เรื่องเล่าผี

“ห้องสนิม” เรื่องเล่าผีล้านวิว ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปี 2018

ห้องสนิม” หากใครที่รักการอ่านเรื่องเล่าผีเป็นชีวิตจิตใจน่าจะผ่านหูผ่านตาเรื่องนี้มาบ้าง เพราะมันคือเรื่องเล่าผีที่น่ากลัวที่สุดเรื่องนึงในปีที่ผ่านมา โดยถูกเล่าผ่านรายการวิทยุผีชื่อดัง เจ้าของเรื่องคือคุณแป้งซึ่งนำประสบการณ์ชวนหลอนสุดในชีวิตของรุ่นพี่คนนึงชื่อ จิรา มาเล่าสู่กันฟัง และทันทีที่เรื่องนี้ถูกออนแอร์ก็ได้รับการเข้าชมคลิปและแชร์ออกไปอย่างถล่มทลาย ด้วยความน่ากลัว ความโหดดาร์คของเนื้อเรื่อง ที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในมุมหนึ่งของสังคมไทย

“ห้องสนิม” เรื่องเล่าผี ที่มียอดวิวมากที่สุดเรื่องนึงในประวัติศาสตร์

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อ 33 ปีที่แล้ว ในตอนนั้นคุณจิรา รุ่นพี่ของคุณแป้งเป็นนักศึกษาปี 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และกำลังลงเรียนในวิชาที่ศึกษาวิจัยด้านภาษาท้องถิ่น นอกจากนี้วิชาที่ว่ายังจำเป็นต้องลงภาคสนามเพื่อไปเก็บข้อมูลถึงสถานที่จริง โดยคุณจิราและเพื่อนอีก 3 คน คือ กิ๊บ นุช และวิรุณ ตกลงกันว่าจะเลือกพื้นที่หนึ่งในจ.สระแก้วเป็นเป้าหมายการค้นคว้า

เมื่อถึงวันที่ต้องออกเดินทาง คณะนักศึกษาทั้ง 4 เดินทางแต่เช้ามืดและถึงที่หมายในช่วงสายของวัน แล้วจัดแจงเช็คอินเพื่อเข้าพักในโรงแรม วันถัดมาก็ตกลงกันลงขันจ้างรถที่ทางโรงแรมให้บริการ โดยที่มีแพลนว่าจะลงภาคสนามเพื่อรวบรวมข้อมูลกันใน 2 พื้นที่คืออ.อรัญประเทศ ซึ่งมีพื้นที่ติดชายแดนและเป็นที่ตั้งของตลาดชื่อดังอย่าง “โรงเกลือ” กับอีกพื้นที่นึงคืออำเภอข้างเคียงกัน ซึ่งที่นี่เองเป็นที่มาของเรื่องเล่าอันน่าสะพรึงเกินกว่าจะจินตนาการได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆลงความเห็นกันว่าเราจะไปยังอำเภอ “ข้างเคียง” ดังกล่าวมาก่อน แล้วค่อยไปจบที่อรัญประเทศ โดยคาดหวังว่าจะได้เดินตลาดซื้อของฝากกันหลังจากเสร็จกิจธุระตอนขากลับ

หลังไปถึงอำเภอที่ว่าแล้ว จุดสำรวจแรกคือวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะจัดงานผ้าป่ากฐินอยู่ จึงแวะลงไปสักการะบูชาและทำรีเสิร์ชกันอยู่ราว 2 ช.ม. ก็ผละออกมา จนกระทั่งพบหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลออกไปนัก ก็นัดแนะกับคนขับรถที่จ้างมาว่า จะอยู่ทำงานที่หมู่บ้านแห่งนี้ 2-3 ช.ม. สักสี่โมงเย็นค่อยกลับมารับพวกตนใหม่ที่จุดนัดหมายซึ่งนัดแนะกันไว้ล่วงหน้า เพราะกว่า 30 ปีที่แล้ว ระบบโทรคมนาคมยังไม่สะดวกรวดเร็วเหมือนกับตอนนี้ ยิ่งด้วยเป็นพื้นที่ห่างไกลเมืองด้วยแล้ว การนัดหมายให้ชัดเจนจึงสำคัญ

คณะนักศึกษาพากันเดินเข้าไปยังหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากวัด อย่างไรก็ตามหมู่บ้านที่ว่านับว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่เอาเรื่อง เมื่อผ่านเข้าไปจะพบกับเรือนผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นที่ทำการประกอบกิจของหมู่บ้านด้วย หากเดินเข้าไปตามทางก็จะพบว่าบ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านนี้มีสัมมาอาชีพเป็นช่างต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างเหล็ก และงานผลิตสินค้าที่ใช้ความชำนาญ ดูแล้วเป็นชุมชนตัวอย่างเลยทีเดียว นับว่าเป็นโชคดีของกลุ่มนักศึกษาที่เลือกจะมาเก็บข้อมูลวิจัยกันที่นี่ เพราะนอกจากมีวัตถุดิบข้อมูลที่สะท้อนความเป็นอยู่ของคนในชุมชนแล้ว ลูกบ้านต่างก็ยิ้มแย้มทักทายอย่างเป็นกันเอง

หลังคณะวิจัยขอความร่วมมือศึกษาและรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ผู้คนในท้องที่ ผู้ใหญ่บ้านก็มีน้ำใจชวนคณะไปรับประทานอาหารกลางวัน ตั้งวงกับข้าวกับปลากันบริเวณชานเรือนอย่างเรียบง่ายเป็นกันเอง ขณะที่เวลามีแขกไปใครผ่านมา ผู้ใหญ่ก็จะโบกมือเรียกมาแบ่งแกงพะโล้ของแกไปทาน จิราและเพื่อนเห็นภาพแบบนี้ก็รู้สึกว่าคืดไม่ผิดที่ได้มาที่นี่

กระทั่งการมาของชายคนหนึ่ง จิราและนักศึกษาสังเกตเห็นชายร่างผอมสูงท่าทางมอมแมมในชุดขาดวิ่นเป็นริ้ว ผมเพ้ากระเซิงราวคนจรจัด เดินผ่านมาจากทางเข้าหมู่บ้าน แล้วมานั่งอยู่ที่ข้างบ้านหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากที่คณะนักศึกษานั่งทานข้าวอยู่นัก ผู้ใหญ่ที่ร่วมวงอยู่ด้วยกันคงสังเกตเห็นว่าคณะนักศึกษากำลังเพ่งความสนใจไปที่ชายนิรนามที่ว่า จึงเอ่ยปากขึ้นแม้ไม่มีใครทักถาม

“หมอนี่มันชื่อเมืองมน… เมืองมนคนผีบ้าน่ะ”

“เป็นลูกชายของหมอขวัญใกล้วัดแถวๆนี้แหละ เมื่อก่อนมันก็ดูดีเป็นผู้เป็นคนอยู่หรอก”

“แต่ก่อนนับว่ามันหล่อเหลาเอาการ กระทั่งมันไปชอบพอนางโนรี ลูกสาวป้าคล้าย ช่างทำเสื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้น แต่อกหักกลับมา…”

“ก็เพราะว่านางโนรีมีเสี่ยสิบ นายหน้าค้าที่ดินที่บังเอิญมาทำกิจธุระแถวนี้มาชอบพอเค้าน่ะสิ สุดท้ายก็ตกลงปลงใจไปอยู่ด้วยกัน ลงเอยด้วยดี จนตอนนี้นางโนรีมันคงสบายไปแล้ว”

“แต่ไอ้เมืองมนน่ะสิ คงจะเฮิร์ทเอาเรื่อง ทำใจไม่ได้จนเสียผู้เสียคน เพี๊ยนจนเลเะเลือนไปเลย…”

เนื่องจากจิราและเพื่อนๆเป็นนักศึกษา ยังหนุ่มยังสาวอยู่จึงสนใจในเรื่องรักๆใคร่ๆเป็นธรรมดา เลยชวนคุยกันอย่างออกรส หนึ่งในนั้น..นุชก็ถามขึ้นแทนใจของทุกคนว่า

“แม่โนรีคนนี้คงจะสะสวยมากเลยนะ ถึงกับทำหนุ่มหลงหัวปักหัวปำ อกหักจนเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนั้น”

ทันใดนั้นเองภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็พูดขึ้นมาอย่างรู้งาน…

“หน้าตาพิลึกสิไม่ว่าหนูเอ๊ยย ไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมือง”

“เป็นผู้หญิงแท้ๆแต่สูงชะลูด แขนขาเก้งก้าง ผมก็แดงยังกับอิฐ ตาเหลืองผิวซีดๆ มีกระๆขึ้นเต็มหน้า”

จิราก็กับเพื่อนก็พูดแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า… นี่มันลักษณะของฝรั่งต่างชาติ ลูกครึ่งชัดๆ ภรรยาผู้ใหญ่ก็อธิบายเสริมเติมความว่า… ยายคล้ายแม่ของโนรี อุ้มท้องโย้ย้ายมาจากสัตหีบเมื่อหลายปีก่อนมาอยู่ที่นี่ เดิมทีบ้านนั้นยังมีตาพุ่มอาศัยอยู่ แต่หลังคลอดได้ปีนึง ตาพุ่มก็มาเสีย จนยายคล้อยต้องตกระกำเลี้ยงลูกตัวคนเดียวด้วยการหาของป่าขาย

“พอตอนหลังนางโนรีมีผัวเป็นเสี่ยนั่นแหละ ถึงได้มีเงินมาปลูกบ้านใหม่อย่างที่เห็น”

ขณะที่นั่งฟังเรื่องเล่าเมื่อครั้งอดีตของสาวผู้เป็นต้นเหตุให้ชายคนหนึ่งเสียสติ จิราก็สังเกตเห็นคนในบ้านช่างตีเหล็ก เอากับข้าวในชามไปให้ผู้ชายคนที่ว่า แต่จู่ๆเมืองมนก็เกิดร้องโหวกเหวกคุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างกับเห็นผีร้าย ปัดชามคว่ำกระเด็น แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปด้านในที่ที่ใช้เก็บข้าวของเครื่องมือช่าง ชาวบ้านต่างพากันวิ่งไปเพื่อคุมตัวเมืองมน เนื่องจากเกรงว่าหากปล่อยทิ้งไว้อาจจะเผลอไปทำร้ายคนอื่นๆได้

วิรุณชายหนุ่มคนเดียวในคณะนักศึกษาก็เข้าไปช่วยด้วย เลยได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าเมืองมนอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเพียงใด เขานั่งขดตัวซุกอยู่กับมุมหนึ่งในห้องที่คล้ายกับตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกจับด้วยสนิมเป็นสีแดงน้ำตาลคล้ำหนา จนดูเผินๆคล้ายกับกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่ถูกฉาบไปด้วยสีชาด เมื่อสังเกตดูดีๆจะพบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากการนำแผ่นเหล็กมาก่ออย่างหยาบๆเหนือพื้นดิน โดยที่พื้นยังคงเป็นดินเปลือย ภายในห้องดูเหมือนใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์ช่างต่างๆที่ทำจากโลหะกองสุมกันอยู่ แต่มีสิ่งที่สะดุดตาในห้องสนิมเขลอะคือ ตรงกลางห้องแท่นปูนขนาดประมาณโต๊ะเล็กๆถูกก่อขึ้นมา ด้านบนนั้นมีอาวธของมีคมอย่างมีดและดาบวางสุมไขว้กันเป็นกระโจมย่อมๆ แม้ห้องที่ว่าจะดูแปลกประหลาดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับติดใจอะไรเขาไปมากกว่า สถานการณ์ของเมืองมนชายสติฟั่นเฟือนตรงหน้า ในที่สุดก็ดูเหมือนจะสงบลง ทุกคนจึงปล่อยให้เขานั่งร้องไห้อย่างเงียบๆอยู่ในห้องนั้นคนเดียว

จุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าผีที่น่ากลัวที่สุด… “คนบ้ากับห้องสนิมประหลาด”

หลังเสร็จงานเรียบร้อย ก็นั่งรอรถมารับกระทั่งได้เวลานัดหมาย แต่จนแล้วจนเล่าเวลาล่วงเลยไป 6 โมงเย็นก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีรถมารับ จึงขอยืมโทรศัพท์โทรไปยังโรงแรมจากบ้านผู้ใหญ่ วิรุณคุยกับทางนั้นได้ความว่ารถเกิดเสียกระทันหัน และจะส่งรถคันอื่นออกไปรับแทน เนื่องจากดูท่าว่าจะใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่าที่คิด ยังไม่ทันจะได้ข้อสรุปผู้ใหญ่บ้านก็เชิญชวนด้วยอัธยาศัยว่าทำไมไม่อยู่ค้างคืนซะที่นี่เลยล่ะ เนื่องจากหมู่บ้านชุมชนแห่งนี้อยู่ห่างจากโรงแรมกว่า 30 ก.ม. อีกทั้งคืนนี้จะมีงานสังสรรค์กันภายในชุมชน เพื่อนๆฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนุก จึงตัดสินใจค้างกันที่นี่คืนนึง โดยนัดให้โรงแรมมารับในเช้าวันรุ่งขึ้นแทน

คืนนั้นคณะนักศึกษาอยู่กินเลี้ยงกับชาวบ้านกันบริเวณลานหน้าบ้านผู้ใหญ่ กระทั่งตกดึกต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน โดยที่คืนนั้นจิราและเพื่อนๆได้ภรรยาผู้ใหญ่เป็นธุระจัดห้องหับให้นอนรวมกันที่บ้านหลังหนึ่งใกล้กับเรือนผู้ใหญ่ กลางคืนที่นี่เงียบสงัดจนแทบได้ยินเสียงหายใจชัดเจน อย่างไรก็ตามก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้น จิราได้ยินเสียงบางอย่างกระทบกันดังตุบๆๆเป็นจังหวะช้าๆ ราวกับมีคนใช้ค้อนทุบกับผนังหรือพื้นอะไรสักอย่าง เสียงนั่นยังคงดังต่อไป และดูเหมือนต้นกำเนิดเสียงจะอยู่ห่างออกไป จิราไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรหากจะมีเสียงใครลุกขึ้นมาทำงานกลางดึก ในหมู่บ้านของช่างฝีมือเช่นที่นี่ จึงคล้อยหลับไป จนมาตื่นอีกทีเพราะอยากเข้าห้องน้ำ แต่ครั้นจะไปเข้าคนเดียวก็เกิดนึกกลัวขึ้นมา เนื่องจากห้องน้ำแยกอยู่ข้างนอกตัวบ้าน เลยปลุกนุชที่นอนอยู่ใกล้ๆลุกออกไปเป็นเพื่อน ด้านนอกทั้งมืดและเย็นเยียบ แต่สิ่งที่ปลุกเร้าสัมผัสของทั้งคู่กลับเป็นเสียงตุบๆๆ ที่ยังคงดังอยู่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่

ถึงแม้จะสงสัยอยู่ในที แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทักขึ้นหรือถามออกไป ความอยากรู้อยากเห็นบางทีก็นำมาซึ่งเรื่องยุ่งยาก กระทั่งพบว่าทางไปห้องน้ำต้องผ่าน “ห้องสนิม” ที่ทั้งคู่เห็นเมื่อกลางวัน พอมาดูอีกทีในตอนกลางคืนเช่นนี้ มันดูน่าสยดสยองกว่าเดิมมาก ตู้เหล็กผุกร่อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ที่ปกคลุมไปด้วยคราบสนิมหนาเตอะจนเหมือนถูกสาดไปด้วยสีชาดของโลหิต จนอดคิดไม่ได้ว่ามันดูไม่น่ามองเอาเสียเลย ทำไมเขาถึงไม่หาอะไรมาคลุมมาปิดมันหรือจะรื้อแล้วลงทุนทำให้มันดูดีเป็นกิจลักษณะกว่านี้ 

หังกลับจากเสร็จธุระห้องน้ำ ขากลับทั้งคู่เดินผ่านห้องสนิมอีก แต่คราวนี้ทั้งคู่กลับสังเกตเห็นรอยอะไรบางอย่างที่ผิวผนังของกล่องเหล็ก พอจ้องมองดูดีๆก็เกือบจะลืมหายใจ เพราะรอยที่บ่ามันดูราวกับเป็น “ใบหน้ามนุษย์” ที่ใหญ่โตกว่าปกติเป็นเท่าตัว ปูดโปนยื่นออกมาอย่างกับดูหนังผีสามมิติ ใบหน้านั้นดูเหมือนกับรวมเป็นแผ่นเดียวกับผนังสนิมสีชาด อ้าปากหวอแล้วส่ายไปส่ายมาเหมือนกับอะไรบางอย่างด้านในตู้พยายามที่จะทะลุออกมา ภาพที่ไม่น่าเป็นไปได้ตรงหน้าทำเอาสองสาวนักศึกษาได้แต่ยืนอึ้งงัน แม้แต่นิ้วก็ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยวตามใจคิดได้ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่แทบล้มทั้งยืน คือการปรากฏตัวโดยไม่คาดคิดของ “เมืองมน” ชายวิกลจริตที่ดูจะผูกพันกับตู้เหล็กพิศดารนี่ โผล่ออกมาจากในตู้ เขาเดินหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีราวเสียสติ ก่อนที่จะเดินหายลับไปในความมืดบนถนนยามค่ำคืน จิราส่งเสียงกรีดร้องสุดแรง แต่มันดังอยู่แต่เพียงในลำคอของเธอ ก่อนที่จะหันมาเจอนุชที่ตอนนี้นอนสลบล้มพับขาแข้งอ่อนจนลงไปกองกับพื้น

ความพยายามครั้งถัดมาของจิราสำฤทธิ์ผล เสียงร้องของเธอดังไปทั่วทุกซอกในหมู่บ้านแห่งนั้น จนชาวบ้านต่างแตกตื่นลุกขึ้นมาดูเหตุการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกัน อย่างไรก็ตามนุชถูกหามตัวเข้าไปปฐมพยาบาล ส่วนจิรายังช็อคจนตัวสั่นไม่อาจให้การณ์อะไรได้ กระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก นุชรู้สึกตัวและกำลังพักผ่อน จิราก็ถูกถามถึงต้นสายปลายเหตุจึงเล่าทุกอย่างตามที่พบเห็นตามลำดับ หลังเล่าเรื่องประหลาดสุดสะพรึงจบ ปรากฎว่าเป็นฝ่ายผู้ใหญ่และชาวบ้านที่ดูจะออกอาการมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่..มีบางเรื่องที่เราไม่รู้ จิรานึกคำอธิบายออกได้เพียงเท่านี้ กระทั่งเจ้าบ้านช่างเหล็กก็พูดแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบว่า 

 “จะอะไรซะอี๊กกก ก็ไอ้เมืองมนมันเลี้ยงผีน่ะสิ พอมันถูกหักอกจากนังโนรี ก็เล่นของทำคุณไสย คงนึกว่าจะทำให้นังโนรีกลับมารักกลับมาชอบมันได้ล่ะมั้ง แต่สุดท้ายของเข้าตัว จนเสียสติไปแล้วไงล่ะ!”

จิราฟังแล้วรู้สึกตำหนิลุงบ้านตีเหล็กอยู่ในที นี่เป็นเรื่องหน้าเศร้าเกินกว่าที่จะพูดล้อเลียนด้วยน้ำเสียงดูแคลนมนุษย์กันแบบนั้น มันไม่ชวนขำเลยสักนิด แต่ลุงแกยังพูดต่อไปอย่างสนุกปาก 

“เขาเอาของกินดีๆให้ก็ไม่เอา แต่กลับชอบเอาหนูกบไปนั่งกินในห้องสนิมเขลอะนั่น แปลกคนมั้ยล่ะ”

กระทั่งผู้ใหญ่ส่งสายตาตำหนิมา ลุงแกถึงได้สงบปากสงบคำ บางทีอาจจะกังวลอยู่ในที ว่าตาลุงนี่จะเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาก็เป็นได้ ก่อนจะออกปากสรุปเหตุการณ์ว่า คงทำอะไรไม่ได้ เพราะจะไปห้ามไปปรามมันตลอดก็ไม่ได้ มันก็เดี๋ยวไปเดี๋ยวมา ไม่เป็นหลักแหล่ง แล้วมันก็มักจะแอบมาทำพิธีคุณไสยมนต์ดำของมันเป็นประจำ ปกติคนแถวนี้ไม่ค่อยไปยุ่งแล้วก็ไม่เคยเจออะไรแบบที่หนูว่า บางทีอาจจะเพราะแปลกที่แปลกถิ่นก็เลยพบเจออะไรแปลกๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่แนะนำให้กลับไปนอนพักผ่อนกัน จะเปิดไฟเอาไว้ทั้งคืนก็ไม่ว่าอะไร เดี๋ยวฟ้าสางแล้วค่อยว่ากันใหม่ จิราและเพื่อนที่เหลือก็ต้องใช้ความพยายามเต็มที่ที่จะหลับ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อสักครู่ มันทำให้เรื่องราวดีๆที่ผ่านมาทั้งวันพลันให้วับไปกับตา กระทั่งเช้าวันถัดมารถจากโรงแรมก็มารับกลับ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวในวันนี้จะได้กลายมาเป็นเรื่องเล่าผีสุดสยองที่ถูกเล่าผ่านรายการชื่อดังในอีก 30 …

Admin

16/02/2018

กระทู้มหากาพย์…จากคนสู่ ‘เปรต’

จากเรื่อง : เล่าประสบการณ์…ภรรยาเก่าผมตาย และเธอไปเกิดเป็นเปรต
เรื่องเล่าจาก : เรื่องเล่าสยองขวัญ พันทิป
เล่าโดย : สมาชิกหมายเลข 4020977

สวัสดีครับทุกท่าน กระผมชื่อบุญส่ง (นามสมมุติ) อายุอยู่ในวัยพอสมควร ผมใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นานว่าควรจะแบ่งปันเรื่องราวของผมดีหรือไม่ เหตุผล เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยอยากจะยุ่งเกี่ยวกับโซเชียลมากนัก ด้วยเป็นคนสมถะ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเกินความจำเป็น

แต่พระอาจารย์ ผู้มีเมตตา และกรุณาช่วยเหลือผม ท่านแนะนำว่า ผมคือผู้มีประสบการณ์ตรง เหมือนพระพุทธองค์ท่านตรัสรู้แล้วออกประกาศสิ่งที่พระพุทธองค์รู้ ให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย จึงจะเกิดกุศล ผมเองก็ควรจะออกไปประกาศสิ่งที่พบ ให้ผู้อื่นได้รู้เช่นเห็นจริงดังที่ผมได้เจอมา

ผมถามพระอาจารย์ว่า มันจะดีจริงๆหรือครับ เพราะเรื่องพวกนี้ ทุกวันนี้ มันกลายเป็นหนัง เป็นความงมงาย เป็นเรื่องตลกขบขันไปหมดแล้ว หากผมนำออกไปเล่า คงจะมีคนพากันเหน็บแนม ดูถูกให้ผมเคืองใจเป็นแน่

พระอาจารย์ตอบผม บัวยังมี4เหล่า เต่ายังมี4ขา ปลาหรือก็มีหลายชนิด มนุษย์ล้วนเป็นไปตามกรรม หากเขาฟังเธอ แล้วติเตียนเหน็บแนมเธอ ก็ขอให้คิดเสียว่า นั่นคือกรรมของเขาเอง

แต่หากมีผู้ฟังสิ่งที่เธอเล่า แล้วประพฤติตาม นั่นคือผู้มีบุญ เธอเล่าไป1000คนมีคนเชื่อเธอแล้วเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เกรงกลัวต่อบาปเพียง1คน นั่นคือกุศลต่อตัวเธอแล้ว

เมื่อได้ฟังคำตอบดังนี้แล้ว ผมจึงตั้งใจมาถ่ายทอดเรื่องราว ชีวิตของผมเอง ให้ท่านได้พิจารณาตามแต่เวรและกรรมของตัวท่านเอง

ว่าจะมองไปในทิศทางไหน เรื่องที่จะเล่านี้ ผมไม่ได้แต่งเติมเสริมความแต่ประการใด เป็นการพยายามเรียบเรียงจากความทรงจำ

ผมไม่ใช่นักเล่า นักพูดมืออาชีพ เป็นเพียงผู้ปฏิบัติธรรมขั้นต้น ที่มาเล่าสู่ท่านฟังท่านอ่านเท่านั้น ขออย่าได้กล่าววาจาว่าร้ายต่อกัน

แต่เพราะเรื่องราวนี้ มีผู้เกี่ยวข้องโดยตรงคือ อดีตภรรยาของผมและเธอก็เป็นแม่ของลูกสาวผม ผมไม่ได้ต้องการมาประจานเธอ

ผมจึงขอใช้นามแฝง และไม่เจาะจงลงไปให้แคบมากเกินไป เพราะนั่นไม่ใช่ใจความสำคัญที่ต้องการจะสื่อให้ทราบ

ผมเป็นคนบ้านนอกครับ เป็นคนกระบี่ ผมมีพี่น้อง6คน พ่อแม่ผมค่อนข้างมีฐานะ เพราะมีสวนปาล์มหลัก100ไร่

ผมเป็นลูกคนสุดท้อง เลยได้มีโอกาสเรียนสูงกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ผมเรียนจบ ปริญญาตรี ซึ่งในยุคนั้นคนจบ ป.ตรี ถือว่ามีความเก่งและได้รับการเยินยอ ยอมรับจากชาวบ้านค่อนข้างสูง ผมมาเรียนที่กรุงเทพ ก็ยังติดใจสังคมเมือง เลยบอกครอบครัวไปว่า ผมจะขอหางานทำอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ได้ไม่ดี ค่อยกลับใต้ ไปช่วยครอบครัวบริหารงานสวนปาล์ม พ่อแม่ผมก็ตามใจ ช่วงนั้นผมไปได้งานที่ชลบุรี ในปี42

ผมทำงานที่นั่นได้2ปี กลางๆปี44 ผมไปสะดุดตาสาวโรงงานคนหนึ่งเข้า เธอเป็นคนผิวขาว รูปร่างหน้าตาดี ผมตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบในร้านข้าวแกง ที่ผมไปนั่งกินเป็นครั้งแรก เพราะร้านนั้นชาวโรงงานจะนิยมมากินกัน และยูนิฟอร์มเธอก็บ่งบอกให้รู้

ผมเองตอนนั้นก็เป็นหนุ่มแน่น ตั้งใจเรียนจนได้งานทำ ก็ไม่เคยมีแฟน ถึงจะเคยชอบๆสาวกรุงเทพบ้าง แต่ก็ไม่เคยไปสานสัมพันธ์กับใคร ผมไม่กล้าเข้าไปทัก ได้แต่แอบมอง เพราะเธอนั่งกับเพื่อนเธอหันหน้ามาทางผม

บ่อยครั้งที่เผลอสบตา ผมก็จะหลบไปมองอย่างอื่นทุกครั้ง ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็จะไปนั่งกินข้าวที่ร้านนั้นทุกวัน ผมทำแบบนั้นอยู่ประมาณ1เดือน ผมไม่เคยเห็นว่าเธอจะเดินควงผู้ชายสักครั้ง

ผมจึงมั่นใจว่าเธอน่าจะยังไม่มีคู่ครอง เลยเริ่มที่จะถามคุณป้าเจ้าของร้านข้าวแกงเกี่ยวกับเธอคนนั้น คุณป้าก็บอกข้อมูลผมเท่าที่คุณป้าทราบว่า

อ๋อ นั่นหรอ ชื่อ มาลัย (นามสมมุติ) คนอุบล เป็นคนงานโรงงานนี้แหละ ลูกผัวไม่มีหรอก ทำไม สนใจหรือ

ผมบอกคุณป้าไปตามตรงว่า ที่ผมมานั่งกินข้าวร้านนี้ทุกวัน เพราะชอบสาวคนนั้น คุณป้าก็หัวเราะ แล้วยิ้มคุยกับผมด้วยความเป็นกันเอง

คุณป้าบอกผมว่า รักชอบ ก็เข้าไปคุยดูสิ ไม่ลองจีบ แล้วจะมีเมียได้ยังไง

วันรุ่งขึ้น ผมจึงรวบรวมความกล้า เข้าไปพูดจาปราศรัยกับเธอ ด้วยคำว่า …สวัสดีครับ ผมชื่อบุญส่ง มันคงจะดูแปลกๆที่ผมเข้ามาคุยกับคุณ เพราะเราไม่รู้จักกัน

แต่ผมอยากบอกกับคุณว่า ผมจะขอรู้จักกับคุณจะเป็นการรบกวนไหม ถ้าคุณจะไม่ถูกใจและปฏิเสธผมก็จะไม่รบกวนคุณ แต่ผมอยากบอกว่า ที่ผมมานั่งกินข้าวร้านนี้ทุกวัน เพียงเพราะผมอยากเห็นหน้าคุณ

เธอมองผมเหวอๆ และหันไปทำท่าเขินๆกับเพื่อนของเธอ ที่นั่งอยู่2คน เธอคุยกันเป็นภาษาอีสาน ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก

เพื่อนเธอคนหนึ่งถามผมว่า …ชอบมาลัยหรือ….ผมบอก (ใช่ครับ) พวกเธอเชิญผมนั่งข้างๆมาลัย ผมยิ้มให้มาลัย มาลัยเขินม้วน เอามือปิดปาก

แล้วยิ้มหัว พูดอะไรไม่ออก เมื่อยามที่เพื่อนของเธอยิงคำถามและคำแซวใส่ผมแทนมาลัย เพราะการแต่งตัวของผมนั้น เห็นได้ชัดว่า

ทำงานมีตำแหน่ง ไม่ใช่ระดับแรงงาน การเริ่มต้นครั้งนั้น จบลงที่เพื่อนของมาลัย เป็นคนชวนพูดและยุยงเสียส่วนใหญ่

เพราะมาลัยเหมือนจะเอาแต่เขินจนพูดไม่ออก คงจะไม่ชิน เพราะผมเป็นคนที่พูดจาสุภาพ ในขณะที่มาลัยจะเป็นคนพูดเล่นแก่นนิดๆเมื่อเจรจากับเพื่อนของเธอ

เธอไม่มีโทรศัพท์ ผมจึงจะสามารถคุยกับเธอได้ ผ่านการไปพบเจอที่ร้านข้าวแกงร้านนั้น หรือหากอยากจะเจรจายาวๆ

ผมก็จะเขียนจดหมาย พร้อมการ์ดสวยๆ ไปให้เธอ เพื่อที่ผมจะพรรณนาความรู้สึกทั้งหมดให้เธอได้รู้ แล้วเธอก็ตอบสนองผมด้วยการ

เขียนจดหมายคุยกลับมาเช่นกัน ผมคุยกับเธออยู่แบบนั้นเรื่อยมา ผมเรียนรู้และศึกษาเธอทั้งข้อมูลส่วนตัว อุปนิสัยใจคอ

เธอเรียนมาแค่ ม.3 และทางบ้านมีฐานะไม่ดี เธอเคยมีสามีผูกข้อไม้ข้อมือกันมาตั้งแต่อายุ16 พออายุได้20 สามีเธอคนนั้น ก็เลิกกับเธอไป

ทำให้เธอตัดสินใจมาทำงานโรงงานกับเพื่อนที่ชลบุรีจนถึงตอนนี้ มีคนมาจีบมาลัยเยอะ เพราะมาลัยเป็นคนขาว สวย รูปร่างดี ตามฉบับสาวงามเมืองอุบล

หลังเทศกาลปีใหม่ ปี45 ผมกลับมาทำงาน ผมไปรอเจอมาลัยที่ร้านข้าว ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงาน แต่ผมไม่เจอมาลัย ผมเจอแต่เพื่อนของเธอ ผมทุกข์ใจเพราะเธอไม่มีโทรศัพท์ จะโทรถามก็ไม่ได้ เลยไปถามเพื่อนเธอ ว่ามาลัยหายไปไหน เพื่อนเธอบอกว่า มาลัยย้ายที่ทำงานแล้ว

เพราะทางบ้านมาลัยมีหนี้ก้อนใหญ่ งานโรงงานได้เงินน้อย เธอเลยไปพัทยา จะไปทำงานที่นั่น ผมตกใจเมื่อรู้ว่ามาลัยจะไปทำงานที่พัทยา

คนรูปร่างหน้าตาดี แต่เรียนมาน้อยอย่างมาลัยจะไปทำงานอะไรได้ ให้ได้เงินมากๆ ผมลางานในวันรุ่งขึ้น และจ้างเพื่อนของมาลัยให้พาผมไปหามาลัย ด้วยเงิน1000บาท เพื่อนของมาลัยก็พาผมไปหามาลัยที่พัทยา เป็นร้านนวด

ผมขอเจอมาลัย เจ้าของร้านก็ให้เจอ มาลัยตกใจ แล้วบอกผมว่าจะมาทำไม ผมบอกกับเธอว่าผมรักเธอ และอยากจะรับเธอไปอยู่ด้วยกัน เธอจะได้ไม่ต้องมาทำงานในที่แบบนี้ มันดูไม่ดีนักหรอก ส่วนเรื่องแต่งนั้น ผมจะเข้าไปคุยกับทางบ้านของเธอเองที่อุบล

เธอดูลังเล เธอบอกว่าเธอต้องทำงานเพื่อหาเงินช่วยครอบครัวไปใช้หนี้เขา เธอคงไปอยู่กับผมไม่ได้หรอก ผมถามเธอว่าเท่าไหร่กัน

เธอบอกผมว่า (2แสน) ผมเองตกใจมาก เพราะเงิน2แสน ยุคนั้น มันไม่น้อยเลย ผมเองก็ทำงานมา มีเงินเก็บไม่ถึงแสนเลย

แต่ผมก็บอกเธอไปว่า เดี๋ยวผมจะหาทางช่วยมาลัยเอง ขอแค่มาลัยเลิกทำงานนี้ แล้วไปอยู่เป็นเมียผมที่ห้องเช่า

มาลัยจะทำงานโรงงานตามเดิม หรือทำงานอื่นก็ได้ ส่วนหนี้นั้นผมจะพยายามช่วยเหลือเอง

มาลัยมีความลังเล เหมือนเธอใช้ความคิดอย่างหนัก แต่เพื่อนเธอที่ไปด้วย ก็ช่วยพูด จนมาลัยยอมลาออก และมาอยู่กับผมในฐานะเมีย

ผมโทรไปบอกกับแม่เรื่องผมมีเมียแล้ว แม่ผมก็แสดงอาการไม่พอใจอยู่มาก เมื่อรู้ปูมหลังของเมียคนแรกผม เหมือนจะบอกว่า แม่มองหาสาวแถวบ้านที่เหมาะสมไว้ให้แล้ว อย่าเอาเลยคนนั้น

แต่เมื่อผมบอกไปว่า ผมกับมาลัยได้เสียกันแล้ว และมาลัยก็ท้องกับผมแล้ว แม่จะให้ผมทิ้งเธอกับลูกของผมหรือ แม่ผมเป็นคนธรรมมะธรรมโม เมื่อรู้แบบนั้น แม่ก็ เออๆ แล้วแต่ผมแล้วกัน ผมเลยถือโอกาสขอยืมเงินแม่

1แสน5หมื่นบาท เมื่อตอนพาเมียลงมาไหว้แม่ ในช่วงสงกรานต์ แม่ผมไม่ขัดข้อง เพราะผมยืนยันว่าผมจำเป็นต้องใช้เงิน

แล้วจะคืนให้แม่ทุกบาท และการเจอกับญาติๆของผมในครั้งนั้น แรกๆก็ดูอึมครึมอยู่บ้าง แต่เพราะมาลัยเป็นคนที่เข้ากับคนได้ค่อนข้างดี สมัยนี้คงใช้คำว่า (เฟรนลี่) น่าจะได้ ทำให้ญาติๆผมรู้สึกชอบมาลัยในที่สุด…

Admin

15/02/2018

เรื่องผี The Shock | รวม 6 เรื่องเดอะช็อคแบบอ่าน

เมื่อการฟังรายการยอดนิยมอย่าง เรื่องผี the shock กลายเป็นความคลาสสิคอย่างนึงคู่สังคมไทย รายการที่มีแฟนคลับติดตามกันเหนียวแน่นมาตลอดหลายสิบปี ใครจะรู้ว่า…มีบางคนเหมือนกันที่ “กลัวที่จะฟัง ไม่กล้าที่จะดูคนเดียว” นั่นเพราะเดอะช็อคมีความตื่นเต้นตรงที่เป็นรายการสดที่นำผู้ประสบเหตุการมาเล่าเรื่องผีกันแบบช็อคคนดูอยู่บ่อยๆ และนี่คือทางเลือกสำหรับปัญหานั้น นี่คือ เดอะช็อค แบบอ่าน 6 เรื่องเล่าสยองสุดสะพรึงจาก THE SHOCK FM 8 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งดำเนินรายการโดย คุณขวัญ น้ำมันพราย

6 เรื่องผี the shock ที่ชวนคุณทั้งอ่านและฟังไปด้วยกัน

เรื่องผี เดอะช็อค | เสื้อวัด

เรื่องราวของคุณมีนในวันนี้ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาที่ทางภาคเหนือ ตุณมีนให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “เสื้อวัด”

คือเรื่องผี the shock เรื่องนี้มันมีมีอยู่ว่า…คุณมีนเล่าว่าเป็นเรื่องราวสมัยยังเป็นวัยรุ่น มีอยู่คืนนึงเพื่อนชวนออกไป “หาผู้ชาย” ซึ่งตัวคุณมีนนั้นแค่ไปเป็นเพื่อนเท่านั้น

โดยไปกันทั้งหมด 4 สาวรวมตัวคุณมีน ด้วยมอ’ไซค์ 2 คัน

ตอนนั้นเป็นเวลาราว 3 ทุ่มแล้ว ก็พากันไปทางทางขึ้นดอยสุเทพ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ตีนดอย” ซึ่งสร้างความสงสัยกับคุณมีนมากกก นางก็งงว่ามาทำไรกันแถวนี้ เพราะถัดจากครูบาศรีวิชัยไปอีก ก็จะมีแต่ป่าเท่านั้น

จนกระทั่งขี่มาเจอวัดวัดหนึ่ง ก็จอดที่วัดนั้น  คิดว่าคงนัดกับเพื่อนชายซึ่งอาจจะมากินเหล้าอะไรกันในที่แบบนี้ล่ะมั้ง ขณะที่รออยู่หน้าบันไดทางขึ้นวัด คุณมีนก็เหลือบไปเห็นลุงคนนึงอยู่แถวนั้นใส่เสื้อม้อฮ่อมของทางเหนือ ใจคอก็ไม่สู้ดีว่านั่นใคร

คุณมีนยังไม่ทันหายสงสัยว่ามาหาใคร สักครู่มีสามเณรเดินมา 3 รูป เรื่องราวมาเฉลยจากปากเพื่อนผู้หญิง 2 คนว่า…

“ก็นี่แหละ…กรูมาหาเณร”

เล่นเอาตะลึงกันเลยทีเดียว ระหว่างนั้นทั้งหมดก็นั่งอยูที่บันไดทางขึ้นวัด คุยกันได้สักพัก คุณมีนกับเพื่อนหญิงอีกคนนึงที่มาเป็นเพื่อนเช่นกัน ก็เดินออกมาจากตรงนั้น เนื่องจากไม่อยากรับรู้กับเรื่องราวอาบัติที่จะเกิดขึ้น ซึ่งคุณมีนก็ไม่ทรบได้ว่าระหว่างนั้น..2 หญิง 3 เณร จะทำอะไรกันมากไปกว่าคุยหรือไม่ ซึ่งใครที่ได้ฟังเรื่องผี the shock ในวันนั้น คงรู้สึกได้ถึงความดำมืดที่จะตามมาในเหตุการณ์นี้

ส่วนคุณมีนก็เดินห่างออกมาอีกจนไปเจอลุงคนที่เห็นเมื่อสักครู่เข้า… ลุงถามว่า

“หนู เป็นผู้หญิงยิงเรือ มาทำอะไรกันดึกๆแบบนี้ แล้วนี่ก็เป็นวัดนะ”

คุณมีนก็ได้แต่บอกไปว่า…

“หนูมาเป็นเพื่อนเขาเฉยๆ ใจจริงหนูอยากกลับแล้วลุง”

“ลุงช่วยไปบอกเพื่อนหนูทางนู้นทีได้ไหม” … ในใจคุณมีน หวังให้ลุงช่วยไปเอ็ด แต่สิ่งที่ลุงพูดกลับมาคือ..

“กรรมใคร ก็กรรมมัน”!!?

ออกจะเป็นคำพูดที่มีความนัยอยู่…ขณะนั้นเพื่อนคุณมีนอีกคนมาตามบอกว่าเขาจะขึ้นไปบนวัดกันแล้ว จังหวะนั้นคุณมีนหันกลับไปดู ก็ไม่พบลุงคนเมื่อกี้ ราวกับแกหายไปในอากาศซะเฉยๆ

หลังจากคุณมีนต้องตามน้ำขึ้นมาบนวัด เพราะรถมอ’ไซค์ไม่ใช่ของตนเอง คุณมีนบอกเพื่อนแล้วว่า “กลับเถอะ ฉันว่าบรรยากาศมันไม่ค่อยดีแล้ว” แต่เพื่อนก็ยังรั้นว่า “ไม่มีอะไรหรอก”

เพื่อนของคุณมีน 2 คน นั่งคุยกับเณรอยู่หลังกุฏิ ส่วนคุณมีนกับเพื่อนอีกคนก็รออยู่ด้านหน้า… สักพัก เพื่อน 2 คนก็ออกมาแจ้งข่าวเซอร์ไพรส์ว่า..

“คืนนี้กรูจะนอนกุฏินี่นะ” !!!

คุณมีนก็ได้แต่ทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังเพื่อนทั้งคู่เข้าไปนอนกันสักพักใหญ่ ก็มีเสียงของเพื่อนดังออกมาจากในกุฏิ!

เพื่อนออกมา บอกว่า..เห็นผู้ชาย ผู้หญิงเดินไปมาอยู่นอกหน้าต่างจนนอนไม่ได้ สักพักนอนๆอยู่ก็ถูกดึงขา!

ตอนนั้นคุณมีนบอกว่าใจไม่ดีมาก เลยชวนเพื่อนอีกคนที่รออยู่ไปไหว้ขอขมาศาลในวัด ที่คนเหนือจะเรียกกันว่า “เสื้อวัด”

“หนูไม่ได้ตั้งใจมาทำอะไรไม่ดีเลย หนูแค่มาเป็นเพื่อน และหนูไม่สามารถจะทำอะไรได้จริงๆ หนูขอโทษด้วย”

จนกระทั่งราวตี 2 เพื่อนทั้งคู่ก็ออกมาบอกว่าจะกลับแล้ว ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร มารู้ตอนหลังว่าเจอหลอกจนนอนไม่ได้เลยกลับ

เช้าวันต่อมา ปรากฎว่าเพื่อนทั้ง 2 คนนั้นกลายเป็นคนสติหลุด ไม่มีสติสัมปัชชัญญะ อย่างกับคนบ้า!

พ่อแม่ของทั้งคู่ก็ได้มาถามทางคุณมีนว่า ไปทำอะไรกันมารึเปล่า… แต่ด้วยเรื่องราวที่มันเป็น untold story ไม่สามารถเล่าได้จริงๆ คุณมีนเลยเลี่ยงไปว่า

“ไม่ได้ไปทำอะไรนะคะ แค่ไปเที่ยวแถวคูเมืองเอง เพื่อนไม่สบายรึเปล่า”

ปรากฎว่าเพื่อนไปหาหมอก็แล้ว แต่ก็ไม่หาย จนในที่สุดพาไปหาร่างทรง ทันทีที่ร่างทรงเห็นก็ทักมาคำเดียวว่า…

“พวกเมิงไปทำเรื่องอะไรกันมา เค้าตามกลับมา” … “เตือนแล้วไม่ฟัง รู้มั้ยว่าเค้าจะเอาให้ตาย”

หลังจากนั้นแม่ของเพื่อนก็มาถามมีน ว่าร่างทรงเค้าทักมาแบบนี้..มีนจึงต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

ทันทีที่แม่เค้ารู้เรื่องก็ร้องไห้เสียใจ น้ำตาร่วง จนวันต่อมาต้องพาเพื่อนไปทำพิธีขอขมากับเจ้าที่เจ้าทางที่วัด พร้อมกับสามเณรอีก 3 รูป

ร่างทรงก็ไปด้วยกัน ก็ทำพิธีขอขมา ทำพิธีเสียผี ส่วนสามเณรก็ต้องถูกจับสึก หลังจากทำเสร็จแล้ว…ร่างทรงก็บอกว่า

“กรูไม่ยอม มันมากเกินไป กรูจะเอาให้ตาย!” ราวกับว่ามีบางอย่างสื่อสารผ่านร่างทรง

ตอนนั้นทุกคนต่างกลัวหมด จนร่างทรงบอกว่ามีอยู่วิธีเดียวที่จะแก้ได้คือ..”บวชชี”

คนพ่อคนแม่ก็พยายามเจรจาว่า…เออนี่ จะให้ไปบวชชีก็ได้ ยอมทำตาม แต่ขอให้ลูกกลับมามีสติ พูดรู้เรื่องก่อนได้มั้ย ขืนเป็นแบบนี้คงจะไปบวชไม่ได้

ร่างทรงก็ตอบกลับมาว่า…ให้ไปบวชเถอะ เดี๋ยวจะดีเอง

หลังจากนั้นทางครอบครัวก็พาเพื่อนไปบวชอยู่ 1 เดือน ระหว่างที่บวชก็เจอผีหลอกทุกกกกวัน แต่ก็ผ่านมาได้ จนครบเวลาแล้วก็กลับมามีสติเหมือนดังเดิม…

เรื่องผี the shock เรื่องนี้เป็นสติสอนใจได้ดีเลยว่า…”อะไรควร และไม่ควร” ต้องรู้จักกาละ และเทศะให้มาก

เรื่องผี เดอะช็อค | เฮี้ยนแบบนี้ ต้องปราบ

เรื่องราวที่คุณนุประสพพบเจอกับตัวเองมา ในสถานศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดยโสธร เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา คุณนุให้ชื่อเรื่องนี้ว่า “เฮี้ยนแบบนี้ ต้องโดนปราบ”

ขอท้าวความไปเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ที่สถานศึกษานี้ ที่แห่งนี้อยู่ในจ. ยโสธร ศึกจะพบเจอกับเหตุการณ์ความ “เฮี้ยน” กันมาต่อเนื่อง

หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่เคยลืมคือ จะมีน้องผู้หญิงคนนึงที่ถูกสัมภเวสีเข้าสิงเป็นประจำ เธอมักจะกรี๊ดร้องขณะเข้าแถวในตอนกลางวันแสกๆ

บ้างก็วิ่งกระโดลงในสระน้ำของสถานศึกษา บ้างก็ลุกขึ้นด่าอ.ที่มาใหม่ว่า…

“เมิงมาใหม่ ทำไมไม่บอกไม่กล่าวกรู”

จนก็พยายามหาทางช่วยกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพรมน้ำมนต์ สวดมนต์ หรือเอาพระมาใส่

หลังจากนั้นผมก็จบจากสถานศึกษาแห่งนี้ไปเรียนต่อ 2 ปี ก่อนจะกลับมาเป็นครูอัตราจ้างที่สถานศึกษาแห่งนี้อีกครั้ง…

ตอนมาผมก็ลืมๆเรื่องนั้นไปบ้าง มาถึงก็ไม่ได้ไหว้หรือจุดธูปอะไร… ผมมาสอนวันแรกก็เจอเลยครับ ที่ห้องพักครูด้านหลังจะเป็นห้องน้ำ ขณะผมเข้าห้องน้ำ…จู่ก็มีน้ำล้น ไหลออกมาจากห้องข้างๆจนนองพื้น

บนน้ำที่กระเพื่อมอยู่นั้น ผมเห็นเป็น “เงาคน” ยืนอยู่ที่นั่น ออกมาจากห้องน้ำ ผมก็สังเกตเห็นได้ว่าห้องข้างๆประตูปิดอยู่ บางทีอาจจะมีคนเข้า ผมคิดเช่นนั้น

จนผ่านไปอีกวัน ผมก็ยังเจอเหตุการณ์แบบนี้ คือเห็นเหมือนมีคนใช้ห้องน้ำข้างๆ และยืนหันหน้ามาทางนี้

วันต่อมาผมจึงถามภารโรงว่า…

“นี่ลุง ทำไมห้องน้ำด้านหลัง มีคนใช้แล้วไม่ปิดน้ำล่ะ”

สิ่งที่ลุงพูดกลับมาคือ… “เป็นไปไม่ได้ ห้องน้ำด้านหลังนั่นไม่ได้ถูกเปิดใช้งาน เพราะมันเสียรวมทั้งประตูด้วย ยังไม่ได้เบิกงบซ่อมเลย”

สร้างความขนลุกให้ผมเป็นอย่างยิ่ง คืนนั้นผมนั่งทำงานล่วงเวลาจนราว 2 ทุ่ม… ขณะผมจะกลับ ปิดจอคอมเรียบร้อย จู่ๆก็มีเงาคนปรากฎขึ้นสะท้อนบนหน้าจอคอม! ผมตกใจหันหลังไปดูก็ไม่มีอะไร มีเพียงผ้าม่านกระจกหลังโต๊ะทำงาน จากนั้นผมก็ปิดไฟห้องทำงาน ออกมาล็อคประตูกระจกจากด้านนอก

จู่ๆท่ามกลางความมืด…จอคอมเครื่องผม ก็ดันสว่างวาบขึ้นมาซะงั้น ที่น่าตกใจกว่าคือ มันเผยให้เห็น “เงาคน” บางคนที่อยู่ด้านหลังผ้าม่านนั่น!!

ผมรีบวิ่งกลับไปที่บ้านพักทันที จู่ๆก็ได้กลิ่นเน่าๆทันที พยายามเดินหาแหล่งที่มากลิ่นอยู่นานก็ไม่เจอ จนนอนไปทั้งแบบนั้น สักพักนึงก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก …

Admin

08/02/2018

อ่านเรื่องผี | วิศวกรเจอผีตอนคุมงานใน “ห้างดัง..ใจกลางกทม.”

เคยอ่านเรื่องผีเรื่องนี้รึยัง? เรื่องเล่าผีจากรายการวิทยุชื่อดัง ประสบการณ์โดยตรงของ “คุณภาคิณ” วิศวกรหนุ่มที่มักจะต้องเดินทางไปที่ต่างๆเพื่อคุมงานสร้าง และต้องเจอกับเรื่องราวชวนขนลุก และเรื่องราวในครั้งนี้ผ่านมาเพียง 2 ปีเท่านั้น เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ภาคิณไปคุมงานสร้างอะไรบางอย่างให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร ท๊ซึ่งเอ่ยชื่อไปจะต้องรู้จักทุกคน กับประสบการณ์สยองที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอในที่ๆมีผู้คนพลุกผล่าน โดยให้ชื่อเรื่องว่า “ครั้งเดียวไม่เคยพอ

อ่านเรื่องผี ประสบการณ์ทำงานที่เจอผีคืนแล้วคืนเล่า…ในห้างดังกลางกรุง

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อกุมภาพันธ์ปี 2559 ผมได้รับคำสั่งให้ไปเริ่มโครงการสร้างแลนด์มาร์คแห่งหนึ่งย่านใจกลางกรุงเทพ พูดเลยว่าแลนด์มาร์คแห่งนี้..หากบอกโลเคชั่นไปนี่ รู้จักกันทุกคนแน่นอน โดยเจ้าของงานก็จะเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งชื่อดังมากๆ เนื่องจากว่าสิ่งที่กำลังจะสร้างเนี่ยอยู่กลางถนน เจ้านายผมต้องการให้มีออฟฟิศสำหรับสายงานก่อสร้าง ก็เลยได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าของงานว่า เค้ามีอาคารจอดรถอยู่ในพื้นที่ห้างของเค้าเป็นตึก 10 ชั้น โดยผมก็เข้าไปติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ผมก็เอาแผนงานไปแจ้งเค้าว่า..จะทำงาน 4 วันไม่เกิน 5 วัน ต่อสัปดาห์

โดยอาคารนี้เป็นอาคารสาฐารณะ ซึ่งเค้าจะอนุญาตให้ใช้ทำออฟฟิศได้ตั้งแต่ชั้นที่ 8 เป็นต้นไป ซึ่งเดิมทีจะมีห้างนึงในเครือของเค้าอินโนเวท ก็จะมีบริษัทนึง มีชื่อและใหญ่ เค้าก็จะจองไว้ชั้น 9 ถึงชั้น 10 ทำเป็นพวกสโตร์ ของผมก็จะได้เป็นพื้นที่อีกโซนนึงซึ่งห่างเค้าพอสมควร ข้อที่ 2 เงื่อนไขเค้าคือต้องเริ่มทำงานหลังห้างปิดตั้งแต่ 23.00 และไม่เกิน 4.00น. และจากที่หัวหน้าผมบอกว่าทางผู้ใหญ่เค้าจะให้มีคนของเค้าเฝ้าระวังความปลอดภัยตลอดเวลาทำงาน โดยเวลาที่ผมจะทำงานก็จะโทรแจ้งเค้าล่วงหน้า ข้อสุดท้ายคือห้างเนี้ยนะครับจะมีทางยาวประมาณ 200 เมตร เป็นลิฟต์ 2 ฝั่ง ฝั่งละ 4 ตัว ตอนกลางคืนจะใช้ได้แค่ 2 ตัว ส่วนห้องน้ำเนี่ยไม่มีจะใช้ต้องลงไปข้างล่าง แล้วอย่างที่บอกผมวางแผนไว้ประมาณ 10 วัน วันแรกผมเข้าไปตอนสี่ทุ่มครึ่ง ผมต้องนัดทีมงานจะทำผนังออฟฟิศผมเนี่ยตอนห้าทุ่มครึ่ง ผมก็เข้าไปล่วงหน้า ก็กะว่าจะไปประสานงานล่วงหน้า

วันนั้นตอนผมไปชั้นหนึ่งก็ยังมีคนจอแจอยู่ เพราะ ห้างเพิ่งปิดก็ยังพอมีคนบ้าง จู่ๆก็ได้กินธูปจนมองไปก็เห็นเป็นโต๊ะบูชาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตึก เป็นเหมือนเครื่องเซ่น คือเราก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะว่าไปทำงานห้างก็จะเจอเรื่องไหว้เรื่องอะไรแบบนี้ ก็เป็นปกติ จริงๆใจก็คิดบ้างว่าเออจะเจอผีรึเปล่า เพราะขึ้นไป เพราะขึ้นไปชั้นบนก็ปรากฎว่าก็ไม่เห็นใครเลย ตรงนั้นบรรยากาศออกจะสลัวๆเพราะเค้าจะเปิดไฟแบบ 2 ดวงเว้น 1 ดวง ก็เลยกะว่าจะโทรติดต่อประสานงานเจ้าหน้าที่เขาว่ามาถึงแล้ว เค้าก็ถามว่า “ตอนเนี่ยน้องอยู่ไหน” ผมก็บอกไปว่า “ตอนนี้อยู่ชั้น 10 แล้ว” เค้าก็ถามต่อไปว่า “แล้วตอนนี้อยู่กับใคร” ก็บอกว่าอยู่คนเดียวเดี๋ยวทีมงานจะตามมาอีกประมาณ 10 นาที เขาพูดคำเดียวเลยว่า “หูยยยย” แบบตอนแรกก็งงว่าทำไมอะไรยังไง แล้วเค้าก็บอกว่า “เอองั้นเดี๋ยวผมจะรีบตามขึ้นไปแล้วกัน” ก็นั่งรอไปจนกระทั่ง 20 นาทีลูกน้องผมก็ตามมาบางคน ส่วนทีมงานเนี่ยตอนแรกมาก็ตกใจนะ เค้าจะมาด้วยรถกอล์ฟ รถกอล์ฟเนี่ยปกติก็จะนั่งได้ประมาณสองคน แต่นี่กลับมากันห้าคนนะครับ ทีแรกผมก็คุยเรื่องงานไปว่า อ่าอยากได้แบบนี้นะอะไรงี้ แล้วก็พูดแซวเขาว่า “โห เออพี่ไมมากันเยอะจังอ่ะ” เขาพูดมาคำเดียวที่ทำให้ผมจำขึ้นใจได้เลยคือ “มาเยอะๆอ่ะดีแล้ว อุ่นใจดี” จนกระทั่งเริ่มงานวันที่หนึ่งวันที่สองก็ดีนะครับ แต่ที่น่าสงสัยคือไม่มีเจ้าหน้าที่หรือใครอยู่เลย คือแบบห้าทุ่มจนตีสามก็ยังไม่มีใครมาดู ทั้งๆที่แบบทางผู้ใหญ่เค้าเน้นมาว่าจะต้องมีคนคอยอยู่ดูนะ เพราะว่างานก่อสร้างเนี่ยมันก็จะมีแบบมีงานเชื่อมบ้างอะไรบ้าง ซึ่งด้วยความที่มันเป็นอาคารสาธารณะเนี่ย ถ้ามันเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอะไรเงี้ยมันก็จะสร้างความเสียหายมาก ตรงนี้เราก็จะเข้าใจกัน

พอเข้าวันที่ 3 แล้วคืองานมันใกล้จะเสร็จแล้ว คือคืนนั้นก็แบบล้า ซึ่งงานเนี่ยมันก็จะเหลือแค่ติดกระจกหน้าต่างอะไรเนี่ย ผมก็เลยกะว่าอ่ะ นอนซักหน่อยหน้าออฟฟิศที่ก่อสร้างนั่นแหละ จู่ๆมันก็รู้สึกตัวครับเหมือนมีคนมาเขย่าขา พอลืมตาขึ้นมาเนี่ยก็เห็นคนงานสามคน แต่มันแปลกอยู่อย่างนึงคือคนงานเนี่ย ใส่หมวกกระต๊อบ เป็นหมวกสานเหมือนคนหาบขายไข่ปิ้ง ซึ่งผมมั่นใจว่าคนงานของทางบริษัทเนี่ยเป็นไปไม่ได้ที่จะใส่แบบนี้ เพราะเป็นมาตรฐานใหม่ที่คนงานจะต้องใส่เสื้อมีแถบสะท้อนแสง หมวกเซฟตี้ คือเค้าแต่งตัวเหมือนเป็นคนงานยุคเก่ารู้สึกตัวตื่นมาก็มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นลูกน้องผมแปดคนที่ติดตั้งประตูหน้าต่างอยู่ ส่วนตัวผมก็ไม่ได้พูดอะไรกับเค้านะ ก็โทรถามลูกน้องว่าเออ สร้างออฟิศเสร็จแล้วเหรอ แล้วทำไมไม่ปลุกผมเนี่ย ลูกน้องก็ว่าเห็นช่างหลับสบาย ก็เลยถามต่อไปว่า เออ…แล้วทำงานเสร็จแล้วเหรอ เท่าที่ผมดูเนี่ย เหมือนงานมันไม่ค่อยเรียบร้อยนะ เค้าก็บอกโอเคเดี๋ยวไปเก็บงานให้ แต่…เค้าขอร้องว่าขอไปเก็บให้ตอนกลางวันเท่านั้นนะ คือคนงานเนี่ยผมก็จะจ้างผู้รับเหมาภายนอกมาน่ะนะครับ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

พอวันที่ 4 ตอนกลางวันเนี่ย ก็จะเป็นผมกับลูกน้องบริษัทผมละ ที่จะขนโต๊ะสำนักงานอะไรขึ้นไป ผมก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เค้า แต่เค้าก็ไม่ยอมให้ขึ้นมากลางวัน ต้องไปใช้ลิฟต์ขนของซึ่งมันตั้งอยู่ที่ชั้น 9 ตอนที่ใช้ลิฟท์อยู่เนี่ย ก็มีลุงรปภ.คนนึงเข้ามาดู ผมก็คุยกับแกว่าเนี่ย มีคนงานเจอเหตุการณ์แบบนั่นนี่มา แกก็ว่า อ๋อ ปกติเจอกันบ่อย ก็เป็นคนงานที่เคยสร้างตึกนี้มาแหละ แล้วเสียชีวิต ลุงก็ถามาว่า เจอ 3 คนใช่มั้ย ชาย 2 หญิง 1 คือแกพูดมามันก็แบบเป๊ะๆๆเลย เราก็แบบคิดว่าเออ เห้ย โดนแล้วเหรอวะเนี่ย ทีนี้ก็คิดอีกว่าเออเดี๋ยวเราจะต้องมาทำงานที่นี่แหละใช่มั้ย ก็เลยถามลุงไปเลยว่า ลุงเอาตรงๆเลยนะ ที่เนี่ยมีอะไรอีกบ้าง ลุงแกก็บอก อ่ะหนึ่งเลย ตั้งแต่ชั้น 8 ขึ้นมาเนี่ย ไม่มีใครขึ้นมากันหรอก พนักงาน รปภ. จะมีก็แค่รถกอล์ฟมา แค่เวลาตี 1 และตี 4 เท่านั้น แล้วเวลามาก็คือมาสองคัน คันนึงก็อัดมากันหลายคน แล้วอย่างผมเนี่ย ถ้าไม่มีคำสั่งผมก็ไม่ขึ้นมาเหมือนกัน ผมกลัว อย่างชั้น 8 เนี่ย ก็มีเหตุการณ์เร็วๆมาเนี้ย เป็นผู้หญิงกระโดดตึกดับ เราฟังแล้วก็แบบ เออ ทำไมต้องมาอยู่ตรงนี้ด้วยวะ อย่างที่เคยบอกว่ามีอีกบริษัทนึง อันนั้นเค้าพอตกกลางคืนก็จะไม่มีใครอยู่กันเลย ผมก็เล่าให้ทางหัวหน้าฟัง แกก็บอกไว้ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวมีทีมงานมาเยอะ

แล้วก็เหมือนเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ผมถูกเลือกให้เป็นคนคุมโปรเจกต์ไซต์ ช่วงกลางคืน คนที่มาดูงานกับผมช่วงกลางคืนเนี่ย มีแค่ 6 คนเท่านั้น อันนี้หมายถึงสตาฟนะครับ ส่วนคนงานเค้าก็จะอยู่หน้างานของเขาอยู่ละ

(เจอผี)ครั้งเดียว…ไม่เคยพอ

จนมีอยู่วันนีง ผมน่ะเคลียร์งานกับโฟร์แมนเสร็จก็ตัดสินใจจะขึ้นออฟฟิศกัน ก็กะจะแวะร้านสะดวกซื้อซื้ออะไรไปกินกัน ปรากฎว่าผมเจอผู้หญิงอยู่คนนึง ลูกน้องก็สะกิด ช่างๆผู้หญิงหน้าตาดีมาก โทรศัพท์อยู่ร้องห่มร้องไห้ แล้วเดินไปทางลิฟต์ ด้วยความที่เป็นช่วงเวลาดึกแล้ว 5 ทุ่มเที่ยงคืน ลูกน้องมันก็บอกช่างไปปลอบๆ ประมาณว่าจะไปหยอกไปจีบทำนองนั้น คือผมไปยืนอยู่หน้าลิฟต์ ซึ่งมันขึ้นไปแล้วตัวนึงมันก็ไปหยุดอยู่ที่ชั้น 8 ลูกน้องผมมันก็กดลิฟต์จะตามขึ้นไปเลยชั้น 8 พอออกลิฟต์มาปุ๊บเนี่ย โอ้โห…มืดตึ้บเลยครับ มืดแบบมันไม่น่ามีอะไรเลย ส่วนตัวผมก็กลัวแหละที่มืดๆ ก็รีบเดินออกไปดู เป็นลานจอดรถกว้างๆ ซึ่งถ้าผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถ มันก็ต้องได้ยินเสียงบ้าง แต่คือมันห่างกันแค่ไม่เท่าไหร่ ไม่น่าจะหายไปแบบไร้ร่องรอยอะไรขนาดนั้น ผมนึกขึ้นได้ก็รีบดึงลูกน้องกลับมา แล้วก็เล่าให้ฟัง มันก็ว่าเออดีๆ เกือบไปแล้ว ดีที่เล่าให้ฟังก่อน

และแล้วก็มีอยู่อีกวันนึง วันนั้นผมก็โทรคุยกับเจ้านาย ผมก็เดินคุยเพลินไปที่ลิฟต์ ปกติเวลาเราคุยโทรศัพท์ในลิฟต์เนี่ย พอเดินเข้าไปสัญญาณมันก็จะตัดเองทันทีเลย ซึ่งผมจะอยู่ชั้น 10 แต่ลิฟท์ที่นี่แปลกมากเลย เพราะจะมีชั้น 1, 3, 5, 6, 8, 9 ชั้น 10ไม่มี ก็พอถึงชั้น 9 ก็ต้องเดินขึ้นบันไดไป พอสัญญาณตัดปุ๊บ ผมก็เงยหน้ามอง ลิฟท์ก็ขึ้นไปชั้น 5 …

Admin

31/01/2018

อ่านเรื่องผี | ผับนี้มีอดีต! ผับใจกลางกรุงที่พนักงานยังกลัว

ถ้าคุณเป็นหนึ่งคนที่ชื่นชอบการอ่านเรื่องผี หรือเป็นแฟนคลับตัวยงรายการวิทยุผีชื่อดัง ย่อมต้องคุ้นกับชื่อคนดังอย่าง “คุณคิง” เจ้าของเรื่องเล่าผีที่มีเอกลักษณ์ตรงที่ความระทึกและรายละเอียดของเหตุการณ์ และเรื่องเล่าผี “ผับนี้มีอดีต” เรื่องนี้ เป็นเหตุการณ์ที่คุณคิงได้รับการบอกเล่ามาจากรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์เคยเป็นน้องใหม่ในที่ทำงานของผับบาร์ใจกลางกรุง และโดยที่ไม่ได้รู้ความหลังของห้องห้องหนึ่ง…ที่ซึ่งแม้แต่พนักงานคนอื่นๆยังไม่กล้าเข้าไป ทำให้มีเหตุให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์อันแสนสะพรึงจนไม่อาจลืมได้

อ่านเรื่องผี : ประสบการณ์เจอดีเพราะแอบนอนหลับในผับ

เรื่องเล่าผีนี้เป็นเรื่องที่คุณคิง ผู้ถ่ายทอดรับฟังมาอีกต่อนึงจากคุณจ๊อบ เรื่องของผับดังกลางกรุงเทพ ใครที่เคยไปคงนึกออก แต่ปัจจุบันจ๊อบบอกว่าได้ปิดไปแล้ว ในเบื้องต้นขออธิบายก่อนว่าทางเข้าผับ ลักษณะจะเป็นบันไดชั้น 2 ทางซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำ และร้านขายของ พอเปิดประตูเข้าไปก็จะเป็นผับ เข้าไปถึงก็จะเป็นบูธดีเจ พอเลยบูธดีเจไปทางด้านหลังร้านก็จะเป็นห้องน้ำของผู้ชาย แล้วฝั่งตรงข้ามของห้องน้ำผู้ชายก็จะมีประตูเล็กๆอยู่ประตูนึง ซึ่งถ้ามองไม่สังเกต หรือไม่มองดีๆจะมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่ามีประตูอยู่ตรงนั้น เป็นเหมือนประตูลับ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 15 ปีก่อนได้ 15 ปีก่อนในตอนนั้นในคุณจ๊อบอายุยังไม่ถึง แต่ว่าก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องของเส้นสาย คนเก่าที่เคยทำมาเป็นญาติกับจ๊อบ ก็เลยฝากให้จ๊อบเข้าทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่

ลักษณะการเข้าไปทำงานคือ เข้างานตั้งแต่ 2 ทุ่ม แล้วร้านเขาเนี่ย ตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าวิธีไหนยังไง แต่จะปิด 7-8 โมงเช้าเลย ซึ่งก็จะเลิกเช้าๆอย่างนี้ทุกวัน แต่กว่าจะเลิกก็จะมีการแอบดื่มกัน อะไรกันเป็นปกติ พอเลิกงานก็จะไหลไปที่อื่นต่อ เวลาพักผ่อนจะน้อยมาก พอเวลาพักผ่อนน้อยมาก คุณจ๊อบเค้าก็บอกว่า… ก็เที่ยวอยู่อย่างนี้ คบเพื่อนทุกคนในร้านจนสนิทกัน แต่ยังไม่สนิทใจกับใครมาก

จนมีอยู่วันนึง จ๊อบก็รู้สึกว่าสนิทกับพี่คนนี้มากที่สุด ชื่อว่า พี่นพ เขาก็เริ่มปรึกษากันกับพี่ เพราะเขาบอกเลยว่าผับเขาเนี่ยคนจะไหลมาจากที่อื่น ที่อื่นเขาจะปิดตี 2 ตี 3 แล้วก็จะมาต่อกันที่นี่ จนกระทั่งเลิก 7-8 โมงเช้า เขาบอกว่าตั้งแต่ร้านเปิด 2 ทุ่มไปเนี่ย ไม่มีคนเลย จนตี 1-2 จะเริ่มมีคนทยอยมา เค้าก็อาศัยเวลาตรงนี้มาปรึกษากัน…

“เออพี่ ผับเรานี่นะ คือกว่าแขกจะมาก็ตี 1 ตี 2 บางทีตี 3 ไปแล้ว”

“พี่นพ.. ผมว่าเรามาพักผ่อนกันดีกว่ามั้ยมั๊ย”

“คือผมเองก็เป็นเด็กใหม่น่ะพี่ แต่พี่อยู่ที่นี่มานาน ถ้าผมจะเสนออะไรซักอย่างนึงแล้วพี่จะเห็นด้วยมั๊ย”

พี่นพก็ถามว่าอะไร… จ๊อบก็บอกว่า..

“เรามาพักผ่อนกันในช่วง 2 ทุ่มเนี่ย เราไปนอนห้องนั้นกันมั๊ย”

ซึ่งก็คือห้องที่เกริ่นไปก่อนหน้าแล้ว ห้องที่เป็นเหมือนห้องลับประตูเล็กๆ

พี่นพ ก็บอกว่า… “ฮึ้ยย.. จะดีหรอ”

การที่พี่นพพูดว่าจะดีหรอ? ก็เพราะว่า… ห้องนี้เป็นห้องที่คุณจ๊อบสังเกตมานานแล้ว จากที่อยู่มาหลายเดือน แต่ไม่เคยถามอะไร ซึ่งห้องนี้…คือไม่ว่าจะเป็นเด็กคนไหนที่ได้รับหน้าที่เอาขวดที่หมดแล้ว ใส่ลังเอาไปเก็บ ซึ่งต้องไปเก็บที่ห้องนี้ แล้วลักษณะการเก็บของแต่ละคนก็คือ พอเปิดประตูปุ๊ปก็เอาเท้าถีบส่งเข้าไปเลย ไม่หันกลับไปมองด้วย บางทีก็รีบเปิดประตูโยนปุ๊ปก็รีบวิ่งออกมาเลย คุณจ๊อบก็สงสัยว่า เออ..ทำไมทำอย่างนั้นกันวะ อะไรแบบนี้ บางทีก็ได้ยินเสียงขวดแตกแต่ก็ไม่มีใครหันไปมองเลย จ๊อบก็เลยบอกพี่นพว่า…

“พี่ห้องนี้น่ะ ไม่น่ามีใครสนใจหรอก เราเข้าไปนอนกันได้มั๊ย”

พี่นพก็บอกว่า…

“พี่ก็ว่าน่าจะได้นะ เพราะมันก็ไม่มีใครหนิ ก็นั่งเล่นกันไปจนตี 1 ตี 2 แหละถึงจะมีแขกมา”

แต่พี่นพก็บอกจ๊อบอีกว่า…

“ถ้าพี่บอกอะไรกับจ๊อบไปเนี่ย จ๊อบจะต้องทำตามพี่นะ”

จ๊อบก็ถามว่าอะไรอ่ะ พี่นพก็บอกว่า…

“คือเราต้องสัญญากันก่อนว่า ถ้าเราเข้าไปนอนในห้องเนี้ย … ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งที่ตื่นแล้วจะออกจากห้อง จะต้องเรียกอีกคนนึงก่อน เราจะไม่ทิ้งกัน”

จ๊อบก็บอกว่า…

“เฮ้ย พี่มันขนาดนั้นเลยหรอ”

พี่นพก็บอกว่า…

“เอางี้เลยดีกว่าจ๊อบ พี่พูดตรงๆเลยนะ ร้านเรามีผีนะ”

“บ้าาา ผมอยู่มาตั้งนานแล้วเนี่ย ไม่เห็นอะไรพวกนี้เลย หลายเดือนแล้วนะ แล้วไมอยู่ๆพี่พูดแบบนี้เนี่ย”

“เอ็งสังเกตดิ ห้องนั้นเวลาใครไปเปิด มันต้องโยนของ โยนอะไร … ทำไมไม่วางเรียงดีๆล่ะ”

“แล้วเอ็งเชื่อมั๊ย พี่ท้าเลย ขวดมันอยู่สภาพไหนก็อยู่สภาพนั้น ไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดของแม้แต่เจ้าของร้าน”

“เจ้าของร้านก็ไม่กล้าบังคับให้เด็กเข้าไป เพราะเด็กก็ไม่กล้าเข้า ประวัติมันดังมากห้องนั้นน่ะ”

จ๊อบก็เลยถามว่า…

“อืมม แล้วเราจะไปนอนได้หรอห้องนั้นน่ะ”

“ได้สิ ถ้าเราไปนอนกัน 2 คน แล้วเราก็ออกมาพร้อมๆกัน เราต้องไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าจ๊อบหรือพี่จะเข้าห้องน้ำ สัญญากันเลยว่าต้องปลุกอีกคนนึงไปด้วย”

“เราอยู่ส่วนเรา เขาอยู่ส่วนเขาเว้ย แล้วอีกอย่างเรา 2 คนก็เมาก่อนที่จะไปนอนอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”

“ได้พี่”

จากนั้นเค้าก็ตัดสินใจเข้าไปนอน ประตูห้องเนี่ยจะเป็นประตูสปริงที่พอเปิดแล้วมันจะเด้งปิดเอง เค้าก็เอาลังมากันประตูไว้เพื่อให้แสงจากห้องน้ำลอดเข้ามาในประตู คือเดิมทีมันก้พอมีแสงเข้ามาบ้าง แต่การจัดห้องใหม่เขาต้องการให้มีแสงสว่างมากกว่าเดิม

ลักษณะการจัดห้องเค้าก็คือว่า จะกวาดเศษแก้วที่มันแตกออกไปไว้ข้างนึง แล้วก็เอาลังมาต่อๆกันให้เป็นรูปเตียง มีหัวเตียงด้วย เอาลังมากันมาบังไว้ ซึ่งด้านในจะมีประตูอีกชั้นนึงซึ่งมีกุญแจคล้องอยู่เฉยๆ แต่ไม่ได้ล็อค แล้วห้องนี้พี่นพบอกกำชับว่า…

“อย่าแตะต้องห้องนี้เด็ดขาด เราสัญญากันแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับห้องนี้”

“ได้พี่ พี่บอกไม่ให้ยุ่ง ผมก็ไม่ยุ่ง ชอยู่แล้ว ลำพังเข้ามานอนนี่ ผมยังต้องปรึกษาพี่เลย”

“โอเค เราอยู่ส่วนเรา เขาก็อยู่ส่วนเขา”

เค้าก็เอาลังมาตั้ง ตั้ง 7-8 ชั้น เป็นกำแพงเลย ตั้งข้างๆที่นอนของตัวเอง เพื่อไม่ให้เห็นอีกฝั่งนึงที่เป็นประตูห้องที่ว่า ห้องที่มันดำๆมืดๆแล้วเป็นทางลงลงไป ซึ่งก็ไม่เคยมีใครลงไปหรอก แต่รู้ว่ามีบันได เค้าพูดกันมาปากต่อปาก แล้วก็เอากุญแจคล้องไว้

วันที่คุณจ๊อบกับพี่นพเข้าไปนอนกันเนี่ย จะได้ยินเสียงๆนึง เป็นเสียงปริศนา แต่ก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาดู เพราะคุยกันไว้แล้วว่า.. จะไม่ลุก จะไม่ดู ถ้าจะลุกก็จะลุกพร้อมกัน จะไม่ทัก จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น เสียงปริศนาที่ว่าก็คือ จะมีเสียงคนเดินมาจากบันไดชั้นล่างไปที่ห้องประตูนั้น แล้วประตูก็ดัง แอ๊ดดดดดดด… แล้วก็เดินเตะ เหมือนคนเอาเท้าเหยียบเศษขวดแก้ว เพล้ง แกร๊บบบ แกร๊กกก… แล้วก็เดินออกไป แล้วก็เปิดประตูห้อง เพื่อไปเข้าห้องน้ำ ประมาณว่าแบบนั้น ซึ่งเวลาเปิดประตูมันก็ไม่ได้มีแต่เสียง เวลาเปิดแสงมันก็จะรอดเข้ามา พวกเค้าทั้งคู่รับรู้มาทุกวันเป็นเวลากว่า 2 เดือน โดยที่ไม่เคยลุกไปชะโงกดู เพราะถือว่าเมาแล้ว จะนอน คิดแค่นี้กัน

เสียงก็เป็นแบบนี้มาตลอด ทั้งๆที่จ๊อบก็สงสัยว่า ถ้ามันเป็นคนจริงๆ จะเดินขึ้นมาได้ยังไง เพราะว่ากุญแจมันคล้องมาจากข้างนอกจากฝั่งนี้ เขาไม่สามารถจะเปิดเข้ามาได้ แต่ในเมื่อมีคนบอกว่าห้องนี้มีผี เค้าก็สรุปก็คิดกันว่าเป็นผี รู้แล้วก็จบ แล้วไม่ใส่ใจ

ที่นี้…วันที่มันพีคก็คือ เค้านอนกันมาร่วม 2 เดือนก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น วันนั้นเค้าก็นอน อยู่ดีๆ เนี่ยคือคนเราพอนอนบนลังเบียร์นานๆมันก็เมื่อยก็อะไร  เพราะนอนบนลังเบียร์ที่มีขวดเปล่าอยู่ข้างในมันก็จะบุ๋มๆ เค้าก็เลยตะแคงมาอีกข้างนึงเพื่อจะหันมาหาพี่ที่ชื่อนพ แล้วเวลาที่หันตะแคงมาก็จะเอาเท้าไปแตะหน่อยเช็คว่าแบบ..เออ พี่มันยังอยู่นะ แต่คราวนี้จ๊อบจะเอาเท้าไปแตะ แต่ว่าไม่เจออะไรเลย ว่าง.. เค้าก็ลืมตามอง ก็ไม่เห็นพี่นพ

“เฮ้ย พี่นพทิ้งนี่หว่า อ้าวไหนตกลงกันไว้แล้วไง”

แต่ตอนนั้นเค้าก็อยู่มาเป็นเดือนๆแล้ว ก็ไม่ได้คิดใส่ใจอะไร ส่วนเรื่องผีเค้าก็ได้ยินอยู่ทุกวันจนชิน และเสียงที่เดินเนี่ย มันเดินอยู่อีกฝั่งนึงที่เอาลังเบียร์ ที่ตั้งไว้ 7  ชั้น ที่ตั้งเอาไว้เป็นแผงเหมือนกำแพง จะไม่เห็นอะไรเลย

ทีนี้จ๊อบก็ทำท่ากำลังจะลุกเหมือนกัน เสียงก็มาละ กึกๆ กึกๆๆ

Admin

16/01/2018

Confession 2010 : เมื่อครูเอานมผสม ‘เอดส์’ ให้นร.กินเพื่อแก้แค้น!

Confession (2010) ซึ่งมีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า “Kokuhaku” หรือในฉบับนิยายแปลไทยว่า “คำสารภาพ” เป็นหนังแดนอาทิตย์อุทัยเรตแรงจากปี 2553 ตัวหนังมีความยาวที่ 1 ชม. 46 นาที กำกับโดยผู้กับมือฉมังอย่าง Tetsuya Nakashima จากบทประพันธ์ดั้งเดิมของนักเขียน bestseller อย่าง Kanae Minato หนังยังเต็มไปด้วยดาราเจ้าบทบาททั้งรุ่นใหญ่และเล็ก

นี่คือหนังทริลเลอร์ที่เปิดตัวด้วยฉากโฮมรูมวันสุดท้ายประจำภาคเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมแห่งหนึ่ง คุณครูสาวประจำชั้นเรียนนำนมกล่องซึ่งเป็นอาหารเสิรมพื้นฐานของโรงเรียนให้แก่นักเรียนดื่มเหมือนปกติ จนกระทั่งครูสาวเริ่มเล่าว่า…ลูกสาวของเธอถูก “ทำให้เสียชีวิต” ด้วยน้ำมือของนักเรียนในห้องนี้ แต่เนื่องจากเป็นเยาวชนที่ซึ่งกฎหมายของญี่ปุ่นไม่สามารถเอาโทษได้ เธอจึงตัดสินใจแก้แค้ด้วยตัวเอง… โดยการนำเชื้อเอดส์ หรือ HIV ผสมลงไปในนมกล่องที่นักเรียนกำลังกิน และนี่คือฉากโหมโรงของ “คำสารภาพ” สุดจิต!

Confession “คำสารภาพ” หรือในชื่อดั้งเดิมคือ Kokuhaku

ภาพยนตร์แนวไซโคทริลเลอร์ จากนิยายขายดีเบสท์เซลเลอร์ “คำสารภาพ” ของ “คานาเอะ มินาโตะ” นักเขียนญี่ปุ่นชื่อดัง

ผู้กำกับ: เท็ตสึยะ นากาชิมะ เรื่องโดย: Kanae Minato

Spoiled Alert! [สปอยล์..เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางส่วนของภาพยนตร์]

เรื่องราวในหนังบอกเล่าถึง “คำสารภาพ” ของตัวละครสำคัญทั้ง 4 คน คือ ครูสาวประจำชั้น “โมริกุจิ ยูโกะ”,นักเรียน “A” ,นักเรียน “B” ผู้ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาวครู และนักเรียนหญิง “มิซูกิ คิตาฮาระ” นักเรียนอีกคนในห้องเรียนของครูสาวซึ่งจะมีบทบาทสำคัญภายหลัง โดยแบ่งเป็นบทๆตามมุมมองของทั้ง 4 คนที่มีต่อเหตุการณ์สำคัญในเรื่องคือ การเสียชีวิตของลูกเล็กครูโรงเรียนมัธยมซึ่งถูกทำให้จมน้ำในสระว่ายน้ำของโรงเรียน ซึ่งแม้ว่าครูจะรู้ตัวการว่าใครเป็นคนทำ แต่เนื่องด้วยรู้ว่ากฎหมายไม่สามารถเอาผิดหรือลงโทษได้ไม่แรงพอ จึงตัดสินใจที่จะไม่รื้อฟื้นคดี แต่เลือกที่จะสร้าง “บทเรียน” อันโหดเหี้ยมให้แก่ลูกศิษย์ในวัยที่กำลังอยากรู้อยากลองที่จะทำเรื่องผิดๆทั้ง 2 ของเธอ หนังมีฉากโหดที่อาจไม่ได้หวาดเสียวเหมือนหนังสยองขวัญมากอะไร แต่จะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึมครึม เรื่องราวการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงต่อจริยธรรมอันดีงาม ฉากที่ชวนหดหู่ทั้งกับผู้กะทำและถูกกระทำต่างๆนาๆ ซึ่งในบางครั้งคนดูก็อาจจะสะใจกับการกระทำบางอย่างที่ “รู้ว่าผิด….แต่สมควรแล้ว!” กับบทสรุปการห้ำหั่นแก้แค้นของลูกศิษย์กับครูสาวที่อายุห่างคราวแม่กับลูก ที่มาพร้อมจุดหักมุมชวนเหวอว่าเล่นแบบนี้เลยหรือ? นี่คือสิ่งที่คุณจะได้รับชมจากหนังเรื่องนี้

นี่คือภาพยนตร์เจ้าของตำแหน่ง “ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” จากเวที Japan Academy Prize ในปี 2010 ถือเป็นภหนัง triller/drama ที่เล่นกับประเด็นอันอ่อนไหว และตีแผ่ด้านมืดในจิตใจของมนุษย์ ความแค้นของผู้สูญเสียบางอย่างที่สำคัญยิ่งในชีวิตไปได้อย่างเข้าถึงแบบไร้ที่ติ ตัวหนังดีงามและสมบูรณ์แบบทั้งในด้านบท, การถ่ายทำ, ประเด็นแฝง และกาแสดงอันทรงพลัง การตัดต่อและลำดับเรื่องราวก็ทำได้ดีจนเรียกว่าสะกดคนดูได้ตั้งแต่ฉากแรกยันฉากสุดท้าย ด้วยฉากเปิดเรื่องที่รุนแรง การนำฉากหลังที่ดูธรรมดาอย่างครูกำลังพูดกับนักเรียนในชั่วโมงโฮมรูม  แต่โดดเด่นด้วยบทสนทนาที่แยบคาย และการสร้างบรรยากาศที่เย็นเยียบ จนไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมีความพิศดารอะไรรอเราอยู่ แม้ว่าจะเป็นฉากคุยอยู่ฝ่ายเดียวของครูสาวยาวเกือบครึ่งชั่วโมง แต่หากได้ดูแล้วจะรู้สึกได้เลยว่ามันทรงพลัง และจะติดอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน

Confession 2010

อย่างที่กล่าวไปแล้ว หนังมีการดำเนินเรื่องด้วยการเล่าผ่านมุมมองของตัวละครหลัก 4 คนหลังฉากเปิดสุดอลังการ โดยหนังจะพาเข้าไปค้นซอกลึกของความคิด ปมในจิตใจ สาเหตุการกระทำของตัวละครแบบมุมมองบุคคลที่ 1 ซึ้งจะทำให้เราได้ค่อยๆซึมซับในแต่ละตัวละคร แล้วตัดสินใจเอาว่า…สิ่งที่พวกเขาได้เจอและนำไปสู่การกระทำที่จะกระทบต่อเนื่องเป็นฟันเฟือง รวมทั้งผลลัพธ์ของมัน “สมควร” แล้วหรือไม่? เรียกได้ว่าแต่ละคนก็มีปัญหามีปมในใจกันมาก่อน ซึ่งตรงนี้จะเสียดสีถึงสังคมได้อย่างเจ็บแสบ ว่าบางทีเรื่องเล็กๆมันก็นำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่ามากได้ หากคนที่เกี่ยวข้องละเลยเพิกเฉย ซึ่งตอนจบก็ขยี้ตรงนี้อย่างชัดเจนว่า… “ใครกัน ที่เป็นตัวการสำคัญของปัญหาที่แท้จริง”

ในเรื่องมีหลายประเด็นให้ผู้ชมได้ขบคิด และตั้งคำถามถึงสังคมปัจจุบัน เป็นต้นว่าตัวละครเอกครูประจำชั้นอย่าง “ยูโกะ” ที่รู้สึกว่ากฎหมายเยาวชนนั้นเบามากเกินไป จนบางทีก็อาจจะไม่สามารถมีประสิทธิ์ภาพพอ หากเกิดอะไรที่ร้ายแรง การกระทำของเธอชวนให้ตระหนักอยู่ตลอดว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังนั้นไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงในสังคม ความยุติธรรมเพื่อใครบางคนมันอาจไม่ยุติธรรมสำหรับอีกคน นอกจากนี้ยังชวนลุ้นอยู่ตลอดอีกด้วยว่าเรื่องที่เธอวางแผน อย่างการใส่โลหิตของผู้ป่วย HIV ลงไปในนมกล่องนั้นเป็นเรื่องจริง หรือแค่บลัพกัน? ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันว่าการจะติดเชื้อผ่านทางเดินอาหารนั้นยากมาก แต่อย่างไรก็ตาม กับคู่ต่อกรที่ไม่ประสาในชีวิตมามากพอ นี่จึงเป็นสงครามจิตวิทยาที่ออกแบบมาเพื่อ “ยืมมือ” กลไกทางสภาพจิตใจและการแสดงออกของคนในสังคมรอบตัว ให้ทำหน้าที่ในการกำหนดชีวิตของพวกเขาได้อย่างอำมหิต ลองคิดดูสิว่าหากคุณได้รู้ความจริงว่าพึ่งกินอะไรมา และมีโอากาสเป็นอะไร จะรู้สึกยังไง? จะไปโรงเรียนเหมือนทุกวันได้เหมือนเดิมมั้ย? แล้วเพื่อนๆในชั้นจะมีปฏิกิริยาต่อเราอย่างไร? แค่จินตนาการถึงผลลัพธ์ก็ชวนให้มวนท้องแล้ว

Confession 2010

ตัวหนังมีการใช้สัญลักษณ์และนัยยะแฝงให้ตีความ อย่างเช่นในฉากที่ “นักเรียน A และ B” มาพบกันและตกลงร่วมมือที่จะทำสิ่งที่ร้ายกาจอันไม่อาจให้อภัยได้นั้น มีการใช้ภาพที่สะท้อนจากกระนูน ทำให้ภาพที่ออกมานั้นบิดเบี้ยว อันแสดงถึงตรรกะความคิดของตัวละครในฉากดังกล่าวนั้นเองก็ได้ผิดเพี้ยนไป ไม่สามารถเอาพื้นฐานความคิดของคนทั่วไปมาตัดสินได้

หรือในฉากวัยเด็กของ “นักเรียน A” ที่เผยให้เห็นชีวิตในตอนนั้นว่าถูกแม่ทิ้งไปในขณะที่ตัวเองนั่งอยู่ท่ามกลางกองหนังสือวิชาการด้านไฟฟ้า เนื่องจากแม่ของ A เคยเป็นนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซึ่งต้องจำใจลาออกมาเลี้ยงลูก และต้องการผลักดันให้ลูกเป็นเหมือนตัวเอง เพื่อเติมเต็มอัตตาของตัวเอง ที่ซึ่งไม่อาจกลับไปทำในสิ่งที่ต้องการได้แล้ว แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะออกไปทำเพื่อตัวเองอยู่ดี ฉากนี้ก็มีการใช้ภาพจากกระจกนูน เพื่อสะท้อนถึงสภาพความบิดเบี้ยวจิตใจของ A ที่ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่แม่กระทำ และเป็นที่มาของความคิดฝังหัว่า…เพราะตนเองทำให้แม่ผิดหวัง แม่จึงได้หนีไป ซึ่งเป็นปมสำคัญของ A ที่ทำให้การกระทำในภายหลังนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม

สำหรับปมในจิตใจของตัวนักเรียน A หนังจะค่อยๆเล่าลำดับเหตุการณ์ไปว่าทำไม A ถึงได้ตัดสินใจได้ผิดแผกพิศดารไปจากคนปกติเช่นนี้ โดยจุดเริ่มต้นมาจากการถูกแม่ทิ้ง ซึ่งแทนที่เมื่อ A โตแล้วจะออกไปพบ ไปเจอแม่แบบที่คนปกติจะเลือกทำ แต่เพราะปมที่เคยฝังใจว่าแม่ไม่รักเพราะตัวเองไม่เก่ง ไม่ดีพอ ทำให้ A เลือกที่จะทำตัวเองให้โดดเด่นด้วยการชนะการประกวดรางวัลสิ่งประดิษฐ์ไฟฟ้าระดับมัธยม เพื่อที่จะให้สปอร์ตไลท์ส่องมาที่ตนเอง แล้วเมื่อแม่เห็นจะต้องภูมิใจแล้วกลับมาหา แต่เหมือนชะตาเล่นตลก ในวันเดียวกันนั้นมีคดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้น และยึดหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ผู้คนต่างพูดถึงเกี่ยวกับคดีนั้น ส่วนภาพการรับรางวัลของเขากลับได้ลงเพียงคอลัมน์เล็กๆ นั่นทำให้ A ผิดหวังและคิดไปถึงขั้นที่ว่า…ในเมื่อทำเรื่องดีๆไม่มีใครมองเห็น แต่เรื่องเลวร้ายกลับเป็นที่สนใจมากมาย บางทีสิ่งที่ตนควรทำคือการทำสิ่งที่เลวร้ายที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ราวกับคนหลงทางที่ไม่มีป้ายชี้ทางที่ถูกที่ควร A ปฏิเสธที่จะทำในสิ่งที่เรียบง่ายอย่างการไปพบแม่อีกครั้ง ซึ่งความจริงคือ A ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง A ยังคงกลัวว่าตัวเองอาจผิดหวัง หากว่าแม่ของเขาไม่ยอมกลับมาหาหรือแม้แต่กระทั่งลืมไปแล้วว่า

Confession 2010

อีกจุดหนึ่งที่หนังพยายามสื่อว่า A เป็นประเภทที่ว่ายึดติดกับอดีต ไม่ยอมที่จะก้าวไปข้างหน้า คือนาฬิกานับถอยหลัง สิ่งประดิษฐ์พิศดารของเขา ซึ่งนาฬิกาตัวนี้ก็ยังปรากฎในฉากซ้ำคัญท้ายเรื่อง เพื่อตอกย้ำผลเสียของการยึดติดกับเวลาที่ผ่านไปแล้ว ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลง และนำมาซึ่งจุดจบที่ไม่อาจย้อนไปแก้ไขได้อีก

Confession 2010

สำหรับตัวละครของ “นักเรียน B” B เป็นประเภทที่เรียกกันว่าถูกเพิกเฉยจากคนรอบข้าง ไม่เป็นที่รู้จักหรือได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆนัก มีความไม่มั่นใจ ซ้ำยังมักถูกแกล้งอยู่เป็นประจำ โดยที่จำยอมรับชะตากรรมโดยที่คิดว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จนกระทั่งการเข้ามาของ A…. แม้แผนการจะฟังดูชอบกล แผนซึ่ง A ชักชวนนั้น มันกลับเป็นเหมือหลักฐานว่าเขามีตัวตน อย่างน้อยก็มีคนมองเห็นเขาแล้ว อีกทั้ง A ก็เป็นนักเรียนที่โดดเด่น โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูก A หลอกใช้ทำในเรื่องที่ไม่ได้มีเป้าหมายตรงกัน นั่นทำให้ B กลายเป็นลูกไล่ที่พร้อมจะเห็นดีเห็นวามตามไปก้วยในทุกเรื่อง แม้ว่าเรื่องนั้นจะไม่เข้าท่าก็ตาม จนกระทั่งเมื่อรู้ว่า A ต้องการใช้ตนเองเพื่อผลประโยชน์ มิตรภาพที่เขาหวังเป็นเรื่องโกหก นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจกระทำบางอย่างที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่เริ่มต้นกันไว้ นัยนึงก็อาจจะเพื่อก้าวข้าม A โดยไม่รู้เลยว่าผลจากการกระทำเพียงชั่ววูบจะส่งผลให้ชีวิตของ B เปลี่ยนไปตลอดการ

Confession 2010

หลังจากที่ทุกอย่างมาถึงจุดเปลี่ยน ครูสาวประจำชั้นแก้แค้นโดยการบีบให้ A และ B ตกในสถานการณ์ไม่คาดฝัน หลังจากที่ได้ดื่มนมซึ่งมีเชื้อโดยไม่รู้ตัว การแสดงออกของทั้งคู่แตกต่างกันออกไป B คลุ้มคลั่งไปเลย รับไม่ได้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง หลังจากโฮมรูมวันสุดท้ายของภาคเรียนนั้น และเป็นวันสุดท้ายที่ครูประจำชั้นยังเป็นครูที่โรงเรียนนั้น B ก็ไม่ได้มาโรงเรียนอีกเลย โดยหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกจากบ้าน ใช้เวลาในการจมปลักอยู่คนเดียว โดยที่มีแม่คอยประคบประหงมด้วยความท้อแท้ ในขณะที่ …

Admin

24/12/2017
1 14 15