้นทิวทัศน์รอบตัวผมก็เปลี่ยนไป กลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งคล้ายภายในวัด ด้านหน้าผมมีศาลาไม้หลังใหญ่ ผมขึ้นไปบนนั้นพบพระ 3 รูปกำลังนั่งฉันท์อาหารกันอยู่ ที่นั่น…พระรูปหนึ่งเติมเต็มรอยสักด้านหลังคอให้ผม จนตอนนี้มันมีลักษณะคล้ายยันเก้ายอดที่มีอักขระที่สมบูรณ์แล้ว ผมตื่นมาก็รุ่งเช้าแล้ว เลยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ผมฟัง แม่ผมก็มีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกล่าวกับผมว่า “ต่อจากนี้ เราคงพ้นทุกข์พ้นโศกแล้ว”

แม่ผมยังบอกอีกว่า วันนี้จะพาผมไปที่บุรีรัมย์ ที่นั่นมีอาจารย์ท่าหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องขจัดไสยเวท จะพาไปเอาสิ่งที่ตกค้างออกให้หมด อ̶า̶จ̶า̶ร̶ย์̶ท̶่า̶น̶ชื̶่อ̶โ̶ก̶ะ̶โ̶จ̶ ̶ซ̶า̶โ̶ต̶ร̶ุ อาจารย์นั้นท่านชื่ออะไรผมบอกไม่ได้ สิ่งที่ท่านทำคือนำปากกามาจิ้มไว้ที่คาง กับฝ่าเท้า แต่ความรู้สึกเจ็บราวกับถูกมีดกรีดเข้าไป ก่อนที่จะมีน้ำบางอย่างสีดำคล้ำกลิ่นเน่าเหม็นไหลออกมา เสร็จสิ้นพิธีกรรมนั้น ปรากฎว่า… อาการปวดหัวปวดท้อง ใจเต้นแรงของผมหายจนเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าประหลาด

ในระหว่างที่ญาติๆผมที่ติดตามไปด้วย กำลังสนทนาอยู่กับอาจารย์ท่านนั้นอยู่ ผม…อาจจะด้วยที่ไม่เจอแฟนตั้งแต่วันก่อนนั้น เลยคิดถึงเค้าขึ้นมา จู่ๆก็มีเสียงอาจารย์แกพูดดังแหวกขึ้นมา จนคนอื่นๆเงียบไปหมด

“เค้าทำถึงขนาดนี้ ยังจะคิดถึงมันอีกหรือ?”

ผมสะดุ้งตกใจ ได้แต่มองเลิ่กลั่กราวกับเด็กที่พยายามจะปิดบังความผิด

“เอ็งรู้บ้างรึเปล่า ว่าที่เอ็งโดนนั้น มันคืออะไร…”

“ผมก็ไม่รู้เลยครับว่าเป็นอะไร เรื่องที่ว่าโดนทำของใส่ จะใช่จริงมั้ยก็ไม่รู้”

ผมตอบอาจารย์ไปตามที่คิด แต่หลังจากนั้นผมแทบช็อคกับสิ่งที่ได้ยินจากปากอาจารย์

“สิ่งที่เอ็งโดนมันคือ…คุณไสยจาก น้ำล้างอวัยวะช่วงล่าง!”

“มันเอามาผสมในน้ำ ในกับข้าวกับปลา ให้เอ็งกินวันแล้ววันเล่า ยังไงล่ะ”

แม้ผมจะยืนกรานหนักแน่นมาตลอดว่าไม่เชื่อในเรื่องพวกนี้ แม้กระทั่งไม่กี่วินาทีก่อน แต่คำตอบแสนพิศดารของอาจารย์ มันเป็นราวกับกุญแจดอกสุดท้ายของเรื่องราว ผมนึกย้อนไปในวันนึงที่ผมอยู่กับแฟน ผมชมเธอว่าทำไข่เจียวปูได้เอร็ดอร่อย ราวกับเจ๊ไฝมิชลินสตาร์ เธอก็พูดออกมาคำนึงว่า…

“ไม่อร่อยได้ไงล่ะ ก็ใส่น้ำเงี่_นเราลงไปด้วย 555”

วันนั้นผมก็นึกว่าเธอพูดติดขำ ก่อนจะตอบไปว่า บ้าเหรอ ใครจะไปกินอะไรแบบนั้น ยิ่งกว่านั้น…อาการป่วยที่ผมเป็นจนต้องเข้าโรงหมอเมื่อวันก่อน แพทย์วินิจฉัยมาว่าอาหารเป็นพิษ มีเชื้อในกระเพาะอาหาร คิดถึงตรงนั้นผมก็หน้าซีด รู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะสำรอก

หลังจากนั้น ผมรีบโทรติดต่อหาแฟนทันที ถามเธออย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เธอได้แต่อ้ำอึ้ง เลี่ยงที่จะตอบ ผมบอกกับเธอว่า… ‘รู้บ้างมั้ย ผมเกือบตายเลยนะ’ แต่เธอก็ยังคงปฏิเสธเป็นพัลวัน แล้วยังบอกอีกว่า ต่อให้ทำก็ไม่ทำถึงตายหรอก เธอบอกว่าอย่าเข้าใจเธอผิด เธอรักผมมาก อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก แต่ตัวผมตัดสินใจเลิกติดต่อกับเธออย่างเด็ดขาด

ผ่านไปราวหนึ่งเดือน ผมเริ่มกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง คราวนี้มีเพื่อนในคณะมาเล่าให้ผมฟังว่า ‘กูเจอแฟนเก่ามึงด้วยว่ะ แต่ควงไปกับหนุ่มที่ไหนไม่รู้ ท่าทางจะรักกันมากทีเดียว’

ผมได้แต่คิดในใจว่า… ขอให้ผู้ชายคนนั้นโชคดีมีชัย หากสวรรค์ยังเข้าข้างอยู่บ้าง คงไม่ต้องเจอหนักถึงกับต้องเอาชีวิตไปทิ้ง …

Admin

29/01/2022

ไอ จัส วอนนา เป็น แฟน ผี ได้ บ่ … เรื่องสยองของคนตกหลุมรักผี

มีเรื่องผีเดอะช็อคอยู่ตอนหนึ่ง ซึ่งเคยฟังมานานแล้ว อาจจะไม่แม่นในเรื่องรายละเอียดมากนัก แต่แก่นของเรื่องยังจำได้ดี มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มนศ.ปีหนึ่ง ที่ไปพบหญิงสาวสะสวยราวกับนางในฝัน และพยายามที่จะสานสัมพันธ์ทำความรู้จักกัน ก่อนเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบไม่ทันตั้งตัว

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผมยังเป็นนักศึกษาด้านดนตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมมีโอกาสได้พบกับผู้หญิงที่เห็นครั้งแรกก็ตกหลุมรักโดยบังเอิญ ผมไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม ค่ำคืนนั้นผมอยู่ซ้อมกีตาร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเอกที่ผมเรียนอยู่จนดึก ตอนที่ผมกำลังจะกลับก็แวะเข้าห้องน้ำที่ตึกในคณะ ผมสังเกตเห็นว่า…ยังมีห้องซ้อมหนึ่งที่เปิดไฟสว่างอยู่ เสียงจสกเครื่องฟลุ๊ตลอยเอื่อยมาเข้าหูผม คนที่ยืนเป่าฟลุ๊ตอยู่ในห้องนั้นเป็นหญิงสาวในชุดนักศึกษา แม้เธอจะยืนหันหลังอยู่ ผมก็มันใจว่าสวยแน่นอน

หลังยืนเกาะกระจกฟังอยู่ครู่นึง ผมก็เดินไปเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะพอออกมาก็พบว่าห้องดังกล่าวปิดไฟมืดสนิท สาวเจ้าก็ไม่อยู่เสียแล้ว ผมเองก็ทำได้แต่บ่นอยู่ในใจ รู้งี้ยืนรอเธออีกแป๊บนึงก็ดีหรอก หลังจากนั้นผมก็กลับไปที่หอ เล่าอวดเรื่องนี้ให้เพื่อนร่วมห้องอีก 2 คนฟัง ผมสาธยายความงดงามของเธอยู่หลายนาที ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและบทเพลงที่เธอบรรเลง แต่เพื่อนผมคนนึงก็ดันสัพยอกมาทีนึงว่า

“สี่ห้าทุ่มแล้วเนี่ยนะ จะมีผู้หญิงที่ไหนไปซ้อมดึกดื่นอยู่ในตึก”

ผมก็ยืนยันเสียงแข็งว่า…เห็นจริงๆ ไม่ได้โม้แต่ประการใด เสียดายที่ไม่ได้ทำความรู้จักกัน กระทั่งวันหนึ่ง ผมกลับจากคลาสเรียนก็ตรงไปที่หอ ไม่รู้ว่าเป็นพรหมลิขิตหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ผมพบเธออีกแล้ว ผมจำเธอได้ เธออยู่ในชุดนักศึกษากระโปรงทรงพีท สะพายกล่องฟลุตสีดำอยู่บนไหล่ คราวนี้แหละผมจะเข้าไปทักเธอล่ะนะ ติดอยู่ตรงที่ว่า ผมอยู่คนละฝั่งของถนน กว่าที่ผมจะข้ามพ้นเธอก็รูดการ์ดเปิดประตูเข้าไปในหอแล้ว ใช่แล้ว ถึงจะคลาดกันอีก แต่อย่างน้อยๆก็รู้แล้วว่าเธออยู่หอเดียวกันกับผม

ที่น่าดีใจไปมากกว่านั้น คือก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าถัดจากห้องผมขึ้นไปหนึ่งชั้น มักจะมีเสียงซ้อมฟลุตหลุดลอยมาถึงบ่อยๆ อันที่จริงผมไม่ได้สนใจมันมากกว่า เนื่องจากในหอนี้ก็มีนักศึกษาสายดนตรีอยู่ไม่น้อย อย่าว่าแต่เสียงฟลุตเลย ผมได้ยินมาหมดทุกเครื่องดนตรี จนนึกว่ามีวงออเครสต้าในตึกด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม หลังจากคืนที่ผมได้เจอเธอ ผมก็จำท่วงทำนองบรรเลงของเธอได้ ห้องของเธออยู่ด้านบนตรงกับห้องของผมนี่เอง

“เพล้งง!!” เย็นวันนึงระหว่างที่ผมซ้อมกีตาร์อยู่ในห้อง จู่ๆก็ได้ยินเสียงคล้ายแก้วแตกดังลงมาจากเพดานห้อง ผมสังหรใจว่าเสียงนี้ดังมาจากห้องเธอ เลยถือโอกาสนี้แหละไปเคาะประตูห้องเธอ “ก๊อกๆๆ ขอโทษนะครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่า” ไม่นานนักเธอก็เปิดประตูให้ ต้องบอกว่าได้มาเจอซึ่งๆหน้าผมยิ่งชอบเธอมากขึ้นไปอีก แม้ในวันสบายๆที่ไม่ได้แต่งหน้า ก็ยังคงหน้ามอง เธอบอกว่าเผลอทำโคมไฟล้มจนแตก พอมองเข้าไปก็พบเศษหลอดไฟกระจายเกลื่อน ผมก็เลยอาสาช่วยจัดการให้ พร้อมเป็นธุระเปลี่ยนหลอดไฟให้อีก

จากนั้นก็ได้คุยกันบ้าง ได้ความว่าเธออยู่คนเดียว แม้ผมจะอดสงสัยไม่ได้ว่าของบางชิ้นในห้องเธอดูไม่ใช่รสนิยมของผู้หญิง แต่จู่ๆจะให้ถามคนที่พึ่งคุยกันครั้งแรกว่า “อ้าว ไม่ใช่ว่าอยู่กับแฟนเหรอครับ” คงโดนเกลียดและไล่ตะเพิดแน่ๆ อย่างไรก็ตามผมก็ได้เริ่มสานสัมพันธ์แล้ว แถมยังได้เฟสบุ๊คเธอมาอีกด้วย

หลังจากนั้นผมก็ใจจดใจจ่ออยู่กับโน๊ตบุ๊คที่เปิดเฟสบุ๊คไว้เสมอเวลาอยู่ห้อง เรียกว่าไม่เป็นอันซ้อมดนตรีเลย คืนนึงผมเห็นเธอออนไลน์อยู่เลยทักไปว่า “ยังไม่นอนเหรอครับ” แต่แทนที่เธอจะตอบอะไร กลับส่งอิโมจิรูปหน้าร้องไห้มารัวๆไม่หยุด ผมเองก็ตกใจ เลยตัดสินใจกะว่าไปจะเคาะห้องเธอ ปรากฎว่าห้องก็ปิดไฟมืดสนิท ผมเลยไม่กล้าเคาะด้วยความว่าเกรงใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน

กระทั่งเช้าวันถัดมา ผมตื่นสายนิดหน่อย กว่าจะแต่งตัวออกจากห้องเพื่อนก็ออกมากันก่อนแล้ว ผมสับผัสได้ถึงความวุ่นวายของเสียงผู้คนในหอ มันมีที่มาจากชั้นบนเลยเดินขึ้นไปดู ปรากฎว่ามีคนจำนวนนึง ยืนมุงล้อมหน้าห้องของเธอยู่ ในนั้นมีเพื่อนร่วมห้องของผมรวมอยู่ด้วย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“เอ่อๆ เถอะน่า เมิงยังไม่ต้องรู้หรอก”

“รีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันสอบ”

ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คาดคั้นคำตอบจากเพื่อน เนื่องด้วยวันนั้นมีเตรียมสอบ และเราก็เริ่มสายแล้ว จนกระทั่งผ่านไปกว่าอาทิตย์ผมก็ลืมเรื่องนั้นไปสนิท เนื่องจากผมและเพื่อนๆก็ยุ่งอยู่กับการสอบ และไม่ได้เอ่ยปากถามอีก

ค่ำวันนนึง หลังจากสอบกลางภาคเสร็จ พวกเราไปฉลองสอบเสร็จที่ผับแถวม. อย่างไรก็ตาม เป็นผมที่ปลีกตัวออกมาก่อน ผมกลับมานอนเล่นที่หออย่างสบายใจคนเดียว จนนึกถึงเธอขึ้นมาได้ เลยทักเฟสไปคุยกับเธอ อาจด้วยความกล้าที่มาจากก้นขวดเพียวๆ ซึ่งเพื่อนขยั้นขยอให้ผมดื่มเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ทำให้คราวนี้ผมบอกเธอไปตรงๆ

“เราจีบเธอได้มั้ย? เธอมีแฟนรึเปล่า ขอเบอร์โทรได้มั้ย คบกันได้รึเปล่า บลาๆๆ”

ผมพล่ามอะไรออกไปบ้างก็ไม่แน่ใจ แต่มันคงเป็นความรู้สึกที่ตกค้างในใจมาตลอด ต่อให้ต้องผิดหวังก็ไม่กลัวแล้ว

“เราไม่ให้ได้มั้ย เพราะไม่นาน…เราก็จะไปแล้ว”

“แต่…ไว้เราจะไปหาเธอนะ”

ผมอ่านข้อความของเธอแล้วก็ไม่แน่ใจว่าควรดีใจหรือเสียใจ อาจเพราะความมึนเมาทำให้อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ แต่อันที่จริงแล้ว…มาคิดดูภายหลัง ข้อความของเธอในวันนั้นมันก็น่าสงสัยจริงๆ หลังจากนั้นผมก็พล็อยหลับไปบนเตียง คืนนั้นผมก็ฝัน ฝันว่าเธอคนนั้นมาหาที่ห้อง

“มาหาแล้วไง นี่…เห็นบ่นว่าอยากกิน อยู่คนเดียวด้วย คงจะหิวล่ะสิ”

เธอไม่ได้มาตัวเปล่า…แต่มาพร้อมปิ่นโตลายน่ารัก ด้านในมีอาหารสองอย่าง คือ ยำมาม่ากับยำปลากระป๋อง และข้าวสวยวางไว้บนโต๊ะ

“เรา…จะไปแล้วนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เธอจะไปไหนเหรอ เดี๋ยวเราไปส่งมั้ย

“ไม่ต้องหรอก มีรถมารับเราแล้ว…”

จากนั้นผมก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ประจำในตอนเช้า พบว่าเพื่อนอีกสองคนกลับมานอนสิ้นสภาพกันหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมแแอบตกใจก็คือ ที่โต๊ะญี่ปุ่นในห้อง มีปิ่นโตบรรจุยำมาม่าและยำปลากระป๋องอยู่ พร้อมโน๊ตกระดาษลายมือผู้หญิง “กินให้หมดนะ” ผมก็ใจฟูขึ้นมาเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เพียงฝันไปแน่ๆ

ระหว่างที่ผมนั่งโซ้ยอาหารฝีมือคนที่ผมชอบอย่างเอร็ดอร่อย เสียงไซเรนก็ร้องโหยหวนอย่างวังเวง ดังขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนที่จะมาหยุดแถวหน้าหอ ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงโหวกเหวกของผู้คนดังมาจากชั้นบนอีกแล้ว เหมือนเช้าวันนั้น…

คราวนี้ผมไม่รอช้าที่จะวิ่งขึ้นไปดู ทันใดนั้นเอง เปลสีขาวซึ่งมีสองคนแบกก็พุ่งตรงมาทางผม แต่สิ่งที่ทำผมแทบช็อคก็คือ คนที่นอนอยู่ตรงนั้น ร่างที่นอนนิ่งไร้ลมหายใจบนเปลคือเธอคนนั้น บนคอเธอมีรอยเชือกช้ำม่วงๆเขียวๆ สิ่งที่ได้รู้ตอนนั้นคือเธอจบชีวิตด้วยการผูกคอในห้อง แล้วมีคนพบเข้า น่าเสียดายว่าไม่ทันการเสียแล้ว

วันนั้นทั้งวันผมนั่งช็อคกับเหตุการณ์อยู่ที่หน้าหอ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและคำถามเต็มไปหมด เธอทำไปเพื่ออะไร? เมื่อคืนยังคุยกันดีๆอยู่แท้ๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือ เธอเสียไปตอนไหนกันแน่ เมื่อคืนใช่ความฝันรึเปล่า ใคร…ที่มาหาผมที่ห้อง?

หลังจากเพื่อนร่วมห้องสองคนรู้ข่าว ก็ทำหน้าท่าทางยุกยิกก่อนพูดออกมาว่า…ความจริงแล้วในเช้าวันนั้นก็เคยเกิดเรื่องมาก่อน เธอเคยใช้คัตเตอร์กรีดแขน เพราะความซึมเศร้า เสียใจที่แฟนบอกเลิก โชคยังดีที่มีคนช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทัน แต่พอกลับมาอยู่คนเดียวในหออีกก็เกิดเรื่องซ้ำรอย อย่างที่โบราณเค้าว่า… อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด ภายหลังการสืบสวนพบว่า ในที่เกิดเหตุมีร่องรอยของการทำอาหารที่ดูเหมือนว่า มีส่วนผสมเป็นเครื่องยำ มาม่า และปลากระป๋อง หากแต่เธอไม่ได้เป็นกินมันเข้าไป

จากวันนั้นมาหลายเดือนแล้ว ผมก็ยังคงอยู่ที่หอห้องเดิม ได้ข่าวว่าห้องที่เธอเคยอยู่ก็ปิดปรับปรุงชั่วคราวไปเลย ส่วนตัวผมไม่ได้กลัวเธอ อย่างไรเธอก็เคยเป็นคนที่น่ารักและดีกับผม ผมเองก็ไม่เคยฝันหรือพบเจอเธออีก แต่มันก็มีเหตุการณ์แปลกๆเช่นว่า ภายหลังที่ผมเริ่มสานสัมพันธ์กับสาวคนใหม่ ไม่นานเธอก็ยุติความสัมพันธ์ เธอให้คำตอบผมว่า… มีสายจากเบอร์ผมโทรมาหา แต่เป็นผู้หญิงพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า

“อย่าโทรมาอีก… อย่าโทรมาอีก… อย่าโทรมาอีก…”

ตอนเป็นคนเธอให้สถานะแค่คนคุย แตพอเธอตุย…มาหึงหวงกันซะง้านนน เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้

Admin

24/01/2022

The Shock โคกะโหลกให้ผีดู

เรื่องผี “โคกะโหลก” นี้เป็นสายจากคุณแฮ็ก ช่างแต่งหน้าชื่อดังที่พี่ป๋อง กพลแกรู้จักในวงการ คุณแฮ็กเป็นสาวสอง บอกเล่าเรื่องราวสยองปนสยิวครั้งที่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ทอล์คออฟเดอะทาวน์ในข้ามคืน จากคำๆหนึ่งในรายการที่พี่ป๋องทักถามขึ้นว่า “เดี๋ยวนะแฮ็ก อะไรนะ โขกกะโหลกเหรอ?” “ไม่ใช่พี่ป๋อง โค..โคกะโหลก” จนเป็นไวรัลไปในโลกโซเชียล เรื่องผีมาแรงที่ทำพี่ป๋อง กพลต้องหน้าซีด แม้จะฟังเรื่องผี รับสายเรื่องผีมาเป็นพันๆสาย

เรื่องผี The Shock มีอยู่ว่า…ตัวคุณแฮ็กในสมัยสาวๆ ร่วมด้วยก๊วนเพื่อนสาวสอง มักจะมีกิจกรรมยามค่ำคืนที่เรียกกันว่า “คืนออกล่า” อยู่ ออกล่าที่ว่าก็คือล่าผู้นั่นเอง หลังจากที่ตกได้ผู้มาเป็นคู่ขากันครบ สถานที่ที่ทั้ง 6 ชีวิต 3 คู่ เลือกที่จะทำกิจกรรมสันทนาการร้องเพลงประสานเสียงก็คือ ตึกแถวร้างในซอยบ้าน

ตึกแถวที่ว่านี้อยู่ไม่ห่างจากบ้านคุณแฮ็กนัก คุณแฮ็กเล่าว่าค่อนข้างคุ้นเคยดี เพราะตนผ่านตลอด เคยเห็นตั้งแต่สมัยยังมีกิจการ มีคนอยู่ จนปัจจุบันกลายเป็นตึกร้างไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเคยมีใครเห็นผีสางหรือเรื่องเล่าลือแต่อย่างใด

เวลาล่วงเลยไปเที่ยงคืนกว่า บรรยากาศเงียบเชียบไร้ผู้คน เพื่อนคุณแฮ็กเข้าไปเปิดฟลอร์เป็นคู่แรก เวลาผ่านไปสักพักหลังรอดูเชิง คุณแฮ็กก็ควงคู่ตัวเองตามเข้าไป โดยที่มีคู่ที่สามยืนสแตนด์บายเฝ้าต้นทางไว้ กะว่าผลัดกันเข้าไปวาดลีลากันคนละเซ็ท สองเซ็ท

คุณแฮ็กแหวกประตูเหล็กพับเข้าไป ด้านในมืดตื๋อ แต่สิ่งที่ทำให้ความเร่าร้อนดังดวงดาวเมื่อพราวแสงของคุณแฮ็กดับมอดลงอย่างว่องไว ก็คือภาพแปลกๆที่ปรากฏตรงหน้า คุณแฮ็กเล่าว่า “เพื่อนหนูกำลังโคกะโหลกอยู่…พี่ป๋องงง”

พี่ป๋องก็ถามว่า “เดี๋ยวนะแฮ็ก โขก-กะ-โหลกเหรอ? โขกทำไม”

“ไม่ใช่พี่ โค…โค-กะ-โหลก” แต่พี่ป๋องก็ติดใจอยู่ตรงคำนี้ ว่ามันมีความหมายยังไง บางทีอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นพิธีกรรมไสยศาสตร์หรือเปล่า คุณแฮ็กก็เลยถามพี่ป๋องว่า “พี่ พูดได้ใช่มั้ย” พี่ป๋องก็ยืนยันว่า…พูดได้สิ คนเรามีฟรีดอมออฟสปีช ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ

“เพื่อนหนูมันดูด___ให้ผู้ชายอยู่ค่ะ”

พี่ป๋องเลยถึงกับหลุด สตั๊นท์ไปนับครึ่งนาทีเพื่อตั้งสติ และบอกว่าพี่ผิดเองในจุดนี้ คุณแฮ็กจึงได้เริ่มเล่าต่อ ว่าเพื่อนนางกำลังนั่งคุกเข่าแล้วเป่าปี่ให้ผู้ที่ยืนพิงกำแพงอยู่ แต่ประเด็นคือไม่ได้มีแค่คุณแฮ็กกับคู่ที่ยืนดูภาพนั้นอยู่ ถัดไปอีกด้านในมุมมืดๆกลางห้อง มีชายแก่รูปร่างผอม ใส่เสื้อจีนกางเกงขาก๊วย นั่งยองๆแล้วจ้องสายตาไปที่พิธีโคกะโหลกอยู่เช่นกัน แขกที่ไม่นึกว่าจะได้พบในสถานที่รกร้างนั่นต่างหาก ที่ทำให้คุณแฮ็กตกใจ

กระทั่งเพื่อนสาวคุณแฮ็กรู้สึกตัวเลยหันมาพบกคุณแฮ็ก แล้วส่งสายตาสงสัยไปเพราะปากไม่ว่าง ราวกับจะถามว่า อำไออึงไอ่ไออำอันอั่งอู้น คุณแฮ็กก็ค่อยๆหันหน้าไปมองทางคนแก่เป็นคำตอบแทน เพื่อนสาวมองตามไปก็ตกใจ เพราะตอนเข้ามาทีแรกก็ไม่มีใครแน่ๆ ไม่งั้นใครจะกล้าโซโลทรัมเป็ทกลางคาร์เนกี้ฮอล์

กลายเป็นว่าทั้งสามฝั่ง ผลัดกันมองกลับไปกลับมาอยู่ครู่นึง ใจคุณแฮ็กคืออยากวิ่งมาก แค่มันก้าวไม่ออก จู่ๆคนแก่ตัวบางที่นั่งยองๆก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนและยืดดด ภาพที่เห็นคือ หัวแกสูงติดเพดาน…เพดานในตึกที่สูงเกือบ 3 เมตร แต่ไม่ว่าจะสูงแค่ไหน หัวลุงแกก็ไปถึง ตอนนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหลังลุงมีตี่จู่เอี๊ยะหรือศาลจีนตั้งพื้นวางอยู่

ถึงตอนนั้นไม่ต้องมีใครให้สัญญาณ นักวิ่งผลัด 4×100 ก็พร้อมออกตัวทันที เป้าหมายคือออกจากประตูให้ได้ แล้วไปที่มอ’ไซค์ ซึ่งหลังจากวันนั้นก็ทำให้คุณแฮ็กขยาดที่จะผ่านตึกหลังนั้น รวมทั้งเลิกแสดงสดโอเปร่ายามค่ำคืนไปเลย ภายหลังคุณแฮ็กและเพื่อนเข้าใจว่านั่นน่าจะเป็นศาลของเจ้าที่เจ้าทางของตึกแห่งนั้นมาก่อน กระทั่งตึกร้างไปแล้วไม่ได้มีการมาทำพิธีนำออกไปด้วย เลยยังมีเจ้าที่สิงอยู่ ถึงแม้ปกติจะไม่มีใครพบเจอ แต่การมาเยือนโดยไม่ได้แจ้งเตือนมาก่อนของคุณแฮ็กละคณะ รวมทั้งการแสดงอันฉูดฉาด น่าจะสร้างความประทับใจให้ท่านไม่น้อย จนท่านต้องปรากฎตัวออกมาห้ามปราม เรื่องก็มีเท่านี้

Admin

03/01/2022

พระยังกลัว! เขื่อนที่ดูดคนลงไปจมบ่อยๆจนเฮี้ยน

#เขื่อนประตูผี
เล่าโดย : คุณบอย จาก เดอะช็อค เรดิโอ

    เป็นประสบการณ์ที่รุ่นพี่เล่าให้ฟัง เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่หมู่บ้านแถวย่านพุทธมณฑล เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา บ้านของรุ่นพี่ จะอยู่ข้างๆกับหมู่บ้านนึง หมู่บ้านนี้จะไม่ค่อยมีคนอยู่ เพราะสร้างเสร็จแล้วจะขาย แต่ก็ขายไม่ได้

    ส่วนทางเข้าหมู่บ้านจะลึก และเปลี่ยวมาก แท็กซี่กับวินมอเตอร์ไซค์จะไม่กล้าเข้าไป บ้านของรุ่นพี่จะต้องใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้านนี้ แล้วอ้อมไปข้างๆหมู่บ้าน ก็จะเป็นสวน แล้วต้องผ่านสวนเข้าไป จึงจะถึงบ้าน

    แต่เพราะรุ่นพี่ไม่กล้าใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้าน ก็ใช้วิธีพายเรือข้ามฝากไป จากถนนใหญ่ข้างนอก ที่สามารถพายเรือไปถึงบ้านได้ เลยลงไปทางหมู่บ้านนิดหน่อย จะมีเขื่อนที่เรียกกันว่าประตูผี จะเป็นทางน้ำหักศอก ตรงประตูเขื่อน น้ำจะวนอยู่กับที่ แล้วดูดลงไปข้างล่าง

    ตอนนั้นรุ่นพี่เลิกงานกลับมาถึง ก็เห็นพวกกู้ภัยมากันหลายคัน ก็คิดว่าสงสัยจะมีคนตายอีกแล้ว รุ่นพี่จึงเดินเข้าไปถาม “พี่ มีคนตายหรอ” กู้ภัยบอกว่า “ใช่ เรือถูกน้ำดูด เรือไปกระแทกกับประตูเขื่อนแตก” แล้วกู้ภัยที่จะลงไปช่วย ต้องใช้เชือกสองเส้นใหญ่ๆ เพราะน้ำตรงนั้นจะดูดแรงมาก

    ศพไปจมอยู่ใต้ประตูเขื่อน เพราะน้ำไม่พัดขึ้นมา แต่จะม้วนวนอยู่ข้างล่างตลอด และนี่ก็ไม่ใช่รายแลก หลายรายที่เอาชีวิตมาทิ้งตรงนี้ เพราะมันเป็นทางหักศอก ถ้าหลุดเข้าไปแม้แต่นิดเดียว น้ำจะดึงเข้าไปตีกับประตูเขื่อน แตกหมดทุกลำ จึงได้มีคนออกมาเตือนว่า เวลาน้ำขึ้น ห้ามพายเรือไปตรงนั้น

    มีอยู่วันนึง ตอนที่รุ่นพี่เลิกงาน ก็ได้ไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วกลับมาดึก ตอนเช้าของวันนั้น คุณน้าได้กำชับกับรุ่นพี่ว่า “วันนี้อย่ากลับดึกนะ เพราะมันเพิ่งมีคนตายใหม่ๆ แล้วไม่รู้ว่าไอ้เขื่อนตรงนั้น มันจะเอาอีกสักกี่คน ถึงจะพอ”

    พอรุ่นพี่เดินมาถึงที่เรือ ก็ปลดเชือกผูกเรือ แล้วก็พายเรือกลับ ช่วงที่ผ่านสวนมะพร้าว ก็ได้ยินเสียงคนพายเรือตามมาจากข้างหลัง รุ่นพี่ก็อุ่นใจที่มีเพื่อนร่วมทาง พอจังหวะที่รุ่นพี่ยกไม้พายขึ้นมาบนเรือ เสียงพายเรือข้างหลังก็เงียบ

    พอเอาไม้พายจ้วงลงน้ำแล้วพาย ก็ได้ยินเสียงพายเรือมาจากข้างหลังเหมือนกัน รุ่นพี่ก็เอะใจ แต่ก็ยังไม่หันไปดู จึงพายเรือจนเลยสวนมะพร้าวไป อีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงบ้าน

    รุ่นพี่จึงหันหลังไปดู ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงผมยาว นั่งอยู่บนโลงศพ แล้วใช้มือที่ใหญ่กว่าคนปกติประมาณสิบเท่าทั้งสองข้าง กวักลงน้ำ ค่อยๆพายโลงศพไล่หลังเข้ามาเรื่อยๆ “จ๋อม…จ๋อม…จ๋อม”

    รุ่นพี่มองตาเหลือก ตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก คุณน้าของรุ่นพี่ ที่ยืนรออยู่ตรงศาลาท่าน้ำ รีบกระโดดลงน้ำ แล้วลากเอาเรือของรุ่นพี่เข้าเทียบศาลา แล้วรีบลากแขนรุ่นพี่เข้าไปในบ้าน พร้อมกับพูดว่า “อย่าหันไปมอง เอ็งรีบขึ้นบ้านก่อน”

    คุณน้าลากรุ่นพี่เข้าไปในห้องพระ แล้วยกพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาให้รุ่นพี่ รุ่นพี่ก็นั่งกอดพระพุทธรูปตัวสั่นปากสั่น สักพักก็เริ่มสงบสติได้ จึงได้ถามคุณน้า แต่คุณน้าตอบกลับมาว่า “เอ็งไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปวัดด้วยกัน” คืนนั้นรุ่นพี่นอนกอดพระพุทธรูปตัวสั่นทั้งคืน ส่วนคุณน้าก็นั่งเฝ้าอยู่ทั้งคืน

    เช้ามา คุณน้าก็ได้พารุ่นพี่ไปวัด หลวงพ่อท่านบอกว่า “ต้องให้มันอยู่ในโบสถ์สามวัน ไม่งั้นคงไม่รอด” รุ่งพี่จึงได้เข้าไปอยู่ในโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็เอาสายสินญ์มาพันไว้รอบๆโบสถ์ แล้วขึงด้านในไว้อีกหนึ่งชั้น

    แล้วคุณน้าก็กำชับว่า “ให้ทำตามที่หลวงพ่อบอก ถ้ายังไม่อยากตาย” แล้วหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าเห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไร อย่าออกนอกสายสินญ์ อย่าออกนอกประตูโบสถ์ อยู่ในเสมาของโบสถ์ เดี๋ยวจะให้พระกับเณรมาเฝ้า”

    แม้แต่ช่วงกลางวัน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าออกมานอกโบสถ์ ถ้าปวดก็ให้ใช้กระโถนไปก่อน ตกกลางคืน ประมาณสามทุ่ม รุ่นพี่ได้ยินเสียงคนพายเรือ อยู่หน้าท่าน้ำวัด “จ๋อม…จ๋อม…จ๋อม” สักพักก็เงียบ อีกสักพักเสียงก็มาอีก

    เณรที่มาเฝ้า ต่างเอาจีวรคลุมโปงแล้วนอนกอดกันตัวสั่น รุ่นพี่จึงบอกกันเณรว่า “เณร ลองเปิดหน้าต่างโบสถ์แล้วดูที่ท่าน้ำหน่อย ใครพายเรืออยู่อ่ะ” เณรตอบว่า “ไม่กล้าดูหรอก ผมก็กลัว”

    จนเข้าคืนวันที่สาม เป็นวันพระใหญ่พอดี วันนี้มีทั้งพระและเณรมาอยู่เป็นเพื่อนหลายรูป แต่วันนี้ รุ่นพี่ขอให้เปิดประตูโบสถ์เอาไว้ เพราะอยากจะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ที่พายเรืออยู่ที่ท่าน้ำวัด

    เวลาประมาณห้าทุ่มเกือบๆเที่ยงคืน ก็ได้ยินเสียงพายเรือเหมือนเดิม “จ๋อม…จ๋อม…จ๋อม” รุ่นพี่จึงหันไปมองที่ท่าน้ำวัด ปรากฏว่าเห็นหัวคน ค่อยๆโผล่ขึ้นมาที่ท่าน้ำ ลักษณะคอยาวๆ หน้าตอบๆซีดๆ ดวงตากลวงโบ๋ แสยะยิ้มให้รุ่นพี่

    แล้วเสียงพายก็ยังดังอยู่ตลอด “จ๋อม…จ๋อม…จ๋อม” จนรุ่นพี่ช็อคนั่นตัวแข็งอยู่กลางโบสถ์ พระกับเณรรีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่าง แล้วรีบไปอยู่รวมกันที่กลางโบสถ์ เณรตะโกนลั่นโบสถ์ว่า “ช่วยด้วยๆๆ”

    จนหลวงพ่อกับสัปเหร่อได้ยินเข้า จึงรีบวิ่งมาหา ก็เห็นทั้งพระทั้งเณรแล้วก็รุ่นพี่ นั่งกอดกันกลมอยู่กลางโบสถ์ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า “คืนนี้เอ็งพ้นแล้วหละ เค้าไปเอาคนอื่นแล้ว”

    รุ่นเช้าของวันถัดมา คุณน้าก็ได้มาหารุ่นพี่ที่วัด แล้วบอกว่า “มีผู้หญิง ตายอยู่หน้าประตูเขื่อนเมื่อคืน” จากนั้นหลวงพ่อก็ทำพิธีเรียกขวัญ รดน้ำมนต์ให้ทั้งเณรทั้งพระแล้วก็รุ่นพี่

    คุณน้าบอกว่า “คนที่ตาย เป็นลูกสาวของคนรู้จัก ไปพายเรืออีท่าไหนไม่รู้ โดนน้ำม่วนลงไป ศพไปติดอยู่ตรงหน้าประตู” และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

09/07/2020

ดูดวงให้เพื่อนที่หอพักย่านสุขาภิบาล 5 แต่ผีในตึกอยากดูด้วย

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หอพักแห่งหนึ่งแถวสุขาภิบาล 5 เมื่อหลายปีที่ผ่านมา คุณเอนั้นเป็นคนชอบดูดวง จากนั้นคุณเอก็เริ่มเรียนดูไพ่ยิปซี จนคุณเอก็พอดูเป็นพอสมควร แล้วคุณเอก็ไปรู้จักพี่อีกคนนึง เขาก็ดูดวงเป็นเหมือนกัน แต่เขานับถือศาสนาคริสต์ แล้วพอดูกันไปดูกันมา จนครั้งนึงคุณเอก็มีความคิดว่า ถ้าเกิดอยากดูแม่นๆ สงสัยเราต้องไปดูในที่เงียบๆ ไม่มีคน เผื่อมันจะแม่น แล้วบริเวณที่คุณเออยู่นั้นก็จะมีตึกอยู่ตึกนึง ที่ชั้น 5 จะเป็นชั้นที่ไม่มีคนอยู่เลย และเป็นอะไรที่ใครๆก็พูดว่า ผีดุ คุณเอกับพี่ก็เลยนัดกันเข้าไปที่นี่

พอถึงเวลา ตอนนั้นก็ประมาณตี 2 ก็เตรียมเทียน เตรียมเสื่อ กะจะไปนั่งดูเต็มที่ ทั้งหมดก็ไปกัน 6 คน โดยที่ 4 คน นั่งล้อมวงกันเพื่อจะดู อีก 2 คน ยืนอยู่บริเวณชานของตึก ยืนคุยกัน ไม่ได้สนใจ พอเริ่มดู คุณเอก็สับไพ่กันตามปกติของไพ่ยิปซี คนที่ดูไพ่ยิปซีเนี่ยจะรู้ว่า ไพ่จะต้องมี อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่พอเปิดไพ่ขึ้นมา คุณเอเห็น ไพ่ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคตไม่เห็น เป็นไพ่ที่บอกอนาคตไม่ได้ และที่สำคัญไพ่ที่เปิดมานั้นไม่ใช่ไพ่ของผู้ชาย แต่ว่าคนที่ดูกับคุณเอเป็นผู้ชาย คุณเอก็เลยบอกพี่เขาไปว่า ครั้งนี้น่าจะมั่วแล้วไหนพี่ลองสับใหม่อีกที

ครั้งนี้ หยิบไพ่ออกมา 10 ใบ ต่างกับครั้งแรกแค่ 2 ใบ อีก 8 ใบ เหมือนเดิมเป๊ะ และก็เป็นไพ่ผู้หญิงออกมาเหมือนเดิม คุณเอก็ขนลุก และก็ขอสับไพ่เอง พอคุณเอสับเสร็จ ไพ่ 10 ใบ มีอยู่ 7 ใบ เหมือนเดิม ต่างตำแหน่งนิดหน่อย แต่ความหมายยังคงเดิม พี่ที่เขาดูก็บอกว่า คุณเอ สงสัยจะไม่ใช่ของเราแล้วหละ คุณเอก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ก็ของคนแถวๆนี้แหละ แล้วคุณเอก็พูดต่อว่า ถ้าเขาอยากดูนัก เดี๋ยวดูให้เลย พอดูเสร็จ คุณเอก็ทายออกมาว่า คนนี้เป็นผู้หญิง สาเหตุที่เขาเสียชีวิตคือ ฆ่าตัวตาย เพราะความรัก แต่เขาไม่ได้ตายที่ตึกนี้ ด้วยความเป็นสัมภเวสีเขาก็ล่องลอยมาอยู่ที่เงียบสงบ ดังคำพูดที่ว่า บางที่ที่ไม่มีคนตาย แต่ไม่คนอยู่ ก็จะมีสิ่งพวกนี้อยู่ คุณเอก็ทายต่อว่า เขาดูทุกข์ทรมานมาก เพราะเขาไม่สามารถไปไหนได้ ชีวิตยังต้องวนเวียนอยู่แบบนี้ แล้วคุณเอก็พูดลอยๆออกมาคำนึงว่าดูให้แล้วนะ ถ้าอยากหลุดพ้น ให้ปลงแล้วทำใจ เพื่อจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น

ซักพักคุณเอก็พูดต่อว่า นี่มันไม่ใช่ไพ่ของคน เพื่อนคุณเอที่ยืนคุยอยู่ข้างหลัง คุณเอมีความรู้สึกว่า เขาเอาหน้ามาอยู่บนไหล่ ไรผมก็โดนคอคุณเอ แล้วก็พูดว่า ไหนๆ ขอดูหน่อย คุณเอก็บอกเพื่อนไปว่า อ่ะ นี่ ดูดิๆ พอคุณเอพูดเสร็จ คุณเอก็สับไพ่อีกรอบนึงแต่ครั้งนี้ไพ่เปลี่ยนไปเลย เหมือนว่าไม่ใช่คนเดิม คราวนี้เป็นผู้ชาย พี่อีกคนที่อยู่ใกล้ๆก็พูดว่า ถ้าอยากดูกันนักก็มาเรียงแถวดูกันเลย แล้วคุณเอก็ดูไพ่ของคนที่ 2 คนนี้ก็ตายเพราะความรักเหมือนกัน ฆ่าตัวตาย คุณเอก็พูดลอยๆเหมือนกับบอกวิญญาณไปว่า ให้ทำใจ เพราะเขายังยึดติดที่บ่วงกรรมของเขาอยู่ ก็จบไป

พอคนที่ 3 คราวนี้เป็นผู้หญิง ตายทั้งกลม ทั้งหมดมาจากสาเหตุจากความรักทั้งนั้นเลย พอครบ 3 คน คุณเอก็ไม่ไหวละ มีความรู้สึกว่าอึดอัด แล้วก็กลับกัน ระหว่างที่เดินลง คุณเอก็คุยกับเพื่อน แล้วก็อารมณ์จะถามเพื่อนว่า ที่ไปดูเป็นยังไง แต่เพื่อนบอกว่าไม่ได้ไปดู ยืนคุยอยู่ข้างหลัง ทุกคนก็บอกว่า เพื่อนคนนี้ยืนคุยอยู่ข้างหลัง ไม่ได้เข้าไปดูเลย แต่คุณเอรู้สึกว่า เหมือนเพื่อนเอาหน้ามาอยู่บริเวณหัวไหล่ตัวเอง โชคดีที่คุณเอไม่หันหน้ากลับไป ไม่รู้ว่าถ้าหันหน้ากลับไป คุณเอจะเป็นยังไง พอลงมาจากตึก พี่คนที่ดูดวงอีกคนก็โบกมือขึ้นไปที่ 5 แล้วก็พูดว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดูให้ใหม่นะ แล้วคุณเอก็ต้องมากับพี่เขา เพื่อมาดูดวงให้ผี ตอนนั้นคุณเอก็กลัว แต่ความอยากลองและก็ไม่ได้เห็นเป็นตัวๆ ก็เลยไป

พอวันที่ 2 ก็เวลาเดิม ตี 2 ครั้งนี้ก็มีคนไปเพิ่มอีกคนนึง เป็น 7 คน น้องคนที่ไปเพิ่มเนี่ย จะเป็นคนที่มีซิกซ์เซนต์ พอปูเสื่ออะไรเสร็จ คุณเอก็เริ่มดูดวงทันที เริ่มสับไพ่ พอเปิดไพ่ ก็เหมือนว่า ไพ่มันดูมั่วๆ ไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้ถูกเลย เหมือนเป็นผู้หญิง เหมือนสัญญาณเขาอ่อน ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ คุณเอก็เลยถามน้องคนที่มาใหม่ว่า เห้ย เอ็งมีความรู้สึกยังไง น้องก็บอกว่า รู้สึกว่า เขาอยู่หน้าประตูุ เขาเข้ามาไม่ได้ คุณเอก็งง หรือใครใส่พระมาหรือเปล่า แต่พอถามๆ ก็ไม่มีใครใส่มา แต่เหมือนมีบางอย่างทำให้เขาเข้ามาไม่ได้

คุณเอก็พยายามดูอีกแต่ก็ไม่ได้ เมื่อวานที่ดูนั้นเป็นอีกที่นึง วันนี้อยู่อีกที่นึง คุณเอก็เลยคิดว่า ถ้าในห้องนี้ดูไม่ได้ เดี๋ยวลองย้ายไปที่เดิม แต่พอย้ายไปที่เดิม เขาก็เข้ามาไม่ได้อีก พอซัก 2-3 ครั้ง คุณเอก็เลยลองดูอีกทีนึง ตรงบันได ครั้งนี้ไพ่ออกชัดเจน เปิดไพ่ออกมา เหมือนจะเป็นไพ่ของเจ้าที่ แล้วก็มีใบนึง เป็นไพ่ 10 ดาบ ตรงตำแหน่งปัจจุบัน ความหมายก็คือประมาณว่า ให้หยุด ให้หยุดการกระทำนี้ แล้วพี่คนที่เขาเป็นคริสต์เขาก็บอกว่า ได้ยินเสียงเหมือนทูตสวรรค์ของเขา ลอยเข้ามาในหูบอกให้หยุดการกระทำนี้ซะ เพราะว่าการที่ไปบอกวิญญาณแบบนี้

เหมือนทำให้เขาหลุดจากกรรมที่เขาก่อขึ้นมา พอพวกคุณเอบอกวิธีทางให้เขาไป ทำให้กฏแห่งกรรมของเขาเสีย เขาก็เลยได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ได้ไวขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมันก็ดีสำหรับดวงวิญญาณ แต่มันไม่ดีสำหรับคนที่ดูดวง เพราะ ถ้าเกิดเขาไปดีกรรมของเขาก็จะมาตกที่เรา หลังจากนั้น คุณเอก็ไม่เคยดูให้คนตายอีกเลย

Admin

28/06/2020

อยู่กินร่วมกับผีสาวมา 4 เดือน สุดท้ายโดนเทเพราะเธอจะไปเกิด

ประสบการณ์สยองขวัญ the shock
#อยู่กับผีมา4เดือน
เล่าโดย : คุณโจ้

    เหตุการณ์เกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวย่านลาดพร้าว เมื่อประมาณแปดปีที่ผ่านมา คุณโจ้ทำงานเกี่ยวกับออแกไนเซอร์ จึงมีเพื่อนฝูงมากมายที่ชอบมานอนค้างที่บ้านของคุณโจ้ ลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์สองชั้น

    ช่วงหลังๆ มีเพื่อนมาบอกว่าเห็นผู้หญิงเดินอยู่ในบ้าน บางคนก็บอกว่า ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ จนเพื่อนๆเริ่มไม่กล้ามาเที่ยวที่บ้าน คุณโจ้จึงมาคิดว่ามันคืออะไรกันแน่ ก็ได้ไปปรึกษารุ่นพี่ รุ่นพี่จึงพาไปหาผู้หญิงคนนึง ชื่อคุณเปิ้ล เป็นคนที่มีซิกเซ้น คุณโจ้จึงถามคุณเปิ้ลว่า

คุณโจ้ : มีใครตามผมมามั้ยครับ
คุณเปิ้ล : เดี๋ยวเรื่องนี้ค่อยตอบ เอาเรื่องอื่นก่อน มีอะไรอยากจะถามอีกมั้ย
คุณโจ้ : ผมกำลังจะเริ่มทุกธุรกิจ ลงทุนกับรุ่นพี่สี่คน คิดว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง
คุณเปิ้ล : ถ้าเปิดธุรกิจเลยหกเดือนไปแล้ว มันจะรุ่ง แต่ถ้าไม่ถึงหกเดือน จะมีคนนึงที่แยกออกไปทำธุรกิจส่วนตัว
คุณโจ้ : พี่ชายผมจะสอบติดมหาลัยมั้ย
คุณเปิ้ล : ไม่เกินสองปีสอบติดแน่นอน แล้วให้ไปเอานาฬิกาที่บ้านออก เพราะมันหันออกไปทางหน้าบ้าน นาฬิกาเรือนนี้มันไม่ดี ไปเอาออกซะ

    คุณโจ้ติดใจเรื่องนาฬิกามาก เพราะจำไม่เห็นได้ว่าที่บ้านมีนาฬิกา หลังจากคุยเรื่องนี้มันจบ คุณเปิ้ลก็พูดขึ้นมาว่า

คุณเปิ้ล : มีคนตามมาด้วยนะ เป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะโจ้ไปรับเค้ามาจากอยุธยาเมื่อสองเดือนก่อน ตรงทางสามแพร่ง

    คุณโจ้นึกย้อนไปถึงวันที่ขับรถกลับบ้านเกิดที่จังหวัดนครสวรรค์ ปกติคุณโจ้จะขับรถจากกรุงเทพไปนครสวรรค์โดยที่ไม่แวะปั้มหรือที่อื่นๆเลย แต่มีอยู่ครั้งนึงที่คุณโจ้แวะซื้อของข้างทาง และตรงนั้นเป็นทางสามแพร่งพอดี คุณโจ้จึงถามคุณเปิ้ลว่า

คุณโจ้ : อ่าว แล้วแบบนี้เค้าตามเรามาได้ไงครับ
คุณเปิ้ล : เค้าไม่รู้จะไปไหน มันเป็นจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะ เค้าถึงได้เกาะติดเรากลับมาได้เลย
คุณโจ้ : แล้วผมควรจะทำยังไงดีครับ
คุณเปิ้ล : มีเวลาว่างก็พาเค้าไปส่งซะ แล้วบอกเค้าว่าต่างคนต่างอยู่

    หลังจากวันที่คุณโจ้ได้ไปคุยกับคุณเปิ้ล ก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนอยู่ด้วยตลอด ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน หรือขับรถออกไปไหน จะรู้สึกว่ามีคนคอยเดินตาม หรือนั่งอยู่ข้างๆ ทุกที่และตลอดเวลา

    วันนึง หลังจากที่คุณโจ้อาบน้ำเสร็จ แล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ รู้สึกว่ามีคนสะกิดหลัง จนคุณโจ้ขนลุก เย็นวาบไปทั้งตัว เป็นครั้งแรกที่เริ่มแตะต้องตัว แต่คุณโจ้ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก เพราะว่าอยู่แบบนี้มาหลายเดือนแล้ว

    ผ่านมาประมาณสองวัน ตอนนั้นคุณโจ้นั่งอยู่ในร้านกาแฟของตัวเอง แล้วมีธุระต้องไปประชุมที่บริษัท คุณโจ้จึงพูดออกมาลอยๆว่า “อยู่ที่ร้านเนี่ยแหละ แล้วช่วยเรียกลูกค้าให้เราหน่อย อีกสองชั่วโมงเราจะกลับมา” แล้วคุณโจ้ก็ออกไปประชุม

    หลังจากประชุมเสร็จก็กลับมาที่ร้านกาแฟ ปรากฏว่าคุณโจ้เห็นภาพที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน มีลูกค้ายืนรอคิวที่จะนั่งดื่มกาแฟจนล้นออกมานอกร้าน เรื่องนี้ทำให้คุณโจ้คิดว่า ไม่อยากจะไปส่งเธอให้กลับไปอยู่ที่ทางสามแพร่ง แต่อยากให้อยู่ด้วย อยากรู้เรื่องราวของเธอ อยากบอกคุณพ่อคุณแม่ของเธอว่าเธออยู่ด้วยที่นี่

    คุณโจ้จึงต่อสายไปปรึกษาคุณเปิ้ล คุณเปิ้ลบอกให้คุณโจ้ถ่ายรูปหน้าของตัวเอง แล้วส่งข้อความไปหาคุณเปิ้ล แล้วเดี๋ยวจะโทรกลับ คุณโจ้ก็ปฏิบัติ สักพักคุณเปิ้ลโทรกลับมาบอกว่า “โจ้ เค้าไม่ได้อยากให้โจ้รู้จัก เค้าไม่ได้อยากให้โจ้ช่วยอะไร และเค้าก็ไม่ได้อยากรู้จักโจ้ด้วย” คุณโจ้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเฟล

    คุณโจ้ใช้ชีวิตปกติเรื่อยมา แต่ก็มีเพื่อนหลายคน บอกว่าเห็นผู้หญิงเดินตามหลังคุณโจ้ตลอดเวลา บางครั้งก็เห็นยืนจ้องหน้า ลักษณะเหมือนจะเอาเรื่องคุณโจ้ และเวลาขับรถไปไหนมาไหน ก็จะมีคนเห็นผู้หญิงนั่งจ้องหน้าคุณโจ้อยู่ที่เบาะข้างคนขับ

    และเช้าของวันนึง คุณโจ้นอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่ได้ยินเสียงผู้หญิงมากระซิบข้างหูว่า “ถ้ายังไม่ไปส่งชั้น แล้วชั้นจะไปเกิดไปยังไง” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณโจ้คิดขึ้นเอง หรือว่าเธอคนนั้นมากระซิบบอกจริงๆ แต่มันก็ทำให้คุณโจ้ตกใจจนตื่นเต็มตา รีบกระโดดลงจากเตียง หยิบกุญแจรถแล้ววิ่งลงจากบ้านไปเปิดรถ พร้อมกับพูดว่า “มาเลยเธอ เดี๋ยววันนี้เราจะไปส่ง”

    คุณโจ้ขับรถไปที่อยุธยา ผ่านไปถึงอ่างทอง ค่อยๆมองดูข้างทางว่าร้านที่เคยแวะเมื่อตอนนั้นอยู่ตรงไหน แต่ขับวนอยู่สามรอบก็หาไม่เจอ จนรอบที่สามก็คิดว่าต้องหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงทางสามแพร่ง

    จนไปเจอทางสามแพร่ง คุณโจ้ก็เปิดประตูรถแล้วพูดว่า “มาส่งแล้วนะ ต่างคนต่างอยู่นะ ไปละ” แล้วคุณโจ้ก็ขับรถกลับกรุงเทพ ในขณะที่กำลังขับรถกลับ คุณโจ้น้ำตาไหล มีความรู้สึกเหมือนอกหัก อาจจะเป็นเพราะความผูกพันที่อยู่ด้วยกันมาหลายเดือน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

17/06/2020
1 2 4