GPS พาเข้าไปในทางสามแพร่งถึง 2 ครั้ง..นี่ทางลัดหรือทางผีบอก!

เรื่องเล่าสยองขวัญ the shock
#จีพีเอส
เล่าโดย : คุณเพชร

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่ผ่านมา คุณเพชรมีเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กอยู่สองคน ชื่อคุณเอกับคุณเดี่ยว เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว คุณพ่อของคุณเอได้เสียชีวิต และจัดงานศพที่บ้าน ซึ่งอยู่คนละอำเภอกับคุณเพชรและคุณเดี่ยว

    คุณเพชรและคุณเดี่ยวจึงเดินทางไปบ้านคุณเอโดยที่ไม่รู้จักเส้นทางมาก่อน แต่คุณเอก็ได้บอกทางไว้คร่าวๆ คุณเพชรจึงขับรถไปตามทางที่คุณเอบอก โดยมีคุณเดี่ยวนั่งมาด้วย จนไปถึงจุดหนึ่งที่คุณเพชรชักเริ่มไม่มั่นใจ

    จึงได้ให้คุณเดี่ยวเปิดจีพีเอสในโทรศัพท์ดู และตามจีพีเอสไป เป็นถนนใหญ่หลายเลน สักพักจีพีเอสพาเข้าไปในซอยเล็กๆ เป็นถนนลูกรัง ไม่มีไฟ สองข้างทางจะเป็นสวนอ้อยที่เก็บเกี่ยวแล้ว จึงเห็นเป็นลานโล่งกว้าง

    คุณเพชขับรถเข้าไปได้ระยะนึง ประมาณสิบนาที เจอทางสามแพร่งรูปตัว Y จีพีเอสบอกให้เลี้ยวไปทางซ้าย คุณเพชรจึงได้เลี้ยวซ้าย แล้วตรงเข้าไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอสามแพร่งอีกที มีต้นจามจุรีใหญ่ๆอยู่ตรงทางแยก กิ่งก้านแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ จีพีเอสก็ยังบอกให้เลี้ยวซ้ายเหมือนเดิม

    ขับไปได้สักระยะ ก็ไปเจอเข้ากับโรงงานอะไรสักอย่าง ดูเก่าๆโทรมๆ ใหญ่มาก อยู่ทางด้านซ้ายมือ เลยโรงงานไปหน่อยนึง จะเป็นดงอ้อยสูงท่วมหัวทั้งสองข้างทาง มีซอยอยู่ทางซ้ายมือ เป็นซ้อยเล็กๆที่รถผ่านเข้าออกได้แค่คันเดียว

    จีพีเอสบอกให้เข้าไปในซอยนั้น คุณเพชรและคุณเดี่ยวที่ไม่รู้ทาง จึงจำเป็นต้องตามจีพีเอสไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเวลาประมาณหกโมงเย็น ท้องฟ้าชักเริ่มมืดลงทุกที คุณเพชรขับตรงเข้าไปเรื่อยๆ ส่วนถนนก็ชักจะแคบลงที่ละนิด จนด้านข้างของตัวรถชนกับใบอ้อยส่งเสียง “แกร่งๆๆๆ” ไปตลอดทาง

    คุณเพชรขับรถเข้าไปได้ไม่นาน มีลุงแก่ๆคนนึง ผิวคล้ำๆ เดินถือมีดยาวออกมาจากดงอ้อยข้างทาง คุณเพชรต้องหยุดรถจนตัวโก่ง ลุงคนนั้นเอามีดชี้หน้า แล้วบอกว่า “เอ็งออกไปเดี๋ยวนี้เลย เข้ามาในสวนของข้าทำไม”

    คุณเพชรตกใจมาก จึงได้ถอยรถยาวออกมา แล้วสบถคำหยาบแบบอารมณ์เสียอยู่ในรถ จนออกมาจากซอยแคบๆได้ จึงคิดว่าจะขับรถกลับไปทางเดิมก่อน ระหว่างทางก็บ่นให้เพื่อนฟังไปเรื่อยๆ เพราะยังฉุนไม่หาย

    จนกลับมาถึงสามแยกที่มีต้นจามจุรี ปรากฏว่าเห็นลุงแก่ๆคนที่ถือมีด นั่งอยู่บนต้นจามจุรี ลักษณะตอนแรกที่เห็นเป็นคนผิวคล้ำๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนตัวซีดขาวเหมือนไม่มีเลือด ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ จ้องหน้าคุณเพชรเขม่น

    คุณเพชรใจหายวูบ สั่นไปทั้งตัวเพราะความกลัววิ่งกระจายไปทั่วร่างกาย นึกในใจว่า อย่ากระโดดลงมานะ พอขับรถใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ลุงที่นั่งอยู่บนต้นไม้ทำท่าจะกระโดดลงมาใส่ คุณเพชรตกใจจนเหยียบคันเร่งมิด จนรถพุ่งออกไปข้างหน้า

    ใจเต้นตึบๆอยู่ตลอดเวลา พยายามมองกระจกหลัง แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดตามหลังมา มีแต่ความมืดที่เกาะอยู่ทั่วบริเวณ จนมาถึงทางสามแยกตัววาย แต่ด้วยความที่ยังตกใจต่อเหตุการณ์ที่เจอ จนไม่สามารถคุมรถได้ในขณะนั้น จึงพุ่งลงข้างทาง

    คุณเพชรและเพื่อนตกใจมาก รีบลงจากรถ ปรากฏว่ารถพุ่งไปชนเข้ากับศาลไม้ข้างทางจนพังเละทั้งศาล คุณเพชรใจสั่นตลอดเวลา พยายามคุมสติ ถอยรถออกมาจากข้างทาง แล้วขับรถกลับไปที่ถนนใหญ่

    คุณเพชนขับรถกลับไปทางเดิมประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ยังออกไม่พ้นจากสวนอ้อยโล่งเตียน มืดทึบและเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ บางครั้งไฟหน้ารถก็เบาบ้าง สว่างบ้าง เหมือนกับมีเงาอะไรบางอย่าง วิ่งมาบังอยู่ตรงโคมไฟหน้ารถ เป็นระยะๆ

    ความเงียบและเหตุการณ์ที่ผิดปกติต่างๆ สร้างความกดดันและความกลัวของคุณเพชรให้ทวีคูณยิ่งขึ้น จนสุดท้ายคุณเพชรทนต่อไปไม่ไหว จึงได้หยุดรถแล้วเดินลงมาก้มกราบขอขมาอยู่ตรงกลางถนน

    จากนั้นก็เดินขึ้นรถ แล้วขับต่อไปได้ประมาณห้านาที ก็เจอคุณเอ ขับรถส่วนทางเข้ามาพอดี จึงได้พากันออกไปจากที่นี่ พอไปถึงที่งานศพ คุณเพชรและคุณเดี่ยวก็ได้ขอตัวกลับบ้านก่อน เพราะยังคงใจสั่นไม่หาย บอกคุณเอว่าเดี๋ยวจะมาอีกทีวันเผา

    คุณเพชรกลับมาถึงบ้าน ก็มีอาการไข้ขึ้นสูง ได้แต่นอนอยู่กับที่ แล้วคืนนั้น คุณเพชรฝันว่ากำลังยืนอยู่ตรงที่เอารถไปชนศาล มียายแก่ๆคนนึง นอนอยู่ข้างศาล เลือดเต็มตัว แล้วชี้หน้าคุณเพชรในขณะที่นอนจมกองเลือดอยู่

    พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังสำลักเลือดว่า “เอ็งชนข้าทำไม ไหนเอ็งบอกว่าจะเอาศาลมาทำให้ข้าใหม่” แล้วยายแก่ๆก็ค่อยๆพลิกตัวนอนคว่ำ ใช้สองมือคลาน ลากลำตัวที่มีแต่เลือดเข้ามาหาคุณเพชร เลือดไหลออกจากปากตลอดเวลา และเหมือนจะมีเสียงหลุดออกมาว่า “เอ็งรีบมาเลยนะ”

    คุณเพชรตกใจตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองยังนอนอยู่ในห้อง คิดว่ามันคงเป็นแค่ฝัน คงไม่มีอะไร ช่างมันก่อน จึงได้ลงไปหาอะไรทานข้างล่าง พอเดินลงมาถึงชั้นล่าง ผ่านประตูหน้าบ้าน ปรากฏว่ายายแก่ๆในฝัน ยืนชี้หน้าอยู่ตรงประตู ทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังสาปแช่ง

    คุณเพชรตกใจจนผงะล้มลง แล้วยายคนนั้นก็หายไป คุณเพชรจึงรีบไปเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อก็ได้พาคุณเพชรกลับไปยังสถานที่เกิดเหตุ และทำพีธีตั้งศาลให้ใหม่ หลังจากกลับมาถึงบ้าน อาการของคุณเพชรก็ดีขึ้น จนเกือบจะหายเป็นปกติ

    แล้วได้โทรไปเล่าเหตุการร์ที่เจอมาทั้งหมดให้คุณเอฟัง คุณเอบอกว่า ผู้ชายคนที่ถือมีดยาวคนนั้นหนะ คือพ่อของคุณเอ โดนงูกัดตายอยู่ในดงอ้อยแถวๆนั้น ตอนที่ไปนอนเฝ้าอ้อยตอนกลางคืน เพราะชอบมีขโมยแอบมาตัดเอาอ้อยไปขาย และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

16/06/2020

อยู่มา 5 ปีไม่เป็นไร..ปีต่อไปข้างห้องแทงกันเฉย อยู่ไม่ได้เลย

#ห้องข้างๆ

เรื่องเล่าจาก the shock
เล่าโดย : คุณลูกตาล

    เหตุการณ์เกิดขึ้นที่คอนโดแห่งหนึ่ง แถวแจ้งวัฒนะ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนในตอนที่คอนโดแห่งนี้กำลังสร้างเสร็จใหม่ๆ คุณลูกตาลก็ได้ไปซื้อห้องนึงในคอนโดนี้ อยู่ชั้นเจ็ด และก็อาศัยอยู่ที่คอนโดแห่งนี้มาประมาณห้าปี

    อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญขึ้นที่ห้องข้างๆ เลขห้อง 708 แอร์โฮสเตสสาวถูกสามีแทง แล้วเอาร่างยัดไว้ในห้อง แล้วตัวสามีก็หนี จนกระทั่งกลิ่นเริ่มออกจากห้อง จึงได้มีคนไปแจ้งตำรวจ มาเอาศพออกไป

    หลังจากผ่านไปได้สักพัก คุณลูกตาลก็เริ่มได้ยินเสียงคนใส่รองเท้าส้นสูง เดินลากกระเป้าอยู่ในห้องข้างๆ “คลืดดดดดด” แล้วคนที่อยู่ห้องใกล้ๆห้องเจ็ดศูนย์แปด จะได้ยินเสียงคนใส่รองเท้าส้นสูง เดินลากกระเป้ามาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง แล้วเคาะประตูตอนดึกๆอยู่เป็นประจำ “คลืดดดดดดด..ก๊อก..ก๊อก” แต่พอเปิดออกไปดู ก็ไม่เจอใคร

    วันนึงคุณลูกตาลเดินออกไปคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าลิฟท์ ข้างๆลิฟท์จะเป็นบันไดหนีไฟ ก็สังเกตเห็นอะไรแวบๆ อยู่ตรงชั้นบนของบันได จึงหันไปมอง ปรากฏว่าเห็นผู้หญิงผมยาวๆ ตัวดำๆ โยกตัวออกมามองครึ่งลำตัว แล้วโยกตัวหลบเข้าไป

    คุณลูกตาลยืนตัวแข็งอยู่กับที่ แล้วก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูง เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน คุณลูกตาลได้สติ จึงรีบวิ่งเข้าห้อง จนกระทั้งคุณลูกตาลอยู่ที่ห้องนี้ครบเจ็ดปี

    วันนั้นเวลาประมาณห้าทุ่ม คุณลูกตาลนอนคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง กล่องเหล็กที่วางอยู่บนชั้นวางของ ก็ตกลงมาเอง คุณลูกตาลจึงเดินไปหยิบมาวางไว้ที่เดิม แล้วกลับไปนอนคุยโทรศัพท์ต่อ

    สักพักก็ตกลงมาอีก คุณลูกตาลเริ่มรู้สึกตะหงิดๆ จึงลุกขึ้นมาเก็บ แล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตู จึงเดินไปส่องดูที่ตาแมว แต่ก็ไม่เจอใคร คุณลูกตาลไม่อยากคิดอะไรมาก

    จึงกลับมานอน จนเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตูอีกครั้ง คราวนี้คุณลูกตาลไม่กล้าลุกไปดู จึงได้นอนอยู่ที่เตียง แล้วเสียงเคาะมันก็เริ่มเคาะไล่เข้ามา จากประตูมาจนถึงผนังข้างห้องเจ็ดศูนย์แปด

    ลักษณะเหมือนคนเดินเคาะจากประตูหน้าห้อง แล้วเดินทะลุเข้าไปในห้องข้างๆ แล้วเคาะไล่ตามกำแพงมาเรื่อยๆ แล้วเสียงมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนใช้กำปั้นทุบผนัง ไล่จนมาถึงหัวเตียงของคุณลูกตาล แล้วก็ทุบรัวๆอยู่ตรงนั้น

    คุณลูกตาลนอนตัวสั่นคลุมโปง ความกลัววิ่งไปทั่วร่างกาย จึงรีบกดโทรศัพท์หาเพื่อน ให้มารับตอนนี้เลย ไม่ไหวแล้ว แต่เพื่อนก็บอกว่าอย่าคิดมาก อยู่มาตั้งนานแล้ว คงไม่มีอะไรหรอก

    สักพักเสียงก็เงียบ คุณลูกตาลจึงรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้น แต่แค่พักเดียว เสียงเคาะก็กลับมาอีก แต่คราวนี้ลักษณะการเคาะ เหมือนใช้ทั้งสองกำปั้นทุบผนัง เหมือนคนโกรธจัด คุณลูกตาลตกใจสติเกือบหลุด

    พยายามสวดมนต์พระพิฆเนศ จนไม่รู้กี่จบต่อกี่จบ แล้วเสียงก็เงียบไป คุณลูกตาลรู้สึกอยากออกไปจากที่นี่มาก แต่ไม่กล้าขยับตัว ต้องนอนขดตัวคลุมโปงอยู่แบบนั้น จนเคลิ้มหลับ

    มารู้สึกตัวอีกที เหมือนมีคนมายืนอยู่ข้างๆเตียง จึงลองมองลอดผ้าห่มออกไป เห็นเป็นเงาดำๆ ยืนอยู่ข้างๆเตียง ด้วยความตกใจจึงลุกพรวดขึ้นมา แต่ก็ไม่เจออะไร ภายในห้องยังพอมีแสงไฟจากด้านนอก ฉายเข้ามาสลัวๆ

    ก็คิดว่าตัวเองคงจะฝันไป จึงได้นอนต่อ แต่ยังไม่ทันหลับ ก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ทั่วห้อง “แกร่บๆๆๆๆ” คุณลูกตาลไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดู เพราะกลัวว่าจะเจอกับภาพที่รับไม่ได้ จึงได้แต่นอนตัวแข็งอยู่แบบนั้น อยากจะวิ่งออกไปให้มันพ้นๆจากที่นี่ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้

    สักพักก็รู้สึกว่าเตียงข้างๆมันยวบลง เหมือนมีคนลงมานอนด้วย จนคุณลูกตาลรู้สึกอยากร้องไห้ คิดว่าทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว จึงควานหาโทรศัพม์ข้างตัวมากดโทรหาเพื่อนให้มารับ เพื่อนก็บอกว่าเดี๋ยวจะออกไปหา และไม่ต้องวางหูโทรศัพท์

    คุณลูกตาลจึงค่อยๆเลื่อนตัวลงไปนั่งกอดเข่าร้องไห้ พนมมืออยู่ข้างๆเตียง แต่ก็ยังได้ยินเสียงเดินไปมาอยู่รอบๆตัว “แกร่บๆๆๆๆ” คุณลูกตาลจึงคิดในใจว่า ทำไมต้องมาทำแบบนี้ด้วย อยู่มาตั้งนาน ไม่เคยไปลบหลู่อะไรเลย

    แล้วก็มีเสียงหัวเราะเบาๆที่ข้างหู “ฮิฮิฮิ” เหมือนหัวเราะเยอะเย้ย คุณลูกตาลจึงค่อยๆคลานขึ้นไปนอนคลุมโปง ร้องไห้อยู่บนเตียง แล้วก็รู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่าง มานาบที่ผ้าห้ม ลักษณะเหมือนคนเอาหน้ามาถู

    จนคุณลูกตาลไม่รู้จะทำยังไง ต้องรอให้เพื่อนมารับอย่างเดียว จนสักพักเพื่อนก็มาเคาะประตู แล้วเรียกอยู่หน้าห้อง คุณลูกตาลรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูให้เพื่อนเข้ามา

    แล้วเพื่อนก็ถามว่า ทำไมในห้องมีกลิ่นแปลกๆ กลิ่นอับๆสาบๆ บอกไม่ถูก แล้วตอนที่กำลังเดินทางมาหา ก็ได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงพูดอะไรสักอย่าง ฟังไม่ออก ผ่านโทรศัพท์ คุณลูกตาลยังไม่อยากคุยอะไรตอนนี้ จึงรีบไปที่บ้านของเพื่อนกันก่อน

    หลังจากวันนั้นมา คุณลูกตาลก็ได้ย้ายออก แล้วปล่อยให้คนอื่นมาเช่าแทน วันที่มาขนของย้ายออก คุณลูกตาลได้สังเกตที่ห้องเจ็ดศูนย์แปด ไม่มีลูกบิดประตู ทางโรงแรมน่าจะมาถอดออกไปเอง ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร และนี่ก็คือเรื่อวราวทั้งหมด

Admin

14/06/2020

หาดลับหัวหิน..จุดอับที่ทะเลมักพัดร่างไร้วิญญาณขึ้นมาเกย

#ชายหาดที่หัวหิน

เรื่องเล่าสยองขวัญ the Shock

เล่าโดย : คุณศิระ

    เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หาดแห่งหนึ่งในหัวหิน เมื่อประมาณปี พ.ศ.2547 ตอนนั้นคุณศิระยังเป็นนักศึกษาอยู่ รุ่นพี่ในคณะได้จัดทริปไปเที่ยวกันที่ประจวบ ไปกันทั้งหมดประมาณห้าสิบกว่าคน ก็ออกเดินทางกันช่วงสายๆ ไปถึงประมาณบ่ายโมงครึ่ง

    ที่แห่งนี้จะไปได้สองทาง คืนเดินข้ามเนินเขาเล็กๆประมาณห้าร้อยเมตร หรือไปทางเรือ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงพายุเข้า จึงใช้วิธีเดินได้อย่างเดียว คุณศิระและคนอื่นๆก็เดินขึ้นเขาจนถึงสุด จะเป็นจุดชมวิว แล้วก็เดินลงเขาจนถึงที่พัก

    ตอนนั้น จะมีบ้านพักอยู่แค่สองหลัง จึงให้ผู้หญิงนอนทั้งสองหลัง ส่วนผู้ชาย ถ้าเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ให้ไปนอนในอาคาร ซึ่งจะมีอาคารเก่าๆอยู่หลังนึง ส่วนปีสองถึงปีสี่ จะกางเต้นท์นอน

    ภายในอาคารหลังเก่าที่คุณศิระใช้เป็นที่พัก จะมีสัตว์สตาฟอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่คุณศิระและเพื่อนๆเอาสัมภาระเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว ก็ได้ไปเล่นน้ำกันเลย จนถึงประมาณห้าโมง คุณศิระก็คิดว่า ถ้าขึ้นจากทะเลช้า จะต้องได้อาบน้ำช้าแน่ๆ

    จึงได้ขึ้นไปอาบน้ำ ระหว่างที่อาบน้ำอยู่ ก็เหลือบมองไปทางช่องลม เห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหลังที่พัก ก็คิดว่าจะไปหาเชือกมาขึง เพื่อที่จะได้เอาไว้ตากผ้ากัน พออาบน้ำเสร็จ ก็เดินหาเชือก

    พอเดินไปถึงต้นไม้ จากที่ดูผ่านช่องลมในห้องน้ำ เหมือนจะไม่ใหญ่มาก แต่ออกมาดูจริงๆ เป็นต้นไม้ใหญ่ประมาณหกคนโอบ คุณศิระจึงขึงเชือกเข้ากับตัวอาคาร แล้วก็เอาผ้ามาตาก จากนั้นก็ไปนั่งเล่นอยู่ด้านหน้าอาคาร

    คุณศิระสังเกตว่ามีอยู่ห้องหนึ่ง ถูกเอาไม้ตีปิดเป็นกากบาทอยู่หน้าห้อง จึงคิดพิเรน ชวนเพื่อนคนนึงที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ลากเก้าอี้มาปีนดูทางช่องลมด้านบน ภายในห้องมีแต่ของที่ถูกผ้าขาวคลุมไว้ และมีรูปแขวนอยู่ข้างฝา

    สักพักรุ่นพี่ก็เรียกไปทานข้าว หลังจากที่คุณศิระและเพื่อนๆทานข้าวเสร็จ ก็ออกมาตั้งวงกันที่ริมทะเล ประมาณสิบกว่าคน ชายหาดแถวนั้น จะมีต้นสนสลับกับต้นไม้อะไรสักอย่างอยู่หลายต้น

    จังหวะที่คุณศิระกำลังปอกมะนาว เพื่อจะเอาไปผสมกับเครื่องดื่ม อยู่ๆก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา จึงหันไปมองด้านหลัง จนทำให้มีดบาดมืด แต่ก็ไม่มีใครยืนอยู่ มีแต่ความมืด เพื่อนก็หาผ้ามาพันให้

    แต่เลือดก็ไม่หยุดไหล จึงไปหารุ่นพี่ รุ่นพี่บอกว่าต้องเย็บ จึงต้องเดินข้ามเขากลับมาเพื่อไปที่อนามัย ไปกันทั้งหมดหกคน รุ่นพี่สามคน และเพื่อนคุณศิระอีกสองคน พอไปถึงที่อนามัย หมอก็เย็บแผลให้

    แล้วกลับมาถึงตีนเขาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ตอนนั้นมืดมาก แต่คุณศิระมีไฟฉายอยู่คนเดียว จึงได้ถือไฟฉายเดินนำหน้า เพื่อนอีกสองคนเดินตามหลัง แล้วมีรุ่นพี่สามคนเดินปิดท้าย

    พอเดินขึ้นมาถึงจุดชมวิว ก็ต้องเดินลงเขาไปอีกสักพัก ถึงจะเป็นที่พัก แต่คุณศิระกับคนอื่นๆ เดินกันเท่าไหร่ ก็ไม่ถึงที่พักสักที ทางเดินที่ปกติแล้ว จากจุดชมวิวไปถึงที่พัก จะเป็นทางลงเขาอยางเดียว และใช้เวลาไม่มาก

    แต่คราวนี้ทางเดินกลับเป็นทางลงสลับกับทางขึ้น คุณศิระเริ่มใจไม่ดี คิดว่ามันไม่ปกติแล้ว จึงหยุดเดิน แล้วก็นึกถึงคำของคนเฒ่าคนแก่ว่า เวลาเข้าป่าขึ้นเขาให้ขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขาด้วย

    คุณศิระก็ยกมือไหว้ แล้วขอขมา แล้วก็เดินหน้าต่อ อีกประมาณร้อยห้าสิบเมตร จะเจอทางโค้ง พอหลุดโค้งมา เจอก้อนหินก้อนใหญ่มาก ไม่รู้ว่ามันหล่นมาจากตรงไหน ขวางทางอยู่ ซึ่งด้านซ้ายจะเป็นเขา และด้านขวาจะเป็นหน้าผา ด้านล่างหน้าผาจะเป็นทะเล

    แล้วมีซอกเล็กๆให้ผ่านไปได้ทีละคน ซึ่งขามามันไม่มีก้อนหินก้อนนี้ คุณศิระและคนอื่นๆ คิดว่ามันผิดปกติมากแล้ว แต่มันต้องเดินตรงอย่างเดียว เพราะมันไม่มีทางอื่นแล้ว จึงต้องค่อยๆมุดข้ามไปทีละคน

    คุณศิระข้ามไปก่อน พอข้ามพ้นไปแล้ว คุณศิระตกใจจนหัวใจไปอยู่ตรงตาตุ่ม เห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่ สูงประมาณเอวของคนปกติ ยืนมองหน้าคุณศิระนิ่งๆ จนทุกคนข้ามมาจนครบแล้ว

    ก็เริ่มเดินต่อ สุนัขก็เดินนำหน้า พอกลุ่มของคุณศิระหยุดเดิน สุนัขก็หยุด แล้วหันมามอง พอเริ่มเดิน สุนัขก็เดินต่อ และระหว่างที่กำลังเดินกันอยู่ คุณศิระก็ได้ยินเสียงก้อนหินก้อนเล็กๆ ตกลงไปทางหน้าผาด้านขวามือ ลักษณะเหมือนมีอะไรบางอย่าง กำลังไต่ขึ้นมาจากหน้าผา

    คุณศิระพยายามไม่มองลงไป เพราะกลัวว่าจะเห็นอะไรเข้า จึงพยายามข่มความกลัว แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ จากนั้นไม่ถึงสิบนาที กลุ่มของคุณศิระก็ลงมาถึงชายหาดที่พัก ก็เห็นพวกรุ่นพี่กับเพื่อนๆนั่งตั้งวงกันอยู่ที่หาด

    คุณสิระจึงหันจะไปเล่นกับสุนัข แต่ก็หาไม่เจอ ก็ได้มองหาจนทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่เจอ คุณศิระก็รู้สึกตัวแล้วว่าน่าจะทำอะไรไม่ดีลงไป จึงได้ไปหาธูปมาจุดขอขมา แล้วคุณศิระกับคนอื่นๆ อีกห้าคน ก็มานั่งคุยกันว่า เห็นเหมือนกันมั้ย

    พี่คนที่เดินท้ายสุดบอกว่า ได้ยินเสียงคนเดินตามหลังมาตลอด เสียงอยู่ไม่ไกล้ไม่ไกล แต่พอหันไปมอง ก็เห็นแต่ความมืด แล้วเพื่อนของคุณศิระก็เล่าว่า ตอนที่มุดข้ามก้อนหินมาแล้ว ก็ได้หันไปดูรุ่นพี่ข้ามมาทีละคนจนครบหกคน แต่ปรากฏว่าเห็นหัวใครไม่รู้ ชะโงกหน้ามาจากช่องที่พึ่งมุดข้ามมา แล้วก็หลบหายกลับไป

    หลังจากนั้นอีกสามวันที่อยู่ที่นั่น คุณศิระจึงไม่ขอดื่มอีกเลย จนถึงวันเดินทางกลับ พอกลับมาถึงที่มหาลัยแล้ว ทุกคนรวมทั้งรุ่นพี่ ก็ได้มานั่งคุยกัน รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่กำลังตั้งวงกันอยู่ที่ชายหาด ก็กะว่าจะนั่งดื่มกันจนถึงเช้า ประมาณตีสาม ได้ยินเสียงหัวเราะ ลอยมาตามลม ทุกคนจึงหันไปหาต้นตอของเสียง

    ปรากฏว่าเจอผู้หญิงใส่ชุดขาว ลอยจากยอดต้นไม้ต้นนึง ไปยังอีกต้นนึง สลับกันไปมา ทุกคนจึงหยุดกิจกรรมทุกอย่าง แล้วรีบเข้าเต้นท์นอนกันทันที

    เช้าวันต่อมา คนอื่นๆไปเที่ยวกันในถ้ำ แล้วมีคนที่นอนแฮงค์อยู่ในที่พัก กับพวกรุ่นพี่ที่ต้องอยู่เคลียร์สถานที่ประมาณสามคน  ปรากฏว่าเห็นคนที่นอนแฮงค์อยู่ ลุกขึ้นร้องโวยวายแล้ววิ่งออกมาจากที่พัก แล้วมาหมดสติอยู่หน้าที่พัก จนต้องพาไปส่งโรงพยาบาล

    หมอบอกว่าเป็นอาการเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง พอตอนเย็น ทุกคนก็เลยถาม เจ้าตัวบอกว่า เห็นเงาออกมาจากห้องที่ถูกไม้ตีปิดไว้ ลักษณะเงาดำๆ แล้วเดินเลาะมาตามผนังเข้ามาหา

    คืนนั้น หลังจากที่ทุกคนนั่งตั้งวงกันอยู่ มีรุ่นพี่เดินไปสูบบุหรี่อยู่แถวๆหาด ก็เจอเงาดำๆ เดินขึ้นมาจากทะเล ทีละคนๆ เกือบจะสิบคน รุ่นพี่ก็คิดว่าไม่ไหวแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปในที่พัก

    วันสุดท้ายตอนจะกลับ ทุกคนก็ได้ขนสัมภาระมากองรวมกันไว้ ปรากฏว่ามีรุ่นพี่ปีสองอยู่คนนึง อยู่ๆก็กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ไปชนต้นมะพร้าว แล้วล้มชักอยู่ตรงนั้น ทุกคนจึงรีบวิ่งไปดู กลัวว่าจะกัดลิ้นตัวเอง

    รุ่นพี่คนนึงก็รีบวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ เพื่อที่จะขอเรือเอาคนป่วยไปส่งโรงพยาบาล แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่ได้เอาเรือมาให้ แต่ถือธูปมาแทน แล้วก็จูดธูปปักลงตรงทรายบนหัว ที่รุ่นพี่คนนั้นนอนชักอยู่

    แล้วเจ้าหน้าหน้าก็พูดขึ้นมาว่า “พอแล้ว น้องๆเค้าจะกลับกันแล้ว” พอเจ้าหน้าที่พูดจบ รุ่นพี่ก็หยุดชักทันที ทุกคนจึงรุมถามกับเจ้าหน้าที่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    เจ้าหน้าที่บอกว่า สถานที่นี้แรง เคยเป็นสถานที่สู้รบกันมาก่อน แล้วตรงหน้าผาที่อยู่ตรงทางเดินก่อนจะถึงที่พัก ตรงนั้นลมตอนกลางคืนจะแรง มันจะพัดเอาทุกอย่างในทะเลมารวมอยู่ตรงนั้น มีศพมาเกยอยู่แถวๆนั้นเป็นประจำ พูดอีกอย่างก็คือเหมือนกับเป็นทางผีผ่าน หรือทางสามแพร่งในรูปแบบชายหาดนั่นเอง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

11/06/2020

ทำงานร่วมกับผี! ประสบการณ์พนักงานมาร์ทดังแถววังหินลาดพร้าว

#เรื่องเล่าจากกะดึก
เรื่องเล่าสยองขวัญจาก : THE SHOCK
เล่าโดย : คุณปีโป้

    เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่ร้านสะดวกซื้อชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นสาขาแถวๆวังหินลาดพร้าว เมื่อสักประมาณห้าปีที่ผ่านมา คุณปีโป้ทำงานอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ มาจนถึงช่วงที่ต้องเปลี่ยนกะกัน คุณปีโป้ที่ปกติทำอยู่กะเช้า ก็จะต้องย้ายมาทำกะดึก

    คืนนั้น คุณปีโป้อยู่ร้านกับพนักงานรุ่นน้องอีกสองคน รวมคุณปีโป้เป็นสามคน คุณปีโป้ทำงานทั่วไปในร้าน ส่วนรุ่นน้องทำที่แคชเชียร์ อีกคนนึงทำความสะอาดโถใส่น้ำอยู่ที่หลังร้าน เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ

    ก็ได้ยิน “ตึ้ง” เหมือนอะไรหนักๆตกลงบนพื้น ที่ชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องเก็บของ ทุกคนคิดว่าเป็นบ้านที่อยู่คูหาข้างๆทำของตก จึงไม่ได้สนใจ สักพักประมาณสิบนาที ก็ได้ยินเสียงลากอะไรบางอย่างบนพื้นชั้นสอง “คลืดดดๆ ” เป็นเสียงที่คุณปีโป้ได้ยินเป็นประจำ ตอนที่ลากของหรือลากกล่อง

    ทุกคนจึงมองหน้ากัน ทั้งๆที่อยู่กันแค่สามคนข้างล่าง แล้วใครทำอะไรอยู่ข้างบน รุ่นน้องที่กำลังล้างของอยู่หลังร้าน ซึ่งอยู่ใกล้บันไดขึ้นชั้นสองมากที่สุด เดินมาหาคุณปีโป้ แล้วถามว่า “ได้ยินป่าวพี่” คุณปีโป้จึงตอบไปว่า “เออ ทำงานไปก่อน”

    ผ่านไปสักพัก มีเสียงเหมือนกับของกลิ้งตกลงมาจากบันได “ตึ้งๆๆๆๆ” รุ่นน้องที่อยู่หลังร้าน รีบวิ่งเข้ามาหาคุณปีโป้ทันที แล้วบอกว่า “ผมไม่เอาแล้วนะพี่” คุณปีโป้จึงบอกให้ปิดประตูหลังร้านก่อน แล้วก็ไปยืนกันที่หน้าร้าน

    ก็มาคุยกันว่า คืนนี้เราจะอยู่กันยังไง คุณปีโป้จึงบอกให้น้องแคชเชียร์ ไปอยู่ตรงที่คิดเงินตามเดิมก่อน เพราะตรงนั้นอยู่ห่างที่สุด แล้วคุณปีโป้กับรุ่นน้องอีกคนจะไปช่วยกันล้างโถใส่น้ำให้เสร็จ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเติมน้ำ ปกติจะต้องเติมน้ำทุกๆตีสอง แต่น้ำจะอยู่บนชั้นสอง จึงไม่มีใครกล้าขึ้นไปเอา

    ผ่านไปไม่กี่วัน ได้มีคนส่งของเข้ามาส่งของให้ร้าน ตอนช่วงประมาณตีหนึ่ง และยกของขึ้นไปไว้ที่ชั้นสอง ประมาณห้าถึงหกรอบจนหมด พนักงานที่มีหน้าที่เช็คของร้านสะดวกซื้อจึงถามว่า

พนักงานร้าน : พี่เสร็จหรือยัง เดี๋ยวจะได้ขึ้นไปเช็คของ
คนส่งของ : เช็คเสร็จแล้ว เดี๋ยวพี่จะกลับแล้วเนี่ย

พนักงานร้าน : อ่าวพี่ แล้วใครเช็คให้พี่
คนส่งของ : นี่ไง ก็ป้าที่นั่งเช็คประจำ เค้ารอข้างบนอยู่แล้ว ก็เห็นเป็นคนนับตลอดตอนที่พี่ขนของขึ้นไปไว้ พี่ไปพี่ก็เจอทุกรอบ

พนักงานร้าน : พี่ ไม่มีใครอยู่ข้างบนนะ
คนส่งของ : จะไม่มีได้ไง ขึ้นไปตอนแรกก็เจอเลย เค้าก็นั่งเช็คของให้พี่จนเสร็จ ใส่ชุดพนักงาน X-XX เนี่ยแหละ
คนเช็คของ : เฮ้ยพี่ มันไม่มีใครอยู่ข้างบนนะ วันนี้ก็อยู่กันแค่เท่าที่พี่เห็นข้างล่างเนี่ย สามคน

   คนส่งของเลนพาขึ้นไปดู แต่ก็ไม่พบใครเลย ทางออกทางเดียวที่จะออกได้ คือหน้าร้านเท่านั้น ส่วนทางออกอีกทาง คือประตูหนีไฟ แต่ผู้จัดการได้ล็อกเอาไว้ ทุกคนงงมาก จึงได้มาดูใบเช็คสินค้ากัน ปรากฏว่ามีคนติ๊กถูกเหมือนได้เช็คสินค้าไปแล้วจริงๆ

    คุณปีโป้จึงลองถามคนในระแวกนั้นดู เกี่ยวกับประวัติของตึกหลังนี้ ก็ได้ความว่า เมื่อก่อน ตอนที่ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้มาเช่าอยู่ที่ตึกแห่งนี้ใหม่ๆ เจ้าของตึกจะเป็นอาม่า อาศัยอยู่ที่ชั้นสอง และเสียชีวิตที่นั่น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

08/06/2020

หนุ่มออฟฟิศเจอผีสาวออกมาโพสต์ “ท่ายาก” ให้ดูตอนทำ OT คนเดียว

ประสบการณ์สยองขวัญ
#ออฟฟิศนี้ไม่ธรรมดา
เล่าโดย : คุณบอย

    เหตุการณ์เกิดขึ้นในออฟฟิศแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นออฟฟิศที่คุณบอยทำงานอยู่ ที่นี่มีเรื่องเล่ามากมาย บางคนก็เล่าว่าเห็นเงาคนตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งแต่ละคนก็จะเห็นแตกต่างกันไป คุณบอยทำงานอยู่ที่นี่มาเกือบห้าปี มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่คุณบอยรู้สึกว่าทุกคนจะเล่าตรงกันมากที่สุด จากบรรดาเพื่อนๆที่อยู่ในออฟฟิศ

    ออฟฟิศแห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้น ด้านบนจะเป็นดาดฟ้า เรื่องมันเกิดขึ้นในโกดังที่อยู่ชั้นหนึ่ง เป็นห้องที่เอาไว้เก็บหนังสือต่างๆนาๆ 

    ซึ่งออฟฟิศแห่งนี้ทำเกี่ยวกับนิตยสาร เมื่อเริ่มการจัดจำหน่ายออกไป ก็จะมีส่วนหนึ่งที่ถูกตีกลับเข้ามา ต้องนำไปเก็บสต๊อกไว้ในโกดัง เพื่อรอนำไปขายในงานกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับงานหนังสือ

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณบั้มซึ่งเป็นเด็กใหม่ เพิ่งเข้ามาทำงานในออฟฟิศนี้ได้ไม่นานนัก แล้วถูกบรรจุให้ไปอยู่ในส่วนของการสต๊อกของ โดยปกติแล้วออฟฟิศจะปิดหกโมง แต่บางครั้งก็จะต้องมีการทำงานล่วงเวลา จนกินเวลาไปจนถึงดึกดื่น

    วันหนึ่ง คุณบั้มเดินเข้าไปในตัวโกดังคนเดียว เพื่อทำการคัดแย่งนิตยสารที่จะเอาไปขายในงานกิจกรรม และมีพวกพี่ๆอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่หน้าโกดัง แต่ไม่ได้เข้ามาด้วย โกดังมีความยาวเกือบสองร้อยเมตร กว้างประมาณยี่สิบเมตร สูงสี่ชั้น 

    ทุกครั้งที่ก้าวขาเข้ามาในโกดังแห่งนี้ บรรยากาศมันมักจะไม่เหมือนเดิม บางครั้งก็รู้สึกร้อนวูบวาบ บางครั้งรู้สึกเหมือนมีไอเย็นลอยฝุ้งไปทั่ว กลิ่นอับที่ไม่เคยจางหายไปไหน เป็นเอกลักษณ์ของโกดังแห่งนี้

    ภายในโกดังจะมีชั้นเก็บนิตยสารตั้งเรียงๆกันเหมือนห้องสมุดทั่วไป ยาวไปจนถึงท้ายโกดัง ต้องพกไฟฉายเข้าไปด้วย เนื่องจากหลอดนีออนที่ติดอยู่ด้านบนถึงมันจะมีอยู่หลาดหลอดด้วยกัน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ที่นี่ดูสว่างมากนัก เพราะมันอยู่สูงเกินไป และไหนจะมีอยู่แค่ไม่กี่หลอด ทำให้ที่นี่ดูสลัวๆน่าอึดอัด

    คุณบั้มนั่งแยกนิตยสารอยู่ด้านในสุด ซึ่งมันจะเป็นกำแพงตัน โดยนั่งพิงกำแพงเก่าๆแล้วหันหน้าไปที่ทางออก บรรยากาศภายในเงียบมากคล้ายหูอื้อ มีเสียงจิ้งจกคอยร้องทักอยู่เป็นเพื่อน แต่ในช่วงเวลานั้นเอง คุณบั้มรู้สึกมีอะไรบางอย่างที่ผิดสังเกต แถวๆหางตาทางด้านซ้าย จึงค่อยๆหันไปมอง

    ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งอยู่มุมสุดของโกดัง ด้านบนของประตูจะมีหลอดไฟเล็กๆเพียงแค่หลอดเดียว ปรากฏว่าเห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ลักษณะผมยาวปกหน้าจนถึงจมูก คลุมผ้าสีขาวยาวไปจนถึงเท้า ยืนส่งยิ้มหวานให้

    คุณบั้มรีบหันกลับแล้วก้มหน้าลงทันที หัวใจเต้นตูมตามเหมือนคนที่กำลังรัวกลอง มันไม่น่าจะมีใครยืนอยู่ตรงนั้นได้ พยายามปลอบใจตัวเองว่าตาฝาดแน่ๆ และอึดใจนั้น คุณบั้มตัดสินใจที่จะหันกลับไปดูอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ความจริง

    ปรากฏว่าเธอคนนั้นยังยืนอยู่จุดเดิม แต่เปลี่ยนอิริยาบถจากเดิมที่ยืนตัวตรง คราวนี้เธอโค้งลำตัวลงมาสี่สิบห้าองศาเหมือนคนแก่หลังค่อม แล้วเชิดหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้

    คุณบั้มรู้สึกจุดที่ท้องน้อย หายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนว่าเธอคนนั้นเริ่มยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนมุมปากยาวไปจนจะถึงใบหู คุณบั้มรีบหันกลับมาก้มหน้าเหมือนเดิม เพราะทนมองภาพที่มันน่าสยดสยองแบบนั้นต่อไปไม่ไหว

    รู้สึกว่าขนหัวมันตั้งชันขึ้นเรื่อยๆ เย็นวูบวาบขึ้นที่สันหลัง ความกลัวความหวาดผวาถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง กลอกสายตาไปมาในขณะที่ก้มหน้าอยู่เพราะความหวาดระแวงจัด อยากลุงวิ่งหนีแต่ตัวมันกลับแข็งทื่อเอาเสียอย่างนั้น

    ใจหนึ่งก็สงสัยว่าเราเจอผีเข้าแล้วจริงๆเหรอ หรือว่าเราง่วงจนเห็นภาพหลอนไปเอง ก็อาจเป็นได้เพราะวันนี้เราทำงานมาก็เกือบจะสิบห้าชั่วโมงเข้าไปแล้ว คงเป็นเพราะเราเหนื่อยเกินไปแน่ๆ

    เมื่อคิดได้อย่างนั้น คุณบั้มจึงค่อยๆหันกลับไปมองที่หน้าห้องน้ำอีกครั้ง แต่รอบนี้ภาพที่เห็นทำให้คุณบั้มเผลอสะอึกเฮือกใหญ่ กลั้นหายใจเองโดยอัตโนมัติ เพราะเธอคนนั้นนอนราบไปกับพื้น แล้วยกลำตัวท่อนบนขึ้นมาตั้งตรง คล้ายตัวแอลกลับด้าน ราวกับว่าหลุดมาจากคลาสโยคะเพื่อสุขภาพตอนเย็นหลังเลิกงานก็ไม่ปาน

    ซึ่งปกติสรีระร่างกายของคนไม่สามารถทำอะไรเช่นนี้ได้ แถมเธอยังแยกเขี้ยวยีฟันให้คุณดั้มจนมองเห็นฟันขาวเรียงซี้เงาวับ ภาพที่เห็นมันทำให้ความอดทนของคุณบั้มมาถึงขีดสุด โยนนิตยสารในมือทิ้งแล้ววิ่งร้องไห้กระเจิดกระเจิงออกนอกโกดัง

    พวกพี่ๆที่นั่งกันอยู่หน้าโกดังเห็นแบบนั้นก็ตกใจ ต่างวิ่งตามไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณบั้มพูดตัวสั่นปากสั่นว่า “ผมเจอผีๆๆๆ” พวกพี่ๆก็เลยเดินเข้าไปดูในโกดัง แต่เจอไม่เจออะไรที่ผิดปกติ

    เรื่องราวในลักษณะนี้จะเป็นเรื่องที่คุณบอยได้ยินมามากที่สุด เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในโกดัง เพราะทุกคนที่อยู่เวรทำโอที มักจะเจอเข้ากับเธอในลักษณะท่าทางที่แปลกประหลาดผิดมนุษย์มนา

    และล่าสุดในเวลาประมาณสี่ทุ่มเศษๆ คุณบั้มต้องเข้าไปค้นเอกสารในโกดัง ซึ่งอยู่ล๊อคแถวท้ายๆ ลักษณะตู้เก็บจะเป็นชั้นเหมือนตู้หนังสือที่มีสองฝั่ง เมื่อหยิบหนังสือออกมาก็จะสามารถมองลอดไปอีกฝั่งได้

    ในขณะที่คุณบั้มหยิบเอกสารออกมาจากชั้น ปรากฏว่าเห็นเธอคนนั้นยืนอยู่อีกฝั่งของชั้นวางหนังสือ แต่คราวนี้เธอไม่มีผมปิดบังใบหน้า ทำให้คุณบั้มเห็นได้อย่างชัดเจน ลูกกะตาปูดโปน ใบหน้าเขียวคล้ำ ทำหน้าบึ้งตึง

    ทุกคนที่ทำงานที่นี่จะเจอในลักษณะนี้กันแทบทุกคน แต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป คาดว่าเธอคนนี้อาจจะอยู่ที่นี่มาก่อนที่จะสร้างโกดังเสียอีก และทุกคนยืนยันว่า เธอยังอยู่ในโกดังจนถึงปัจจุบันนี้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

04/06/2020

ชั้น 11 คอนโดหลอนย่านลาดพร้าว ผมเห็นเธอโดดลงไปต่อหน้าต่อตา

ประสบการณ์สยองขวัญ
#อีกสิบห้านาทีตีหนึ่ง
เล่าโดย : คุณแคร์

    เป็นเรื่องราวที่รุ่นน้องเล่าให้ฟัง ชื่อคุณแจ็ค เหตุการณ์เกิดขึ้นที่คอนโดแห่งหนึ่ง แถวลาดพร้าว คุณแจ็คได้ย้ายมาเรียนต่อในกรุงเทพ และได้เช่าอยู่ที่คอนโดแถวลาดพร้าว

    ตอนโดแห่งนี้มีทั้งหมดสิบสองชั้น คุณแจ็คเช่าอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ด ซึ่งห้องที่คุณแจ็คเช่าอยู่ เจ้าของได้มาซื้อไว้ แล้วปล่อยให้เช่าต่อ เป็นแค่ห้องโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ คุณแจ็คก็ได้เอาฟูกมาปูนอน และขนข้าวของเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆ มาวางในห้อง

    ในคืนแรก อาจเป็นเพราะแปลกที่ จึงทำให้คุณแจ็คนอนไม่ค่อยหลับ แต่ในขณะที่กำลังข่มตานอน ทุกอย่างเงียบสนิท ในความเงียบนั้น คุณแจ็คได้ยินเสียงลิฟท์ดัง “ติ๊ง” มาไกลๆ ตามด้วยเสียงรองเท้ายางถูกับพื้นดัง “เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด” และเสียง “เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง” ผ่านที่หน้าห้อง

    คุณแจ็คลองเปิดมือถือเพื่อดูนาฬิกา พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืน สี่สิบห้านาที ซึ่งมันก็ดึกมากแล้ว จึงพยายามข่มตานอน จนเคลิ้มหลับไป คืนต่อมาก็ยังคงนอนไม่กลับ พลิกตัวไปมาอยู่นาน

    สักพักก็ได้ยินเสียงลิฟท์ดัง “ติ๊ง” ตามด้วยเสียงเดินดัง “เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด” พร้อมกับเสียง “เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง” เสียงมันเหมือนกับเหล็กกระทบกัน และเมื่อคุณแจ็คดูเวลา ก็เห็นเป็นเวลาเที่ยงคืน สี่สิบห้านาที

    คืนที่สาม คุณแจ็คยังคงนอนไม่หลับอีกตามเคย จึงลุงขึ้นมานั่งเขียนงาน เพื่อให้มันง่วง และได้เปิดประตูหน้าห้องทิ้งไว้ ให้มีลมโกรกเย็นๆ ในระหว่างที่กำลังนั่งเขียนงานอยู่ คุณแจ็คก็ได้ยินเสียง “ติ๊ง” ตามด้วยเสียง “เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด” พร้อมๆกับเสียง “เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง”

    เสียงนั้นดังมาจากหน้าลิฟท์ จนมาถึงหน้าห้อง คุณแจ็คหันไปมองทันที เห็นเป็นน้องผู้หญิงคนนึง ตัวเล็กๆ ผิวขาวผมยาว ใส่ชุดนักศึกษา หน้าตาหน้ารักมาก สะพายกระเป๋าข้าง และมีลูกกระพรวนติดอยู่ที่กระเป๋า

    คุณแจ็ครู้สึกชอบผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็น และคิดว่าน้องผู้หญิงคงจะไปทำงาน หรืออะไรสักอย่าง ถึงได้กลับมาในเวลาเดิมทุกๆวัน คืนต่อมาคุณแจ็คเปิดประตูห้องไว้เหมือนเดิม พอถึงเวลา ก็จะได้ยินเสียงน้องผู้หญิงเดินมาจากลิฟท์

    จึงแกล้งทำเป็นหยิบไม้กวาด มากวาดแถวๆหน้าประตูห้อง พอน้องผู้หญิงเดินผ่านมาถึง คุณแจ็คแกล้งทำเป็นพูดว่า “กลับดึกจังเลยนะครับ” น้องผู้หญิงก็ส่งยิ้มหวานมาให้ คุณแจ็คเห็นแบบนั้นก็รู้สึกดีใจ ที่น้องไม่ได้ทำท่าทีรังเกียจ แถมยังยิ้มให้อีกด้วย

    คืนต่อมา คุณแจ็คก็ทำแบบเดิม ไปยืนรอส่งยิ้มให้ที่หน้าห้อง จนเริ่มอยากรู้ว่าน้องอยู่ห้องไหน คืนถัดมา คุณแจ็คก็ไปยืนรอส่งยิ้มให้เหมือนเดิม พอน้องเดินผ่านหน้าห้องไป ก็แอบชะโงกหน้ามองตามหลัง

    เห็นน้องยืนอยู่ตรงสุดโถงทางเดินหน้าห้อง แล้วหันกลับมามองคุณแจ็ค พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ แล้วพยักหน้า คุณแจ็คก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร จึงได้ยกนิ้วขึ้นชี้ที่หน้าตัวเอง เป็นเชิงว่าเรียกกันเหรอ

    น้องผู้หญิงก็พยักหน้าตอบ แล้วกวักมือเรียก ทำให้คุณแจ็ครู้สึกหัวใจพองโต มีสาวน่ารักที่แอบชอบกวักมือเรียก จึงไม่รอช้า เดินจ้ำเข้าไปหาทันที ไม่สนใจแม้แต่จะใส่รองเท้า

    จนใกล้จะถึงตัวน้องประมาณสองช่วงแขน แต่อยู่ดีๆ น้องก็หันหลังให้คุณแจ็ค แล้วเลื่อนหน้าต่างที่อยู่ตรงกำแพงสุดท้ายเดินขึ้น แล้วกระโจนพรวดลงไปข้างล่างทันที คุณแจ็คร้องตะโกนด้วยความตกใจ รีบวิ่งตามไปดู

    ในหัวนึกภาพร่างของน้อง ต้องตกลงไปกองอยู่บนพื้นข้างล่างแน่ๆ แต่เมื่อคุณแจ็คชะโงกหน้าออกไปดูนอกหน้าต่าง กลับไม่พบร่างของใครเลย เป็นเพียงแค่ลานจอดรถธรรมดา คุณแจ็คพยายามหาดูจนทั่วบริเวณ เพราะน้องอาจจะไปติดอยู่ตรงจุดไหนสักที่ แต่เมื่อลองหาดูจนทั่ว ก็ไม่พบร่างของน้องไปติดอยู่ที่ไหน

    คุณแจ็คค่อยๆเดินถอยหลัง เริ่มสับสนกับเหตุการที่เกิดขึ้น คิดในใจว่า สิ่งที่เห็นเมื่อครู่มันคืออะไรกันแน่ คุณแจ็คกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าห้อง ปิดประตูแล้วนั่งขดตัวอยู่บนเตียง ถามกับตัวเองว่าเราเจออะไรกันแน่

    คืนนั้น คุณแจ็คนั่งขดตัวกัดเล็บตัวเองทั้งคืนเพราะความกลัว จนรุ่งเช้า พอไปถึงหมาลัย ก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟัง มีทั้งคนที่เชื่อและก็ไม่เชื่อ คุณแจ็คบอกกับเพื่อนว่า อยู่ไม่ได้ กลัวมาก จะขอไปนอนกับเพื่อนที่ห้องด้วย

    แต่ไปอยู่ห้องเพื่อนได้แค่สองสามวัน ก็ต้องกลับมานอนที่ห้องตัวเองอีกเหมือนเดิม เนื่องจากห้องของเพื่อนค่อนข้างแคบ และอยู่กันหลายคน จึงเกิดความแออัดไม่สดวกต่างๆ

    เพื่อนก็เลยบอกว่า “เอางี้แจ็ค กูสองคนจะไปนอนห้องด้วย ไปดูเลยว่ามันเป็นยังไง อย่างน้อยอยู่กันสามคน คงไม่เป็นไร” คุณแจ็คก็ตกลง จึงได้ย้ายไปนอนห้องคุณแจ็คกันสามคน

    จนถึงเวลาเที่ยงคืนสี่สิบห้า ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเสียงลิฟท์ ไม่มีเสียงคนเดิน ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น เพื่อนก็บอกว่า “โอเค นี่แค่คืนแรก อาจจะยังไม่มีอะไร คืนที่สองอาจจะมี”

    แต่เมื่อถึงคืนที่สอง ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คืนที่สามก็เช่นกัน เพื่อนจึงฟันธงกันว่า “แจ็ค มันไม่มีแล้วล่ะ เจออะไรไม่รู้ แต่มันไม่มีแล้ว” คุณแจ็คยังไม่รู้สึกคลายความกังวล แต่เมื่อเพื่อนจะกลับ ก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด คิดว่าคงต้องลองวัดดวงดูเอง

    คืนต่อมา คุณแจ็คยังคงนอนไม่หลับอีกเหมือนเดิม บรรยากาศมันแตกต่างกับตอนที่มีเพื่อนมานอนด้วยแบบคนละเรื่องกันเลย รู้สึกใจหวิวๆ และเงียบเชียบ แต่ในความเงียบนั้น คุณแจ็คได้ยินเสียงลิฟท์ดัง “ติ้ง!!” มาไกลๆ

    ทำให้คุณแจ็คหูผึ่งทันที คิดปลอบใจตัวเองว่า คงจะเป็นผู้อาศัยอื่นๆในชั้นนี้ สักพักมีเสียงดัง “เอี๊ยด..เอี๊ยด..เอี๊ยด” ผสมกับเสียง “เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง” คุณแจ็คขนลุกซู่ไปทั้งตัว

    เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เชื่องช้า จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของคุณแจ็ค ภายในห้องปิดไฟมืด แต่โถงทางเดินด้านนอกยังคงเปิดไฟสว่าง คุณแจ็คมองลงไปที่ช่องเล็กๆใต้ประตู ปรากฏว่าเห็นเป็นขาคนสองข้าง ยืนอยู่หน้าห้อง โดยหันหน้าเข้าประตู

    คุณแจ็คใจหายวาบ ความกลัวมันเริ่มปะทุขึ้นในใจเรื่อยๆ จนเหงื่อกาฬผุดขึ้นทั้งตัว รีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัว แล้วนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่บนเตียง หวาดกลัวต่ออะไรสักอย่าง ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง ภาวนาอยู่ในใจว่าขอให้สิ่งนั้นรีบๆเดินผ่านหน้าห้องไปสักที

    แต่สิ่งที่ได้รับจากการขอภาวนาคือ เสียงลูกบิดประตูห้องมันดัง “แกร่กๆ..แกร่กๆ” เหมือนมีคนพยายามจะเปิดประตูเข้ามา ทำให้คุณแจ็คกลัวจนจับใจ ถึงแม้ว่าจะล็อกห้องอยู่ก็ตาม

    คุณแจ็คเอาแต่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม รู้สึกว่าเสียงมันได้เงียบหายไปสักพัก จึงค่อยๆดึงผ้าห่มออกดู แต่สิ่งที่เห็นทำให้คุณแจ็คผวาจนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ยังคงเห็นเท้าคนยืนอยู่หลังประตูเหมือนเดิม แต่ที่เพื่มมาก็คือ มีหน้าคน ค่อยๆแนบลงมามองที่ช่องใต้ประตู จนเห็นลูกกะตาสีขาวๆข้างหนึ่ง

    ซึ่งตามหลักสรีระแล้ว เป็นไปไม่ได้ในเวลาที่ยืนหันหน้าเข้าหาประตู แล้วจะสามารถเอาหน้าแนบลงที่ช่องใต้ประตูได้ คุณแจ็ตจ้องมองสิ่งแปลกประหลาด ที่ยืนอยู่อีกด้านของประตูด้วยความสยดสยอง

    หน้าที่แนบลงมาใต้ประตูกลอกลูกกะตาไปมา เหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่างภายในห้อง สักพักก็ค่อยๆดึงหัวกลับขึ้นไป แล้วเดินผ่านหน้าห้องไปอย่างช้าๆ “เกร๊ง..เกร๊ง..เกร๊ง” คุณแจ็คยังคงมองตาค้างอยู่ที่ช่องใต้ประตู เหมือนคนที่สติหลุดออกจากร่างไปแล้ว 

    รุ่งเช้า คุณแจ็ครีบโทรไปหาเจ้าของห้อง แล้วขอย้ายออกทันที และขอเงินมัดจำคืนครึ่งหนึ่ง เจ้าของห้องถามถึงเหตุผล คุณแจ็คจึงเล่าเรื่องที่เจอมาให้เจ้าของห้องฟัง เจ้าของห้องพูดออกมาว่า “นี่ยังอยู่อีกเหรอเนี่ย”

    คุณแจ็คถามต่อทันทีว่าหมายความว่ายังไง ก็ได้ความว่า เมื่อประมาณสองปี ก่อนที่เจ้าของห้องจะมาอยู่ที่นี่ มีนักศึกษาชายหญิงคู่หนึ่ง เช่าอยู่ที่ชั้นสิบเอ็ด แล้วเกิดมีปากเสียงกัน จนฝ่ายชายไล่ฝ่ายหญิงออกนอกห้องแล้วล็อคประตูห้อง ทิ้งให้ฝ่ายหญิงอยู่นอกห้องคนเดียว จึงเกิดความน้อยใจ ก็เลยไปกระโดดตึกตายที่หน้าต่างสุดทางเดิน

    หลังจากนั้น คนที่อยู่ชั้นสิบเอ็ด มักจะได้ยินเสียงผู้หญิง เดินร้องไห้อยู่หน้าโถงทางเดิน ในเวลาเที่ยงคืนสี่สิบเอ็ดนาที จนคนย้ายออกกันทั้งชั้น เจ้าของคอนโดจึงนิมนต์พระมาทำพิธิ หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงของน้องผู้หญิงอีก จนคุณแจ็คมาเจอเข้ากับตัว อาจจะเป็นเพราะดวงสมพงศ์กัน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

31/05/2020

อาถรรพ์บ้านตะวันตก รปภ.ทัก “ไม่ห้อยพระมา..อย่าเข้าไปดีกว่า”

ประสบการณ์สยองขวัญ
#บ้านฝรั่ง
เล่าโดย : คุณมีน

    เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวย่านบางนา เมื่อประมาณเจ็ดเดือนที่ผ่านมา คุณมีนทำอาชีพเกี่ยวกับติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องครัว มีอยู่เคสหนึ่ง ที่ต้องไปติดตั้งให้กับบ้านฝรั่งในย่านบางนา

    ชุดติดตั้งจะมีทั้งหมดสามคน มีหัวหน้า คุณมีน และคนขับรถ ไปถึงหมู่บ้านแห่งนี้ประมาณเก้าโมงเช้า แต่ต้องทำการแรกบัตรที่ป้อมยามก่อน ยามก็ได้ถามว่า “บ้านเลขที่อะไรครับ” หัวหน้าก็ตอบว่า “บ้านเลขที่xxx”

    ยามแสดงอาการตกใจเล็กน้อย แล้วถามออกมาเบาๆว่า “พี่ ห้อยพระอะไรเหรอ” หัวหน้าและคุณมีนหันมองหน้ากันด้วยความงุนงง คิดในใจว่าทำไมยามต้องถามอะไรแบบนี้ แล้วยามก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ตรงเข้าไปนะครับ เลี้ยวซ้าย พอถึงลูกกอล์ฟให้ตรงเข้าไปอีก แล้วเลี้ยวขวา”

    ทุกคนจึงขับไปตามทางเรื่อยๆ จนไปถึงบ้านของลูกค้า ลักษณะเป็นบ้านทรงฝรั่ง มีสามชั้น หลังจากลงจากรถ คุณมีนก็สังเกตเห็นความผิดปกติของหัวหน้า คือหัวหน้ายืนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนบ้าน เหมือนกับว่ากำลังจ้องอะไรสักอย่าง แต่เมื่อคุณมีนลองมองขึ้นไปดู ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร

    หัวหน้าก็พูดขึ้นว่า “ปะ รีบขนของเข้าไปข้างใน แล้วทำงานให้เสร็จดีกว่า จะได้รีบๆกลับ” ซึ่งคุณมีนคิดว่า นี่ก็เป็นอาการผิดปกติของหัวหน้าอย่างหนึ่ง เพราะทุกครั้งเวลาออกไปทำงานข้างนอก หัวหน้าจะไม่พูดอะไรในทำนองนี้ จึงช่วยกันขนของเข้าไปข้างใน

    โซนหน้าจะเป็นห้องรับแขก บันไดจะอยู่กลางบ้าน โซนขวาจะเป็นห้องครัวเปิดโล่ง ถัดจากห้องครัวจะเป็นห้องน้ำ ตกแต่งสีโทนทึบทั้งหมด ทั้งๆที่ข้างนอกก็ใช้สีขาวปกติ ดูรวมๆแล้วเหมือนกับว่าเป็นบ้านเก่า แต่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ มีกลิ่นอับเหมือนกลิ่นของธูปหอม ลอยฟุ้งกระจายทั่วบ้าน ทำให้รู้สึกขนลุกแปลกๆ

    ในขณะที่คุณมีนกำลังแกะอุปกรณ์ออกมาประกอบ อยู่ๆก็รู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ เหมือนมีคนคอยจ้องอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่ภายในบ้านมีกันอยู่แค่สามคน แต่ความรู้สึกมันกลับฟ้องว่า มีคนอยู่ที่นี่มากกว่านี้

    ทุกคนช่วยกันทำงานไปได้สักพัก ในจังหวะที่คุณมีนยกเอาประตูตู้สแตนเลสขึ้นมาประกอบ แต่ปรากฏว่าเห็นเงาสะท้อนจากในประตูตู้สแตนเลส เห็นเป็นเงาดำๆ ค่อยๆเดินลงมาจากบันไดทางด้านหลัง

    คุณมีนตกใจรีบหันกลับไปดู แต่ก็ไม่พบอะไร เห็นเพียงแค่บันไดวางเปล่า ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆ แต่คุณมีนก็พยายามไม่คิดอะไรมาก รีบทำงานให้เสร็จ แต่หางตามันกลับเห็นเงาดำๆลักษณะเดิม ยืนอยู่แถวๆหน้าห้องน้ำ

    ทำให้คุณมีนสะดุ้งตกใจอีกครั้ง รีบหันไปมองทันที แต่เห็นเป็นรูปปั้นผู้หญิงฝรั่งแขนกุด ยืนก้มหน้า ตั้งอยู่ข้างๆประตูห้องน้ำ คุณมีนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคงจะคิดฟุ้งซ่านเกินไป จึงเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ

    แต่ในจังหวะที่เดินเข้าไปใกล้รูปปั้นหน้าห้องน้ำ กลับรู้สึกเย็นวาบ จนขนลุกตั้งไปทั้งตัว ความกลัวในอะไรบางอย่างมันผุดขึ้นในตัวเรื่อยๆ โดยที่ไม่ทราบสาเหตุ คุณมีนค่อยๆก้าวผ่านรูปปั้นเข้าไปในห้องน้ำ โดยพยายามบังคับไม่ให้หางตามองไปที่รูปปั้น เพราะรู้สึกไม่ดีทุกครั้ง ในเวลาที่มองหน้ามัน

    หลังจากที่ล้างหน้าเสร็จ คุณมีนก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ก็ต้องรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่พบหัวหน้ากับคนขับรถ ทั้งๆที่เมื่อสักครู่ ยังนั่งทำงานกันอยู่ในบ้าน จึงเดินไปที่หน้าประตูบ้าน ก็เห็นว่าหัวหน้ายืนอยู่นอกประตูรั้วบ้าน แล้วมองเข้ามาในบ้าน เหมือนกำลังจ้องอะไรสักอย่างที่อยู่ในบ้าน ส่วนขนขับหนีไปนั่งอยู่ในรถ

    ด้วยความปลกใจ คุณมีนจึงพูดว่า “อ่าวพี่ ออกไปกันทำไมเนี่ย ยังไม่เสร็จเลย” หัวหน้าตอบว่า “เอ็งเข้าไปจัดการให้เสร็จละกัน พี่ขอดูดบุหรี่ก่อน” คุณมีนจึงจำเป็นต้องเข้าไปนั่งทำงานต่อให้เสร็จ

    จนมาถึงขั้นตอนสุดท้าย คุณมีนไล่เอาแอลกอฮอล์เช็ดสแตนเลสต่างๆ เพื่อให้มันใสสะอาด ในระหว่างที่กำลังนั่งเช็ดอยู่ ปรากฏว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วโน้มตัวเอาหัวลงมาอยู่ข้างๆคุณมีน ซึ่งมันสะท้อนจากประตูตู้สแตนเลส

    ลักษณะเป็นผู้ชายตัวอ้วนๆ ไม่มีผม ไม่มีแขน ลูกกะตาเห็นเป็นสีดำๆ แม้ว่าจะมองไม่เห็นลูกกะตา แต่คุณมีนรู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง กำลังจ้องมองคุณมีนอยู่ ในระยะที่เรียกว่าเผาขนได้เลย

    คุณมีนสะดุ้งสุดตัว หันหลังควับทันที แต่ก็ไม่พบอะไร เห็นเพียงแค่บันไดวนขึ้นไปชั้นบน คุณมีนรู้สึกกลัวจนนั่งไม่ติดพื้น คิดในใจว่าหรือนี่จะเป็นสาเหตุ ที่ทำให้หัวหน้าและคนขับรถหนีออกไปอยู่ข้างนอกกันหมด

    คุณมีนไม่รอช้า รีบเก็บงานให้เร็วที่สุด แล้วรีบเก็บของออกไปนอกบ้าน ช่วงนั้นเวลาประมาณเที่ยงๆ ทุกคนจึงขับรถออกไปจากบ้าน จนไปถึงป้อมยาม

    ด้วยความสงสัย คุณมีนจึงถามกับยามว่า “พี่ ผมถามจริงๆเถอะ ที่ถามพวกผมว่าห้อยพระอะไรเนี่ย มันมีอะไรหรือเปล่า” ยามตอบกลับมาว่า “คงจะเจอกันแล้วสิ” คุณมีนคะยั้นคะยอว่า “เล่าให้ฟังหน่อยเถอะ อยากรู้มากเลย”

    ยามเล่าว่า แต่ก่อนบ้านหลังนั้นมันเป็นบ้านของคนไทย แต่สามีตาย เพราะโดยขโมยเอาไม้ทุบเข้าที่หัว ตายอยู่แถวๆหน้าห้องน้ำ ภรรยาจึงไปคบกับฝรั่ง แล้วทำการตกแต่งบ้านใหม่ทั้งหมด เพื่อที่จะขาย เพราะฝรั่งบอกกับผู้เป็นภรรยาว่าอยู่ไม่ได้

    โดยให้เหตุผลว่า กลางดึกของทุกคืน จะได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่ชั้นล่าง พอเดินลงไปดู ปรากฏว่าเห็นรูปปั้นค่อยๆเคลื่อนตัว กลับไปยืนอยู่ที่หน้าห้องน้ำตามเดิม เหมือนกับว่าเมื่อครู่ มันเพื่งจะเดินไปเดินมาภายในบ้าน และเวลาที่เผลอหลับในช่วงกลางวัน จะต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้ง และในช่วงที่กำลังสะดุ้งตื่น จะเห็นเป็นผู้ชายร่างท้วมๆ เดินขึ้นบันไดไปข้างบน เป็นแบบนี้ทุกครั้งจนอยู่ไม่ได้

    จากนั้น หัวหน้ามาเล่าให้ฟังทีหลังว่า ตอนที่ไปถึงบ้านหลังนั้นช่วงแรกๆ หัวหน้าได้มองขึ้นไปบนชั้นสาม บนห้องชั้นสามจะมีหน้าต่างบานใหญ่ๆ แต่ปรากฏว่าเห็นผู้ชายยืนเอาเท้าเหยียบเพดาน ห้อยหัวลงมามองหน้า และตอนที่ล้วงมือเข้าไปใต้ซิงค์วางของ อยู่ๆก็มีคนจับมือแล้วดึงเข้าไป จนหัวหน้าตกใจ รีบสะบัดมือออก แล้วเดินออกจากบ้านทันที

    ส่วนคนขับรถเล่าว่า ตอนที่กำลังนั่งต่อสายยางซิงค์ล้างจาน หางตาเห็นเหมือนผู้ชาย นั่งมองอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ แล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ พอเดินไปดูก็ไม่พบใคร และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

28/05/2020

ประสบการณ์หลอนวินมอไซค์ เจอหญิงชุดดำโบกรถไปส่งที่วัดเสมียนฯ

เรื่องเล่าสยองขวัญจาก : THE SHOCK
เล่าโดย : คุณโดด

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแถวย่านรัชดาซอยเจ็ด เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณโดดทำอาชีพขับวินมอเตอร์ไซค์ วันนั้นแฟนของคุณโดดเลิกงานเที่ยงคืน คุณโดดต้องไปรับที่ถนนนราธิวาส จึงได้ขี่วินไปเรื่อยๆก่อน พอถึงเวลาเที่ยงคืน ก็ค่อยไปรับแฟน

    มีลูกค้าให้คุณโดดไปส่งที่แยกห้วยขวาง คุณโดดจึงขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่ง และผ่านหน้ารัชดาซอยเจ็ด ตรงนั้นค่อนข้างมืด เห็นผู้หญิงสองคน ใส่ชุดสีดำ นั่งยองๆ เหมือนกำลังกินอะไรอยู่ คุณโดดคิดว่าเป็นคนสติไม่ดี มานั่งกินอะไรในที่แบบนั้น

    คุณโดดก็ไปส่งลูกค้าถึงที่หมาย และได้รับลูกค้ามาอีกคน ต้องไปส่งที่ปากซอยรัชดาซอยเจ็ดพอดี พอไปส่งผู้โดยสารเสร็จ ก็เจอกับผู้หญิงสองคนที่พึ่งเจอเมื่อก่อนหน้านี้ ยืนอยู่ห่างจากรถของคุณโดดประมาณห้าเมตร

    คุณโดดเห็นผู้หญิงสองคนนั้นโบกแท็กซี่ พอแท็กซี่ขับมาจอดแล้วลดกระจกลง ผู้หญิงคนนึงก็บอกกับแท็กซี่ว่า “ไปวัดเสมียน” อยู่ๆแท็กซี่ก็เร่งเครื่องออกไปเลย คุณโดดก็เลยคิดว่าจะรับสองคนนี้ไปส่งดีกว่า ไปส่งที่วัดเสมียนคิดร้อยสี่สิบได้สบายๆ

    คุณโดดจิงถามผู้หญิงสองคนนั้นว่า “พี่ ไปมอไซค์มั้ย” ผู้หญิงสองคนนั้นก็หันมาหาคุณโดด แล้วยิ้มที่มุมปากหน่อยๆ อยู่ๆคุณโดดก็รู้สึกใจเต้นรัว และรู้สึกถึงความกลัวโดยไร้สาเหตุ

    แล้วคุณโดดก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่า เลยตรงนี้ไปประมาณสามสิบเมตร จะมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่แถวนั้น เดี๋ยวถ้ารับผู้โดยสารไป มันจะมีปัญหา คุณโดดจึงบอกว่า “ถ้าจะไป เดี๋ยวรอแปบนึงนะ เดี๋ยวไปเรียกวินแถวนี้ให้”

    คุณโดดขี่มอเตอร์ไซค์ไปประมาณสามสิบเมตร ก็เจอกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ แล้วคุณโดดก็พูดว่า “พี่ๆ ลูกค้าจะไปวัดเสมียนสองคน” แล้วคุณโดดก็หันไปชี้ตรงที่ผู้หญิงสองคนนั้นยืนอยู่ ปรากฏว่าตรงนั้นไม่มีใครอยู่เลย

    คุณโดดงงอยู่พักนึง เพราะสองฝั่งเป็นกำแพง มันไม่น่าจะมีที่ให้หลบ แล้วจากตรงนั้นมาถึงตรงที่วิวอยู่ ก็แค่สามสิบเมตร ใช้เวลาไม่กี่วินาที แล้วอยู่ๆ คุณโดดก็พึ่งนึกขึ้นได้ ถึงตอนที่เจอผู้หญิงสองคนนี้ครั้งแรก

    จึงลองไปดูตรงที่ผู้หญิงสองคนนั้นกำลังนั่งกินอะไรกันอยู่ ปรากฏว่าเจอเครื่องเซ่น วางอยู่สองถาด และของเซ่นต่างๆก็ยังอยู่ครบ คุณโดดจึงขี่รถกลับไปตรงจุดที่วินอยู่กัน และนั่งตั้งสติบนรถสักพัก

    มีวินแก่ๆคนนึงเดินมาบอกกับคุณโดดว่า “ดีแล้วที่เอ็งไม่รับ ถ้าเอ็งรับ มีหวังเอ็งได้ตายอยู่ตรงทางรถไฟแถววัดเสมียนนั่นหนะ” และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

25/05/2020

โคตรหักมุม! ห้องพักหลอนย่านหลักสี่ ที่หนีผีแต่ไปเจอผีอีกตัว

ประสบการณ์สยองขวัญ
#น้องไม่กลัวพี่เหรอ
เล่าโดย : คุณแคร์

    เป็นประสบการณ์ที่เพื่อนเล่าให้คุณแคร์ฟัง เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง แถวย่านหลักสี่ เมื่อแปดปีที่ผ่านมา เพื่อนของคุณแคร์ ชื่อโต้ คุณโต้กับคุณแคร์อายุเท่ากัน แต่คุณโต้จะมีลักษณะพิเศษก็คือ ผมจะหงอกมากกว่าคนรุ่นเดียวกัน

    ด้วยความสงสัย คุณแคร์ก็ถามว่า “โต้ ผมเนี่ย หงอกตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นเลยหรือเปล่า” คุณโต้ตอบกลับมาว่า “เมื่อก่อนไม่ได้เป็นอย่างงี้นะ แต่ว่ามันมีสาเหตุ” คุณโต้จึงเริ่มเล่าเรื่องให้คุณแคร์ฟังว่า

    เมื่อประมาณแปดปีที่ผ่านมา คุณโต้กับแฟนย้ายหอพักไปอยู่แถวหลักสี่ เป็นซอยตัน หอพักจะมีห้าชั้น สภาพโดยรอบค่อนข้างร่มรื่น คุณโต้พักอยู่ที่ชั้นห้า ห้องห้าศูนย์ห้า แต่ห้องนี้มีลักษณะที่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือภายในห้องจะมีประตูเชื่อมไปยังห้องห้าศูนย์หกที่อยู่ข้างๆ ที่เรียกกันว่าห้องคอนเนค

    หลังจากที่จัดของเสร็จเรียบร้อยแล้ว แฟนก็ขอตัวกลับบ้านที่ต่างจังหวัด คุณโต้จึงไปส่งแฟนขึ้นรถ แล้วกลับมานอนที่ห้อง สักพักได้ยินเสียงเคาะประตูทางเชื่อมไปยังห้องห้าศูนย์หก “ก๊อกๆๆๆ”

    คุณโต้ตกใจ คิดว่าใครมาเคาะประตูห้องดึกๆดื่นๆ จึงลุกขึ้นไปเปิดดู ก็เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนยิ้มให้ ผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นว่า “สวัสดีครับ น้องย้ายมาอยู่ใหม่เหรอ ยินดีรู้จักนะ พี่ชื่อยุท” คุณโต้จึงแนะนำตัวกลับไป

    คุณยุทก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อย จนคุณโต้มาสะดุดคำถามที่คุณยุทยิงมาว่า “น้อง น้องกลัวผีหรือเปล่า” คุณโต้นึกในใจว่าคุณยุทแกจะมาไม้ไหน จึงตอบไปว่า “ยังไม่เคยเจอครับ แต่ก็กลัวๆอยู่เหมือนกัน พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงถามแบบนี้”

    พี่ยุทตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก พี่ถามไปอย่างงั้นเอง ถ้าน้องมีอะไรก็เคาะประตูเรียกพี่ได้เสมอนะ ส่วนมากพี่ก็จะอยู่ในห้องนี่แหละ” คุณโต้ก็ตอบขอบคุณกลับไป ถือซะว่าได้เพื่อนข้างห้อง

    คืนนั้นคุณโต้นอนไม่ค่อยหลับ อาจจะเป็นเพราะว่าแปลกที่แปลกทาง จนเวลาประมาณตีสอง ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรสักอย่างอยู่ใต้เตียง เป็นเตียงไม้ประกอบ ลักษณะเสียงเหมือนมีหนูวิ่งอยู่ใต้เตียง “ตุ๊บๆๆๆๆ”

    คุณโต้นอนฟังนิ่งๆ คิดหาวิธีที่จะทำให้หนูมันออกมาจากใต้เตียง ในขณะที่กำลังนอนฟัง เสียงมันเริ่มดังขึ้น จนเหมือนไม่ใช่เสียงหนูวิ่ง “ปึ้งๆๆๆ” มันเหมือนมีคนเอามือตบที่ปลายเตียง

    จากเสียงตบ เริ่มกลายเป็นเสียงเล็บที่ขูดไปกับฝาไม้ของเตียง “ครืดๆๆๆๆ” คุณโต้นอนฟังอยู่นาน เริ่มแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เสียงของหนูแน่ จึงลุกขึ้นนั่ง ในจังหวะนั้นเอง มีเสียงคนเอามือตบที่ปลายเตียงอีกครั้ง “ปึ้ง!!” จนฝาเตียงด้านข้าง ดีดเปิดออกเอง ทำให้เห็นเป็นช่องดำๆใต้เตียง

    คุณโต้สะดุ้ง ดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง พรางคิดว่าไม้มันดีดออกมาได้ยังไง จึงเดินไปเปิดไฟ แล้วหยิบไฟฉายมาส่องดูที่ใต้เตียง เพื่อดูให้แน่ใจว่ามันมีอะไรอยู่ใต้เตียง แต่ก็พบเพียงแค่ฝุ่นผงกับหยากไย่

    จึงสรุปเอาเองว่า เตียงมันคงจะเก่า เวลาทิ้งตัวนอนลงไป ทำให้น็อตหรือหมุดยึดมันคลายตัว คุณโต้ดันแผ่นไม้ที่อ้าออกกลับเข้าที่ ได้ยินเสียงพี่ยุทเคาะที่ประตูทางเชื่อม พร้อมกับพูดว่า “น้อง พี่ได้ยินเสียงทุบอะไรในห้องน้องหลายรอบแล้ว มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย”

    คุณโต้จึงเดินไปเปิดประตู แล้วบอกว่า “ไม่มีอะไรครับพี่ เตียงมันลั่น” พี่ยุทพูดเหมือนกับแกล้งคุณโต้ว่า “เหรอ พี่นึกว่าน้องโดนซะแล้ว” คุณโต้ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คิดว่าพี่ยุทคนนี้ ต้องเป็นคนที่นิสัยเสียแน่ๆ ถึงชอบมาอำเรื่องแบบนี้

    คืนนั้นคุณโต้นั่งดูทีวีทั้งคืน เพราะหลับไม่ลง อาศัยนอนช่วงกลางวัน จนคืนต่อมา ก็ยังนอนไม่หลับเหมือนเดิม รู้สึกระแวงไปทั่ว กลัวว่านอนไปแล้วจะได้ยินเสียงอะไรอีก จนเวลาย่างเข้าตีสอง

    เสียงใต้เตียงก็เริ่มดังขึ้นอีก เริ่มจากเสียง “ตุ๊บๆๆๆ” ดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคืนแรกไม่มีผิด คุณโต้เริ่มคิดในใจแล้วว่า แบบนี้มันไม่ปกติ ต้องมีอะไรสักอย่าง ควรจะทำยังไงดี หรือจะเดินไปเคาะห้องข้างๆ ให้พี่ยุทมานั่งคุยเป็นเพื่อนดีหรือเปล่า

    ในขณะที่กำลังนั่งคิดอยู่ แผ่นไม้ข้างเตียงแผ่นเดิม มันดีดออกมาอีกครั้ง “ปึ้ง!!” ถึงคุณโต้จะสะดุ้ง แต่ก็ยังคงนอนนิ่ง ดูสถานการณ์ต่อว่า ถ้าเจ้าแผ่นไม้มันดีดเปิดออกมาแล้ว เสียงต่างๆที่อยู่ใต้เตียงมันจะหายไปหรือเปล่า

    ถ้าเสียงทุกอย่างหายไป งั้นแสดงว่ามันเป็นเพราะเตียง คุณโต้นอนมองไปตรงมุมเตียง ที่แผ่นไม้มันดีดตัวเปิดออก ปรากฏว่าคุณโต้เห็นมือยื่นออกมาจากช่องโหว่ที่ไม้มันดีดตัวเปิดออก

    ลักษณะเป็นมือขาวซีดเล็กๆ โผล่ออกมาขึ้นแขน คุณโต้มองด้วยตาที่เบิกโพลง แขนสีซีดนั่นค่อยๆงอข้อศอก แล้วตบลงบนเตียงนอน “ตุ๊บๆๆ” ลักษณะเหมือนกำลังหาของอะไรสักอย่างบนเตียง

    จนเฉียดปลายเท้าของคุณโต้เพียงเล็กน้อย คุณโต้อยากจะหุบขากลับเข้ามา แต่ความกลับมีมากเกินไป จนทำให้ตัวชา ได้แต่นอนตัวแข็ง จ้องสิ่งที่น่าขนลุกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

    มือเล็กๆซีดๆนั่นก็ค่อยๆหดกลับเข้าไป แต่มีอีกมือหนึ่ง เป็นมือข้างขวา ค่อยๆยื่นขึ้นมาจากด้านขวาของเตียง แล้วตบลงบนที่นอน เหมือนกับพยายามจะคลำหาอะไรสักอย่าง “ตึบๆๆ” จากที่ยื่นออกมาทีละข้าง แต่ตอนนี้มันกลับยื่นออกมาพร้อมกันสองข้าง ทั้งซ้ายและขวา ค่อยๆตบลงบนที่นอนเบาๆ “ตึบๆๆ”

    คุณโต้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนอนตัวสั่นอยู่กลางเตียง ไม่รู้ว่าตัวเองสวดมนต์ไปแล้วกี่จบ สักพักใหญ่ๆ มือทั้งสองข้างก็ค่อยๆหดกลับเข้าไปใต้เตียง คุณโต่คิดในใจว่า ต้องรีบวิ่งไปเคาะห้องพี่ยุทให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นต้องแย่แน่ๆ

    แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว คุณโต้ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง อยู่ข้างๆเตียง คล้ายๆเสียงเหมือนกับคนลากของอะไรสักอย่าง ด้วยความสงสัย คุณโต้ค่อยๆผงกหัวขึ้นช้าๆ เพื่อไม่ให้อะไรก็ตามที่อยู่ตรงนั้นรู้ตัว

    ปรากฏว่าเป็นร่างของผู้หญิง ไม่มีหัว และน่าจะไม่มีขา ใช้มือลากลำตัวอยู่ข้างๆเตียง แล้วใช้มือป่ายขึ้นมาบนขอบเตียง ค่อยๆดึงลากลำตัวไปเรื่อยๆ “พรืดดดด..พรืดดดด..พรืดดดด” เหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างในห้อง

    คุณโต้คิดว่านาทีนี้คือที่สุดแล้ว นอนตัวเกร็งจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง กระโดดทีเดียวไปถึงหน้าประตูห้องข้างๆ ตุบประตูเรียกคุณยุทด้วยอาการลนลาน “พี่ๆๆๆ”

    สักพักได้ยินเสียงอีกฝั่งหนึ่งตะโกนมาว่า “เออ อะไรน้อง อะไร” แล้วรีบเปิดประตูพรวดเข้ามา คุณโต้พูดด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “พี่ ผีหลอก ผมโดนพี่หลอก” พี่ยุทพูดแทรกขึ้นว่า “น้อง ใจเย็นๆ น้องฝันหรือเปล่า”

    คุณโต้ตอบน้ำเสียงสั่นๆว่า “ไม่ได้ฝันพี่ ผมยังไม่ได้นอนเลย เตียงมันเปิดออกมาก่อน” พี่ยุทแกพูดด้วยเสียงนิ่งๆว่า “คนที่มาเช่าอยู่ก่อนน้อง เค้าก็เจอนะ แต่ไม่เจอหนักเหมือนน้อง”

    ระหว่างนั้น คุณโต้หันกลับไปมองที่เตียง ผู้หญิงที่คลานอยู่รอบๆห้อง ตอนนี้หายไปแล้ว คุณยุทพูดออกมาคำนึงว่า “น้องกลัวผู้หญิงคนนั้นเหรอ” คุณโต้ตอบในขณะที่กำลังสอดส่องสายตาไปรอบๆห้องของตัวเองว่า “กลัวสิครับพี่”

    คุณยุทถามด้วยเสียงเย็นๆว่า “แล้วน้องไม่กลัวพี่เหรอ” คุณโต้หันกลับมาทันที ปรากฏว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงหน้าของคุณโต้ มีเพียงแค่ความมืดสลัวๆ คุณโต้เพ่งมองเข้าไปในห้องของคุณยุท

    เป็นห้องมืดๆที่ว่างเปล่า แสงไฟจากด้านนอกสาดเข้ามาทางระเบียง ทำให้มองเห็นว่าเตียงไม่ได้ถูกคลุมผ้าไว้ เป็นแค่ฝูกเปล่าๆ ประตูตู้เสื้อผ้าเปิดทิ้งไว้ทั้งสองบาน เพื่อระบายอากาศ มีกลิ่นละอองฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่ทั่วห้อง

    ในขณะนั้น คุณโต้ลืมเรื่องของผู้หญิงที่คลานอยู่รอบเตียงทันที อึ้งอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ในหัวตีกันมั่วซั่ว คิดว่าคุณยุทหายไปไหน ความกลัวแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย เริ่มจุกที่ท้องน้อย จนทำให้คุณโต้เข่าอ่อน ทรุดตัวนั่งลงคาประตู

    พยายามมองเข้าไปในห้องของคุณยุท เผื่อว่าเรื่องนี้มันจะเป็นแค่การล้อเล่น จังหวะนั้น สายตาเหลือบไปมองที่โต๊ะเครื่องแป้ง ปรากฏว่าเห็นหน้าของคุณยุท โผล่ออกมาจากในกระจก เปล่งเสียงแหบๆออกมาว่า “น้องไม่กลัวพี่เหรอ”

    เป็นความกลัวที่สุดจะบรรยายออกมาได้ คุณโต้ตะเกียกตะกายมาเปิดประตูห้อง แล้ววิ่งหนีลงบันไดแบบไม่คิดชีวิต มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่ตัวเองกำลังนั่งอยู่หน้าเซเว่น หน้าปากซอย นั่งตัวสั่นจนถึงเช้า

    วันรุ่งขึ้น แฟนก็กลับมา คุณโต้จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และขอย้ายออกวันนั้นเลย ก่อนที่จะออก คุณโต้ได้เข้าไปถามผู้ดูแลหอพักแห่งนี้ แต่แน่นอนว่าผู้ดูแลไม่ยอมบอก บอกแค่ว่า “ไม่มีอะไร”

    หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์ ด้วยความที่คาใจ คุณโต้จึงกลับไปถามคนที่อยู่แถวนั้น เป็นแม่ค้าที่ขายของอยู่ในซอย แม่ค้าบอกว่า ผู้หญิงคนนั้น อาศัยอยู่ในห้องห้าศูนย์ห้ากับสามีชาวจีน

    แต่ผู้หญิงแอบเล่นชู้กับผู้ชายห้องข้างๆ นั่นก็คือคุณยุท จนสามีชาวจีนจับได้ จึงฆ่าทั้งคู่ แล้วตัดหัวกับขาของผู้หญิงตัวเอง ทยอยเอาออกไปทิ้ง จนเหลือส่วนลำตัว แต่โดนจับได้สะก่อน

    เหตุการณ์นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณโต้ …

Admin

24/05/2020

เสาตกน้ำมันเลยเอาพระมาตั้ง ผีด่า…ผู้หญิงจะอยู่กับพระได้ไง!

#เสาตกน้ำมัน
เรื่องเล่าสยองขวัญจาก : THE SHOCK
เล่าโดย : คุณอาร์ต

    เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณน้าของคุณอาร์ต เมื่อประมาณเจ็ดปีที่แล้ว ชื่อว่าคุณแอ๋ว ทำอาชีพครู อยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร คุณแอ๋วจะเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีเลย แต่จะเจอสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำ

    ตอนที่คุณแอ๋ว ได้ไปบรรจุที่กำแพงเพชรใหม่ๆ ไปกับลูกชายคนนึง และได้ไปหาบ้านเช่าอยู่ จนไปเจอบ้านไม้อยู่หลังนึง ซึ่งราคาถูกมาก ก็เลยตัดสินใจเช่า และเข้าไปทำความสะอาด

    ในระหว่างที่เข้าอยู่ จะเริ่มเห็นอะไรแปลกๆ เห็นเป็นคนเดินไปเดินมาภายในบ้าน แต่คุณแอ๋วก็ไม่ได้สนใจอะไร จนพักหลังๆ ก็เริ่มมาเข้าฝัน เป็นผู้หญิงผมยาว ห่มสไบสีแดง และที่น่าแปลกก็คือ ลูกของคุณแอ๋วก็เห็นผู้หญิงคนนี้ในฝันเหมือนกัน

    จนหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ มีการมากระซิบข้างๆหู คุณแอ๋วก็เริ่มจะรู้สึกไม่ดี และเริ่มสังเกตว่า ที่กลางบ้าน จะมีเสาอยู่ต้นนึง คนอยู่เก่าได้เอาทองคำเปลวไปติดไว้ทั่วเสา และมีน้ำมันสีดำไหลออกมา

    คุณแอ๋วก็ฉุดคิดขึ้นมาในใจ เพราะมักจะเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาตรงจุดนี้บ่อยที่สุด และเวลาที่เพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่ค่อยเห็นอะไร แต่ถ้าเป็นผู้ชาย เค้าจะออกมาให้เห็นแบบจะๆ จนเพื่อนต้องขอตัวกลับบ้าน

    คุณแอ๋วอยากลองพิสูจน์ดูอย่างจริงๆจังๆ จึงได้ชวนเพื่อนทั้งชายหญิง มาทำอาหารทานกันที่บ้าน แล้วนอนที่บ้านหลังนี้เลย ผู้หญิงจะนอนกันในห้อง ส่วนผู้ชายจะนอนกันที่กลางบ้าน ข้างๆเสาร์ตกน้ำมัน

    ปรากฏว่าในคืนนั้น ช่วงเวลาประมาณตีสี่ เพื่อนผู้ชายบอกว่า มีคนมากระซิบข้างหูว่า “ตื่นเถอะ นกร้องแล้ว” เค้าก็ตกใจแล้วลืมตาขึ้นมา เห็นผู้หญิงผมยาวห่มสไบ ยื่นหน้ามาอยู่ข้างๆหู เพื่อนตกใจมาก รีบลุกขึ้นมาเปิดไฟ แล้วรีบวิ่งไปหาคุณแอ๋วในห้อง แล้วเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

    จนเพื่อนของคุณแอ๋วไม่กล้าอยู่ต่อ จึงได้ขอกันกลับบ้านในเวลานั้นเลย คุณแอ๋วจึงได้แน่ใจ ว่าที่เจอมาตลอดไม่ได้คิดไปเอง ก็เลยหาทางที่จะอยู่กันได้ โดยที่จะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน

    คุณแอ๋วจึงได้เอาดอกไม้และธูปเทียนมาไหว้ พร้อมทั้งเอาหิ้งพระและพระพุทธรูป มาห้อยตรงเสาตกน้ำมัน แล้วในคืนนั้น ผู้หญิงห่มสไบก็ได้มาเข้าฝันคุณแอ๋ว แล้วตะโกนใส่ว่า “ผู้หญิงกับพระ จะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”

    เช้าวันต่อมา คุณแอ๋วจึงรีบไปเอาหิ้งพระลงมาจากเสา หลังจากนั้น ก็จะไม่ค่อยออกมาให้เห็น แต่จะมากระซิบข้างหู เป็นบางครั้ง

    ครั้งนึง ประตูหน้าบ้าน ซึ่งเป็นไม้แกะสลัก ได้พังแล้วหายไปบานนึง คุณแอ๋วจึงพูดออกมาลอยๆว่า “จะไปหามาจากไหนได้บ้าง ประตูแบบนี้ มาบอกหน่อยสิ” คืนนั้นผู้หญิงห่มสไบจึงมาบอกในฝัน ว่าให้ขับรถไปซื้อที่โรงไม้แห่งหนึ่งในหมู่บ้านนี้

    ตอนเช้า คุณแอ๋วจึงลองขับรถไปดู ปรากฏว่าไปเจอประตูไม้แบบเดียวกันที่ร้านแห่งนั้นจริงๆ แต่คุณแอ๋วก็ยังไม่เชื่อว่าผีมีจริง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

23/05/2020
1 2 3 4