เรื่องผีเดอะช็อค

เรื่องผี the shock | สัมภเวสีตามเรียกชื่อ ถ้าขานรับ=ไม่รอด

เคยได้ยินมั้ย? หากได้ยินเสียงเรียกชื่อกลางคืน…อย่าขานรับ นี่คือ เรื่องผี the shock ที่ยืนยันถึงคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี! เรื่องราวของหลวงพี่ท่านนึง ที่เคยมีอดีตอันผิดพลาดจนนำมาซึ่งการตัดสินใจบวชเพื่อบำเพ็ญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร จากชีวิตวัยรุ่นที่เคยเกเรจนถูกคำสาปตามติดด้วย “บางสิ่งบางอย่าง” ที่ไม่สามารถอธิบายได้ เสียงสยดสยองที่ดังก้องอยู่ในหูคอยเรียกชื่อของท่านตลอดเวลา ราวกับจะชักชวนให้ยอมรับในบาปที่เคยทำไว้บนโลกใบนี้

เรื่องผี the shock จดหมายจากทางบ้านเรื่องนี้ มีอยู่ว่า…

คนเฒ่าคนแก่มักเชื่อและสอนลูกสอนหลานว่า “เวลากลางค่ำกลางคืน หากได้ยินเสียงแปลกๆหรือเสียงร้องเรียก ห้ามทักตอบเป็นอันขาด” สำหรับมุมมองของคนที่ไม่เชื่อเรื่องผี ก็อาจมองว่าเป็นกุศลโลบาย ไม่ให้เด็กๆเอะอะใช้เสียงในยามค่ำคืนให้หนวกหูขาวบ้าน หากแต่ในอีกมุมนึงก็เชื่อว่าเพราะมันเป็นเสียงเรียกของ “วิญญาณ” ดังที่ได้เกิดขึ้นกับหลวงพี่รูปหนึ่งซึ่งได้เล่าผ่านเมล์ในรายการดัง เรื่องผี เดอะช็อค สตอรี่  ในชื่อเรื่อง “หาตัวไม่เจอ” จาก หลวงพี่เอ โดยมีใจความดังนี้…

ในสมัยเมื่อ 8 ปีที่แล้ว หลวงพี่ท่านนี้ยังไม่ได้บวชเป็นพระ เคยเป็นนักเรียนที่พาล นิสัยแย่คนนึง ชอบทำตัวเป็นหัวโจก รวมกลุ่มกันเป็นอันธพาลมีเรื่องและไถตังค์กับคนอื่นเขาไปทั่ว ในตอนนั้นหลวงพี่ถูกเรียกชื่อจากเพื่อนๆในกลุ่มว่า “เอใหญ่” เนื่องจากมีเพื่อนที่ชื่อเอเหมือนกัน ดังนั้นจึงเรียกเป็นเอเล็ก-เอใหญ่ โดนมีเพื่อนในกลุ่มอีกคนคือตั้ม

ในวันนั้นเป็นวันประกาศผลสอบจบการศึกษา นักเรียนและผู้ปกครองจะไปชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นเป็น “ป๊อบ” นักเรียนร่วมห้องที่เอใหญ่และกลุ่มเพื่อนมักขู่รีดไถตังค์อยู่เสมอ หากแค่คราวนี้มันเริ่มจากการที่แม่ของป๊อบ ซึ่งในวันนั้นมาเป็นผู้ปกครอง เธอแต่งตัวดูแปลกๆคล้ายกับพวกไหว้เจ้าเข้าทรง ขณะเดินผ่านหน้าเอใหญ่ แม่ของป๊อบก็ชี้หน้าเอแล้วพูดขึ้นว่า…

“ระวังตัวไว้เถอะเอ็ง จะอยู่ได้อีกไม่นาน มีคนเขามารอแล้ว”

ป้าของเอที่ไปในฐานะผู้ปกครองได้ยินก็ตกใจ ในขณะที่เอฉุนเฉียวอย่างเดือดดาล “ปัญญาอ่อน” แต่เอก็ไม่ได้สนใจจะอยู่โต้เถียงมากไปกว่านั้น

ความสยองจริงๆของ เรื่องผี the shock เรื่องนี้พึ่งจะเริ่มต้น! เมื่อหลังจากวันนั้นไปราวสองอาทิตย์ ปิดเทอมใหญ่ประจำภาคเรียนก็มาถึง ในขณะที่เอนอนเล่นอยู่บ้าน เพื่อนที่ชื่อตั้มและเอเล็กก็โทรมาชวนไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนร่วมห้องอีกราวสิบกว่าคน เอตบปากรับคำ จนกระทั่งวันนั้นมาถึง พวกเขาเหมารถกันไปเที่ยวระยอง โดยได้ที่พักเป็นบ้านบังกะโลสองชั้น ซึ่งไม่ไกลจากชายหาดนัก

หลังจากเล่นน้ำทะเลที่หาดจนเริ่มมืด ทั้งหมดจึงชวนกันไปกินข้าวเย็น โดยจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ที่พักกันก่อน ตอนนั้ราวทุ่มกว่าๆ ขณะที่เอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ข้างบน ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อแว่วมา

“เอ…เอ…”

เอคิดในใจโดยไม่ได้ขานตอบเพียงว่า “จะเรียกทำไมนักนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” โดยคิดว่าเป็นเพื่อนคนนึงมาตามมาเร่งให้รีบลงมา แต่ที่แปลกคือพอให้หลังไปแผลบเดียว เอก็ลงมาแต่กลับไม่เจอใครเลย เพื่อนๆไปรออยู่ข้างนอกกันหมด ตอนนั้นในบ้านเหลือแต่เอเพียงคนเดียว…

หลังจากอยู่เที่ยวกันจนดึกดื่น ผองเพื่อนก็กลับมานอนกัน โดยที่เอนอนอยู่ที่ชั้นบนกับเพื่อนอีกหลายคน แต่ในคืนนั้นเอง ขณะที่ทุกคนหลับไปแล้ว จู่ๆเอก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อดังแว่วมาอีก

“เอ…เอ….เอ…..”

มันเป็นเสียงเดิมกับที่ได้ยินตอนหัวค่ำ…เป็นเสียงของผู้ชาย ที่ดูเหมือนจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน ถึงตอนนี้เอเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เอตัดสินใจนอนฟังต่อไปเงียบๆ โดยไม่ขานรับหรือแสดงท่าทีจะค้นหาต้นตอของเสียง แต่เสียงเรียกก็ยังดังมาเป็นระยะไม่หยุด จนเอต้องล้วงพระออกมากำแล้วท่องบทสวด จนกระทั่งสักพักเสียงเรียกก็หยุดหายไป เอจึงลุกขึ้นมามองหาต้นเสียงท่ามกลางแสงสลัวในความมืด เขาความตามองหาไปรอบๆห้อง ในที่สุดก็ไปเจอสิ่งที่ทำให้ช็อคสุดขีด! มีคนร่างใหญ่โตที่ในมือถือหอดแหลมสองคน กำลังยืนคุยอะไรบ้างอย่างกันที่มุมห้องอีกฝั่ง! ฟังดูไม่เป็นภาษาคน เอตกใจสุดขีดรีบมุดตัวเข้าผ้าห่มไปนอนแทรกกับเพื่อนๆ คลุมโปงแกล้งหลับไม่กระดุกกระดิก กลัวผีก็กลัว แต่ง่วงก็ง่วง จนกระทั่งหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

จุดพลิกผันของ เรื่องเล่าผี เรื่องนี้ เริ่มขึ้นที่เช้าวันถัดมา… เมื่อเอยังคงได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองอยู่เป็นระยะ มันทำให้เจากลัวแทบเป็นบ้า ในวันนั้นเองเพื่อนๆก็อดแปลกใจกับท่าทีของเอใหญ่ ที่ปกติมักจะโหวกเหวกโหวงเหวง วันนี้กลับดูสงบเสงี่ยมอย่างเหลือเชื่อ แต่ยิ่งกว่านั้นคือเอเล็กก็ดูเซื่องซึมไม่แพ้กัน ในช่วงเย็นกลุ่มเพื่อนๆก็ยังไปเล่นน้ำกันที่ชายหาด เอเล็กลงน้ำไปกับเพื่อนๆ ขณะที่มีเพียงเอใหญ่ที่ยืนอยู่ที่หาด เขายังคงต่อสู้กับเสียงขานเรียกชื่อ “เอ…เอ…” ซึ่งดังขึ้นอีกแล้ว จนในที่สุดเขาก็เริ่มขยับตัว เอใหญ่วิ่งลงตามไปในน้ำแล้วตะโกนเรียกดังก้อง

“ไอ้เอๆ…มีคนเรียกเมิง มีคนกำลังเรียกหาเมิงอยู่…”

“ใครวะ?”

เอเล็กหันกลับมาขานรับด้วยความสงสัย แต่ทันทีที่สิ้นเสียงขานรับ เสียงที่ดังในหูของเอใหญ่ก็หยุดลงทันที ขณะเดียวกับที่ร่างของเอเล็กผลุบหายลงไปในผิวน้ำ คล้ายกับถูกดึงรั้งจากใต้น้ำ แล้วหายไปกับเกลียวคลื่นลมของทะเล เอใหญ่เดินวนมองหาอยู่สักพักก็ไม่พบ จึงตะโกนบอกกับเพื่อนๆคนอื่นให้ช่วยกันหา แต่ก็ไม่พบง่ายๆ ในขณะที่แถวนั้นก็ร้างผู้คน สุดท้ายเลยตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือ ตรมเจ้าหน้าที่มาช่วยกันงมหาอยู่กว่า สองชั่วโมง สุดท้ายก็พบกับร่างของเอที่บัดนี้ได้เย็นชืด ไม่หายใจเสียแล้ว

บทสรุปเรื่องราวชวนสยองของ เรื่องผี เดอะช็อค สตอรี่…

สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ เอใหญ่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครในหมู่เพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นได้ฟัง เขาคิดเอาว่า…บางทีเสียงนั่นอาจต้องการตัวเขา แต่ “เข้าใจผิด” เอาตัวคนที่ชื่อเอเหมือนกันไปแทน อย่างไรก็ตามตั้วแต่วันที่มีงานฌาปนกิจของเอเล็ก เอใหญ่ก็ได้บวชอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และยังคงบวชเรียนสร้างกุศลต่อเนื่องในผ้าเหลืองจวบจนทุกวันนี้…และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของ เรื่องผี the shock เรื่องนี้

ขอบคุณที่มา เรื่องเล่าผี : https://pantip.com/topic/36156491

อ่านเรื่องผี เดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

20/10/2019

เรื่องผี Pantip | โฮสเทลหลอนข้างสุสาน จ.กาญจนบุรี

สมาชิกพันทิปหมายเลข 3009739 ได้แชร์​ประสบการณ์​หลอน เรื่องผี Pantip ซึ่งประสบพบมากับตัวเองไว้ว่า “โดนผีอำ” ที่โฮสเทลแห่งหนึ่งในกาญจนบุรี โดยในครั้งนั้นตนจะไปร่วมงานบุญกฐินที่วัดป่าในอำเภอสังขละ แต่ด้วยว่าผิดแผนจากกำหนดการที่วางไว้จนต้องจำใจหาที่พักเฉพาะกิจหนึ่งคืน และในคืนนั้นเองที่ซึ่งควรได้นอนหลับพักผ่อนเอาแรง กลับกลายเป็นคืนที่ชวนหลอนที่สุดในชีวิต!

หนุ่มดวงชงเล่า เรื่องผี Pantip สุดหลอนนี้ไว้ว่า…

เรื่องนี้พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เพียงอาทิตย์เดียว! ด้วยความที่ภาพจำยังชัดเจน จึงได้ตัดสินใจมา เล่าเรื่องผี ลงพันทิป ในช่วงวันที่ 12-14 ต.ต.ที่ผ่านมานี้ ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานบุญกฐินเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของพระอาจารย์ที่เคารพนับถือในสำนักป่าที่อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี โดยวางแผนไว้ว่าตนจะไปขึ้นรถตู้ที่หมอชิตใหม่เพื่อเดินทางไป และคงถึงราวเย็นๆของวันที่ 12 แต่แล้วเมื่อวันเดินทางมาถึง ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงหยุดยาว รถตู้ถูกจองแน่นทุกที่นั่ง สุดท้ายผมไปได้คิวออกจากหมอชิตก็เที่ยว 4 โมงเย็น เรียกว่ากว่าจะถึงจริงๆคงมืดค่ำไปแล้วเรียบร้อย

แน่นอนว่าเมื่อแผนมันผิดเพี้ยนไปหมด จากเดิมที่กะว่าจะลงบขส.กาญจนบุรีแล้วต่อรถไปสำนักป่า แต่ป่านนั้นรถคงหมดเรียบร้อยไปแล้ว จึงได้คว้าโทรศัพท์คู่ใจออกมาสไลด์หาที่พัก แต่แล้วก็ต้อวพบกับความจริงที่ว่า “นั่นเป็นวันหยุดยาว” การจะได้ที่พักใกล้กับบขส.ในเวลากระชั้นชิดก็หาได้ยากแล้ว สุดท้ายก็ไปได้ที่พักในบริเวณใกล้เคียงที่ห่างออกไปหน่อย ซึ่งเป็นสุสานดอนรัก ใช่แล้ว ถึงที่พักที่ผมหาได้นั้นอยู่ใกล้ชิดกับสุสานขนาดนั้นผมก็ไม่ได้กังวลอะไร ออกจะรู้สึกโล่งใจด้วยซ้ำ ในที่สุดก็ไม่ต้องนอนข้างทาง!

กว่าจะถึงกาญจนบุรีก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มแล้ว เลยต้องต่อมอเตอร์ไซค์วินเพื่อเข้าไปที่พักที่จองไว้ผ่านแอพในราคาสามร้อยบาท โดยผมเลือกเป็นโฮสเทลเตียง 2 ชั้น เรียกว่าอน่างน้อยก็มีเพื่อนล่ะนะ ปรากฏว่าในซอยนั้นดีกว่าที่คิดไว้เยอะ แม้จะอยู่ติดสุสานแต่เต็มไปด้วยร้านั่งดื่มและบาร์มากมาย เรียกว่าที่นั่งผ่านสุสานมาเมื้อกี้คือหายกลัวไปเป็นปลิดทิ้ง แถมที่พกก็ยังสวยดูดีเกินคาด หลังจากได้หมายเลขห้องและเตียงตอนเช็คอิน ก็รีบจะไปนอนทันทีด้วยความเพลีย ห้องของผมอยู่ชั้นแรกตรงข้ามกับบันไดทางขึ้นไปชั้นสอง เปิดผัวะออกมาก็ถึงกับหน้าชาไปเลย เพราะในนั้นไม่เจอใครสักคน จนต้องเดินออกไปถามที่เช็คอินอีกที

“ใช่ครับ คืนนี้มีน้องเช็คอินเข้าพักคนเดียว”

สรุปว่ามีผมคนเดียวในห้องรวมคืนนี้จริงๆ! แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมตัดสินใจออกไปเดินเล่นแถวนั้นราวชั่วโมงจึงกลับมา โดยที่ไม่นึกไม่ฝันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะนำมาสู่การ เล่าเรื่องผี ในกระทู้นี้… เนื่องจากผมนอนคนเดียวเลยเปิดไฟห้องนอนซะเลย แล้วปิดไฟหัวอตียงและรูดม่านเอา นอนหปได้สักพักก็ได้ยินเสียงคล้ายเสียงคนคุยกัน ผมครึ่งหลับครึ่งตื่นด้วยความรำคาญใจ พรางนึกว่าห้องข้างๆคุยอะไรกันหนักหนา นี่มันก็ดึกมากแล้ว แต่พอลองสังเกตุดูดีๆเสียงนั่นไม่ได้ทะลุกำแพงมา แต่มันมาจาก “ร่างเงา” ร่างใหญ่ที่กำลังนั่งทับอกเราอยู่ต่างหาก!

แสงสลัวในห้องกระทบร่างใครบางคนที่ดูสูงใหญ่ โดยแสงทะลุผ่านเข้ามาเป็นเงาทอดอยู่บนม่าน ผมสะดุ้งตกใจอย่างหนัก ห้องนี้มันไม่ควรมีใครอื่นแล้วนะ พรางคิดหาเหตุผลไปเหงื่อก็เริ่มแตก มือไม้สั่นไปหมด ตอนนั้นเริ่มคิดได้ถึงจุดที่ว่า เราต้องสวดอะไรสักอย่างออกไปแล้ว เราต้องท่อง!

“พุทธธังอาราธนัง ธรรมมังอาราธนัง สังคังอาราธนัง”

สวดเสร็จลองเปิดไฟที่หัวเตียงดู ปรากฎว่าไม่เจออะไร นี่มันเรื่องอะไรกัน ใช่ผีรึเปล่า? ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ ขยับตัวก็ลำบาก พลางเริ่มสวดแผ่เมตตาต่อ แล้วเอามือควานค้นหาของที่พอจะช่วยได้ในเวลาแบบนั้นก็ไปเจอผ้ายันต์ในกระเป๋าผืนหนึ่ง เพราะเกิดแผ่ไปแล้วเขาไม่รับก็ซวยนะสิ!

สวดจบ สาธุๆ ก็มีเสียงเฮโลดีใจของผู้ชายดัง เฮๆๆๆ เหมือนกับดีอกดีใจรอดดังเข้ามาอีก พยายามคิดให้ได้ส่าเป็นเสียงคน เรียกความกล้าเฮือกสุดท้ายหยิบข้าวของแล้ววิ่งออกจากห้องไปที่ล็อบบี้ทันที ในใจคือไม่อยู่ที่นี่แล้ว เลยออกเดินไปเรื่อยๆ เจอที่พัก 3 ที่ก็เต็มมันทุกที่ ตอนนั้นตี 2 แล้วสุดท้ายก็ยอมจำนน ต้องกลับมาที่เดิมแต่ไม่เข้าไปนอนในห้องกับผีแล้วนะ งั้นก็นอนมันหน้าล็อบบี้นี่แหละ ที่ล็อบบี้แม้ไม่มีใคร(เจ้าของจะเข้ามาตอนมีแขกโทรไปเรียกมาเช็คอินเท่านั้น) อย่างน้อยก็ยังมีกล้องวงรปิดเป็นเพื่อน ซ้ำยังมีโซฟาและพัดลมให้นอนได้ นอนจนกระทั่ง 7 โมงเช้าเจอแขกคนนึงออกมาทานอาหารเช้าในก้องถัดจากล็อบบี้ ทีแรกลุงแกนึกว่าเป็นพนักงาน ถามไปถามมาแกก็สงสัยว่าทำไมเรามานอนตรงนี้ ครั้นจะเล่าไปก็กลัวจะหาว่าบ้า เลยแกล้งบอกไปว่าเมื่อคืนเมาแล้วเผลออ้วกใส่ที่นอน จนกระมั่งฟ้าสว่างแล้วถึงกล้ากลับเข้าไปเอาของที่เหลือในห้อง เนื่องจากว่าในห้องมีห้องน้ำแยกในห้อง ปรากฎว่าในห้องตรงหัวเตียงผมนี่หันเข้ากับส้วมพอดิบพอดี ฮวงจุ้ยไม่น่านอนเอาซะเลย

ตอนจบของ กระทู้ผีพันทิป จากประสบการณ์จริง…

สรุปสุดท้ายผมก็ไม่ได้เล่าเรื่องหรือถามกับใครในนั้น กระทั้งได้มาเรียบเรียงเล่าเป็น เรื่องผี Pantip เพียงแต่ได้ยินว่ามีแขกผู้หญิงคนนึงบ่นว่าตอนตีสอง อยู่ๆแอร์ในห้องก็ดับ ซึ่งมันเป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่ผมเจอเงาประหลาดพอดิบพอดี สุดท้ายหลังจากเสร็จงานกลับไปแล้ว ได้เอาเลขเตียงไปซื้อสลาก ปรากฎว่าถูกได้ตังค์มานิดหน่อย จังทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณตนนั้น

ขอบคุณที่มาประสบการณ์สยอง : https://pantip.com/topic/39325142

อ่าน เรื่องผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

19/10/2019

เรื่องผี เดอะช็อค : “ใครในห้องน้ำ?” ตึกมหา’ลัยดังนครปฐม

“เงานั้นที่ตึกเรียน” คือ เรื่องผี เดอะช็อค สตอรี่จากคุณนรินทร์ ผู้เล่าจากทางบ้านซึ่งได้ส่งเรื่องราวเข้ามาเป็นอีเมล์ผ่านรายการ The shock โดยบอกว่าเป็นเรื่องราวอันแปลกประหลาดซึ่งเกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ในจ.นครปฐม เรียกได้ว่าพูดชื่อไปรู้จักกันทุกคนแน่ๆ โดยสถานที่เจ้าปัญหาก็คือ ห้องน้ำบนตึกเรียนหลังหนึ่ง…

เรื่องผี เดอะช็อค “เงานั้นที่ตึกเรียน” มีเนื้อหาใจความดังนี้…

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม คุณนรินทร์ผู้ เล่าเรื่องผี เรื่องนี้เองนั้นทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยดังกล่าว โดยได้รับฟังเรื่องมาจากยามที่ดูแลอาคารที่ซึ่งคุณนรินท์เข้าออกอยู่เสมอ โดยห้องทำงานของเขาจะอยู่บนชั้น 3 ในขณะที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นที่มาของเรื่องเล่าในคราวนี้จะมีห้องน้ำอยู่

โดยปกติยามจะมีหน้าที่ในการตรวจตราอาคารที่เป็นพื้นที่รับผิดชอบตามช่วงเวลา ด้วยการขี่จักรยานไปตรวจวนดูรอบๆตามตึก อาคารเรียนของนักศึกษาคณะนี้จะมีทั้งสิ้นอยู่สามตึก โดยที่จะอยู่ใกล้ๆกัน จกระทั่งคืนหนึ่งยามได้ไปตรวจตราอาคารเรียนตามปกติ ก็เจออาคารหลังหนึ่งในนั้น ซึ่งเมื่อมองขึ้นไปก็พบว่ามีไฟเปิดค้างไว้บนชั้น 2 และพอสังเกตดีๆก็จำได้ทันทีด้วยความคุ้นเคย ว่าตรงนั้นเป็นที่ตั้งของห้องน้ำบนชั้น 2

แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีใครที่จะลืมปิดไฟแล้วเปิดทิ้งไว้ อีกทั้งก็ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของเขาที่จะขึ้นไปปิดไฟ แต่ก็มีอะไรให้ชวนแปลกใจว่าทำไมถึงมีแค่ห้องน้ำตรงนั้นที่มีไฟสว่างลอดออกมาจากกระจกที่บุไว้ช่วงบนของผนังห้องน้ำ ขณะที่เขากำลังจะเริ่มปั่นจักรยานออกไป ตาก็ไปสะดุดเข้ากับเงาไหวๆในแสงบนกระจกดังกล่าว มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแมวไล่จับหนูที่วิ่งผ่านหลอดไฟ หรือเงาตกกระทบของกิ่งใบไม้สูงข้างๆอาคาร แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า เงาที่ว่านั่นดูคล้ายกับ ‘คน’ มากทีเดียว เป็นไปได้หรือไม่ที่ในยามวิกาลเช่นนี้จะมีคนหลงเหลืออยู่ในตึก

เมื่อยามคนนั้นหยุดดูเงาที่ว่าเคลื่อนไหวต่อไป เขาเริ่มมั่นใจว่าเป็นคนแน่แล้ว เงาที่เคลื่อนไหวไหมาอยู่บนแสงในกระจกดูคล้ายกับศีรษะของผู้หญิงผมยาว เป็นไปได้ว่าอาจจะมีนักศึกษาติดค้างอยู่ในตึก เนื่องจากข่วงนั้นเป็นข่วงเตรียมสอบ อาจจะมีใครเข้าไปใช้อาคารในการอ่านหนังสือหรือติวสอบอยู่ก็เป็นได้ เนื่องจากเวลานั้นก็นังไม่ทันจะสามทุ่มดี ยามยึงได้โทรศัพท์ไปหาแม่บ้านผู้รับผิดชอบตึกให้เอากุญแจมาเปิดประตูอาคารดังกล่าว

ขณะที่ยามคนนั้นยืนรอแม่บ้านที่นำกุญแจมาอยู่นั้น ก็ได้คอยสังเกตเงาดังกล่าวอยู่ตลอด และพบว่าเงานั่นเคลื่อนที่ขยับไปมาทางด้านซ้ายที ขวาที จากกระห้องท้างซ้ายไปห้องด้านขวา จากด้านขวาไปด้านซ้าย คล้ายกับคนที่กำลังลนลานพยายามหาทางออกหรือขอความช่วยเหลืออยู่จริงๆ จนกระทั่งแม่บ้านมาถึงและไขกุญแจได้ ทั้งยามและแม่บ้านได้พากันขึ้นไปดูที่ห้องน้ำบนชั้นสอง หากแต่ไม่พบใครอยู่ในนั้นเลย แม้กระทั่งหนูหรือแมวซักตัวก็ไม่มี

บางทีนักศึกษาคนนั้นอาจคลาดกันตอนที่เขาเข้ามาที่ชั้นนี้ ทั้งสองคนจึงตัดสินใจช่วยกันค้นหานักศึกษาคนดังกล่าวตั้งแต่ชั้น 6 ลงมา แต่ก็ไม่พบร่องรอยว่าเคยมีคนอยู่ในเร็วๆนี้ จนกระทั่งต้องกลับมาสำรวจที่ห้องน้ำในชั้นสองอีกที แต่เมื่อได้ตรวจสอบและสังเกตดูดีๆแล้ว กระจกห้องน้ำด้านบนเหนือผนังนั้นกลับอยู่สูงกว่าที่คิด ขนาดที่แม้ว่าขึ้นไปยืนอยู่บนชักโครกก็ไม่ทางที่เงาของศีรษะจะไปพาดอยู่บนกระจกที่ว่าได้ ซ้ำร้ายกระจกยานว้ายขวาที่ยามได้เห็นเงาเคลื่อนไปกลับสลับกันตอนดูอยู่ด้านล่างตึก กลับมีผนังลอยของห้องส้วมกันอยู่ ไม่มีทางที่คนปกติจะสามารถเคลื่อนที่ผ่านไปมาอย่างรวดเร็วไปมาได้ จนอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่พบเจอคงจะไม่พ้นเรื่องผีๆ

แม้ตึกนี้จะมีอายุกว่า 10 ปีมาแล้ว แต่ไม่เคยมีประวัติมาก่อน ถึงอย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ บางทีก็อาจจะมีเรื่องลึกลับที่ไม่อาจอธิบายได้ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ระยะเวลายาวนาน และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของ เรื่องผี เดอะช็อค ห้องน้ำพิศวง

ขอบคุณที่มา เรื่องผี : https://pantip.com/topic/36156491

รวมเรื่องผี the shock น่ากลัวๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

16/10/2019

อ่านเรื่องผี | หุ่นลองเสื้อสยองจากภูเก็ต “แอนนาเบลเมืองไทย”

อย่างหลอน! อ่านเรื่องผี “นี่มันแอนนาเบลล์เมืองไทยแลนด์” ชัดๆ เมื่อสมาชิกกลุ่มเฟสบุ๊คแนวเล่าเรื่องผีกลุ่มนึงอย่าง “คุณแบงค์” ได้ออกมาเล่าถึงประสบการณ์ในวัยเด็ก ซึ่งทางบ้านไปได้ “หุ่นลองเสื้อ” มือสองมาจากร้านขายของเก่าที่ภูเก็ตครั้งที่ได้ไปเที่ยว หลังจากเอากลับมาตั้งโชว์ในบ้านก็มีเหตุการณ์สุดแปลกประหลาดเกิดขึ้นในทุกๆวัน ในแบบที่คุณจะคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ขอเชิญ อ่านเรื่องผี สุดสยองของหุ่นลองเสื้อมือสอง…

เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้เป็น เรื่องเล่าผี ที่ผมประสบพบเจอมาด้วยตนเอง เมื่อ 14 ปีก่อน ขณะที่ครอบครัวผมได้เดินทางไปเที่ยวพักผ่อนที่เกาะภูเก็ต ในร้านขายของเก่าร้านหนึ่งเราได้เจอกับหุ่นลองเสื้อ เหมือนกับที่ตามร้านเสื้อผ้าใช้แสดงสินค้าอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งแม่ผมสนใจที่จะซื้อเพื่อนำไปจัดไว้ในห้องพระ ตอนนั้นเราซื้อมาด้วยราคาที่ถูกมาก จนกระทั่งพ่อเอากลับมาประกอบที่บ้าน หุ่นตัวนั้นถูกสวมใส่ด้วยเสื้อราชปะแตนแบบไทยประยุกต์ ซึ่งเป็นเสื้อสีขาวแขนยาวปิดคอ เพียงแต่ท่อนล่างจะเป็นกางเกงขายาวแทนที่จะเป็นโจงกระเบน ช่วงแรกๆผมก็กลัวทุกครั้งที่ผ่านห้องพระซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นสองของบ้านตามประสาเด็กๆ แต่สุดท้ายก็คุ้นเคยและชินไปเอง เนื่องจากไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งอาทิตย์ที่สาม

ในวันหยุดผมชวนเพื่อนบ้านใกล้กันมาเล่นที่บ้าน เราเล่นซ่อนแอบกันโดยที่ผมนั้นไปซ่อนเอาบนชั้นที่สามของบ้าน ตอนที่ผมแอบเพื่อนอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของมัน เดินขึ้นมาตามหาอย่างชัดเจน แต่จู่ๆฝีเท้าก็วิ่งกลับลงบันไดไป ผมจึงลุกขึ้นมาจากทางหน้าต่างห้อง เห็นเพื่อนวิ่งออกประตูไปข้างนอกบ้านแล้ว ผมจึงวิ่งตามลงไปจนถึงบ้านเพื่อนแล้วถาม มันบอกแต่เพียงว่า… ถ้าหากจะเล่นอีก จะไม่ไปเล่นที่บ้านผมแล้ว ถามไปถามมามันจึงยอมเล่าว่า… ตอนที่มันเดินขึ้นมาถึงชั้นสองกำลังจะขึ้นบันไดชั้นสามอยู่นั้น มันกลับเห็นเงาสะท้อนบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกระจกที่ประตูเลื่อนของห้องเก็บของ ซึ่งพอจ้องดูดีๆแล้วก็พบว่า มันคือหุ่นที่ตั้งในห้องพระซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับห้องเก็บของนี่เอง หุ่นลองเสื้อธรรมดาที่ไม่ควรมีกลไกเคลื่อนไหว…กำลังเดินย่ำๆออกมาจากในห้องพระ เพื่อนผมตกใจหันไปดู ก็เห็นหุ่นที่ว่ามายืนหยุดกึกอยู่ที่เกือบจะถึงหน้าประตูห้อง! นั่นเองเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงรีบวิ่งกลับบ้าน

หลังจากนั้นก็ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก โดยปกติตอนนั้นผมจะนอนห้องเดียวกันกับ พ่อ แม่ และน้องชาย ส่วนพี่ชายจะแยกไปนอนห้องส่วนตัวอีกห้อง คืนนั้นก็เช่นกันจนกระทั่งกลางดึก จู่ๆก็มีเสียงหมาที่เราเลี้ยงไว้ในบ้าน มาเห่าอยู่หน้าประตูห้องนอน อีกทั้งยังมีเสียงแกรกกรากคล้ายกับเสียงเล็บข่วนด้วย ทั้งที่ปกติแล้วมันไม่เคยเห่าในเวลาแบบนี้มาก่อน พ่อผมจึงร้องเรียกออกไปให้มันหยุดเห่า แต่มันก็ไม่ยอมหยุด จนพ่อต้องออกไปพามันเข้ากรงที่ชั้นสอง แล้วล็อคเอาไว้

หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่ก็มีเสียงข่วนแกรกกรากดังขึ้นอีก สลับกันกับเสียงเคาะประตู ทั้งๆที่หมาก็อยู่ในกรงที่ล็อคกุญแจเรียบร้อยแท้ๆ พ่อร้องเรียกด้วยคิดว่าอาจเป็นลูกคนโตที่อยู่อีกห้อง แต่ไม่ปรากฏเสียงขานตอบ คราวนี้เราเริ่มคิดกันแล้วว่า อาจจะเป็นคนบุกรุกงัดแงะเข้าบ้านหรือเปล่า? พ่อลุกขึ้นไปล้วงปืนออกมาจากกระเป๋า เดินออกไปที่หน้าประตูแล้วค่อยๆแง้มประตู้ดังเอี๊ยดอ๊าด แต่ยังไม่ทันที่แสงจะรอดเข้ามาจนเห็นว่าเป็นใคร ประตูก็ปิดลงทันที โครม! แล้วล็อคลูกบิด “อย่าไปเปิดประตูเด็ดขาดนะ ห้ามเด็ดขาด! ไปๆๆ ไปนอนเร็วๆ” พ่อตะโกนสั่งทุกคน ผมกับน้องนอนตามที่พ่อสั่ง แต่ใจก็ไม่ได้หลับทันทีจนได้ยินบทสนทนาระหว่างพ่อกับแม่ที่ยังคุยกันเงียบๆ หากใคร อ่านรื่องผี บ่อยๆคงจะรู้นะครับ ว่าพ่อผมไปเจออะไรมา…

“หุ่นในห้องพระน่ะสิ..มายืนอยู่หน้าประตู! พ่อแง้มออกไปเห็นมันจ้องหน้ามาทางนี้ด้วย!”

เช้านั้นผมตื่นมาก็เห็นพระมากันเต็มบ้าน โดยพระท่านแนะนำว่าให้นำหุ่นไปไว้วัดเถอะ แต่เนื่องจากพ่อผมต้องไปทำงาน ยังไม่สะดวกที่จะขนไปไว้กระทันหัน และกะกันไว้ว่าว่าจะไปพรุ่งนี้…นั่นหมายความว่าเรายังต้องอยู่ร่วมกับเจ้า “หุ่นผี” ตัวนั้นอีก 1 วัน 1 คืน! หลังจากนั้นผมได้ไปดูที่ห้องพระ พบหุ่นตัวนั้นตั้งอยู่ที่เดิมโดยมีสายสิญจน์พันอยู่รอบมือรอบแขนและขา แม่สั่งกำชับอย่างเด็ดขาดว่า “ห้ามใครเข้าไปหรือเปิดประตูห้องนี้นะ” แล้วลงกลอนล็อคกุญแจปิดตาย

และคืนนั้นเองซึ่งเป็นคืนสุดท้ายของประสบการณ์ขนหัวลุกกับหุ่นผีตัวนี้ พวกเราเข้านอนกันเร็วกว่าปกติ โดยที่เราสัญญากันว่า หากเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เรานะไม่ออกจากห้องนอนเด็ดขาด เราจะอยู่ในนี้จนกระทั่งสว่าง ส่วนพี่ชายผมเนื่องจากอายุ 20 แล้ว เขาต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร จึงนอนที่ห้องของตนเหมือนเดิม คืนนั้นค่อยๆผ่านไปช้าๆ  ในห้องเงียบมากแทบไม่มีใครคุยกันเลย ผมไม่รู้ตัวว่าหลับไปตอนไหน แต่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงพี่ชายจากห้องข้างๆร้องลั่น เหมือนตกใจกลัวอะไรบางอย่าง ผมและน้องกลัวจนร้องไห้ พ่อผมรีบลุกแล้ววิ่งออกไปที่ห้องของพี่ชายทันที โดยที่แม่ผมกอดเราไว้แน่น จนสักพักก็ได้ยินเสียงพ่อร้องตะโกนตามมา… “เห้ยยยยยย!” แล้วพี่ชายกับพ่อก็กระโจนเผ่นเข้ามาในห้องและลงกลอนทันที คืนนั้นเรากอดกันกลมทั้งห้าคน!

เรื่องราวในคืนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พี่ผมร้องทำไม และพ่อหนีอะไร จนกระทั่งผ่านไป 14 ปี ผมนึกเรื่องนี้ขึ้นได้เลยถามแม่ถึงเหตุการณ์วันนั้น แม่เล่าให้ฟังว่า คืนนั้นพี่ชายนอนอยู่ที่ห้องแล้วได้ยินเสียงคนร้องเพลงดังขึ้นมาจากชั้นสองข่างล่าง พอมานึกดูดีๆภายหลังก็รู้สึกได้ว่าเสียงนั้นไม่เหมือนภาษาไทย แต่ตอนนั้นพี่ชายเข้าใจว่าเป็นผมที่ลงไปเล่นแล้วร้องเพลงอยู่ข้างล่างเนื่องจากเสียงค่อนข้างเล็ก จึงตะโกนว่าไป “เงียบๆหน่อย คนจะนอน” แต่ผ่านไปสักครู่ก็มีเสียงเปิดประตูแง้มเข้ามาในห้องพี่ชาย เนื่องจากภายในห้องมืดและแสงจากภายนอกที่ส่องย้อนเข้ามา ทำให้พี่ผมไม่สามารถเห็นได้ชัดว่าเป็นใคร ใครบางคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับร้องเพลงและ “ปรบมือ” ไปด้วย จนกระทั่งมาหยุดที่ข้างเตียง พี่ผมยังเข้าใจว่าเป็นผมจึงบอกไปว่า ถ้าจะเล่นก็ให้ไปเล่นกับแม่ที่ห้องไป ขาดคำนั้นจู่ๆหัวของใครคนนั้นก็หลุดตุ๊บ! หล่อนลงมากองกับพื้น แต่อนิจจา…หัวนั้นยังคงร้องเพลงของมันต่อไป พี่ผมถึงได้ร้องลั่นจนพ่อเข้ามา เห็นเป็นหุ่นผีจากห้องพระนั่นเองที่ยืนอยู่ตรงนั้น โดยที่หัวลงไปกองอยู่ด้านล่าง ส่วนมือหยุดกึกในท่าปรบมือ!

ตอนนั้นผมยังเด็กจำเรื่องราวไม่ค่อยได้นัก แม่เล่าให้ฟังต่อว่าเช้านั้นเราก็นำหุ่นไปไว้วัด แล้วสวดทำขวัญกันทั้งครอบครัว ส่วนตัวหุ่นนั้นทางวัดทำพิธีแล้วนำไปฝังไว้ในป่าช้า ประสบการณ์เรื่องเล่าผีของบ้านผมก็จบลงตรงนั้น…

บทสรุป เรื่องเล่าผี ของมือสองสยองขวัญ…

สำหรับคนที่กำลังอ่านเรื่องผีมาจนถึงจุดนี้ ก็คงอยากทราบความเป็นมาของหุ่นตัวนั้น… หลังจากนั้นผ่านไป เรามีโอกาสได้กลับไปเที่ยวภูเก็ตอีกครั้งและได้กลับไปที่ร้านขายของเก่า ได้เจอลุงคนขายเดิมและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ลุงแกเล่าว่าเดิมทีหุ่นนี้มีชาวมุสลิมมาขายให้ที่ร้านถูกๆ เนื่องจากเขาก็เจอเหตุการณ์แปลกๆเหมือนเรา คือหุ่นมันชอบย้ายที่เอง แต่ตอนอยู่ที่ร้านลุงไม่ได้สนใจหรือสังเกตอะไรเนื่องจากของในร้านก็ค่อนข้างเยอะ ส่วนวัดนั้นเราก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย เนื่องจากภายหลังพ่อผมได้ย้ายไปประจำการที่ภาคใต้ ผมและครอบครัววจึงย้ายตามไปอยู่ที่สุราษฎร์ธานี จนกระทั่งผ่านไปกว่าสิบปี พ่อผมต้องกลับไปทำเรื่องเกษียณอายุราชการที่กรุงเทพ เราถึงได้แวะไปที่วัดนั้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้นินจากพระเจ้าอาวาสเป็นอะไรที่ชวนขนลุกสุดๆ ท่านเล่าว่า… ภายหลังฝังหุ่นตัวนั้นไว้ได้ราวสามสัปดาห์ จู่ๆหุ่นที่ควรถูกฝังอยู่กลับหายไป ทิ้งไว้เพียงหลุมเปล่าๆ ไม่มีใครรู้ว่าหุ่นตัวนั้นหายไปไหนหรือหายไปได้ยังไงจนทุกวันนี้ และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า หลังจากที่หุ่นถูกฝังไว้ในป่าช้า ซึ่งปกติจะมีพวกวัยรุ่นเกเรมามั่วสุมกัน กลับไม่มีใครมาอีกเลย แม้กระทั่งเด็กแถววัดก็ไม่ไปวิ่งเล่นแถวนั้นกัน หลังจากได้ฟังเราก็รีบลากลับทันที ด้วยกลัวว่า “มัน” จะตามติดขึ้นรถมากับเราด้วย….

ขอขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : คุณแบงค์ สมาชิกกลุ่ม the house online 

อ่านเล่าเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

13/10/2019

เรื่องเล่าผี : ความหลังในหมู่บ้านเศรษฐกิจบางแค

วิญญาณที่ยังยึงติดอยู่กับสถานที่… เรื่องเล่าผี ความหลังสมัยเป็นเด็กของผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม เล่าว่าเมื่อก่อนตนเคยใช้ชีวิตที่สลัมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่โครงการบ้านเศรษฐกิจในสมัยนั้น น้าดำ…ผู้ที่ทางบ้านเอือมระอากับพฤติกรรม กระทั่งวันหนึ่งได้จากไป แต่วิญญาณยังคงอยู่ในบริเวณนั้นเสมอมา

เรื่องเล่าผี “น้าดำ” วิญญาณที่ยังคงสิงสู่อยู่ในสลัม

เรื่องราวที่ผมจะนำมา เล่าเรื่องผี ในวันนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเองเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ตอนที่ผมอาศัยอยู่กับแม่ ยาย และน้องอีกสองคน รวมถึง… “น้าดำ” น้องชายของแม่ ในตอนนั้น

หมู่บ้านเศรษฐกิจบางแคถือว่าเป็นชุมชนหมู่บ้านจัดสรรแห่งแรกๆของกรุงเทพ ซึ่งเกิดจากการที่มีนักการเมืองในสมัยนั้นไปลงทุนสร้างไว้ โดยภายในโครงการก็จะมีแบ่งพื้นที่ให้เช่าในการปลูกบ้าน ร้านรวงต่างๆ หรือแม้กระทั่งพื้นที่เช่าชุมชนแออัดหรือที่เรียกกันว่าสลัม ซึ่งมันก็ไม่ได้เจริญเหมือนในสมัยนี้

ตอนนั้นครอบครัวของเราค่อนข้างมีฐานะไม่สู้ดี อาศัยเช่าพื้นที่ในสลัมปลูกเป็นที่พักอาศัยมุงสังกะสีใต้ถุนจะเป็นท้องร่องน้ำ มีเพียงแผ่นไม้กระดานที่ใช้พาดเป็นทางเดินในการไปมาหาสู่กัน

ตอนนั้นผมอายุราวสิบเอ็ดปี ส่วนน้าดำอายุราวยี่สิบ น้าดำเป็นคนเกเร ไม่เรียน ไม่เอาการงาน ชอบเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นจนทะเลาะกับที่บ้านอยู่เสมอ จนกระทั่งหนักเข้าก็หนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนพาลของแก ซึ่งทำให้แกเริ่มถลำลึกในอบายมุข แกเริ่มเล่นยาหนักขึ้นๆจนกระทั่งสุดท้ายก็เสียอยู่บนกระดานไม้ที่พาดระหว่างทางกลับมาบ้านนั่นเอง

จนกระทั่งงานฌาปนกิจศพของน้ำดำผ่านพ้นไป คนในบ้านก็ไม่พยายามที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ราวกับจะลืมๆมันไป ส่วนตัวผมเองกับน้องๆก็กลัวผีน้าดำจะมาหลอกตามประสาเด็ก จนมีเพื่อนๆของน้าดำมาเล่าให้ที่บ้านฟังว่า เจอน้าดำไปหา บ้างก็ตะโกนเรียกจากหน้าบ้าน หนักกว่านันคือช่วงดึกๆจะมีคนที่ผ่านไปมาบนทางเดินไม้ในจุดที่น้าดำแกมั่งนั่งเล่นยาเป็นประจำนั้น ก็จะได้เจอกับผีน้าดำกันแทบทั้งนั้น มี เรื่องเล่าผี น้าดำให้ได้ฟังกันอยู่เนืองๆ ทำเอาผมไม่กล้าที่จะเดินเฉียดไปแถวนั้นเลย

กระทั่งในวันหยุดวันหนึ่ง ผมกับเพื่อนนัดกันไปช้อนลูกปลามาใส่ขวดเล่นกันตามประสาเด็ก ที่บึงหลังสลัม แต่ไม่ว่าโชคดีหรือร้าย กว่าจะรู้ตัวกันก็ตกเย็นแล้ว และพึ่งมานึกออกว่าทางกลับบ้านนั้นจะต้องเดินผ่านจุดที่เป็นปัญหาซะด้วย แต่ด้วยความว่ามากันหลายคน ก็เอาเป็นว่าเป็นไงเป็นกัน

พวกเราก็เดินกลับกันไปด้วยความหวาดกลัว ลำพังทางเดินไม้ก็เดินได้ลำบากอยู่แล้ว จนกระทั่งเลี้ยวผ่านหัวมุมไป เราชะโงกหน้ายื้อแย่งกันมองจุดที่น้าดำเคยนอนตายอยู่ แล้วรู้สึกโล่งใจว่าไม่มีอะไรหรือใครรออยู่ เรากะกันว่าจะรีบผ่านตรงนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะอำนวย

จนกระท่งผ่านไปได้หน่อย ผมก็ได้ยินเสียงไอกระแอมที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ผมหันกลับไปดูโดยไม่ได้คิด ก็เห็นเข้ากับเงาดำตะคุ่ม ที่สำคัญคือคล้ายกับน้าดำนั่งอยู่ เพื่อนผมเห็นก็รีบวิ่งหนีเตลิดกันไปก่อนเลย ผมก็วิ่งตามออกไปติดๆ ต่อให้เป็นญาติกันแต่แบบนี้เป็นใครก็วิ่ง จนกระทั่งมาหยุดพักหอบกันที่บ้านของเพื่อน นั่นเป็นประสบการณ์เจอเรื่องผีครั้งแรกในชีวิตของผม จากนั้นมาไม่ว่าจะยังไง ผมก็ไม่มีทางที่จะเดินผ่านทางนั้นอีกโดยเด็ดขาด

ปัจจุบันแถวนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าลางของความน่ากลัวอีกแล้ว แม้แต่สลัมร่องน้ำและทางไม้พาดก็ไม่อยู่แล้วตามความเจริญของสังคมเมืองปัจจุบัน หากแต่ทุกครั้งที่ผมผ่านไปแถวนั้น ก็ยังอดรู้สึกขนลุกกับ “เรื่องผีน้าดำ” ที่เคยประสบพบเจอมาเมื่อครั้งยังเป็นเด็กทุกที…

อ้างอิง เรื่องเล่าผีจาก : ผู้ใช้เฟสบุ๊คซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม จากเพจ สยองขวัญวาไรตี้

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีเดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

10/10/2019

เรื่องเล่าผี : ซื้อผอบมาจากช่องเม็ก วิญญาณตามมาสิง

เรื่องเล่าผี เรื่องนี้มาจากสมาชิกเฟสบุ๊คท่าหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าคุณ “หาญ ใจสิงห์” ได้ออกมาเล่าเรื่องประสบการณ์สุดสะพรึง เนื่องจากตนได้ไปค้นเจอ “ผอบ” ที่เคยซื้อมาจากฝั่งลาวในครั้งที่ไปเที่ยวผ่านช่องเม็ก ทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวอันพิลึกพิลั่นที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวอันมีที่มาจากผอบอันนี้…

“มันตามมาจากฝั่งลาว” เรื่องเล่าผี อุธาหรณ์คนชอบซื้อของเก่า

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่จะ เล่าเรื่องผี ให้ฟัง ผมขอท้าวความก่อนว่า จู่ๆผมก็นึกถึงขึ้นมาได้เพราะผมได้ไปทำความสะอาดห้องในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วได้ไปเจอกับผอบ…(ตลับใส่ของขนาดเล็ก มีเชิง และฝาครอบมียอด) ซึ่งเป็นที่มาของเรื่องที่ผมนะเล่าต่อไปนี้อยู่ที่หลังของรูปปั้นบูชาพระแม่กวนอิม ช่วงราวๆ 7-8ปีก่อน ผมและแฟนมีโอกาสได้ลางานกลับบ้านที่ต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลหลายวัน

โดยที่ตอนนั้นผมและแฟนเดินทางด้วยรถกระบะของพี่เขย ออกตั้งแต่เช้ามืดตี5 กว่าจะถึงที่หมายก็ประมาณ 5-6โมงเย็น โดยในคืนนั้นหลังจากได้อยู่ทานอาหารกับครอบครัวของแฟน ทางครอบครัวก็ได้ชักชวนกันไปเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตากัน โดยสถานที่ที่ตกลงกันคือ “ช่องเม็ก” ชายแดนระหว่างไทยลาวที่สามารถข้ามไปมาหาสู่กันได้โดยบริเวณนั้นจะมีลักษณะเหมือนชุมชนตลาดค้าขาย ซึ่งตัวผมเองก็สนใจที่จะไปเที่ยวลาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องมาจากว่าได้ยินกิติศัพท์เกี่ยวกับสาวลาวว่าสวยและขาว จนอยากไปพิสูจน์ให้เห็นด้วยตา

ในเช้าวันนั้นเราออกกันตั้งแต่6โมงเช้า แวะทานอาหารเช้ากันที่เขื่อนอุบลรัตน์จนกระทั่งไปถึงช่องเม็กราวๆ 10 โมงเช้า ลักษณะที่นั่นจะเป็นตลาดที่มีของกินใช้สะสมหลากหลายอย่าง จะว่าไปก็คล้ายๆกับตลาดนักสวนจตุจักรบ้านเรานี่เอง ตอนนั้นแฟนผมแยกไปเดินกับทางญาติ ส่วนผมเดินดูคนเดียวมาจนกระทั่งไปสะดุดตากับร้านร้านหนึ่งซึ่งมีเจ้าของร้านเป็นคุณป้าที่แม้จะมีอายุอานามแต่ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความสวยอยู่ ร้านของป้าเป็นร้านขายของเก่าที่มีของแปลกๆตั้งแต่ตุ๊กตานางรำ กระจกโบราณ ไปจนถึงของป่าอย่างงูดองในโหล เขี้ยวหมูป่า ผมไปยืนดูงกๆเงิ่นหน้าร้าน ป้าจึงทักผมขึ้นว่า

“โดย มีหยังให้ซอยหยังบ่ อยากได้หยังบ่” (มีอะไรให้ช่วยมั้ย อยากได้อะไรรึเปล่าจ๊ะ)

ผมได้แต่ตอบกลับไปเพียงว่าขอดูก่อน จนกระทั่งสักครู่แฟนผมก็ตามมาสมทบที่ร้านพอดี แฟนผมไกสะดุดตาเข้ากับกระจกโบราณบานหนึ่ง จึงได้หยิบขึ้นมาส่องดู แต่ไม่ทราบว่าเธอได้เห็นหรือพบเข้ากับอะไร ถึงได้สะดุ้งตกใจจนแขนไปปัดเข้ากับผอบที่ถูกกล่าวถึงในตอนต้น ซึ่งวางอยู่ใกล้ๆกันหล่นลงไปกองกับพื้น เธอพยายามจะเก็บผอบขึ้นมาแล้วสังเกตเห็นว่า ฝาของผอบนั้นเปิดแง้มอยู่เผยให้เห็นผงควันสีขาวลอยคุ้ง เธอก้มลงไปเก็บและได้กลิ่นของควันแล้วบอกว่ากลิ่นหอมดี คล้ายกลิ่นของดอกไม้ป่า ป้าเจ้าของร้านจึงบอกว่าผอบนี้เก็บเครื่องหอมกำยานจากดอกไม้ในป่า ถ้าหากว่าอยากได้จะลดให้ คิดราคาไม่แพง จึงได้จ่ายเงินซื้อมาพร้อมกับสินค้าอย่างอื่นอีก ขากลับกลับบ้านเธอถือผอบกำยานที่ได้มาติดมือตลอด คงจะถูกใจมากทีเดียว และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ เรื่องเล่าผี ที่ผมและครอบครัวพบเจอ…

จนกระทั่งช่วงแวะปั้มระหว่างทางขากลับ แม่ยายผมเข้ามาแอบกระซิบกับผมว่าตัวลูกสาวดูแปลกๆ เอาแต่พุดภาษาลาวมาตลอดทาง ซึ่งผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร และตอบไปว่าคงเพราะภาษาลาวกับอีสานมันคล้ายๆกันเท่านั้น จนกลับถึงบ้าน แฟนผมออกไปจ่ายตลาดและเตรียมอาหาร ไม่เื่อก็ต้องเชื่อว่า อาหารที่แฟนผมทำออกมานั้นเป็นกับข้าวที่ผมไม่เคยกินมาก่อน ไม่ใช่ทั้งอาหารอิสาน อาหารเหนือหรือใต้ ถึงแม้ผมจะไม่เคยทานอาหารลาวแต่ก็เคยเห็นมาบ้าง แต่ก็ยังดูต่างออกไปอยู่เหมือนกัน ถึงกระนั้นอาหารมื้อนั้นกับรสชาติดีอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะแกงเทา ที่ทานกันเกลี้ยงจนหม้อขึ้นเงา

หลังทานอาหารกันเสร็จ คำที่แฟนผมทักขึ้นทำเอาทั้งพี่ป้าน้าอาเขยถึงกับหันหน้ามองผมสลับกันไปมา อย่างพยายามจะค้นหาคำตอบ เพราะเธอพูดว่า “โดย..แซ่บบ่จ้า กินได้บ่” ครอบครัวแฟนจึงกระซิบถามผมว่า ปกติแล้วเวลาอยู่ด้วยกันพูดแบบนี้กันเหรอ ผมได้แต่ตอบรับไปแบบส่งๆโดยที่ผมก็ยังงง จนคืนนั้นแฟนผมนุ่งผ้าซิ่นที่ซื้อมาจากฝั่งลาว หลังผมอาบน้ำเสร็จและขึ้นเตียงนอน ผมเอามือโอบแฟนไว้จนครึ่งหลับครึ่งตื่น ผมก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

“โด๋ย สินอนแล้วบ่อ้าย…”

ผมสังเกตุเห็นรอยบางอย่างแดงๆอยู่ในผมของแฟนจากด้านหลัง จึงตกใจนึกว่าไปโดนอะไรมาเป็นแผล แต่พอผมค่อยๆแหวกผมเธออกดู ก็ตกใจจนแทบไม่มีเสียงร้อง เพราะรอยแดงๆที่ว่า…แท้จริงแล้วคือริมฝีปากแดงฉาน!! สายตาผมจ้องเลยขึ้นไปเหนือริมฝีปากที่ว่าแล้วพบเข้ากับนัยน์ตาคู่หนึ่งจ้องเขม็งตรงมา ริมฝีปากนั้นก็ค่อยๆยิ้มสแหยะให้

“!!! เห้ย”

ผมตะโกนอยู่ในลำคอ และภาพสุดท้ายที่จำได้คือผมกลิ้งตกลงจากเตียงแล้วภาพดีบสนิทไป มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าที่ลูกชายมาปลุกบอกว่าครอบครัวญาติมาตามให้ไป เขาพาพระมาจะทำบุญสู่ขวัญให้ ตอนนั้นผมยังคิดอยู่ว่า…เรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ความฝันรึเปล่า? จนกระทั่งพระจากวัดป่าที่นิมนต์มาถึง ท่านนั่งลงตรงข้ามกับแฟนผมซึ่งแต่งตัวผิดหูผิดตาไปจ่กปกติ เธอใส่เสื้อขาวแขนกระบอก เกล้าผมมวย นุ่งผ้าซิ่น และสิ่งที่พระป่าท่านทักขึ้นมาคือ…

“ผู้สาวทางได๋ล่ะ มาแฝงร่างเขาอยู่นี่!”

สิ้นคำทำเอายาติโกโหติกาแตกตื่นย้ายไปนั่งเบียดกันอยู่อีกมุมนึงทันที ใครบางคนในร่างแฟนผมก็พูดออกมาว่า เธอคือ “พิมทะสร” เธอมาจากปากเซ ครั้นอกหักจากรักก็คิดสั้นไปพูกคออยู่ในป่า ไม่มีผู้ใดได้รู้หรือพบเห็น จนกระทั่งร่างเริ่มเปื่อยคราบน้ำจากศพก็ไหลนองลงมารดดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ด้านล่าง จนนานวันไปจิตของเธอก็ได้ผูกพันและย้ายเข้าไปสิงอยู่ในดอกที่ว่านั้น กระทั่งมีคนมาเก็บของป่า เก็บดอกไม้ดอกนั้นไปทำกำยานที่อยู่ในผอบนั่นเอง

พระป่าท่านก็เมตตาบอกว่าออกจากโยมผู้หญิงคนนี้เสียเถิด แล้วจะพาไปสถิตอยู่ที่วัดป่าของท่าน วิญญาณหญิงสาวจึงยอมออกแต่โดยดีโดยไม่มีการขัดขืน หลังเหตุการณ์ในวันนั้น แฟนผมยังเก็บผอบนั้นไว้โดยใส่เส้นผมและฟันของยายที่เสียไปไว้แทน และหลังจากนั้นมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องชวนขนลุกหรือเรื่องผีๆขึ้นอีกเลย และนี่ก็คือ เรื่องเล่าผี ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

ขอบคุณที่มาจาก : คุณหาญ ใจสิงห์

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีเดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

09/10/2019

เรื่องผี | หญิงชุดแดงปีนลงมาจากต้นยาง วัดกลางเมืองเชียงใหม่

บวชเรียนสยองขวัญ เหตุการณ์ลี้ลับที่เจอที่วัดดังจ.เชียงใหม่

ย้อนกลับไป 5 ปีก่อน เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวคุณสองในตอนที่ได้ไปอุปสมบทบวชเรียนที่วัดใหญ่วัดหนึ่ง ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองจ.เชียงใหม่ โดยตั้งใจจะบวชทั้งสิ้น 15 วัน ช่วงที่คุณสองบวชนั้นตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดี ในวัดมีพระบวชใหม่และผู้ปฏิบัติธรรมอยู่เยอะราวๆ 200 ชีวิต ด้วยความที่มีคนเยอะจึงทำให้บรรยากาศภายในไม่เหงาหรือน่ากลัว จะมีผู้คนทำกิจกรรมและเดินกันทั้งวัน แม้ว่าจะเป็นกลางคืนก็ตาม ซึ่งธรรมดาแล้วคุณสองเป็นคนที่เรียกันว่า “ตาขาว” อย่างมาก มักจะวิตกหรือกลัวเรื่องลี้ลับ แต่ในคราวนี้ย่อมไม่เป็นปัญหา

สำหรับคนที่จะอุปสมบทที่วัดแห่งนี้ จะต้องมาเตรียมตัวด้วยการอยู่วัดก่อนเป็นเวลา 3 วัน โดยที่จะต้องใช้ชีวิตและปฏิบัติเช่นเดียวกับพระภิกษุเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสวดทำวัตร การฉัน หรือการนอนที่กุฏิ ซึ่งกุฏิจะมีลักษณะเป็นเรือนแฝด คือมีสองห้องติดกันในตัวเรือนกุฏิเดียว

ในคืนแรกที่สองได้พักนั้น ห้องที่ติดกันมีผู้มาปฏิบัติธรรมเป็นชายวัยสี่สิบกว่าๆพักอยู่ จึงได้พูดคุยทำความรู้จักกัน และได้ทราบว่าชายคนนั้นกำลังจะกลับไปแล้วในวันรุ่งขึ้น พอกระทั่งเช้ามาสองจึงสังเกตเห็นว่าห้องดังกล่าวได้ถูกล็อคด้วยกุญแจ และแม้แต่ตอนเย็นที่สองกลับมายังกุฏิ กุญแจก็ยังถูกล็อคเหมือนเมื่อเช้า แสดงว่าชายคนนั้นได้กลับไปแล้ว และคืนนี้คงยังไม่มีใครมาเข้าพักต่อ

แต่ในคืนนั้นเองเวลาราวๆเที่ยงคืน ขณะที่สองเข้านอน กลับได้ยินเสียงดังกุกกักจากห้องติดกันที่กล่าวมา คล้ายกับว่ามีใครบางคนกำลังรื้อค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ จนสักพักก็ได้ยินเสียงคนกำลังล้างหน้าแปลงฟัน เหมือนกับว่ามีคนมาพักอยุ่ในห้องนั้น หากแต่ว่ามันแปลกตรงที่ ตอน 6 โมงเย็นยังเห็นห้องล็อคอยู่ หากจะมีผู้มาเข้าพักภายหลังนั้นไม่น่าจะได้ ทางวัดไม่น่าจะรับไว้ ทว่าความสงสัยของสองก็หยุดเพียงตรงนั้น จนกระทั่งเช้าวันต่อมาสองยังคงเห็นห้องถูกล็อคไว้ด้วยกุญแจเช่นเคย… หรือว่าบางทีแขกตื่นเช้ากว่าเขาและได้ออกไปก่อนแล้ว แต่แล้วจนกระทั่งตอนเย็นกลับมาห้องก็ยังมีกุญแจคล้องเหมือนเคย สองจึงตัดสินใจถามกับทางพระพี่เลี้ยงของตนว่า

“หลวงพี่ครับ ห้องที่ติดกันนี้มีใครมาเข้าพักหรือไม่ครับ”

“ไม่มีเลย และคงจะอีกนานกว่าจะมี เพราะกว่าที่พระบวชใหม่จะมา ก็ราวแปดถึงเก้าวันนู่นแหล่ะ”

คำกล่าวของหลวงพี่พระพี่เลี้ยงทำเอาสองอึ้งงัน คิดนึกกลับไป เสียงที่ได้ยินนั่นคงจะใช่แน่แล้ว ไม่ใช่คนแน่ๆ

กระทั่งคืนนั้นเองที่เหตุการณ์ชวนขนหัวลุกได้ประสบขึ้นกับสอง คืนนั้นสองได้ยินเสียงทุกอย่างดังชัดเจนราวกับมีใครใช้ชีวิตอยู่ในห้องนั้นตามปกติ เพียงแต่ไม่เห็นตัว ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่ มีเพียงเสียงที่ทำให้สองถึงกับสั่น ต้องนอนขดปิดหู ปิดตา อยู่ใต้ผ้าห่มจนฟ้าสาง แม้แต่ทำวัตรเช้าในตอนเช้ามืด สองก็ไม่กล้าที่จะออกไป

ต่อมาเมื่อสองได้เริ่มบวชเป็นพระแล้วสองวัน ขณะนั้นเองที่มีเพื่อนพระที่ร่วมบวชและปฏิบัติธรรมด้วยกัน นำพาเณรซึ่งเป็นน้องชายของพระเพื่อนคนดังกล่าว มานั่งปฏิบัติธรรมร่วมกันด้วย ซึ่งตามปกติแล้วที่วัดแห่งนี้จะมีการแบ่งโซนของเณรไว้อีกฝั่งหนึ่ง พระสองจึงได้สอบถามออกไปว่า ทำไมเณรน้องถึงได้มานั่งด้วยที่นี่ พระเพื่อนจึงเล่าให้ฟังว่า ที่ตึกพักรวมของเณรมีเรื่องผีเกิดขึ้น พระเพื่อนเล่าว่า มีเด็กตัวขาว หัวโล้น ไม่ใส่เสื้อนั่งคู้อยู่ที่มุมห้อง แล้วจ้องมองมาทางเณรน้อง ทำให้วันถัดมาเณรน้องกลัวจนต้องมาอยู่ด้วย และคิดว่าจะให้น้องสึกเร็วกว่ากำหนด ซึ่งเรื่องนี้โจษจันหันขนาดที่เจ้าอาวาสก็ยังพูดว่า “บางทีที่เขาออกมาให้เห็นเป็นเพราะว่าบุญเราเยอะ เขาแค่หยอกเฉยๆ”

กระทั่งวันท้ายๆของการบวช คืนนั้นราวๆสามทุ่ม ระหว่างที่พระใหม่กว่าสามสิบรูปนั่งปฏิบัติธรรม โดยที่มีพระพี่เลี้ยงรูปหนึ่งนั่งหันหน้าเข้าหาเหล่าพระใหม่ทางด้านหน้า ขณะที่นั่งสมาธิกันนั้น จู่ๆก็มีลมพัดแรงเข้ามาดื้อๆอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชวนให้รู้สึกขนลุก พระใหม่ต่างสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับ ขณะนั้นเองที่พระสองแอบลืมราขึ้นมองไปด้านหน้าและเห็นพระพี่เลี้ยง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาจ้องมองไปที่บางสิ่งสูงขึ้นไปทางด้านหลังของเหล่าพระใหม่ที่นั่งสมาธิกัน จู่ๆท่านก็บอกว่า

“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก เขามาดี เพราะพวกท่านทำดี…เขาก็ชอบ”

หลังจากคืนนั้นมา ก็มีการซุบซิบพูดคุยถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นว่าหลวงพี่ “ท่านเห็นอะไร” กัน โดยมีการเล่ากันว่าสิ่งที่หลางพี่ท่านได้เห็นก็คือ… ผู้หญิงในชุดสีแดง ปีนลงมาจากต้นยางด้านหลัง ขณะที่กำลังนั่งสมาธิกันอยู่ โดยยังเล่ากันอีกว่า ผู้หญิงชุดแดงตนนั้นอาจนะเป็นนางไม้หรือเจ้าที่ เนื่องจากต้นยางเหล่านั้นมีอายุอานามกว่าห้าสิบ ปี อีกทั้งยังมีเรียงรายกว่าร้อยต้นซึ่งอยู่กับวัดมาช้านาน และนี่ก็เป็นเรื่องราวลี้ลับทั้งหมด เรื่องเล่าผีที่คุณสองได้เจอมาด้วยตนเอง

รวมเรื่องผี the shock น่ากลัวๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

08/10/2019

อ่านเรื่องผี | ทางผีบอก ประสบการณ์หลงทางบนเขาใหญ่ จ.สระบุรี

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว 4-5 ปี สมัยนั้นผมทำงานเขียนบทความทำสกู๊ปให้กับนิตยสารแนวบันเทิงหัวหนึ่งอยู่ ซึ่งปัจจุบันได้ปิดตัวลงไปแล้ว โดยจะเป็นคอลัมน์เกี่ยวกับท่องเที่ยง กินดื่มตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั่วประเทศ และในครั้งหนึ่ง ผมและทีมงาน ตากล้อง และช่างตัดต่อรวมอีกสามคนได้นัดกันที่สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิตตั้งแต่เช้า เพื่อร่วมกันเดินทางไปเขาใหญ่ที่จ.สระบุรี โดยได้ประสานงานเรื่องที่พัก สถานที่ถ่ายทำไว้หมดแล้ว

อ่านเรื่องผี ถ่ายงานบนเขาใหญ่จนดึก แต่ขากลับหลงทางอยู่ในความมืด

เมื่อไปถึง เราพบว่าที่พักของเราเป็นรีสอร์ตที่สวยงาม มีคลาสทีเดียว แถมยังค่อนข้างเป็นส่วนตัวโดยมีห้องใหญ่ๆให้เช่าเพียง 5 ห้องเท่านั้น พอตอนเย็นเราได้ไปดูบ้านหลังหนึ่งที่ละครของช่องดังมักใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ  เป็นบ้านที่สวยงามไม่เพียงแค่ภายนอก แต่ภายในก็ตกแต่งได้หรูหรางดงามไม่แพ้กัน หากแต่พวกเราที่ได้เข้าไปรับรู้ได้ว่า….บ้านหลังนี้มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา

จากนั้นเจ้าของบ้านก็ได้แนะนำร้านอาหารร้านึงที่อยู่บนทางขึ้นเขา และได้อาสาพาไป เราได้ไปถ่ายทำกันต่ออย่างสนุกสนาน จนไม่ได้สนใจแม้แต่จะดูเวลาหรือมีคนบ่นว่าเมื่อไหร่จะเลิกกอง จนกระทั่งกว่าจะรู้สึกตัวกันก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว เจ้าของบ้านที่พามาจึงแนะนำว่าควรรีบกลับ เพราะอย่างไรก็ตาม แม้ทางบนเขาจะถูกพัฒนาให้ดีแล้ว ก็ไม่ควรประมาเวลากลางค่ำกลางคืน

ขากลับที่พักผมและทีมงานได้พูดคุยเรื่องต่างๆที่ผ่านมา แม้กระทั่งเรื่องของบ้านละคร ทุกคนรู้สึกตรงกันว่าเหมือนมีใครยางคนแอบมองอยู่ตลอดเวลาที่เดินดูบ้านหลังนั้น ทั้งๆที่บ้านที่ส่ามีเจ้าของอยู่แค่คนเดียว พี่ทีมงานอีกคนก็พูดขึ้นมาว่า จริงๆบรรยากาศเหมาะแก่การถ่ายหนังผีอยู่เหมือนกัน หลังจากนั้นเรายังคงวนเวียนกับการเล่าเรื่อง “ผีผี” กันอยู่อีกพักใหญ่ แม้ว่าจะรู้กันดีว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดในป่าในเขา โดยเแพาะเวลากลางคืน

จนกระทั่งพี่คนนึงทักขึ้นมาว่า… “เห้ย มันแปลกๆรึเปล่า? เหมือนมาไกลแล้วนะ จำได้ว่าแยกทางเข้ารีสอร์ตจะมีป้ายปักหลายอัน แต่นี่ขับมาตั้งนานยังไม่เจอเลย”

“หลงทางเหรอ? เลี้ยวผิดทางรึเปล่า”

“จะบ้าเหรอ ตั้งแต่ขับมายังไม่เจอทางแยกสักแยกเลยนะ”

เรื่องนี้เราเห็นตรงกัน ตั้งแต่ตรงมาเรายังไม่เจอทางเลี้ยวเลย ไม่น่าจะหลงได้ จึงตัดสินใจมุ่งไปต่อตามทาง จนกระทั่งเกือบจะตี 2 แล้ว จากที่เคยเสียงดังโหวกเหวก ถึงตอนนี้เงียบกันทั้งคัน บรรยากาศตรึงเครียดเข้ามาแทนที่ ผมได้แต่อธิษฐานขอเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ช่วยเมตตาคุ้มครองให้ได้กลับถึงที่พักได้โดยเร็วด้วยเถิด

สิ้นคำอธิษฐาน ผมสังเกตเห็นผู้หญิงในชุดสีฟ้า ผมยาวปรกหน้ายืนอยู่หน้าทางโค้งข้างหนา แล้วชี้นิ้วตรงมาที่รถ ผมได้แต่อึ้งงันกับสิ่งที่เห็น…นั่นมันไม่ใช่คนแน่ๆ และดูเหมือนไม่มีใครในรถเห็นเหมือนผมเลย ผมเองก็ไม่กล้าที่จะทักเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้ จนกระทั่งผ่านไปอีกโค้ง สองโค้ง ก็ยังเจอผู้หญิงคนนั้นมายืนชี้เหมือนเดิม ผมได้แต่ซุกหน้าลงกับพื้น น้ำตาไหลนองเต็มหน้า จนในที่สุดผมก็เรียกบอกคนขับ

“เห้ย ผมว่าเรามากันผิดทางแล้ว กลับรถเถอะ!”

พอได้ลองเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏว่ารถได้เลยออกมาไกลกว่า 20 กิโลแล้ว! ทันใดนั้นมือถือก็ดีบลงพอดี คนขับกลับรถตามความเห็นของผม คราวนี้ก็ยังต้องมาเจอผู้หญิงชุดฟ้าในแต่ละโค้งอีก แต่คราวนี้ไม่ได้ขี้ตรงมาที่รถ หากแต่ชี้ไปทางซ้ายทีขวาที โดยผมก็ยอกให้คนขับขับไปทางนั้น จนกระทั่งพักใหญ่เราก็เจอกับทางแยกที่มีป้ายเยอะๆ บริเวณทางเข้ารีสอร์ตที่เราพักนั่นเอง ทั้งๆที่ในตอนแรกที่ผ่าน ไม่มีใครสังเกตเห็นเลย

ทีมงานต่างโล่งใจที่จะได้พักผ่อนเสียที เว้นแต่ผมที่เป็นความรู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือ ผมคิดว่าเธอคงมาช่วยบอกทางให้คนหลง อย่างที่เขาเรียกกันว่า “ทางผีบอก”

วันรุ่งขึ้นผมได้แอบไปถามกับพรักงานต้อนรับ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครรู้ จนกระทั่งตอนจะกลับได้พบกับเจ้าของรีสอร์ต หลังกล่าวร่ำลา ผมได้ทักไปว่าเมื่อคืน…พวกผมเจอด้วยครับ

เจ้าของถามกลับมาแค่ว่า “ผู้หญิงเสื้อฟ้ารึเปล่า?”

“แขกที่มาเข้าพักแล้วหลงทางบนเขา หากอธิษฐานขอและมีเซ้นส์มักจะได้เจอ คอยช่วยนำทางมาส่ง บางทีเขาคงอยากได้กุศลผลบุญ เนื่องจากเป็นผีตายโหง หากมีโอกาศก็อยากให้ทำบุญไปให้บ้าง”

ได้ฟังเรื่องนี้ผมก็ถึงกับอึ้ง ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเจอเรื่องแบบนี้ แม้กระทั่งกลับมาแล้วผมก็ไม่ได้เล่าให้เพื่อนร่วมทางฟังเลย

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

06/10/2019

เรื่องผี เดอะช็อค | “โลงศพกลางคลอง” ที่ลอยบนแม่น้ำท่าจีน

เรื่องผี เดอะช็อคเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว สมัยนั้นคุณเพชรอาศัยอยู่ที่นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยบ้านของคุณเพชรจะอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน โดยที่มีวัด 2 วัดตั้งขนาบบ้านอยู่ และในวันหนึ่ง ขณะที่น้าและคุณเพชรได้ลงเรือไปหาปลากันตอนดึกๆในบริเวณบ้าน แต่หาปลาไม่ได้ จึงพายเรือไกลออกวัดออกไป

ตอนนั้นเองที่คุณเพชรสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียน นั่งหันหลังอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนริมตลิ่งคนเดียว ในช่วงเวลาราว 5 ทุ่ม คุณเพชรรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล สงสัยจะโดนเข้าแล้ว จึงเรียกให้น้ารู้ น้าเข้าใจในสิ่งที่คุณเพชรจะสื่อ จึงพยักเพยิดให้ออกเรือไปทางอื่นแทน

เรื่องผี เดอะช็อค “คลอง 3 ผี” โดยคุณเพชร

เรือของคุณเพชรมุ่งหน้าไปทางวัดอีกวัดหนึ่งแทนที่อยู่ไกลออกไปอีก ขณะที่เอาเรือเทียบฝั่งและนั่งตกปลากันบนเรือริมตลิ่ง จู่ๆก็มีชายชราโผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ ไม่ไกลจากเรือที่ได้จอดเทียบไว้นัก

แต่ชานชราคนนั้น เป็นคนที่ชาวบ้านรู้จักกันดี น้าของคุณเพชรจึงได้ทักออกไปว่า

“ลุงมาทำอะไรแถวนี้”

“มางมหาหอยน่ะหลานเอ้ย”

สิ้นเสียงของลุง น้าของคุณเพชรรีบกลับทันที “ไป ไม่ต้องหาปลาแล้ว”

เรือของคุณเพชรมุ่งกลับไปทางบ้าน โดยที่ไปได้ราวครึ่งทางแล้ว จู่ๆก็ได้ยินเสียงแหวกของน้ำ ราวกับมีใครพายเรือไล่ตามมา แต่คุณเพชรกลับมองไม่เห็นอะไรด้านหลัง ขณะที่น้าก็รีบเร่งฝีพายขึ้นเหมือนกับต้องการสลัดหนีเจ้าสิ่งที่ว่า

แต่ยิ่งเร่ง ยิ่งหนี ดูเหมือนเสียงแหวกน้ำก็ยิ่งดังแรงไล่ตามมามากขึ้น จนรู้สึกได้ว่าบางอย่างนั้นมาจี้อยู่ท้ายเรือแล้ว น้าของคุณเพชรจึงหันหลังกลับไปดู แสงไฟฉายส่องกบบนหัวของน้าสาดเข้ากับวัตถุบางอย่างท้ายเรือ

โลงศพ! มีโลงศพลอยน้ำจี้ไล่เรือของคุณเพชร น้าจึงรีบพายออกไปทันที จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแทกท้ายเรือดัง ปัง ปัง ปัง! น้าจ้วงพายอย่างไม่คิดหันกลับไปมองอย่างสุดกำลัง จนกระทั่งทิ้งห่างมาพอสมควร จู่ๆก็ได้ยินเสียงเหมือนใครกระโดดลงน้ำดัง ตู้ม! คุณเพชรหันไปมองและพบเข้ากลับบางอย่าทรงกลมสีดำ ดูเหมือนจะเป็นศีรษะคน ลอยคออยู่บนน้ำเข้ามาหา

น้าคุณเพชรไม่สนอะไรนอกจากจ้ำพายต่อไปแบบไม่หยุดหย่อน ในขณะที่คุณเพชรเอาแต่สวดมนต์ที่ไม่รู้ว่าท่องผิดหรือถูก วนไปวนมาจนกระทั่งถึงบ้าน ภายหลังคุณเพชรจึงได้ถามถึงเรื่องราวทั้งหมด โดยน้าเล่าให้ฟังว่า ทุกสิ่งที่เห็นตั้งแต่นักเรียนหญิงที่ม้านั่ง ล้วนเป็นวิญญาณทั้งสิ้น

“ไม่กี่เดือนก่อนมีนักเรียนถูกฆ่าแล้วนำศพมาทิ้งไว้แถวนั้น ลุงคนที่เห็นที่ริมตลิ่งก็เมาแล้วตกน้ำตาย ส่วนโลงศพ..จะเป็นของใครก็ไม่รู้ ยังไงซะแถวนี้มันก็ติดวัดอยู่แล้ว” และนี่คือเรื่องราวที่มาทั้งหมดของเรื่องผี เดอะช็อคเรื่อง “คลองสามผี”

ขอขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : เรื่องคลอง 3 ผี โดย คุณเพชร the shock 13 fm

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

03/10/2019

เรื่องเล่าผี | “ห้องน้ำห้องสุดท้าย” ในโรงเรียนเก่าแก่ย่านบางนา

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้ เหตุการณ์เกิดขึ้นในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านบางนา เป็นโรงเรียนเก่าแก่เปิดมานานโรงเรียนนึงเลย โดยผู้ที่เล่าเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นให้ผมฟังคือน้องเล็ก น้องเล่าว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 6

เรื่องเล่าผี..เหตุเกิดที่ห้องด้านในสุด ของสุขาหลังโรงเรียนชื่อดัง

ในช่วงที่เริ่มมาเข้าเรียนที่นี่ตอนม.4 ขณะพักกลางวัน น้องเล็กไปเล่นกับเพื่อนๆตามประสา แต่แล้วจู่ๆก็มีภารโรงเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า…

“หลังตึกเรียนด้านหลังสุด มันจะมีห้องน้ำเก่าอยู่ อย่าเข้าไปใช้นะ”

“หากไม่จำเป็น…อย่าเจ้าไปใกล้เลยจะดีกว่า ขนาดกลางวันแสกๆยังไม่มีคนกล้าไปใช้”

กลุ่มน้องเล็กและเพื่อนได้ฟังดังนั้นก็นึกสงสัย และคะยั้นคะยอให้ลุงภารโรงเล่าถึงเหตุผลที่ห้ามไว้ให้ฟัง

“พูดแล้วขนลุก! ตอนนั้นน้าพึงเข้ามาทำงานที่โรงเรียนนี้ใหม่…”

ลุงภารโรงพูดถึงเรื่องเล่าผีอย่างได้ใจความว่าดังนี้… ตอนนั้นภารโรงได้รับหน้าที่ให้เข้าไปทำความสะอาดห้องน้ำดังกล่าวนี้ ตอนนั้นประมาณ 3 โมงเย็น ขณะที่ลุงล้างห้องน้ำห้องที่สอง ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเดินผ่านเข้าไปห้องน้ำด้านในสุด แล้วปิดประตูไล่หลัง ลุงไม่ได้ใส่ใจมากนักและราดน้ำลงพื้นที่ขัดไว้ แต่จู่ๆก็มีเสียงราดน้ำตามมาติดๆจากห้องน้ำด้านใน เมื่อออกมาดู ลุงยังคงเห็นห้องที่ว่าปิดประตูอยู่ อย่างไรเสียก็มีคนใช้อยู่เพียงห้องเดียว จึงบอกออกไปว่า ให้ราดน้ำให้สะอาดหลังใช้ด้วยนะ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตอบรับเป็นเสียงเคาะขันสองที ลุงก็ไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด

วันถัดมาลุงภารโรงยังคงต้องไปทำความสะอาดห้องน้ำนั้นเช่นเคย และเห็นห้องน้ำห้องสุดท้ายด้านในปิดอยู่ห้องเดียวเหมือนเมื่อวาน ขณะที่ลุงยื่นมือจะไปเปิดประตูนั้น ก็มีเสียงไอค่อกแค่กดังรอดออกมาจากด้านหลังบานประตู

“อ้าว ยังมีคนเข้าอยู่เหรอ”

แต่ไม่มีเสียงขานรับตอบแต่อย่างใด มีเพียงเสียงไอดังเป็นระยะ จนกระทั่งลุงทำความสะอาดเสร็จแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววจะมีคนออกมา จู่ๆก็มีเสียงราดน้ำ และน้ำไหลจากก๊อก ลุงยามจึงเอ่ยไปเหมือนเมื่อวานว่า ให้ช่วยราดน้ำให้สะอาดและปิดน้ำด้วย

หลังจากนั้นผ่านไปสองวัน ลุงภารโรงต้องมาทำความสะอาดโรงเรียนตั้งแต่ตี 5 เนื่องจากวันนั้นทางโรงเรียนจะมีการจัดประชุมผู้ปกครองขึ้น ลุงยามกวาดตามห้อวเรียนบนอาคาร และสุดท้ายก็ไปจบที่ห้องน้ำเดิมตอนราวๆ 7 โมงเช้า แต่ครั้งนี้ประตูห้องน้ำสุดท้ายแง้มเปิดอยู่ ลุงคิดว่าคราวนี้คงได้เข้าไปทำความสะอาดเสียที แต่แล้วเมื่อลุงทำความสะอาดห้องที่ 1…ห้องที่ 2 ก็ได้ยินเสียงประตู้ห้องน้ำสุดท้ายปิดดังโครม!

บางที…นักเรียนอาจเริ่มมากันแล้ว ลุงจึงตะโกนออกไปว่า

“ปิดประตูเบาๆหน่อยสิไอหนู เดี๋ยวก็ได้พังหรอก”

สิ้นเสียงลุงก็มีเสียงไอแคกๆดังออกมา ราวกับจะขานรับ

ขณะที่ทำความสะอาดห้องสองเสร็จแล้ว กำลังจะเดินไปดูที่ห้องสุดท้าย จู่ๆก็มีเสียงดังโครม! ขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงเหมือนใครทำขันหล่น ลุงหันไปมองตามเสียงแต่ไม่พบอะไร จึงหันกลับมาหวังจะทำความสะอาดกระจกอ่างล้างหน้าหน้าห้องน้ำ ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นภาพสะท้อนบางอย่างในกระจก

มันเป็นภาพของห้องน้ำห้องสุดท้ายด้านหลัง แต่กลับมีหน้าของผู้หญิงก้มลงมามองลอดผ่านทางช่องว่างประตูห้องน้ำ แม้จะเพียงครึ่งใบหน้า แต่ลุงเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ปกติ ใบหน้านั้นเขียวคล้ำจนทำให้ลุงยืนแข็งทื่อ ลุงพยายามก้าวขาหวังจะออกไปข้างนอก ใบหน้านั้นก็เงยขึ้นจากช่องที่ว่า แต่ยังไม่ทันจะพ้นประตูห้องน้ำห้องแรก ก็มีเสียงประตูเปิดออกกระแทกดัง ปัง! ไล่หลังมา

ลุงหันกลับและเดินไปที่ห้องสุดท้าย แล้วใช้มือผลักประตูห้องเข้าไป แต่ภาพที่ลุงเห็น ห้องนั้นไม่ใช่ห้องน้ำที่ควรจะมีคนเข้าไปใช้ได้ หากแต่เป็นห้องที่มีโถส้วมเก่าๆ ละไม้กวาดพิงเอาไว้ใช้เป็นห้องเก็บอุปกรณ์! ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง โครม! ขึ้นมาอีกจากบนหลังคา ทำให้ลุงถึงกับต้องรีบเตลิดออกมา และหลังจากวันนั้นมา ลุงจะเข้าไปทำความสะอาดถึงแค่ห้องที่สอง โดยไม่คิดจะไปแตะต้องห้องสุดท้ายอีกเลย

หลังจากน้องเล็กและเพื่อนได้ฟังเรื่องเล่าผีในครั้งนั้น ก็ผ่านไปหลายเดือนจนลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว จังหวะนั้นทางมีกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือที่โรงเรียน โดยที่นักเรียนหญิงจะได้นอนบนอาคารเรียน ส่วนนักเรียนชายจะได้กางเต้นท์นอน บังเอิญว่าอาคารและห้องที่น้องได้ใช้เป็นที่พัก คืออาคารสุดท้ายติดกลับห้องน้ำดังกล่าว แถมห้องนี้ยังอยู่ตรงกับห้องน้ำที่ว่าพอดี จนกระทั่งเสร็จจากกิจกรรมราว 4 ทุ่มและถึงเวลาแยกย้ายเข้านอนพอดี โดยน้องและเพื่อนๆจะนอนหันปลายเท้าไปทางห้องน้ำนั่น

ขณะที่น้องเล็กครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดัง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง! มาจากทางหน้าต่างด้านปลายเท้า พอตื่นขึ้นมาดูแม้ว่าภายในห้องจะมืดแต่ด้านนอกหน้าต่างนั้นมีไฟส่องให้เห็นอยู่ และภาพที่ทำให้น้องเล็กตกใจแทยสิ้นสติ คือหัวของผู้หญิงที่ลอยขึ้นๆลงๆเหมือนคนกำลังกระโดดไปมา แล้วเอาหน้าผากโขกกับคานหลังคา ใบหน้านั้นดำคล้ำมีนัยน์ตาแดงก่ำ น้องสะดุ้งเรียกเพื่อนขึ้นมาแต่พอดูอีกทีก็ไม่เห็นอะไร และฝืนนอนลงไปโดยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง จนกระทั่งตีห้าที่เสียงนกหวีดปลุกให้ทุกคนตื่น  เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับกิจกรรมในวันใหม่ และในคืนนั้นเองที่มีการจัดกิจกรรมรอบกองไฟกลางสนามด้านข้างอาคาร ซึ่งสามารถห้องเห็นห้องน้ำนั้นได้อย่างชัดเจน และเป็นคืนที่เหตุการณ์สยองเกิดขึ้นกับตัวน้องเล็กอีกครั้ง

คืนนั้นขณะที่แต่ละหมู่ออกมาทำกิจกรรมแสดงละครตามที่ได้ซ้อมกันไว้ น้องเล็กก็เหลือบไปมองทางห้องน้ำที่ว่า แม้จะเห็นไม่ชัดแต่พอรู้ได้ว่า..ที่ข้างห้องน้ำมีผู้หญิงในชุดนักเรียนผมยาว ที่ปล่อยให้ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกมานอกชายกระโปรง น้องเล็กชี้ให้เพื่อนดู หากแต่ก็ได้ข้อสรุปประมาณว่า “คงเป็นนักเรียนในค่ายสักคนที่ไปเข้าห้องน้ำนั่นแหละ”  จนกระทั่งกิจกรรมรอบกองไฟจบลง แต่ละหมู่ต่างแยกย้ายกันไปที่พัก น้องเล็กเกิดปวดท้องต้องการเข้าห้องน้ำใกล้ๆที่สุด และด้วยความที่ปวดมากจึงทำให้ลืมเรื่องทั้งหมดไปสิ้น

น้องเล็กเข้าไปใช้ห้องน้ำห้องแรก โดยมีเพื่อนไปด้วย ยืนอยู่หน้าห้องที่เข้าอยู่ แต่จู่ๆก็มีเสียงหวีดกรีดร้องแหวกผ่านกำแพงกั้นห้องน้ำเข้ามา น้องเล็กตกใจอย่างมาก ตะโกนร้องเรียกเพื่อน ทันทีกับที่มองเห็นเงาดำกระพริบวิ่งไปมาทางด้านช่องใต้ห้องน้ำ พร้อมเสียงฝีเท้ากรูกันออกไป น้องเล็กรีบออกจากห้องน้ำเร็วเท่าที่จะอำนวยและไม่เห็นใครยืนรอหน้าห้องน้ำ และหันไปมองทางต้นเสียงซึ่งมาจากห้องน้ำห้องสุดท้ายก็เห็นขาข้างหนึ่งยื่นออกมาจากประตูห้องที่ว่า แล้วจู่ๆก็ถูกดึงกลับเข้าไป ทำเอาน้องเล็กถึงกับลืมหายใจ ประจวบเหมาะกับสายตาหันขี้นไปมองด้านบน ก็เห็นเข้ากับหัวผู้หญิงผมยาวหน้าดำคล้ำ ดวงตาสีแดงลอยพ้นคางขึ้นมาเหนือประตูมองมาทางน้องเล็ก!

เพียงเท่านั้น โดยที่ไม่ต้องสั่งการจากสมอง น้องเล็กวิ่งจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิตออกมาจากห้องน้ำอย่างเร็วที่สุด จนเห็นกลุ่มเพื่อนยืนแอบอยู่ข้างอาคารโบกมือหยอยๆให้มาทางนี้ น้องเล็กต้องการคำอธิบายต่อเหตุการณ์ที่ตนไม่เข้าใจจึงถามเพื่อนไปว่า หนีออกมาทำไม

“มึงจะไม่ให้กูวิ่งได้ไง กูเจอผู้หญิงตาแดงก่ำ หน้านี่ดำปี๋ จ้องมองเขม็งลงมาจากด้านบนประตูห้องสุดท้ายนั่นน่ะ!”

เหมือนกันเลย น้องเล็กก็เจอบางสิ่งที่ว่า

“ตอนมึงวิ่งออกมา กูเห็นมันวิ่งตามไล่หลังมึงออกมาด้วย มันเกือบจะจับได้อยู่แล้ว จนกระทั่งมึงวิ่งเข้ามาใกล้พวกกู รู้ตัวอีกทีมันก็หายไป…”

จนกระทั่งมีครูเดินเข้ามาสอบถาม แต่ไม่ได้ความอะไรพอบอกออกไปว่าเจอผี วันถัดมาน้องเล็กและเพื่อนจึงไปถามครูเก่าครูแก่ของโรงเรียน และได้ฟังมาความว่า…

“ก่อนช่วงปิดเทอมหน้าร้อนเมื่อสามปีที่แล้ว มีเหตุการณ์ที่นักเรียนหญิงคนนึง แอบเข้าไปทำแท้งในห้องน้ำห้องสุดท้ายแล้วเสียในนั้น กว่าภารโรงจะมาเจอก็ผ่านไปสองวันแล้ว ด้วยว่าอากาศร้อนใบหน้าจึงดำคล้ำ ตัวนี่บวมไปแล้ว”

“หลังจากนั้นภารโรงคนเก่าก็ลาออกไป เพราะเคยเข้าไปใช้ห้องน้ำห้องติดกัน แล้วเจอผู้หญิงโผล่หัวขึ้นมามองจากทางช่องว่างเหนือประตู แกเลยถีบประตูห้องน้ำแล้ววิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ภายหลังผอ.ได้จัดพิธีและทำบุญให้แล้ว ส่วนห้องนั้นก็ใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดแทน… ว่าแต่ อย่าบอกนะ ว่าพวกเธอไปเจอกันมา !”

ขอบคุณที่มา : ผู้ใช้เฟสบุ๊ค คุณแทน

อ่านเรื่องเล่าเรื่องผี เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

01/10/2019
1 12 13 14 15