เล่าเรื่องผี

เรื่องผี | อยู่ได้แค่ 4 คืน!…บ้านเช่าหลอนบนเกาะสมุย

เรื่องผีเรื่องนี้เกิดขึ้นบนเกาะท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง “เกาะสมุย” ในจ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเจ้าของเรื่องเล่าต้องไปทำงานที่นั่นกว่า 2 เดือน จึงจำเป็นต้องหาบ้านเช่าชั่วคราว แต่บังเอิญว่าบ้านหลังนี้นั้นมีอะหรไม่ชอบมาพากลอยู่ และสิ่งที่เขาเจอมาก็ทำให้เขากับน้องชายต้องรีบย้ายหนีหลังอยู่ไปได้เพยงแค่ 4 วัน

เรื่องผีบนเกาะสมุย ย้อนกลับไป 9 ปีก่อน

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ผมเองนั้นประสบพบเจอมาเมื่อครั้งที่ไปเกาะสมุยเพื่อทำงาน ย้อนกลับไปกว่า 9 ปีก่อน ออกตัวก่อนว่าปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่เชื่อหรืองมงายในเรื่องผีๆสางๆ แต่เหตุการณ์สุดสพรึงตอนปลายปี 2553 ครั้งนั้น มันทำให้ผมยังคงหาคำอธิบายมาตอบไม่ได้จนทุกวันนี้ ตอนนั้นผมได้รับเหมางานในการไปติดตั้งเซ็ตระบบเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ โดยที่มีน้องชายผมเป็นผู้ร่วมงานไปด้วย นอกจากนี้ยังมีทีมงานจากบริษัทผู้ว่าจ้าง 3 – 4 คนเดินทางไปที่เกาะสมุยด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องจากงานนี้เป็นโปรเจกต์ค่อนข้างใหญ่ ตามแผนแล้วคาดว่าต้องใช้เวลาราว 1 หรือ 2 เดือน ทางบริษัทผู้ว่าจ้างจึงได้จัดหาบ้านเช่าไว้ให้พักอาศัยรวมถึงเป็นที่เก็บอุปกรณ์ต่างในการทำงาน

พวกผมเดินทางมาถึงบ้านพักกันช่วงบ่ายๆแล้ว บ้านที่ว่ามีลักษณะเป็นคล้ายๆกับห้องแถวแบบชั้นครึ่ง มีห้องหับเรียงกันอยู่ราว 6 ห้อง ผมรู้สึกแปลกๆตั้งแต่เข้าไปครั้งแรก อาจจะด้วยที่ว่าห้องค่อนข้างจะคับแคบ อีกทั้งดูเหมือนไม่ได้มีคนอยู่มาพักใหญ่ ทำให้ได้กลิ่นอับชื้นภายในห้อง หลังเปิดประตูหน้าต่างรับลมก็เหมือนจะดูดีขึ้นหน่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ชวนให้อึดอัดคือ แม้ว่าแดดยังแรงสว่างจ้า แต่บริเวณห้องกลับไม่ค่อยมีแสงเข้า ทำให้ดูมืดมนอยู่พิกล อย่างไรก็ตามผมกับพี่ๆทีมงานนั่งพักคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ผมถึงได้เริ่มสำรวจห้องที่ผมจะต้องอยู่ร่วมสองเดือนอย่างจริงจัง

ขอบรรยายลักษณะบ้านเอาไว้หน่อย เผื่อมีใครได้แวะเวียนไปอาจจะได้ลองเช่าอยู่สักคืนสองคืน เพิ่มความตื่นเต้นให้ทริปของท่าน จากหน้าประตูคุณสามารถมองเห็นชั้นบนของบ้านได้ทันที ด้านบนมีบานเลื่อนที่สามารถเปิดและมองลงมาได้เช่นกัน โดยที่ทางขึ้นระหว่างชั้น 1 และ 2 จะมีหิ้งพระเก่าปอนหันออกไปทางประตูหน้าบ้าน บนนั้นมีพวงมาลัยดอกไม้ที่ยังไม่เหี่ยวแห้งมากนัก เป็นร่องรอยว่าน่าจะมีคนนำมาไหว้บูชาไม่นาน ห้องโถงที่นี่จะไม่กว้างนัก ขนาดประมาณ 4 ม. เมื่อผ่านโถงไปจะพบกับครัวเล็กๆ และประตูหลังบ้าน ด้านนอกมีรั้วรอบขอบชิด

ด้านข้างหลังบ้านมีห้องเก็บของขนาดเล็กตั้งอยู่ และเนื่องจากมันไม่ได้ถูกล็อคไว้ ผมจึงลองเปิดดูก็เจอเข้ากับกองผ้าห่มหมอนมุ้ง และหนังสือเก่าๆ ที่เปียกแฉะชื้นอยู่ภายใน ทันทีทีเปิดประตูก็มีกลิ่นเหม็นอับโชยออกมา เลยต้องรีบปิดทิ้งไว้อย่างนั้น จากนั้นผมผมขึ้นไปสำรวจบนชั้น 2 ด้านบนเป็นห้องขนาดเล็กไม่มีอะไรน่าสนใจ จนกระทั่งผมสังเกตเห็นพวงมาลัยดอกไม้เหมือนกับที่หิ้งพระด้านล่าง แขวนไว้บริเวณใต้หน้าต่าง ตอนนั้นผมแค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงมีพวงมาลัยอยู่หลายที่ ก่อนที่จะเปิดหน้าต่างออกไปรับลม

อย่างไรก็ตาม คืนแรก…ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี อาจจะด้วยความเพลียจากการเดินทาง ซ้ำพวกเรายังนั่งสังสรรค์กันจนดึกดื่น ทุกคนจึงแทบเรียกได้ว่าหลับสนิทตลอดคืน แต่นั่นก็เป็นคืนสุดท้ายที่ผมกับน้องจะมีเพื่อนนอนด้วย เพราะวันถัดมาหลังจากที่ทีมงานได้หาลือและบรี๊ฟงานกันเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับทันที

คืนที่ 2… ตอนนี้เหลือแค่ผมกับน้องชายที่ต้องอยู่ในบ้านหลังนี้อีกกว่า 2 เดือน คืนนี้ผมยังคงมีอาการแฮงค์ค้างจากเมื่อคืนอยู่ เนื่องจากนอนดึกและดื่มหนัก เลยขอตัวขึ้นไปนอนก่อน ก็ยังไม่มีอะไร จนกระทั่งคืนที่สาม…คืนนั้นน้องชายผมซื้อเครื่องดื่มมอลท์สกัดมาเสียหลายขวด แต่เนื่องจากผมติดธุระคุยโทรศัพท์อยู่ มาเจออีกทีก็พบว่ามันซัดซะเกลี้ยงแล้วก่อนจะขอตัวขึ้นไปนอนทันที ส่วนผมยังไม่นอนแต่อ่านหนังสือเล่นอยู่ข้างบนเช่นกัน

ประมาณตี 2 คืนนั้นเอง จู่ๆน้องชายผมก็สะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นมาจากฟูกนอน ผมเลยทักถามไปว่า..เป็นอะไรไป? แต่ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา กระทั่งมันเดินออกไปจากห้อง ผมก็ถามขึ้นอีกว่าจะไปไหน? คราวนี้น้องผมตอบกลับมาว่า “จะไปห้องน้ำ” แต่หายไปพักใหญ่ ผมกลับไม่ได้ยินเสียงราดน้ำหรือเสียงจากก๊อกเลย ผมจึงชะโงกมองลงมาจากด้านบน ก็เห็นน้องผมนั่งอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง ผมลองเรียกอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีคำตอบใดๆกลับมา จนผ่านไปสักพักมันก็เดินกลับขึ้นมาข้างบน โดยไม่พูดจาใดๆก่อนที่จะล้มตัวลงนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร เข้าใจไปว่าน้องผมมันคงเดินละเมอกระมัง…

วันรุ่งขึ้น ผมเลยมีเรื่องไปแซวน้องมันว่า “เมื่อคืนฟุ้งซ่านเรื่องอะไร ถึงขนาดเดินละเมอลงไปนั่งตากยุงอยู่ด้านล่าง ดึกๆดื่นๆ” แต่คำตอบของมันทำเอาผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสะบายใจ เพราะมันบอกกับผมว่า… จำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้สึกตัวเลย

กระทั่งคืนที่ 4… คืนนี้ก็เช่นเคย น้องผมยังคงซื้อเครื่องดื่มมานั่งกินคนเดียว กินเสร็จก็เข้านอนทันที และเนื่องจากผมเป็นคนนอนดึก จึงนั่งเล่นเกมไปตามเรื่องตามราวจนดึกดื่น อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าดึกแค่ไหน แต่เลยเที่ยงคืนไปแล้วแน่ๆ จู่ๆก็ได้ยินเสียง “ซ่าาา~ซ่าาา~” คล้ายกับเสียงเวลาที่เปิดโทรทัศน์แล้วไม่มีสัญญาณภาพ ดังขึ้นมาจากด้านล่าง แต่มาคิดๆดูแล้ว บ้านเช่าหลังนี้ก็ไม่มีโทรทัศน์นี่นา บางทีคงเป็นเสียงจากข้างบ้านกระมัง

อย่างไรก็ตาม… เสียงที่ว่ามันเริ่มทำให้ผมกระวนกระวายใจ พอที่จะลุกขึ้นมาเดินหาต้นตอของเสียง เพราะเวลาที่นั่งอยู่เฉยๆดูเหมือนเสียงมันจะค่อยๆดังรบกวนขึ้นเรื่อยๆ แต่ปรากฏว่าพอผมพยายามเงี่ยฟังดู เสียงที่ว่ามันเงียบไป พอมองออกไปด้านนอกก็พบว่าไม่มีบ้านหลังใดเลยที่ยังเปิดไฟอยู่ หรือแสดงให้เห็นว่ายังคงมีใครนั่งดูทีวีอยู่ จู่ๆเสียง “ซ่าาา…” ก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่ามันดังมาจากในบ้านของผม จากห้องโถงด้านล่าง

พอออกมาจากห้อง เสียงชัดเจนขึ้นจนผมบอกได้ว่า เสียง “ซ่าาา..ซ่า…” ที่ได้ยินไม่ใช่เสียงจากทีวี แต่มันเป็นเสียงกระซิบกระซาบของคนคุยกัน แม้ผมจะบอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงภาาาอะไร แต่มันไม่ใช่ภาษาไทยที่จะสามารถเข้าใจความหมายทันทีได้ ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ ชะโงกหน้าออกไปมองจากด้านบน ก็ไม่พบอะไร แถมเสียงกระซิบกระซาบยังเงียบดับลงไปทันทีอีกด้วย ผมเลยลงไปด้านล่างแล้วไล่เปิดไฟแต่ละจุดที่เดินผ่าน แต่ก็ไม่พบอะไร แถมไม่ได้ยินเสียงที่ว่าด้วย เปิดประตูหน้าบ้านไปดูก็ไม่เจอแสงไฟจากห้องไหนๆ ผมจึงปิดประตูกลับคืนก่อนที่จะเปิดไฟในโถงทิ้งไว้แล้วขึ้นไปนอน

แต่หลังจากผมขึ้นมานอนได้สักพัก เสียงเดิมก็มาอีก… กระซิบกระซาบดังระงมมาจากข้างล่าง และชัดกว่าทุกครั้ง ถึงจุดนี้จากการที่ผมได้ลงไปสำรวจข้างล่างมาทุกซอกทุกมุม ผมเชื่อว่าน่าจะ “เจอ” เข้าให้แล้วล่ะ เลยตัดสินใจซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มข่มตานอนให้หลับ แต่ไม่นานจากนั้นจู่ๆไฟก็ดับพรึ่บ! ห้องที่เคยเปิดไฟทิ้งไว้ก็จมอยู่ใต้ความมืดโดยพลัน เสียงกระซิบกระซาบมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ…บางทีมันอาจจะดังเท่าเดิม แต่เสียงมันอาจใกล้เข้ามาเรื่อยๆก็ได้ ผมนึกถึงบทสวดที่อยู่ในหัวออกมาพึมพำบทแล้วบทเล่า จะถูกจะผิดมากน้อยก็ไม่ทราบได้

น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่ปกติผมแทบไม่ได้สวดมนต์เลย แต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับมีบทสวดไหลออกมาเข้าปากบทแล้วบทเล่า คงเข้าทำนองที่เขาว่าในวินาทีสุดท้ายของชีวิต คนเราจะมองเห็นภาพในอดีต เพราะสมองพยายามข้ามขีดจำกัดแล้ว “ค้นหา” เอาความทรงจำเก่าๆออกมาเพื่อใช้ในการหาทางรอดชีวิต ดูเหมือนเสียงที่ว่าจะหยุดอยู่เพียงบริเวณหน้าประตู หลังจากนั้นผมก็นึกถึงแม่ที่เสียไปแล้ว อธิษฐานขอให้ช่วยลูกด้วย กระทั่งก็อยู่รอดมาจนฟ้าสาง เสียงก็หายไปตอนที่ผมไม่ทันได้สังเกต ดูนาฬิกาก็พบว่าตี 5 กว่าแล้ว

เช้าวันนั้นเอง ระหว่างที่ทานข้าวกันกับทางทีมงานที่มารับไป ผมก็เปิดหัวข้อสนทนาในเรื่องนี้ขึ้นกลางวงอาหารอย่างไม่อาย กระมั่งน้องผมมันก็สมทบขึ้นมาว่า “ผมเจอตั้งแต่คืนที่ 2 ที่พี่ขึ้นไปนอนก่อนแล้ว” มันเล่าว่าตอนที่มันตามขึ้นไปนอน ระหว่างที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมานั่งทับ แบบที่เขาเรียกว่า “ผีอำ” นั่นแหละ กระดิกตัวไม่ได้เลย ทำได้แค่หันหน้ามาทางผม แต่ไม่ส่าจะเรียกยังไง…ผมก็ไม่ได้ยิน นั่นเลยเป็นสาเหตุให้หลังจากนั้น น้องผมเลยรีบดื่มให้เมาเพื่อที่จะได้นอนหลับไวๆ

คราวนี้หนึ่งในทีมงานที่เป็นหัวหน้าก็เล่าให้ฟังว่า ความจริงเขาก็เคยเจอมาก่อนแล้วทั้งนั้น เมื่อก่อนแกเคยไปนอนกลางวันที่บ้านหลังนั้น ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาเดินวนไปวนมารอบๆตัว เลยไม่กล้าไปนอนอีกเลย จากนั้นก็มีคนงานเคยมานอนไม่นานมานี้ เจอเงาคนเดินเพ่นพ่านไปมาบนทางเดินด้านบน เลยต้องเอาพวงมาลัยมาขอขมาลาโทษ ก่อนที่จะย้ายออกไป ซึ่งพวงมาลัยที่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้าก็มีที่มา อย่างนี้นี่เอง

มาถึงจุดนี้หัวหน้าก็เห็นใจแบะถามว่า จะเอายังดี จะย้ายไหม จะได้หาที่อยู่ใหม่ให้ ผมกับน้องก็ตอบเป็นเสียงประสานโดยพร้อมเพรียงทันทีว่า “ไม่ไหวสุดๆเลยครับ !!” อย่างไรก็ตามเย็นวันนั้นผมกับน้องยังคงต้องนอนที่นั่นอีกคืน เลยพากันไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนมาจุดไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร ขอขมาลาโทษที่เข้ามาโดยไม่บอกกล่าวกันไป ทำให้คืนนั้นก็ผ่านมาได้แบบเรียบร้อย กระทั่งได้ย้ายไปบ้านหลังใหม่ในวันถัดมา…ซึ่งไม่รุ้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่ย้ายคราวนี้ก็ไม่พ้นต้องเจอกับสิ่งน่ากลัวอีก แม้คราวนี้ไม่ใช่ผีแต่มันคือ “ตุ๊กแกไซส์ยักษ์” สีสันฉูดฉาดสลับลายพร้อยไปทั้งตัว จนผมอดตั้งชื่อให้มันไม่ได้ว่า “น้องสลิ่ม” เรียกว่ามาสมุยคราวนี้ หนีผีปะตุ๊กแกก็ไม่ผิดนัก! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มา : postjung แชร์ประสบการณ์หลอนบ้านเช่เกาะสมุย

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

23/02/2020

กระทู้ผีพันทิป | นั่งสมาธิกลางป่าช้า สนธนาหน้าโลง

กระทู้ผีพันทิปเรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ของสมาชิกพันทิปหมายเลข 2794605 ที่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดในจังหวัดพิจิตร แต่การปฏิบัตรธรรมครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่ “เจน” เคยไปมา เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า…ตัวเองจะต้องไปนั่งอยู่หน้าหลุมศพกลางป่าช้าตามลำพัง! แถมยังต้องพูดจาท้าทายอีกว่า…ให้ร่างที่อยู่ในหลุม ลุดขึ้นมาหลอกมาหลอนด้วยเถิด!!

กระทู้ผีพันทิป ปฏิบัติธรรม ด้วยการนั่งสมาธิกลางป่าช้า คนเดียว…

เรื่องราวต้นขึ้นจาก “เจน” เจ้าของเรื่องเล่าได้รับการชักชวนจากคุณแม่ แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิจิตร ซึ่งคุณแม่ของเจนไปมาก่อนแล้วรู้สึกว่าช่วยส่งเสริมให้ชีวิตพบเจอแต่เรื่องดีๆ ภายหลังจากที่กลับจากการปฏิบัติธรรม ในขณะทีช่วงนั้นเจนเองก็ประสบปัญหาหลายเรื่องในชีวิต เป็นต้นว่า ขับรถชนมาจนต้องเสียเงินเสียทอง อกหักรักคุด ทำให้เจนมองหากิจกรรมเพื่อหลีกหนีจากอารมณ์ท้อแท้ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงตัดสินใจตบปากรับคำไปร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดดังกล่าว

นอกจากเจนแล้วยังมีรุ่นพี่ที่เคยไปปฏิบัติธรรมมาก่อนอีกสามคน และญาติของเจนติดตามไปด้วยอีกคน รวมแล้วทริปนี้มีสมาชิกร่วมเดินทางไป 5 คน… เจนเล่าเรื่องราวตั้งแต่เริ่มเดินทางไว้ดังนี้… วันจันทร์เราออกจากสระบุรีกันตั้งแต่เช้ากว่าจะถึงที่หมายก็ราวเที่ยงวัน ที่วัดแห่งนั้นพบว่ามีผู้มาเข้าร่วมปฏิบัติธรรมกันเกือบ 20 คน ซึ่งหากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนจะยิ่งมากกว่านี้ เมื่อมาถึงสถานที่ พวกเราไก้รับการแนะนำให้เข้าไปสักการะไหว้พระและเจ้าที่เจ้าทางกันก่อน พอช่วงบ่ายก็เริ่มเข้าสู่คอร์สจริง สิ่งแรกเลยคือการเดินกรรมฐาน หลังจากนั้นจะเป็นการนั่งสมาธิอีกราว 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เจนเป็นคนสมาธิสั้นค่ะ ไม่สามารถจะทนนั่งนิ่งๆได้นานนัก เลยมีแอบลืมตามามองรอบข้างบ้าง ถัดมาก็มีการเดินกรรมฐานอีกรอบ แต่รอบนี้รู้สึกแปลกใจว่าเราทำได้ดีขึ้นหลังนั่งสมาธิมา เรียกได้ว่าเราคงเริ่มคุ้นชินแล้ว

รายการต่อมาคือการ “ปลุกญาณ” เป็นการให้เรานั่งสมาธิโดยท่องคำว่า “หนอ…” ไว้ในใจ โดยที่จะมีพระอาจารย์คอยกำกับจังหวะการท่องให้เร็วหรือช้า ปรากฏว่าช่วงที่พระท่านบอกให้เร่งจังหวะการท่องหนอรัวๆนั้น ไม่นานนักก็มีเสียงกรีดร้อง เกรี้ยวกราดดังขึ้นมาจากผู้นั่งปฏิบัติธรรมราวกับคนของขึ้น ตอนนั้นเจนหลับตาอยํ่เลยไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น บอกตามตรงว่าเราก็ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือกระทั่งทำเพื่อจุดประสงค์อะไร จนอดคิดไม่ได้ว่า…นี่ตัวเองมาทำอะไรอยู่ที่นี่กันแน่ จู่ๆพี่ที่มาด้วยกันคนหนึ่งที่มาเป็นพี่เลี้ยงให้ก็เข้ามากระซิบข้างหูเราว่า… ให้มีสมาธิ ท่องหนอๆๆๆเร็วๆเลย เราก็ทำตามนั้น หนอๆๆๆๆ กระทั่งถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก พี่เขาก็ให้ล้มตัวหงายลงนอนในขณะที่ก็ยังคงท่องไม่หยุด แต่สักพักก็หายใจสะดวกขึ้น แม้ว่าจะเหงื่อโทรมกายก็ตาม พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่า ที่แขนมีรอยปั้มคำว่า “ผ่าน” ประทับไว้

ตราผ่านในที่นี้ไม่รู้แน่ชัดว่ามีการวัดผลหรือคัดเลือกอย่างไร แต่เข้าใจว่าคนที่ได้รับการเลือกว่า “ผ่าน” จะได้เดินทางเข้าสู่รอบต่อไป นั่นคือการนั่งสมาธิกับอาจารย์ใหญ่ หลังจากนั้นก็มีการจับฉลากเพื่อเลือกว่าผู้ปฏิบัติธรรมคนไหนจะได้จับคู่กับอาจารย์ท่านใด โดยแต่ละคนจะได้รับป้ายแขวนคอที่ระบุชื่ออาจารย์ใหญ่อยู่บนนั้น เราเองก็หยิบป้ายใบหนึ่งออกมาจากกองอย่างสุ่มๆ แล้วได้ป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า “สายที่ ๒/๔” คู่กับชื่ออาจารย์ใหญ่ สายที่ว่าเรียกว่าเป็นการแบ่งกลุ่มกันก็คงได้ สรุปว่าเราได้อยู่สายที่ 2 จากทั้งหมด 6 สาย ที่นั่งปฏิบัติธรรมนี้จะมีขึ้นใน “มอ” สิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายกระท่อมซึ่งจะถูกแบ่งตามสายด้วยซอยเล็กๆ โดยคนที่จับฉลากได้สายใดก็ต้องแยกย้ายกันไปยังมอตามซอยของตน ด้านในก็จะมีร่างของอาจารย์ใหญ่รอคุณอยู่ที่นั่น และแน่นอนว่าคุณไม่สามารถพกเครื่องมือสื่อสารติดตัวไปได้

ถ้าใครมีโอกาส ไปลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหายนะคะ ใครมีประสบการณ์เคยนั่งกับอาจารย์ใหญ่ แล้วมาแชร์กันค่ะ

ขอบคุณที่มา กระทู้ผีพันทิป : ไปนั่งสมาธิกับอาจารย์ใหญ่ในป่าช้าคนเดียวมาค่ะ

อ่านเรื่องผี เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

21/02/2020

เรื่องผีเดอะช็อค | บ้านนายทหารผีดุ ขนาดเจ้าที่ยังอยู่ไม่ได้

เรื่องผีเดอะช็อคเรื่องนี้ เป็นเรื่องจากสายของ “คุณดิว” ซึ่งนำประสบการณ์การอาศัยอยู่ในบ้านที่เรียกได้ว่า “อาถรรพ์แรง” มากๆ อย่างไรก็ตามฉากหลังเรื่องเล่าของคุณดิวนั้น กลับเกิดขึ้นในครั้งที่เขายังคงเข้ารับการฝึกเป็นพลทหารอยู่ที่ค่ายแห่งหนึ่ง และได้รับความไว้วางใจให้มาเป็นผู้ดูแลบ้านที่ไม่มีคนอยู่หลังหนึ่ง ความเงียบสงบที่อยู่ตรงหน้าคุณดิวเปรียบเทียบได้กับคลื่นลมในวันที่ทะเลสงบจนผิดปกติ ก่อนที่สึนามิจะเข้าถาโถมเขาจนไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้

เรื่องผีเดอะช็อค “เจ้าที่ยังถอย” – คุณดิว

เหตุการณ์เรื่องเล่าผีนี้เกิดขึ้นกับคุณดิว ในสมัยที่ถูกเกณฑ์เข้ารับการฝึกเป็นพลทหารตามกฎหมายที่ชายไทยทุกคนล้วนต้องผ่านกันมาแล้ว เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2556 คุณดิวได้รับโอกาสถูกเลือกไปเป็นทหารรับใช้ให้กับนายทหารสัญญาบัตินายหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นเจ้านายของตน นั่นทำให้คุณดิวไม่ต้องเข้ารับการฝึกหรือปฏิบัติหน้าที่ตามกิจวัตรประจำวันของพลทหารทั่วไปอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ณ ที่นั้นแล้วต้องบอกเลยว่า ไม่ว่าใครก็คงนึกอิจฉาคุณดิวด้วยกันทั้งนั้น เพราะย่อมสบายกว่าทนตากแดดตากลมเป็นแน่

คุณดิวกับเพื่อนทหารเกณฑ์อีกคนหนึ่ง ถูกมอบหมายให้ไปเฝ้ายามรวมถึงมำความสะอาดดูแลบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งบ้านหลังที่ว่านี้เป็นของนายทหารผู้เป็นเจ้านายของเขาเอง โดยบ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นบ้านไม้ที่มีใต้ถุนสูง และแม้ว่าจะเป็นบ้านของนายทหารยศสูง แต่ก็ไม่มีคนพักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน นั่นเป็นสาเหตุให้คุณดิวถูกส่งไปดูแล เพราะแถวนั้นก็มีข่าวคราวเรื่องโจรขึ้นบ้านอยู่เหมือนกัน เมื่อวันนั้นมาถึง เป็นจ่าสิบเอกผู้ใต้บังคับบัญชาของนายทหารเจ้าของบ้านที่ถูกส่งมาเป็นคนนำทางไปยังสถานที่เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม พอมาย้อนนึกดูถึงท่าทางของจ่าในวันนั้น ก็คงเหมือนกับลางบอกเหตุว่าความน่ากลัวอันดำมืดที่ซ่อนตัวในบ้านหลังนั้น ค่อยๆคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ…

ที่ต้องว่าอย่างนั้นก็เพราะ แทนที่จ่าจะไปส่งคุณดิวกับเพื่อนที่หน้าบ้านหลังดังกล่าว กลับส่งทั้งคู่ลงหน้าปากซอยแล้วให้เดินเข้าไปเองเป็นระยะทางกว่า 2 กม. โดยที่ก็ไม่ได้ชี้แจงถึงเหตุผลอะไร คุณดิวเองก็นึกไม่ถึงว่าสาเหตุจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับบ้านหลังนี้ คิดเอาเองว่าบางทีจ่าแกคงตั้งใจจะแกล้งเล่นกระมัง กระทั่งค่ำคืนแรกก็ผ่านพ้นไปได้อย่างเป็นปกติเรียบร้อย หลังจากคุณดิวและเพื่อนหาข้าวปลาทานกันเสร็จก็จัดแจงปูที่หลับที่นอนเพื่อค้างคืนแรก แต่แล้วในคืนถัดมานั้นเอง ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติเกิดขึ้น…

ในคืนที่ 2 นั้นระหว่างที่นอนกันอยู่ จู่ๆก็มีเสียงดัง “ปึกกๆ ๆ ๆ…” ดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดในยามราตรี เสียงนั้นฟังดูคล้ายกับมีใครสักคนกำลังเดินเอามือเคาะกับไม้กระดานไปรอบๆตัวบ้าน และเนื่องจากบ้านเป็นไม้ทำให้เสียงที่ว่าก้องกังวาลไปทั่ว คุณดิวลุกขึ้นมาฟังอยู่พักหนึ่งก็อดจะนึกดีไม่ได้เลยว่า “ไม่น่าจะใช่เสียงคนซะแล้ว” เนื่องจากในที่นี้มีเพียงเขากับเพื่อนพลทหารสองคนเท่านั้น คุณดิวนึกขึ้นได้ว่าตอนที่มาถึงบ้านหลังนี้ยังไม่ได้ยกมือขอขมาลาไหว้กับเจ้าที่เจ้าทาง บางทีท่านอาจจะออกมาทักทายก็ได้ อย่างไรก็ตามเสียงที่ว่าดูเหมือนจะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คุณดิวจึงพยายามปลุกเพื่อนที่หลับอยู่ขึ้นมาด้วยการจะเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟบนผนังที่อยู่ห่างออกไปทางประตู

แต่ขณะที่กำลังลุกจะเดินเข้าไปนั่นเอง สายตาของคุณดิวก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง อะไรที่ว่านั้นเป็นเงาของชายคนหนี่งในชุดเสื้อยืดสีเขียวเข้มกับกางเกงขาสั้นสีดำสนิท นั่งห่างออกไปไม่ไกลนักอยู่ใต้สวิตช์ไฟที่ว่าพอดี สิ่งนี้ทำให้คุณดิวราวกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ เขาไม่แม้แต่จะสามารถยกขาที่ทำอยู่เป็นปกติได้ เรียกว่าจะถอยกลับก็ไม่ได้ จะเดินต่อก็ไปไม่ถึง ระหว่างนั้นเหงื่อกาฬก็เริ่มซึมออกมาตามหน้าผาก สายตาก็ยังคงจ้องกับเงานั้นราวต้องมนต์สะกด คุณดิวอยากตะโกนเรียกเพื่อนจะแย่ แต่กลายเป็นว่าเสียงถูกกลืนหายไปในลำคอ

คืนที่สามคุณดิวไม่สามารถที่จะข่มตาหลับได้ หลังเผชิญหน้ากับเงาปริศนาเมื่อคืนก่อน คุณดิวจำเป็นต้องอาศัยยานอนหลับ โดยจัดเต็มไปถึง 3 เม็ด กะว่าเอาให้หลับแบบไม่รู้เรื่องกันไปเลย หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่าใบวาร์ปก็ว่าได้ กระพริบตาอีกทีก็เช้าแล้วทำนองนั้น ภาระจึงไปตกอยู่ที่เพื่อนพลทหารที่ต้องอยู่เผชิญกับสิ่งลี้ลับอยู่คนเดียว ขณะที่เขานอนดูหนังแผ่นผ่านทางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ความบันเทิงเดียวที่มีให้ทำคร่าเวลาในบ้านหลอนยามค่ำคืนอยู่นั้น ก็รู้สึกคอแห้ง จึงลุกขึ้นไปตักน้ำในกระติกที่อยู่มุมหนึ่งห่างออกไปขึ้นดื่ม แต่จังหวะที่จะลุกขึ้นเดินกลับมานอนต่อนั่นเอง สิ่งที่แทบไม่เชื่อสายตาก็ปรากฎขึ้น…ผู้หญิงแปลกหน้าในชุดคลุมท้องยาวในใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธแค้นราวจะระเบิดออกมา

“พวกเมิงออกไปปป !…ที่นี่ของกรุ !!”

เรียกว่าหาความเป็นมิตรไม่ได้เลยแม้กระพรี้เดียว! เช้าวันถัดมาคุณดิวถึงรู้เรื่อง เลยรีบต่อสายหาจ่าที่มาส่งเขาทันที แล้วจัดแจงเล่าทุกเหตุการณ์ที่พบเจอมาในช่วง 3 วัน “จ่าพวกผมไม่ได้ตาฝาดนะ หรือจ่ามาอยู่กับพวกผมมั้ยล่ะ?” แต่คำตอบของจ่าที่ไม่มีใครคาดคิดคือ “เอางี้นะ เดี๋ยวจะนิมนต์พระไปตั้งศาลพระภูมิให้แล้วกัน…” แสดงว่าที่บ้านหลังนี้ต้องมีประวัติจริงๆ

หลังจากคุยกับจ่าเสร็จ คุณดิวซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านก็ไม่ทราบว่าอะไรดลอกดลใจ ให้แหงนหน้ามองข้างบน และสิ่งที่พบก็ทำให้เขาถึงกับผงะ! มีเท้าคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างบนบ้านตอนนี้ คุณดิวมองเห็นผ่านรอยห่างของแผ่นไม้กระดาน จากนั้นเขารีบมองหาเพื่อนไปรอบๆ และก็ปเจอเข้ากับเพื่อนซี่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ใต้ต้นไม้ ไม่หางไปจากเขานัก ถ้างั้น…แล้วตอนนี้ใครยืนอยู่บนบ้าน? อย่างไรก็ตามความหวังเดียวของเขาก็มาถึง มีพระกับร้านศาลพระภูมิมาตั้งศาลให้ที่บ้านทันก่อนจะพบคล่ำ 2 พลทหารใจชื้นขึ้นเป็นลำดับ อย่างน้อยๆพวกเขาก็ไม่ได้สู้เพียงลำพังแล้ว

อย่างไรก็ตามความอดทนต่อความกลัวของคนนั้นมีจำกัด สถาณการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย ในค่ำคืนนั้นเองเวลาราวๆ 5 ทุ่ม คุณดิวนั่งดูหนังกันที่โน๊ตบุ๊คตัวเดิม จู่ๆก็มีเสียงดัง “โผล๊ะ” ก่อนจะตามด้วยเสียง “โครมม!!” มาติดๆ คุณดิวเลยเดินตามเสียงออกมาดูถึงบริเวณหน้าบ้าน และก็พบว่า…บัดนี้ ศาลพระภูมิที่พี่งตั้งเสร็จหมาดๆ ตอนนี้กลายเป็นซากไปแล้ว สภาพคือเสาปูนแท่งใหญ่หักออกครึ่ง ส่วนศาลไม้ก็หล่นลงมากองกับพื้น เศษไม้และธูปเทียนบูชากระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะเย็นเยียบดังลอยตามลมออกมา “หึหึๆๆ… ฮิฮิๆๆ…” ตอนนั้นคุณดิวรู้สึกแล้วว่าความสยองขวัญได้คืบคลานมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ดูจากสภาพศาลคาดว่าเจ้าที่ก็คงจะรีบหนีไปแล้วเป็นแน่แท้!

แต่เรื่องราวยังไม่จขแค่นั้น คุณดิวรู้สึกว่าเสียงหัวเราะเย้ยหยันอยู่ใกล้กว่าที่คิด พอหันไปมองที่ฟูกนอนของเขาก็เจอกับเหตุการณ์บางอย่างที่เหนือคำบรรยาย ฟูกนอนที่เคยเรียบตึงตอนนี้มันมีรอยกดแปลกๆที่มองไม่เห็น แต่ดูคลายกับรอยเท้าปรากฎขึ้นตรงนั้นตรงนี้บ้างเป็นจังหวะไปทั่ว ราวกับว่ามีใครบางคนเดินขึ้นไปเหยียบย่ำไปมาอยู่บนนั้นจนสาแก่ใจ เพียงแต่ไม่เห็นตัว ทิ้งไว้เพียงแค่ร่องรอย คุณดิวเลยรีบปลุกเพื่อนให้ลุกขึ้นมาช่วยกันท่องบทสวดมนต์ที่พอจะนึกออก แต่ทันทีที่เริ่มต้นบทแรก และเพียงแค่ท่อนแรกว่า “อิติปิโส….” ก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาขัดพวกเขา

“ตอนนั้นกรุก็สวดแบบพวกเมิงนี่แหละ… แ ต่ ก็ ไ ม่ ร อ ด ด ด !!”

ทันทีที่มีเสียงแขกไม่ได้รีบเชิญเข้ามาแทรก คุณดิวกับเพื่อนก็รีบคว้าโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ก่อนจะรีบวิ่งลงมาจากตัวเรือนบ้านโดยมิได้นัดหมายหรือให้สัญญาณโดยพร้อมเพรียงกัน! แม้กระทั่งรั้วเหล็กดัดสูงตระหง่านตรงหน้าก็ไม่อาจขวางทางพวกเขา ก่อนที่จะกระเสือกกระสนวิ่งออกมาจากซอยอีกกว่า 2 กม. เรียกว่าผลลัพธ์จาการฝึกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้นำมาประยุกต์ใช้จริงก็วันนี้!

พลทหารทั้ง 2 นาย นั่งอยู่บริเวณหน้า 7-11 ปากซอยจนกระทั่งเช้า จึงได้โทรศัพท์ไปหาจ่าคนเดิมแล้วอธิบายสถานการณ์ล่าสุด อย่างไรก็ตามทางจ่ากลับไม่ได้มีคำตอบหรือปฏิกิริยาใดๆกลับมา แม้ว่าจะพึ่งได้รับฟังเหตุการณ์สยองขวัญในบ้านไม้หลังนั้นมา ถ้าหากไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในเรื่องที่คุณดิวเล่ามา ก็คงจะเป็นเพราะว่า…ตัวจ่านั่นแหละที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? คุณดิวสุดดจะอดทนจึงประชดประชันอย่างเด็ดขาดเลยว่า “ให้จ่ามานอนเฝ้าแทนพวกผมแล้วกัน เดี๋ยวผมยกเงินเบี้ยเลี้ยงประจำเดือนให้จ่าหมดเลยเอ้า…”

อย่างไรก็ตามแม้จะถูกท้าทายหรือจูงใจด้วยเงินตรงหน้า จ่าก็รีบปฏิเสธทันทีว่าไม่เอาด้วยหรอก… แต่ถึงจะพยายามถามเอาความจริงจากจ่าก็ดูเหมือนจะไม่ได้ความเช่นกัน จ่าปิดปากเงียบสนิท ไม่เผยอะไรให้คุณดิวได้รู้เลย และแม้ว่าจะพยายามสอบถามจากคนในละแวกนั้นก็ไม่ได้คำตอบอีกเช่นกัน กระทั่งคุณดิวกับเพื่อนไปนั่งร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง เลยคะยั้นคะยอให้ป้าแม่ค้าเล่า ทีแรกแกก็ปฏิเสธอยู่เหมือนกัน แต่พอคุณดิวจ่ายเงินจ้างสองร้อยบาทและกำชับว่า หากตนรู้แล้วจะไม่ไปเล่าให้ใครฟัง ป้าถึงยอมเปิดปากเล่า…

“บ้านไม้หลังที่พวกหนุ่มไปอยู่น่ะ เจ้าของเขาเป็นนายทหารยศสูง อันที่จริงแกปลูกบ้านหลังนั้นให้ลูกสาวแก แต่ตอนหลังลูกสาวแกไปเรียนต่อที่กรุงเทพแล้วดันท้องกลับมาบ้าน โดยที่ฝ่ายผู้ชายก็ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร แถมกลับมาก็ยังตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอีก คนแถวนี้ก็ซุบซิบนินทาไปทั่วเลย กระทั่งเธอคิดสั้นจนตัดสินใจผูกคออยู่บนขื่อในบ้านหลังนั้นนั่นแหล๊…”

จากเท่าที่จับใจความ คุณดิวก็ทราบว่าจุดที่หญิงสาวคนนั้นเคยผูกคอ คือจุดเดียวกันกับที่ที่คุณดิวปูฟูกนอนอยู่ใต้ขื่อนั่นพอดิบพอดี! ภายหลังจากเหตุการณ์น่าเศร้า…บ้านหลังนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีคนเข้าไปอยู่อาศัย เพียงแต่ยังมีข้าวของเครื่องใช้อยู่ดังเดิม นั่นทำให้บ้านหลังนี้เป็นที่หมายตาของขโมยขโจร และครั้งหนึ่งที่เคยมีขโมยแอบย่องเข้าไปเพื่อหวังจะยกเค้าบ้านหลังนี้ แต่ 4-5 วันถัดมา…คนเก็บขยะที่ผ่านมาได้กลิ่นเหม็นเน่า โชยคลุ้งออกมาจากบ้านหลังที่ว่า จึงถือวิสาสะเข้าไปดู ก็พบเข้าดีบศพของชายผู้เป็นหัวขโมยนอนดับอยู่บนบ้าน ในสภาพท่าทางที่หลอนจนแทบไม่เชื่อสายตา เพราะร่างนั้นนอนพนมมือเบิกตาโพรงอยู่ ราวกับจะสวดภาวนา ขอขมาลาโทษ หรือถูกมัดตราสังอย่างไรอย่างนั้น !!

หลังจากนั้นคุณดิวพอจะได้ข้อสรุปว่า…ผีผู้ชายตนแรกที่เขาเป็นผู้พบในค่ำคืนที่ 2 คงจะเป็นวิญญาณของหัวขโมยที่แอบขึ้นบ้านหลังนี้เข้ามา ก่อนที่จะไปเจอกับผีผู้หญิง ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวนายทหาร หัวขโมยคนนั้นคงจะพยายามท่องบทสวดมนต์เพื่อขับไล่ภูติผี เหมือนอย่างที่คุณดิวเคยทำ “อิติปิโส…แต่ก็ไม่รอด” คำพูดในคืนนั้นยังคงก้องในโสตประสาท บ้านนี้ของแรงขนาดที่ว่าแม้จะขอขมาหรือสวดมนต์ก็ยังไม่รอด… หรือแม้แต่เจ้าที่ศาลพระภูมิยังอยู่ไม่ได้ ภายหลังพอนายทหารเจ้าของบ้านอาถรรพ์ที่ว่านี้ทราบเรื่อง ก็ยังบอกอีกแน่ะว่า “โชคดีแล้วนะที่เจอแค่นี้” !! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มา : ‘เจ้าที่ยังอยู่ไม่ได้’ เล่าโดย : คุณดิว จาก The Shock

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

16/02/2020

เรื่องผี | คอนโดฯผีหลอกรายวัน.. เรื่องสยองที่เมืองทองธานี

เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาในโลกโซเชียล เมื่อผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งออกมาเล่าประสบการณ์เรื่องผีน่ากลัวของตนเอง หลังจากที่เดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อมางานแฟนมีตติ้งของศิลปินเกาหลีคนหนึ่ง เมื่อต้นปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามผู้ใช้ทวิตเตอร์รายนี้จองห้องพักที่ “คอนโดฯแห่งหนึ่งย่านเมืองทองธานี” เพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานในวันถัดมา แต่ปรากฎว่าทันทีที่ก้าวเข้ามายังตึกหลังหนึ่งของคอนโดฯนั้น ก็ต้องพบกับเรื่องที่เสียวสันหลังวาบ แบบที่หาเหตุผลมาหยิบมาจับให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ กระทั่งมีคนนำไปรีทวิตต่อ และลามมาถึงเพจใน FB ชื่อดัง ก็มีคนแชร์ต่อกันกว่า 35,000 ครั้ง แถมยังพบว่ามี “คู่กรณี” กับคอนโดที่ว่านี้อีกนับสิบ ที่ล้วนแล้วแต่เคยได้สัมผัสความหลอนมาเล่าสู่กันฟังแบบออกรส!

เรื่องผี…คอนโดฯหลอน การันตีโดยผู้อาศัย!

ผู้ใช้ทวิตเตอร์ “May’s Wink” ได้เล่าไว้ว่าเรื่องเริ่มต้นขึ้นจากการที่เรามีนัดไปร่วมงาน “แฟนมีตฯ” ของศิลปินเกาหลีคนหนึ่งเมื่อช่วงมีนาคม 2019 เราเดินทางมากับพี่อีกคนโดยที่เครื่องมาถึงดอนเมืองราว 4 ทุ่ม และเดินทางต่อไปยัง “คอนโดฯแห่งหนึ่ง…ย่านเมืองทอง” เพื่อหาห้องพัก จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาพักที่คอนโดมิเนียมแห่งนี้ โดยปกติจะได้ห้องพักในตึก C4 แต่เนื่องจากในค่ำคืนนั้นเราไม่ได้จองล่วงหน้า จึงทำให้ไม่ได้ที่พักในตึกนั้นเนื่องจากเต็ม อย่างไรก็ตามเราได้ห้องพักในอีกตึกหนึ่งซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของค่ำคืนแห่งความหลอนอยู่ในใจ

หลังจากได้กุญแจห้องพัก เราสองคนก็ตรงขึ้นไปยังห้องของเราบนชั้นที่ 7 อย่างไรก็ตามที่ตึกนี้ลิฟท์ไม่ได้มีทางออกทุกชั้น แต่จะมีเพียงชั้นเลขคี่เท่านั้น สิ่งเราต้องทำคือกดเพื่อที่จะลงที่ชั้น 6 แล้วเดินขึ้นบันไดต่อไปอีกชั้นนึง ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์ไป 2 คนกับพี่ตามลำพัง เรารู้สึกอยู่แวบหนึ่ง ว่าเหมือนมีใครยืนอยู่ด้านหลัง จึงหันหลังควับไปมอง แต่แน่นอนว่ายอมไม่มีใครทั้งนั้น กระทั่งลิฟท์หยุดที่ชั้น 6 และประตูก็เปิดออกทันที พี่ที่มาด้วยกันเดินนำออกไปจากลิฟท์ก่อน เราหันกลับมาและจะเดินตามออกไป ปรากฎว่า! ประตูลิฟต์มันก็ปิด ชึ่บบบ! ลงทันที! เราตกใจและงงกับสิ่งที่เจอมาก…มันปิดเองได้ไง เราก็ไม่ได้ชักช้าหรือพิรี้พิไรอยู่จนออกไม่ทันประตูปิด แต่มันไม่จบแค่นั้น เราพยายามกดปุ่มเปิดประตู ย้ำๆอยู่หลายทีมันก็ไม่ยอมเปิด แถมลิฟต์ยังขึ้นต่อไป แล้วเปิดออกที่ชั้น 8! ทั้งๆที่ตรงหน้านั้นก็ไม่มีใครยืนรอเพื่อที่จะใช้ลิฟต์อยู่ ณ ที่นั้นซักคน คำถามคือ..แล้วใครกดเรียกขึ้นมา? อย่างไรก็ตามยังดีที่พี่วิ่งขึ้นบันไดตามเรามาพอดี ไม่อย่างนั้นเราคงขาแข็ง ก้าวไม่ออกแน่ๆ

กระทั่งเราเข้าไปยังห้องพักหมายเลข 733 ทันทีที่ก้าวเข้าไปก็รู้สึกแปลกๆพิกล เป็นความรู้สึกอึดอัดในอกที่อธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไร และในคืนนั้นเอง หลังจากที่เข้านอนกันไปแล้ว ราวๆเที่ยงคืนเราก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากในห้องน้ำ หันมองดูพี่ก็ยังนอนอยู่ ไม่มีใครเข้าอยุ่แน่ก็เลยไปดู ปรากฎว่าน้ำจากก๊อกอ่างล้างหน้าไหลโจ้กๆอยู่ พอเอื้อมมือไปจับดูก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า หัวก๊อกมันคลายอยู่จริงๆ ไม่ใช่เพราะว่ามันรั่วเลยไหลออกมาเอง เราค่อนข้างมั่นใจว่าใช้เป็นคนสุดท้ายก่อนจะเข้านอน และมั่นใจด้วยว่าเราไม่ได้ถึงขนาดจะปล่อยปะละเลยจนลืมปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ แม้จะไม่ใช่ที่บ้านตัวเอง และมันฏ้พึ่งจะเริ่มไหล เมื่อตะกี้นี้เอง ถ้าลืมปิดมันน่าจะไหลตั้งนานจนเรารู้สึกตัว ภาพในหัวมันโผล่ขึ้นมาชวนให้กลัวจริงๆ หรือว่าจะมี “มือ” ใครบางคนโผล่ออกมาจากมุมอับสายตา ก่อนจะค่อยๆบิดคลายเกลียวของก๊อกน้ำ และปล่อยให้น้ำไหลออกมาจนได้ยินเสียงดังไปทั่วห้อง เรากลัวจนต้องไปปลุกพี่มาดูด้วย ก่อนจะปิดมันแล้วนั่งคุยเป็นเพื่อนกันเกี่ยวกับงานมีตติ้งที่จะไปร่วม

กระทั่งนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้บอกเวลาตี 3 เราก็ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ก่อนที่จะแยกย้ายกันนอน แต่หลังจากล้มตัวลงนอนไม่ถึง 5 นาที เราซึ่งยังไม่ได้หลับในทันที ก็ได้ยินเสียง “ลากเก้าอี้” ดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ห่างจากเตียงนัก แต่เราไม่แม้แต่จะติดที่จะลุกขึ้นมาดู ได้แต่ขดตัวสั่นงันงก เหงื่อแตกอยู่ใต้ผ้าห่มจนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยเพลีย กระทั่งรุ่งเช้าก็เตรียมตัวกันเพื่อจะออกไปร่วมงานมีตติ้งจุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้ งานมีตฯผ่านพ้นไปได้อย่างดีและน่าประทับใจ แต่ยังมีเรื่องต้องห่วงอีกอย่าง คือการทีเรายังต้องพักที่คอนโดฯที่ว่านั่นอีกคืน…

เรากีบพี่กลับเข้าที่พักตอน 4 ทุ่ม แม้จะเกรงๆอยู่บ้างที่จะต้องขึ้นลิฟต์ตัวนั้นในเวลากลางคืนอีก แต่ก็โชคยังดีที่มีคนอื่นอีกคนขึ้นมาด้วย และวันนี้ลิฟต์มันก็ทำงานปกติดีเหมือนอย่างที่มัน “ควรจะเป็น” เมื่อมาถึงเราก็เข้าห้องน้ำเตรียมตัวอาบน้ำทันที แต่ระหว่างที่กำลังเปิดฝักบัวอยู่นั้น จู่ๆน้ำจากก๊อกอ่างล้างหน้า…ก็ไหลจ๊อกๆออกมาต่อหน้าต่อตา! พอเข้าไปสำรวจก็พบว่าเกลียวก๊อกถูกบิดเหมือนเมื่อคืน เรารีบบิดกลับคืนทันที แล้วรีบอาบจะได้ออกจากห้องน้ำซะที หลังออกมาแต่งตัวจนเสร็จก็เข้าไปนั่งที่โซฟาเพื่อจะดูทีวีซึ่งมีพี่นั่งดูอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปถึง จู่ๆรีโมทที่ตั้งอยู่บนตู้วางทีวีก็ล้มลงก่อนที่จะกลิ้งหลุนๆ แล้วร่วงลงมาที่พื้นราวกับมันพยายามที่จะโชว์กายกรรมให้ดูซะอย่างนั้น เรากับพี่ได้แต่มองน้ำกันแล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อกจนกลบเสียงทีวี …อันที่จริง ที่ตั้งรีโมทก็ดูมั่นคงพอควรนะ และไม่มีใครเดินเฉียดเข้าไปใกล้มันเลย

เราปิดทีวีแล้วหนีกันไปจัดกระเป๋าเอาเสื้อผ้าเข้าที่ให้เรียบร้อย เพื่อที่ว่าเช้ามาจะได้ออกไปได้ทันที เรื่องในค่ำคืนนี้แค่อยากจะขอเก็บไว้ที่เดิม.. ไม่ต้องเพิ่มเติม..ให้มันเป็นเรื่อราว… หลังจากนั้นเรากับพี่ก็เผลอหลับกันทั้งที่ยังพึ่งนั่งคุยกันอยู่บนเตียง จนกระทั่ง…ได้ยินเสียงเพลงฮิตในช่วงเวลานั้น ดังขึ้นมาจากทีวี เป็นรายการเพลงช่วงดึกนั่นเอง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า…มันดังขึ้นมาเองได้ยังไง เราปิดมันไปตั้งแต่ก่อนที่จะหลับอีก แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบต่อคำถามนั้น ก็มีเสียงจากก๊อกน้ำเจ้าปัญหาส่งเสียงน้ำไหลจ๊อกๆดังออกมาร่วมประสานเสียง ราวกับวงออเครสตร้าก็ไม่ปราณ! ค่ำคืนนั้นเรากอดกันกลมอยู่ใต้ผ้าห่มทั้งพี่ทั้งเราอยู่อย่างนั้น โดยฮาวทูทิ้งทุกเรื่องราวไว้ที่ฉากหลัง แล้วมูฟออนจากมันมา อย่างไม่สนใจใยดี เราต้องข่มตาให้หลับสลับกับสวดมนต์อยู่ในใจให้คืนนี้ผ่านพ้นไป

จำได้ว่าคืนนั้นพี่ดูจะออกอาการมากกว่าทุกที เช้าวันรุ่งขึ้นนั้นระหว่างที่ลงไปหาข้าวเช้ากินเลยได้ถามดู ปรากฎว่าคืนนั้นพี่หันไปมองในห้องน้ำ กะว่าจะลุกไปปิดมัน ก็เห็นเข้ากับผู้หญิงนิรนามยืนอยู่ในมุมมืดของห้องน้ำ เลยเปลี่ยนใจ! ก่อนที่จะมุดลงใต้ผ้าห่มยาวๆไป อย่างไรก็ตามเรายังไม่ไดเช็คเอาท์จึงต้องกลับขึ้นไปเอากระเป๋าอีกรอบ ปรากฎว่าพบกระเป๋าเดินทางใบมาตรฐานที่มั่นคงแข็งแรง นอนล้มอยู่…ทั้งๆที่ไม่มีใครเดินเตะมันหรือมีแรงอะไรจะไปปะทะให้มันลงไปนอนวัดพื้นได้เลย ให้มันได้อย่างนี้ซี่! และก่อนจะเช็คเอาท์กลับบ้าน เราก็ไม่ลืมถามให้หายคาใจกันไป ว่าพี่พนักงาน..ห้องนี้ก๊อกน้ำมันเสียรึเปล่า สิ่งที่เค้าตอบกลับมาคือ “เปล่าเสียนะ พี่พึ่งจะเปลี่ยนไปไม่นานนี้เอง เพราะมีคนคอมเพลนมา” โอเค…สบายใจละ เราไม่ได้คิดไปเอง และไม่ใช่แค่เราที่เจอ!

อย่างไรก็ตาม หลังเรื่องเล่าผีนี้ถูกแชร์ในเพจชื่อดัง ก็ถูกส่งต่อและมียอดแชร์กว่า 3 หมื่นแชร์! และนี่คือส่วนนึงของคอมเมนท์จากผู้ที่เคยอยู่ในคอนโดที่ว่าต่างกรรมต่างวาะระ เจอกันมาในหลายรูปแบบ

รีวิวโรงแรมหลอนย่านเมืองทองธานี

ทีมงานปอเต๊กตึ้งที่เคยอาศัยที่คอนโดแห่งนี้ในตึก C7 ยืนยันว่า “เป็นเรื่องปกติ!” มันมีทุกตึกเลย ตนเองนั้นมีโอกาสได้พบเจอเรื่องหลอนบ่อยๆจนชิน เพราะห้องของตนเองก็มีเหมือนกัน…

สมาชิกท่านนี้ออกมายืนยันว่า เจ้าของเรื่องคิดมากไปครับ มันเป็น “ปกติ” ของที่นี่จริงๆ อย่างตัวผมเองพบเจอ “กระเป๋าปริศนา” สีดำที่มักจะตั้งแอบอยู่ตามมุมบันไดบ้าง หน้าประตูตรงนั้น ตรงนี้บ้าง โดยไม่ทราบว่าเป็นของใคร แล้วตั้งเพื่ออะไร หรือทำไมมันย้ายที่ไปมา โดยที่อยู่แบบนี้เป็นอาทิตย์ โดยที่ก็ไม่มีใครตั้งคำถามหรือนำมันออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่า…ด้านในมีอะไรอยู่!

คุณพี่ทหารท่าหนึ่งเล่าว่า เมื่อก่อนตอนย้ายมาประจำการแถวนี้ใหม่ๆ และยังไม่ได้รับห้องพักสวัสดืการ ตนก็เคยมาเช่าที่นี่อาศัย ปรากฎว่าเข้ามาก็ได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงมาก หลังเดินตามหากลิ่นจนทั่วก็ไปพบเข้ากับ ร่างคุณลุงท่านึงผู้อาศัยที่ชั้น 1 ประสบเหตุล้มหัวฟาดจนเสีย กว่าที่เขากับรปภ.ตึกจะไปเจอเข้า ก็ส่งกลิ่นตลบอบอวน

ความเห็นนี้บอกว่า ตอนนี้ตนอยู่ตึก C7 ชั้น 11 เวลาขึ้นลิฟต์มักจะได้ยินเสียงพรายกระซิบ ทั้งๆที่ยืนอยู่คนเดียว!

ความเห็นนี้บอกว่า ตึกอื่นนั้นเบสิคๆ ที่พีคๆระดับเพชรยอดมงกุฏสตาร์แพลทตินั่มต้องที่ตึก T ชั้น 13 ห้อง 13 สิ! ห้องข้างๆเธอนั่นเอง ซึ่งเธอเคยเห็นว่าในห้องนั้นเต็มไปด้วยธูปเทียน แถมมีกะโหลกคล้ายของที่ใช้ทำพิธีคุณไสยในห้องนั้น ซึ่งทุกห้องบนชั้นนั้นจะมีผ้ายันต์แปะไว้ทุกห้อง

นี่ก็อีกประสบการณ์หลอนบนลิฟต์ของคอนโดแห่งนี้ บอกเลยว่าพีคในพีค โจทย์เยอะมากจริงๆ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้น ใครเคยมีประสบการณ์เคยมาพักหรือเคยอยู่ที่นี่ รบกวนเล่าให้เราฟังด้วยนะ!

ขอบคุณที่มาเรื่องผีสยองขวัญ : กระทู้เด็ดพันทิป-ผี-สยองขวัญ

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

15/02/2020

เรื่องผี the shock | “คนอะไรเป็นแฟนผี” ประสบการณ์แอบรักผี

เรื่องผี the shock เรื่องนี้อยู่ในช่วงเดอะช็อคสตอรี่ หรือเป็นช่วงที่ทางผู้ดำเนินรายการจะนำเรื่องผีที่ส่งเข้ามาจากทางบ้าน มาอ่านให้ฟังในรายการ โดยเรื่องที่ว่านี้เป็นเรื่องเล่าผีของ ‘คุณเบน’ กับประสบการณ์ที่ต้องบอกเลยว่า “สยองปนสยิว” คือคุณเบนไปหลงรักสาวที่พบโดยบังเอิญที่คอนโดแห่งหนึ่ง โดยที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้อหลังของเธอมาก่อน

The shock story เรื่องผี “แพร” โดยคุณเบน

เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อหลายสิบปีก่อน คุณเบนมีอาชีพเป็นพนักงานออฟฟิศของบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในขณะนั้นคุณเบนยังเป็นหนุ่มอายุ 20 กว่าปี เนื่องจากยังโสดจึงได้หาคอนโดอยู่แถวเตาปูน และในวันที่คุณเบนย้ายข้าวของเพื่อเข้าห้องใหม่ของเขาที่ชั้นสิบ ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้พบพานกับหญิงสาวสวยคนหนึ่ง

โดยปกติแล้วลิฟท์ของคอนโดแห่งนี้จะมีอยู่คู่กัน 2 ตัว หากมีใครที่กำลังจะขนของย้ายเข้า ทางผู้จัดการคอนโดจะจัดการให้ผู้อาศัยใหม่ ใช้เป็นลิฟท์ส่วนตัวสำหรับขนของโดยเฉพาะตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ ณ ที่นั้นจะเข้าอกเข้าใจเสมอไป ขณะที่คุณเบนงุ่นง่านสาระวนอยู่กับการนำของเข้าลิฟท์ ก็มีผู้รอใช้งานลิฟท์ยืนออกันอยู่บริเวณนั้นจำนวนหนึ่ง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีคนขึ้นลงเยอะแต่เหลือลิฟท์ให้ใช้เพียงตัวเดียว

แต่ในหมู่ผู้ที่ทำหน้าปั้นปึ่งบอกบุญไม่รับ บ้างก็หันมามองด้วยหางตาส่งสัญญาณมาทางคุณเบน ก็ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นช่วยให้หัวใจพองโต แม้จะทันเห็นเพียงแวบเดียวแต่คุณเบนมั่นใจว่าสวยแน่นอน ก่อนที่เธอจะเดินหายลับเข้าไปในลิฟท์พร้อมคนอื่นๆ ราวกับรักแรกพบ เลิฟแอทเฟิร์สไซจน์ยังไงอย่างนั้น บอกเลยว่าคนนี้แหละสเป็ค!

ภายหลังอาทิตย์ถัดมา ในขณะที่ขึ้นลิฟท์คุณเบนก็มีโอกาสได้พบกับหญิงสาวคนที่ว่านั่นอีก คุณเบนจะคอยแอบมองเธออยู่เป็นพัก แบบที่ไม่ให้เธอรู้ตัวมกระทั่งเธอออกไปที่ชั้น 8 หลังจากนั้นมาเขาก็ยังได้พบเธออยู่บ่อยๆที่ลิฟท์ ในบางครั้งมีโอกาสได้ขึ้นลิฟท์กันแบบ 2ต่อ 2 ก็อดคิดไม่ได้ว่าอยากจะลองทักเธอดู “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” “วันนี้อากาศดีเช่นเคยนะครับ” แต่จะพูดออกมาที่ไรเสียงก็แหบแห้งหายไปในลำคอด้วยความเขินทุกครั้ง สรุปว่าคุณเบนก็ได้แต่แอบชอบเธออยู่ฝ่ายเดียว เป็นเวลาพักหนึ่ง

และแล้วโอกาสดีๆก็วนมาอีกครั้ง หากได้อยู่กัน 2 คนยังไม่กล้าทัก ชาตินี้คงไม่ได้รู้จักกัน คุณเบนรวบรวมความกล้าด้วยการสูดลมให้เต็มปอด แล้วโพล่งออกไปด้วยเสียงดังๆฟังชัด

“เอ่อ ชื่ออะไรครับ?”

ปรากฎว่า..เธอไม่ตอบอะไรกลับมา! เรียกว่าจั่วลมก็คงจะได้! อย่างไรก็ตามยังพอมีเห็ดโคนงอกออกมาหลังฤดูฝนสาดซัดกระหน่ำ คุณเบนแอบเห็นว่าเธอมียิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวออกจากลิฟท์ไปที่ชั้น 8 บางทีสำหรับครั้งแรกอาจถือว่า “มีประเด็น” แล้ว หลังจากวันนั้น ทุกครั้งทีเจอกันคุณเบนมักจะแอบมองเธออยู่เสมอ พอเธอหันมาเจอก็จะยิ้มเขินตอบกลับมา แต่หากวันไหนมีคนอยู่ในลิฟท์เยอะ เธอจะมีท่าทีตรงกันข้าม คือมักจะมองด้วยหางตาขิ้วขมวด พร้อมบ่นอุบอิบมาทางที่ที่คุณเบนยืนแอบมองอยู่แทน

กระทั่งวันนึงก็มาถึง วันที่ความพยายามที่ผ่านของคุณเบนจะไม่สูญเปล่า ขณะที่อยู่ 2 ต่อ 2 ในลิฟท์ แม้ไม่ได้พูดอะไรกันแต่คุณเบนก็รู้ว่าเธอรู้ ว่าเขาแอบบเฝ้ามองเธอทุกวัน และตอนที่เธอจะก้าวขาออกจากลิฟท์ที่ชั้น 8 เธอก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “แพร..ชื่อแพร” ก่อนที่ประตูจะปิดลงทิ้งให้คุณเบนอมยิ้มเหมือนเป็นบ้าอยู่คนเดียว

หลังจากวันนั้น คุณเบนได้สานสัมพันธ์อันดี มีโอกาสได้คุยกับ ‘แพร’ มากขึ้น แม้เธอจะดูไม่ค่อยช่างพูดนัก จนคุณเบนพอจะรวบรวมข้อมํลส่วนตัวของเธอมาได้จำนวนนีงว่า แพรอาศัยอยุ่กับแม่และน้องสาว เธอเป็นพนักงานออฟฟิศทำงานด้านบัญชีที่บริษัทเอกชน ซึ่งคุณเบนมักจะพบเธอในชุดทำงานแบบสาว working woman เสมอ โดยช่วงเวลที่จะเจอคือช่วงสองถึงสามทุ่ม

มีอยู่วันหนึ่ง แพรไม่ได้ลงที่ชั้น 8 อย่างทุกวัน แต่ขึ้นเลยมาลงชั้น 10 ด้วยกันกับคุณเบน และได้ใช้เวลาพูดคุยทำความรู้จักกันตามประสาหนุ่มสาวกัน จนกระทั่งคุณเบนค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า เธอเองก็คงจะมีใจให้เช่นกัน จึงได้ขอเป็นแฟน แต่สาวเจ้ากลับนอ่งเงียบไปพักใหญ่ ไม่ได้ตอบอะไรแต่กับถามเขาแทนว่า “แน่ใจเหรอ? แน่ใจนะ?” ก่อนที่จะกลับลงไปที่ชั้น 8

คุณเบนและแพรคุยๆกันอยู่เช่นนี้นานหลายเดือน โดยที่ไม่เคยละลาบละล้วง หรือลุกล้ำขอเข้าไปยังห้องของอีกฝ่ายเลย อย่างไรก็ตาม คุณเบนสังเกตเห็นอย่างนึงว่า แพรมักจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่รู้จักกันเวลาอยู่ต่อหน้าคนหมู่มากเช่นในลิฟท์ ซึ่งคุณเบนก็เข้าใจไปว่าเธอคงจะเขินและยังไม่พร้อมจะเปิดตัวตอนนี้ อีกทั้งคุณเบนมักจะอยู่ในชัดลำลองสบายๆอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ได้หล่อเนี๊ยบแบบคนอื่นๆในคอนโด ตลอดเวลาที่คบหากันทั่งคู่ไม่เคยออกไปเดทด้วยกัน มีเพียงแค่ยืนคุยกันที่ระเบียงหน้าลิฟท์ชั้น 10 แต่นั้น

เรื่องราวความสัมพันธ์ของคุณเบนกับแพรดำเนินไปอย่างช้าๆ จนวันนึงคุณเบนกลับจากทำงาน ก็เจอแพรรอขึ้นลิฟท์อยู่ในกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง คุณเบนออกจะเสียดายเล็กน้อยที่วันนี้ดอกาสไม่เป็นใจมีก้างขวางคอซะได้ แพรยังคงเมินใส่เขาเหมือนที่ทำประจำเวลาอยําต่อหน้าคนเยอะๆ กระทั่งขึ้นมาถึงชั้น 10 แต่นึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อของเลยรีบกดลิฟท์กลับลงไปยังชั้นล่างโดยไม่ได้เข้าห้องก่อน หลังซื้อของเสร็จกำลังจะขึ้นลิฟท์ ปรากฎว่าเจอแพรอีก ก็รู้สึกดีใจ สงสัยจะลงมาทำธุระอะไรเหมือนกัน คราวนี้มีคนรอขึ้นไม่กี่คน กะว่าเดี๋ยวรอบนี้ต้องหยอกต้องแซวเล่นซะหน่อย

ตอนที่อยู่ในลิฟท์ คุณเบนพยายามจะเบียดตัวเข้าไปยืนชิดๆกับแพร กระทั่งลิฟท์เคลื่อนตัวไปเกือบจะถึงชั้น 8 ก็พูดกระซิบแผ่วเบาหยอกเธอว่า… “ลงมาอีกเนี่ย อย่าบอกนะว่าคิดถึง เลยตามผมลงมา?” แต่เธอกับนิ่งเงียบไม่แม้แต่หันกับมามอง รางกับไม่ได้ยิน…ไม่สิ เะอแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินมากกว่า พอถึงชั้น 8 แพรก็รีบเดินออกไปทันทีโดยไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมามอง คุณเบนตะโกนตามหลังออกไปว่า “ฝันดีนะครับ..แพร!”

แต่ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น แพรมีปฏิกิริยาทันที เธอหันกลับมาขว้ามือคุณเบนแล้วลากออกมาจากลิฟท์ แล้วพาไปที่ห้องของเธอ ในนั้นมีแม่ของเธออยู่ด้วย ก่อนที่เธอจะเริ่มร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ แม้แต่แม่ของแพรก็ดูจะตกใจ เลยถามลุกสาวว่า “เป็นอะไรไปลูก เขาทำอะไรลูกรึเปล่า!” แม้แต่คุณเบนที่ถูกลากมาในสถานการณ์นี้ก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา

“ผู้ชายคนนี้…เขาเรียกพลอยว่า “แพร” ค่ะแม่…”

พอได้ยินแบบนั้นคุณแม่ของเธอก็เริ่มต้นร้องไห้ตาม กอดกันกลมกับลูกสาว คุณเบนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไปพูดหรือทำอะไรผิดรึเปล่า เลยจะขอตัวออกมาก่อน แต่แม่ของเธอทักไว้ก่อน “อย่าพึ่งไป อยู่คุยด้วยกันก่อน…”

หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่งจนเธอหยุดร้อง ก็ลุกขึ้นไปหยิบกรอบรูปจากบนชั้นก่อนที่จะส่งให้คุณเบนดู ภาพที่เห็นนั้นทำเอาคุณเบนตกใจจนตาแทบถลน ในรูปนั้นเผยให้เห็นหญิงสาว 2 คนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกันมากๆ ราวเป็นคนเดียวกัน มันทำให้เขานึกถึงคำพูดของแพรที่เคยบอกว่าตัวเองอาศัยอยู่กับแม่และน้องสาวอีกคน แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องสาวที่ว่าเป็นฝาแฝด พลอยถามคุณเบนว่า ทำไมถึงรู้จักพี่แพรได้ คุณเบนก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันแรกที่พบกันเหมือนกับที่ทุกคนได้อ่านมาด้านบน

คุณแม่อนุญาตให้พลอยเล่าให้คุณเบนฟัง เธอเริ่มต้นเล่าว่าตัวเธอเองนั้นมีพี่สาวที่เป็นแฝดกันชื่อ “แพร” แพรทำงานที่ตึกเดียวกันกับเธอ ทุกๆวันพี่น้องสองสาวแทบจะตัวติดกัน ไปทำงานพร้อมกัน กินข้าวกลางวันร้านเดียวกัน และกลับบ้านก็กลับด้วยกัน แต่แล้ววันที่เข้ามาพรากทุกสิ่งไป ในเที่ยงวันหนึ่งขณะพักทานอาหารกลางวัน มีรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับขี่ด้วยความเร็ว พุ่งเข้ามาชนแพรจอนกำลังข้ามถนนอยู่พอดี แพรต้องนอนในห้องฉุกเฉินอยู่ 3 วัน แล้วก็จากไปอย่างสงบ

แม้ว่างานฌาปนกิจจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่พลอยก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ จึงตัดสินใจย้ายออกจากห้องพักเดิมที่เคยใช้เวลาร่วมกัน ที่เคยอยู่ด้วยกัน ก่อนที่แม่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่คอนโดแห่งนี้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม พลอยยืนยันว่าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครที่คอนโดนี้ฟัง แน่นอนว่าไม่ควรจะมีใครรู้จักกับ “แพร” เธอจึงตกใจมากตอนที่ได้ยินคุณเบนเรียกเธอด้วยชื่อของพี่สาว

หลังจากนั้นคุณเบนยังได้สนทนากับน้องสาวและแม่ของแพรถึงเรื่องราวของเธออยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะขอรูปของเธอกลับมาด้วย แต่ขณะที่เขาก้าวออกมาจากห้องนั้น ราวกับท้องฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย เขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะก้าวขาก้าวถัดไปอีกแล้ว แม้จะได้คบกันในช่วงสั้นๆ แต่แพรเป็นคนที่คุณเบนรักมากๆ ไม่คิดว่าทุกสิ่งที่กำลังดำเนินไปด้วยดีจะกลายเป็นแบบนี้ได้ แม้ความจริงเธอนานจะจากไปแล้ว สิ่งที่เขาพบคงไม่ต่างจากผีหรือวิญญาณ แต่คุณเบนกลับไม่รู้สึกกลัว ตรงกันข้าม..ยังอยากเจอกับแพรอีกสักครั้ง หากเป็นไปได้

หลังจากการเปิดเผยอันน่าตกตะลึงในวันนั้น คุณเบนมีโอกาสได้เจอคนที่หน้าเหมือนกับหญิงสาวที่เขารักเป็นครั้งคราว คุณเบนจะหันไปมองก่อนจะทำท่าทางเหมือนเรียกชื่อว่า “แพร” โดยไม่ออกเสียง แต่คนที่ยืนอยู่ก็จะตอบกลับมาว่า “นี่พลอยเอง” ทุกครั้งไป เพื่อจะบอกว่าคนที่เขาพบเป็นน้องสาวฝาแฝด หาใช่คนรักของเขาไม่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้พบกับ “แพร” ที่เขาใฝ่ฝันถึงอีกเลย และนี่ก็รือเรื่องราวทั้งหมด…

ขอขอบคุณเรื่องผี the shock : แพร โดย คุณเบน จากเดอะช็อคสตอรี่

อ่านเรื่องผีจากพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

14/02/2020

เรื่องผีเดอะช็อค | หญิง..ผู้มาโบกรถทัวร์กลางดึกกับโลงศพ

นี่คือเรื่องผีเดอะช็อคที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ๆให้กับคุณ เป็นอีกครั้งที่ทีมงานเดอะช็อคได้เพิ่มความหลากหลายของช่องทางในการเสพเรื่องเล่าผีใหม่ๆ หนึ่งในนั้นคือแชแนลแบบเอ็กคลูซีฟใน joox.com อย่างไรก็ตาม บอกได้เลยว่าเรื่องผี the shock ที่นี่จัดว่าสุดจริง เพราะผ่านการคัดพิเศษเกรดเอ เกรดส่งออกทั้งนั้น หนึ่งในเรื่องที่เราชอบมากที่สุดคือ… ประสบการณ์ขับรถทัวร์เที่ยวกลางคืนของคุณมงคล เมื่อค่ำคืนที่ควรจะปกติเหมือนทุกวัน มีผู้หญิงนิรนามโบกขึ้นรถ ก่อนที่จะเรียกให้จอดรอเธอที่ซอยเปลี่ยว แล้วหายไปในความมืด

เรื่องผีเดอะช็อค จากแชแนลใหม่ล่าสุด “หลอนศาสตร์ by the shock”

เรื่องผีเดอะช็อคเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของคุณมงคล สมัยยังหนุ่มเมื่อราวสามสิบกว่าปีที่แล้ว คุณมงคลทำอาชีพเป็นคนขับรถทัวร์กรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด เนื่องจากเป็นเส้นทางที่มีระยะไกล ส่วนมากเที่ยวรถของคุณมงคลจะออกจากสถานีขนส่งในช่วงดึกๆ เดินทางกันในช่วงกลางคืนเพื่อที่จะถึงจังหวัดจุดหมายปลายทางในช่วงเช้าพอดี ซึ่งที่ผ่านมาคุณมงคลก็ได้เล่าว่ามีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้โดยสารอาจจะไม่เต็มเที่ยวรถทัวร์ตั้งแต่ปลายทาง

อย่าไรก็ตาม คุณมงคลก็มักจะไปได้ผู้โดยสารระหว่างเส้นทาง ที่อาจจะโบกเรียกให้จอดข้างทางหรือยืนรออยู่ที่ศาลาก็ตาม และในคืนที่เกิดเหตุการณ์สยองขวัญจนแม้ว่าเรื่องราวจะผ่านมากว่า 30 ปี คุณมงคลก็ไม่อาจลืมเลือน ก็เป็นอีกคืนที่ผู้โดยสารไม่เต็มเที่ยว ยังพอมีที่นั่งว่างอยู่ 7-8 ตัว ในตอนเริ่มมออกเดินทาง

รถออกเดินทางจากกทม.เข้าสู่พระนครศรีอยุธยา ผ่านจังหวัดอ่างทอง กระทั่งมาถึงจังหวัดชัยนาท ระหว่างทางมีผู้โดยสารยืนรอรถอยู่ที่ป้อมตำรวจทางหลวงข้างทาง เป็นคู่สามีภรรยา ผมจอดรถหน้าป้อมเพื่อรับผู้โดยสารขึ้นมา ในขณะที่เด็กรถก็รู้หน้าที่เป็นอย่างดี จัดแจงเก็บเงินค่าโดยสาร ซึ่งการรับผู้โดยสารรายทางแบบนี้ เรียกได้ว่าเป็นรายได้เสริมสำหรับอาชีพอย่างคุณมงคล เนื่องจากเป็นส่วนที่ไม่ต้องแบ่งให้กับต้นสังกัด

อย่างไรก็ตามยังมีที่ว่างเหลืออยู่ กระทั่งรถออกเดินทางต่อไปพักหนึ่ง ก็พบกับศาลาริมทางที่ค่อยๆใกล้เข้ามา และเมื่อรถเข้าใกล้พอคุณมงคลก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกจากศาลามาโบกรถ คุณมงคลเปิดไฟสูงกระพริบให้เป็นสัญญาณว่าเห็นแล้ว หลังจากนั้นก็ค่อยๆนำรถทัวร์เข้าเทียบข้างทางหน้าศาลาที่ว่าพอดี

ทันทีที่รถจอดสนิทและประตูไฮดรอลิคเปิดออก ผู้หญิงคนนั้นก็ขึ้นมาบนรถตามปกติ แต่ก็ชวนให้คุณมงคลสงสัยอยู่บ้าง เพราะแทนที่เธอจะเดินเข้าไปด้านในรถเพื่อหาที่ว่างนั่ง เธอกลับนั่งลงตรงที่นั่งเด็กรถตรงข้ามคนขับ ติดกับประทางขึ้นนั่นเอง คุณมงคลจึงออกปากบอกเธอ ว่าด้านในยังมีที่นั่งว่างอยู่ ทั้งยังชี้มือไปยังเบาะที่ว่า แต่หญิงนิรนามคนนั้นตอบกลับมาว่า

“หนูกะว่าคอยบอกจุดให้จอดรับแฟนหนูด้วย ขับไปอีกสักห้าหกนาทีก็จะถึงแล้วค่ะ…”

คุณมงคลเข้าใจและรับคำ จากนั้นรถก็เดินทางต่อไปอีกราว 5 นาที ผู้โดยสารคนนี้ก็ทักขึ้นมา…

“จอดซอยข้างหน้าด้วยค่ะ… ขอลงไปรับแฟนขึ้นมาก่อน นะคะ”

คุณมงคลจอดรถให้ตรงจุดที่หญิงคนนั้นร้องขอ ก่อนที่เธอจะลงไปคุรมงคลก็ไม่ลืมที่ย้ำว่า… อย่าไปนานนะครับ เราจอดนานมากไม่ได้ เกรงว่าจะเป็นการรบกวนผู้โดยสารท่านอื่น

“ไปแป๊บเดียวค่ะ แฟนเตรียมตัวพร้อมแล้ว เดี๋ยวไปถึงก็จะออกมาด้วยกันทันที…” จากนั้นเธอก็เดินหายเข้าไปในซอยมืดๆข้างทาง

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนยิ่งรอเวลาก็ยิ่งล่วงเลยไป ผู้หญิงคนที่ว่าหายไปในความมืดอย่างไม่มีทีท่าว่าจะกลับออกมา กระทั่งผ่านไปกว่า 10 นาที คุณมงคลจึงได้บอกให้เด็กรถลงไปตามที เข้าใจว่าน่าจะไม่ไกลมาก หากเดินไปเจอบ้านคนก็ให้ลองเรียกดู แม้ว่าเด็กรถจะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตาม…

“นี่มันตี 2 แล้วนะพี่ ไปเรียกแบบนั้นจะไม่เป็นไรเหรอ?”

“เอ็งลองไปเรียกดูเถอะ คงมีไม่มีกี่หลังหรอกแถวนี้”

ในขณะที่ตัวเองก็ทำทีเป็นลงไปเช็คสภาพรถ ดูลมยาง ดูหม้อน้ำไปพลาง เพราะเกรงว่าผู้โดยสารคนอื่นจะสงสัยแล้วหงุดหงิด กระทั่งผ่านไปอีกราว 5 นาทีเด็กรถก็เดินกลับมา

“พี่.. ผมเดินไปไกลมาก ไม่เห็นจะมีบ้านใครสักคนเลยว่ะพี่ !”

ผมก็แปลกใจว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง ก็เห็นอยู่ว่าเธอเดินเข้าไปในซอยนี้ เด็กรถบอกว่า

“ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ลองเดินเข้าไปดูด้วยกันไหมล่ะ”

“จะบ้าเหรอ ถ้าไปกันหมดแล้วผู้โดยสารคนอื่นๆ ล่ะ แล้วถ้ารถหายล่ะจะทำยังไง?”

แล้วเด็กรถมันก็นึกอะไรออก มันบอกให้ผมทำทีเป็นถอยรถ แล้วหันหัวเข้าไปในซอย จะได้ให้ไฟหน้ารถส่องเข้าไป เผื่อว่าเธอเดินกลับมาเราจะได้เห็น ผมก็โอเครีบทำตามเลย

พอหันหัวรถเข้าไปในซอย สาดไฟเข้าไป นึกสภาพนะครับ มันเป็นทางลูกรัง แล้วสองข้างทางเป็นป่ากกขึ้นสูงรกๆ เลย เด็กรถมันเลยรีบบอก

“เนี่ยพี่ ผมเดินเข้าไปมันไม่มีอะไรเลย เห็นไหม?”

ผมก็ยังสงสัย ว่ามันอาจจะมีซอกซอยแยกไปไหนอีกหรือเปล่า แต่ขณะที่เพ่งสายตามมองอยู่นั่นเอง ผมกับเด็กรถก็เห็นร่างของผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินฝ่าความมืดกลับมา แล้วเหมือนกับถืออะไรบางอย่างมาด้วย ผมเลยบอกเด็กรถให้ไปช่วยเธอถือของมาหน่อย เพราะนี่มันก็นานมากแล้วที่จอดรถรอตรงนี้.. เด็กรถก็รีบวิ่งไปเลย พอเด็กรถวิ่งไปถึงตรงผู้หญิงคนนั้น อยู่ๆ มันก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

“พี่ๆๆๆ ขึ้นรถๆๆ” พร้อมกับวิ่งกลับมาขึ้นรถหน้าตาตื่น แล้วบอกให้ผมขึ้นรถๆๆๆ

ผมก็งงว่ามันเป็นอะไร แต่ถามยังไงมันก็ไม่พูดอะไรนอกจาก ‘ขึ้นรถเร็วๆๆๆๆ ขึ้นรถๆๆๆ’ ผมเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว เลยเดินเข้าไปจะไปช่วย ก็ถามไปด้วยเดินไปด้วยว่า ‘อ้าว ทำไมเดินมาคนเดียว แล้วแฟนล่ะ?’ จนผมเดินไปถึงเธอ เท่านั้นล่ะ ผมร้องลั่นเลยครับ

“ผีหลอกกกกก !! ผีหลอกกกกก !!!”

ผมรีบวิ่งกลับรถแบบไม่เหลียวหลังเลย เด็กรถก็ตะโกนเรียก ‘พี่เร็ว! ขึ้นรถ!!’ ผมขึ้นรถได้รีบสับเดียร์ถอยหลังแล้วขับออกจากตรงนั้นทันที ผมถามเด็กรถคำแรกว่า

“ทำไมเมิงไม่บอกกุ?”

เด็กรถก็บอกว่า “ผมบอกพี่แล้วว่าให้ขึ้นรถ พี่ไม่ฟังผม”

ผมก็บอกว่า “ทำไมเมิงไม่บอกกุ ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน !”

พอรวบรวมสติได้ผมกับเด็กรถก็คุยกันถึงสิ่งที่เห็น ผมถามมันว่า “เมิงว่าไอ้ที่เราเห็นเนี่ย มันจริงไหมวะ?” เด็กรถบอก

“จริงแน่นอนพี่ เพราะคนบ้าอะไรจะมาลากโลงศฺพออกมาจากซอยตอนตี 2 ตี 3!!”

“แล้วในโลงยังมีร่างผู้ชายนอนอยู่ แล้วนั่งขึ้นมาพนมมือเหมือนถูกมัดตราสัง! แถมยังบอกด้วยว่า พี่..ช่วยไปส่งผม ศาลาหน้าด้วย..”

ผมได้ฟังนี่แทบช็อค เพราะที่ผมเห็นคือเห็นแค่ว่าผู้หญิงคนนั้นลากโลงศฺพออกมา แต่ไม่เห็นว่าในโลงมีอะไร..

บทสรุปเรื่องผีเดอะช็อค สุดสะพรึง!

จนผมขับรถเลยไปเข้านครสวรรค์ ก็จะมีป้อมตำรวจทางหลวง มีคนโบกรถ และมีผู้โดยสารบางคนจะลงไปเข้าห้องน้ำ ผมกับเด็กรถก็เลยไปสอบถามกับตำรวจว่าไอ้ตรงนี้ หลักกิโลเท่านี้ๆ เนี่ย มันเคยมีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ตำรวจก็คับคล้ายคับคลา แล้วก็เล่าให้ฟังว่า

“เมื่อสักเดือนก่อน มีผู้หญิงมารอแฟนอยู่ที่ศาลาริมทาง แล้วโชคร้ายถูกกลุ่มวัยรุ่นต่างอำเภอ เมามาจากไหนไม่รู้ กำลังลากผู้หญิงไปรุมโทรฺม แต่แฟนขับรถตามมาเห็นพอดี เลยมีเหตุทะเลาะวิวฺาทกัน สุดท้ายทั้งผู้ชายและผู้หญิงถูกฆ’าตฺาย แล้วหมกศฺพไว้ที่ศาลารถ แต่ศาลาไหนไม่รู้ จำไม่ได้ กว่าจะเจอศฺพก็ 3-4 วันแล้ว..”

“เมื่อสักเดือนก่อน มีผู้หญิงมารอแฟนอยู่ที่ศาลาริมทาง แล้วโชคร้ายถูกกลุ่มวัยรุ่นต่างอำเภอ เมามาจากไหนไม่รู้ กำลังลากผู้หญิงไปรุมโทรฺม แต่แฟนขับรถตามมาเห็นพอดี เลยมีเหตุทะเลาะวิวฺาทกัน สุดท้ายทั้งผู้ชายและผู้หญิงถูกฆ’าตฺาย แล้วหมกศฺพไว้ที่ศาลารถ แต่ศาลาไหนไม่รู้ จำไม่ได้ กว่าจะเจอศฺพก็ 3-4 วันแล้ว..”

พอผมกับเด็กรถได้ยินเท่านั้นล่ะ มองหน้ากันทันที ชัดเลย.. หลังจากนั้นมา ผมจะไม่รับผู้โดยสารตามศาลารอรถอีกเลย จะรับแต่จากป้อมตำรวจทางหลวงเท่านั้นครับ

ขอขอบคุณเรื่องผีเดอะช็อค : “คนเรียกรถทัวร์” จาก หลอนศาสตร์ by The Shock
อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

12/02/2020

“ผีทะลุจอ” ถูกผีตามมาจาก FB เพราะกดปุ่มขำ!

นี่คือเรื่องผี Pantip ที่พิศวงที่สุดเรื่องนึงเท่าที่เราเคยได้ยินมา เมื่อสมาชิกเว็บไซต์พันทิป “คุณ chocolatebun” ออกมาเล่าประสบการณ์ระทึก หลอน สะพรึงของเหตุการณ์ที่ตนเองถูก “ผีหลอกผ่าน Facebook” เนื่องจากไปขำในขณะที่ดูภาพร่างไร้วิญญาณที่ถูกฟีดผ่านไทม์ไลน์ของเธอ และนี่เป็นชนวนที่ทำให้เธอถูกวิญญาณซึ่งไม่เคยรู้จักหรือพบกันตัวเป็นๆมาก่อน…ตามติดถึงคอนโด!

เรื่องผี Pantip : เจอผีจากไทม์ไลน์ในเฟสที่เพื่อนแชร์มา!

เรื่องเล่าผีเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ราเจอมากับตัวเอง มันเริ่มต้นจากในวันที่เรากำลังไสลด์เฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ ก็มีโพสต์นึงของเพื่อนของเราขึ้นมา ซึ่งมันเป็นโพสต์ที่เพื่อนแชร์มาอีกที โพสต์ที่ว่าคือรูปของคนผูกคอสภาพอย่างสยดสยอง โผล่ขึ้นมากลางไทม์ไลน์จนแทบผงะ มีเนื้อข่าวเป็นแคปชั่นขึ้นมากำกับว่า เป็นหญิงสาวชาวสกลนครที่มาทำงานอยู่ที่จ.ภูเก็ต สภาพของร่างเธอเรียกว่า…ดูไม่ได้เลย ขึ้นอืดมาก อย่างไรก็ตาม ในใจเราตอนนั้นสาบานได้ว่าไม่ได้คิดลบหลู่อะไรกับภาพที่เห็น ออกจะรู้สึกสงสาร สังเวชและปลงด้วยซ้ำ

แต่แล้วตาของเราก็ดันไปเหลือบเห็นคอมเมนท์ของเพื่อนอีกคนว่า… “โห เป็นศพแล้วอืดขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย! ขนาดตอนนี้เรายังไม่ตาย ร่างก็อืดจะแย่แล้วนะ”

เราหลุดขำออกมาอย่างที่กลั้นไวไม่ได้ ยอมรับว่าอ่านแล้วขำจริงๆ แต่ขอยืนยันอีกครั้งว่าเราเองไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ผู้เสียชีวิตเลยนะคะ ตอนนั้นไม่ทันฉุกคิดเลยด้วยซ้ำ

กระทั่งเรากลับมาที่คอนโดของตัวเอง ลักษณะของที่นี่คือเมื่อขึ้นลิฟท์มาแล้วจะพบว่าทางด้านซ้ายมือจะเป็นทางหนีไฟฉุกเฉิน และที่ทิ้งขยะ ทางขวาก็จะไปสู่ห้องพัก ซึ่งบนชั้นนี้มีเพียงห้องเรากับเพื่อนบ้านอีก 1 ห้อง ประมาณตี 3 ของคืนนั้น เราก็ทำธุระต่างๆไปเรื่อย แล้วก็กะว่าจะเอาขยะไปทิ้งข้างนอก ขาเดินไปทิ้งก้าวแรกก็ไม่มีอะไร พอทิ้งเสร็จหันกลับมา…ก้าวต่อไปเจอเต็มๆ!

สิ่งที่เราพบเจอคือ…ร่างของคนเดียวกันกับที่อยู่ในเฟส! มาปรากฎในสภาพเดียวกัน ท่าเดียวกัน ความบวมและขึ้นอืดเท่ากัน!

บอกตามตรงตอนนนช็อคมาก แทบไม่เชื่อสายตาว่าจะจุดใต้ตำตอ เจอคนที่พึ่งเจอในไทม์ไลน์เมื่อตะกี้ แต่ไม่ได้มาในสภาพคน ขาเราแข็งจนก้าวไม่ออก เหมือนมันไม่ตอบสนองกับความคิดของเราซะแล้ว ตอนนั้นก็พยายามประมวลบทสวดมนต์ที่มีในหัวแล้วท่องไปเรื่อยๆ จนพักหนึ่งตั้งสติได้ก็รีบวิ่งตัดมาเข้าห้องอย่างไวที่สุด โดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองเลย พร้อมจะโกนเรียกเพื่อนซึ่งอยู่ในห้องอีกคน

พอเข้ามาถึงห้องได้ก็พบเพื่อนนั่งหน้าตาตื่น นางก็ถามเราว่าเป็นอะไรๆ บอกตามตรงตอนนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เอาจริงๆคือมันเหลือเชื่อจนเราเองก็ไม่กลาแม้แต่จะกล้าเดินกลับไปเช็คในสิ่งที่เห็นเมื่อกี้เหมือนกัน เราแกล้งกลบเกลื่อนไปว่าไม่มีอะไรหรอก พลางหยิบแก้วน้ำมาดื่มให้ใจเย็นลง คุณพระช่วย! ยังไม่ทันได้ยกดื่ม อยู่ๆแก้วที่ไร้รอยร้าวใดๆก็แตก ‘เปรี๊ยะ’ คามือเราซะอย่างนั้น! เรายิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักไม่ชอบมาพากลแล้วสิ จึงได้เข้าห้องไปเพื่อที่จะสวดมนต์เงียบๆคนเดียว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะสวดบทแล้วบทเล่าใจเรามันก็ไม่ยอมหยุดสั่น ความกลัว กังวลมันรุมเร้า เลยตัดสินใจพูดกับเพื่อน เพื่อนก็ปลอบว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวเช้าเราไปใส่บาตรกัน อีกไม่กี่ชั่วโมงเอง ทนๆหน่อย

เล่าให้ฟังว่า โดยปกติตัวเราเองเป็นคนมีเซ้นซ์ พูดตรงๆว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก เจออยู่บ่อยๆเหมือนกัน แต่…ไม่เคยมีครั้งไหนที่เห็นชัดเจนเป็นตัวเป็นตนแบบนี้มาก่อน แถมมาในสภาพที่พูดได้ว่า ‘เละ’ เลยแหละ เราพยายามจะคิดหาเหตุผลว่ามันเกิดอะไร เขามาหาได้ยังไง หรือต้องการอะไรจนเครียด แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่ทราบ แต่…เราก็พลาดซะได้ ด้วยความเครียดและเพลีย เนื่องจากตอนเกิดเหตุเกือบตี 3 พอผล็อยหลับก็ยาวเลย เราตื่นไม่ทันใส่บาตรตอนตี 5 แต่ก็นับว่ามีโชคอยู่บ้าง เพราะก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติน่ากลัวๆอีกเลย จนกระทั่ง…คืนที่ 3

คืนนั้นหลังจากที่เข้านอนตามปกติ เราก็ฝัน…ฝันว่าตัวเราเองไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง สถานที่นี้มีลักษณะเป็นตึกแถวที่มีห้องพักเรียงราย ส่วนด้านล่างของตึกจะเป็ร้านอาหารตามสั่ง ดูเหมือนตัวเราในฝันกำลังจะขึ้นไปข้างบนตึกเพื่ออะไรสักอย่าง ขณะที่กำลังจะขึ้นไปก็มีผู้หญิงสามคนมาทักเรา พูดถึงชื่อผู้หญิงคนนึงที่เราไม่รู้จัก แล้วถามว่าจะไปหาคนคนนี้เหรอ ขอขึ้นไปด้วยได้มั้ย เราก็ตอบตกลงไปว่าได้ค่ะ เดี๋ยวเราขึ้นไปหาด้วยกัน แต่ขณะที่คุยกันอยู่มีคนดูแลหอนั่งอยู่กับโต๊ะหน้าบันไดทางขึ้น แล้วเรียกทักขึ้นว่า… “ไม่ต้องขึ้นไปหรอก มาดูในกล้องวงจรปิดก็ได้เจอแล้ว…” เราก็ไปดูที่จอมอนิเตอร์ด้วยความสงสัยว่าจะให้ไปดูอะไร ปรากฎว่าเป็นภาพของบันไดทางขึ้นหอพักนี้นั่นเอง แต่ในภาพมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ในสภาพคุ้นตา…ใช่แล้ว เป็นคนเดียวกันกับที่เราเจอที่คอนโดนั่นเอง!

เราตกใจร้องกรี๊ดดด และเหมือนจะรู้สึกตัวว่าเรากำลังอยู่ในฝัน สิ่งที่เห็นมันไม่ใช่เรื่องจริง ก็พยายามจะปลุกตัวเอง ปลุกสติกลับมา แต่พอสะดุ้งตื่นขึ้น..ก็เหมือนยังไม่ตื่น! ราวกับเป็นฝันซ้อนฝันแบบอินเซปชั่น เพราะหลังจากที่ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา คือใบหน้าบวมอืดของเธอแบบระยะโคลสอัพ! ตาปลิ้นลิ้นจุกปากออกมาอย่างงี้เลยล่ะคุณเอ้ย! พูดไม่ออกเลยทีเดียว เราก็หลับตาแน่นพลางภาวนาบอกว่าเราไม่เคยมีอะไรบาดหมางกัน ได้โปรดอย่าจองเวรซึ่งกันและกันเลย เดี๋ยวมีเวลาเราสัญญาจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณโดยเร็วที่สุด

รุ่งเช้าวันนั้น เราตัดสินใจโทรไปปรึกษาเล่าให้แม่ฟังเรื่องราวทั้งหมด แม่ก็กำชับมาเลยว่าให้รีบไปวัดทำบุญให้เขาอย่างเร็วที่สุด เขาคงต้องการความช่วยเหลือ เพราะการกระทำที่จากไปด้วยน้ำมือตัวเองนั้น ย่อมจะเป็นบาปและเป็นบ่วงกรรมผูกรั้งไม่ให้ไปที่ชอบๆได้

หลังจากคุยกับแม่เสร็จ เราฉุกคิดถึงเนื้อหาข่าวที่เพื่อนเคยโพสต์ไว้ยนไทม์ไลน์ เลยเริ่มต้นด้วยการค้นหาข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เลยได้ทราบว่าเดิมทีเธอคนนี้ทำอาชีพนวดอยํ่ที่จ.ภูเก็ต แล้วช่วงหนึ่งได้กลับบ้านเกิดที่จ.สกลนคร แต่ดันกลับไปเจอแฟนเก่าและถูกทำมิดีมิร้ายโดยตัวเองไม่ยินยอม จึงเป็นมูลเหตุให้เธอรู้สึกหมดอาลัยในชีวิตและคิดสั้นในที่สุด ตามข่าวที่ระบุรายละเอียดไว้ตามนี้

หลังจากนั้นเราก็ค้นหาเบอร์ของร้านนวดที่เธอเคยทำงานอยู่ แล้วจึงโทรไป ปรากฎว่ามีผู้ชายที่ร้านรับสาย เลยเล่าคร่าวๆถึงจุดประสงค์ว่าต้องการติดต่อคุณแม่ของผู้หญิงคนนี้ เลยได้เบอร์โทรศัพท์มา จากนั้นเราก็โทรไปทันทีและเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เราพบเจอมาอย่างละเอียดให้ทางนั้นฟัง คุณแม่ของผู้หญิงคนนี้ก็ดูตกใจดับเรื่องที่เล่า และบอกว่าแม่ก็พึ่งจะฌาปนกิจเผาไปไม่กี่วันเอง ยังไม่มีใครเจอวิญญาณของเธอมาหาเลย

แต่เราก็ยืนกรานว่า เรื่องที่เราพูดทั้งหมดเป็นความจริง เราเจอมาจริงๆ และเธอก็มาหาเราจริงๆ แม้ว่าเราจะไม่มีความรู้ด้านนี้มากนักว่าเกิดเรื่องแบบนี้เพราะอะไรก็ตาม แต่ก็ทำให้เราใช้ชีวิตลำบาก จากการเจอมา 2 ครั้งในรอบสัปดาห์ ทำเอาเราไม่สามารถนอนหลับได้สนิทสักคืน อย่างไรก็ตามทางนั้นก็คงจนปัญญาจะช่วยในเรื่องลี้ลับแบบนี้เช่นกัน การสนทนาจึงตัดจบลงเพียงแค่นั่น

วันถัดมาเราจึงไปวัดเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำแผ่เมตตาให้เธอทันทีค่ะ ตามที่ได้ตกลงสัญญากันไว้ในคืนนั้น และหลังจากวันนั้น เธอก็ไม่เคยมาปรากฎตัวให้เห็นอีก ไม่ว่าจะเป็นที่คอนโดหรือในฝัน กระทั่งผ่านไปได้สักพักใหญ่ เราก็ฝันถึงเธอ เธอมานั่งอยู่ตรงบันไดเหมือนที่เคยเห็น แต่คราวนี้มาในสภาพที่ดูดี ไม่เละบวมเหมือนครั้งก่อนๆ ซึ่งพูดตามตรงว่าเราก็จำหน้าไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันมั้ย?

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ชวนพรั่นพรึงในครั้งนี้ ก็เป็นบทเรียนให้เราสำรวมในการใช้ชีวิต ใครจะไปคิดว่าผีจะออกมาหลอกหลอนกันจากในเฟสได้ ทำให้เราตระหนักว่าการให้เกียรติผู้คนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนเป็นหรือคนตาย ภายหลังเราได้มีโอกาสคุยกับคนทีศึกษาและมีความเชื่อในเรื่องราวของโลกวิญญาณว่า ของแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย บางคนอาจจะไม่มีทางได้เจอภูตผีหรือวิญญาณเลย แต่บางคนที่มีเซนส์และจิตแข็งพอแบบเรา ก็มักจะได้เจอเรื่องเล่าผีอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเขาต้องการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง ที่เขาไม่สามารถบอกกับคนทั่วๆไปได้ ซึ่งบอกตามตรงว่า…เราเองก็ไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่พบเจอนัก แต่หากเลือกได้ขออย่าได้เจออีกเลยดีกว่าค่ะ! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ความคิดเห็นจากสมาชิกชาว Pantip

สมาชิกหมายเลข 1636130 ให้ความเห็นว่า ตนเองก็เคยเจอเรื่องราวในทำนองเดียวกัน เนื่องจากเคยไปชมภาพยนต์เรื่อง พุ่มพวง ดวงจันทร์ และอินกับเนื้อเรื่องในพาร์ทดราม่าครอบครัวของพี่พุ่ม หลังจากไปเสิร์จหาประวัติของสามีคนแรกของพี่พุ่มใน google ก็ได้ออกปากวิพากษ์วิจารณ์ในตัวสามีไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไร และในคืนนั้นเอง เธอก็ถูกผีผู้ชายอำ!

ในขณะที่สมาชิกอีกท่านนึงให้ความเห็นว่า น่าจะไม่เกี่ยวกับการวิจารณ์หรือหัวเราะผ่านเฟสบุ๊ค แต่น่าจะเป็นเพราะบังเอิญว่าคลื่นของทั้งคู่จูนติดกันพอดี โดยที่การไปพบข่าวของผู้หญิงคนนั้นในเฟสเป็นเพียงตัวกระตุ้นให้ได้พบกัน จึงสามารถติดต่อสื่อสารกันได้

ขอขอบคุณเรื่องผี Pantip : เจอผีจาก Timeline Facebook ของเพื่อน

อ่านเรื่องผีจากพันทิป เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

11/02/2020

นศ.หลงป่าบนภูกระดึง ที่ออนแอร์ในรายการ ‘ตีสิบ’ เมื่อ 20 ปีก่อน

เรื่องหลอนในตำนาน ที่โด่งดังมากเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เรื่องจากรายการตีสิบ ประสบการณ์ลี้ลับ ที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านรังสิต ได้ไปเจอมาที่ภูกระดึง ระบุว่า เรื่องเกิดขึ้นจากการที่พวกเขานัด กันไป ท่องเที่ยว พักแรม ที่ภูกระดึง จ.เลย จนกระทั่งนำมาซึ่งเหตุการณ์ขนหัวลุกที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ซึ่งเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางในเวลาที่เทปนั้นได้ออกอากาศ

ย้อนดูเรื่องผี Pantip เมื่อสมาชิกคนหนึ่งถามถึงเรื่องเล่าหลอนที่เคยออกในรายการดัง

การมาเที่ยวภูกระดึงในครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 10 คนที่เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากเห็นว่าเป็นการมาเที่ยวกันเองของกลุ่มวัยรุ่น หนึ่งในขณะก็ได้พูดถึงว่าก่อนจะมามีญาติผู้ใหญ่เป็นห่วงอยู่เช่นกัน อยากให้ระมัดระวังตัว มีสติไม่คึกคะนองกันจนเลยเถิด อีกทั้งยังกำชับว่าให้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง บอกเจ้าป่าเจ้าเขาด้วย แต่พอไปถึงที่จริงๆด้วยความตื่นเต้นตามประสา ก็ทำให้ลืมและละเลยคำเตือนในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ในกลุ่มจะมีเพื่อนคนหนึ่งที่ออกจะห้าวกว่าคนอื่นเขา บอยเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อในเรื่องภูติผี หรือความเชื่ออาถรรพ์ใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งยังคึกคะนองพูดจาดผงผางตลอดทาง ยิ่งอยู่ในสถานที่แปลกหูแปลกตา บอยก็ยิ่งโชว์ของด้วยการพูดท้าทายสิ่งที่มองไม่เห็นบ้าง ใช้คำหยาบคายบ้าง เข้าทำนองที่ว่าไม่เชื่อ แต่จะลบหลู่ และแม้ว่าเพื่อนรูปทริปจะพยายามห้ามปรามเป็นระยะ ก็ไม่ต่างจากโยนฟืนเข้ากองไฟ บอยยิ่งทวีความกล้าจนคำพูดที่ออกมานั้นไม่สามารถพูดออกอากาศในรายการได้

กระทั่งระหว่างที่เดินเที่ยวเข้าป่าชมน้ำตกในป่ากันอยู่นั้น จู่ๆก็เกิดรู้สึกตัวกันว่า พวกตนน่าจะหลงทางเข้าให้แล้ว พยายามจะหาทางกลับก็ไม่เจอ ตอนนั้นเริ่มจะมีเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกันแล้ว ว่าถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นพิโรธเอารึเปล่า ผู้นำทริปที่เป็นรุ่นพี่อายุเยอะที่สุดในกลุ่มก็เริ่มไม่สบายใจกับการกระทำที่คึกคะนองของน้องๆ จนเดินไปเจอต้นไม้ขนาดใหญ่มากต้นหนึ่งข้างหน้า จึงยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ขอขมาลาโทษ อย่างที่ยายของเขาเคยเตือนไว้ก่อนมาเที่ยว

หลังจากความพยายามพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เดินไปได้อีกสักพักก็พบกับไม้สีแดงประหลาดที่มีปลายไม้ม้วนงอดูราวกับไม้เท้าของผู้วิเศษ รุ่นพี่คนนั้นก็มองว่านี่อาจเป็นความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วบอกให้คณะเดินทางไปตามทิศทางที่ปลายไม้นั้นชี้ไป โดยที่ได้นำไม้แท่งนั้นเดินมาด้วยกัน กระทั่งไม่นานนัก กลุ่มนักศึกษาก็สามารถเดินออกมาพ้นเขตป่าได้จริง…

หลังหลุดออกมาจากป่าแล้วในช่วงเย็น กลุ่มนักศึกษาก็คลายกังวลและเริ่มเดินเที่ยวกันต่อ โดยจุดหมายคือผาหล่มสักเพื่อที่จะรอดูวิวทิวทัศน์ในช่วงเวลาตะวันตกดิน เมื่อไปถึงก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวอีกมากมายที่มารอชมเช่นเดียวกัน ในระหว่างนั้นเพื่อนร่วมทริปก็ต่างพากันพักผ่อนตามอัธยาศัย บ้างก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปกัน บ้างก็นั่งพักคุยกันอย่างใจเย็น บ้างกจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องประสบการณ์ที่ทำให้เหงื่อตกเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีอยู่คนนึงที่ดูเหมือนจะยังมีแรงเหลือเฟือที่จะทำอะไรห่ามๆได้อยู่…

ไม่มีใครรู้ว่าบอย..คิดอะไรอยู่ จู่ๆเขาก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังลั่นอย่างหยาบคายว่า “ค” .. “ว” .. “ยยยย” ออกไปทางหน้าผาหล่มสัก จากนั้นก็เงี่ยหูเพื่อฟังเสียงที่สะท้อนกลับมาเหมือนในละคร

หลังจากพออกพอใจ บอยก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากระทันหัน โดยบอยบอกกับเพื่อนๆว่า รู้สึกเหมือนถูกสายตาแหลมคมจ้องมองไปที่เขา มีใครเห็นบ้างไหม บอยเข้าใจว่าอาจมีวัยรุ่นกลุ่มอื่นที่ส่งสายตาไม่พอใจมาก็ได้ เรียกว่าพร้อมบวกเต็มที่ แต่ถ้าถามกันจริงๆ ตอนนั้นมันก็คงไม่แปลกที่จะมีคนไม่พอใจการกระทำของบอย เราไม่ทันคิดถึงเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นเลย

หลังจากตะวันลับขอบฟ้าเรียบร้อยไปได้สักพัก ความมืดก็เข้ามาแทนที่อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว นักศึกษากลุ่มนี้ก็ใช้เส้นทางเรียบผาเพื่อที่จะกลับไปยังที่ทำการอุทยาน ในความจริงต้องเรียกว่าเดินตามๆนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นกันไปถึงจะถูก เพราะพวกเขาเองก็ไม่เคยมีใครในกลุ่มมีประสบการณ์มาเที่ยวที่นี่มาก่อน อีกทั้งยังไม่มใครพกไฟฉายหรือเครื่องส่องสว่างอื่นๆกันมา เลยต้องพยายามเกาะกลุ่มเดินอยู่ระหว่าง นักท่องเที่ยงกลุ่มหน้าที่มีไฟฉายนำทาง

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าเมื่อเดินตามไปเรื่อยๆ แสงไฟจากนักท่องเที่ยวกลุ่มที่อยู่ด้านหน้า ก็ค่อยๆห่างออกไปทุกที และแม้ว่าพวกนักศึกษาจะเร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน แต่ว่าก็ไม่สามารถจะตามทัน จนกระทั่งแสงจากกลุ่มหน้าหายลับตาไปแล้ว ในขณะที่เมื่อหันไปดูทางด้านหลัง ก็ไม่พบนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆที่ควรจะเดินตามกันมาอีกเช่นกัน ดูราวกับว่ามีเพียงพวกเขาที่เหลืออยู่ท่ามกลางความมืดกลุ่มเดียว นักศึกษากลุ่มนี้จึงรีบเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

กระทั่งเดินไปจนถึงร้านค้าของชำระหว่างทาง จึงได้สอบถามถึงเส้นทางกลับไปที่ทำการฯ อีกทั้งยังขอซื้อเทียนเพื่อใช้เป็นแหล่งของแสงสว่าง แต่ปรากฏว่าที่ร้านขายให้ได้เพียงแค่ 2 เล่ม เพราะของเหลือแค่นั้น นอกจากนี้ทีชางร้านค้าก็ยังแนะนำให้เดินกลับไปด้วยเส้นทางลัด เนื่องด้วยเห็นว่าดึกและมืดค่ำมากแล้ว (น่าจะเป็นเส้นทาง ผานาน้อย – องค์พุทธเมตตา) กระทั่งชาวคณะก็ออกเดินทางกันต่อทันที

ในช่วงแรกของเส้นทาง กลุ่มนักศึกษาจะเดินเรียงหน้ากระดานกันไป 4 คน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยิ่งเดินไปเรื่อยๆก็พบว่าเส้นทางค่อยๆแคบลงๆ บีบให้พวกเขาไม่สามารถเดินเกาะกลุ่มหรือหน้ากระดานไปด้วยกันได้แล้ว จึงเปลี่ยนไปเดินเป็นแถวเรียงหนึ่ง โดยที่มีหัวแถวเป็นผู้ถือเทียนนำทาง และมีบอยผู้ที่อยู่รั้งท้ายแถวเป็นคนถือเทียนอีกเล่ม และเนื่องจากวิสัยทัศน์ต้องเรียกว่าคับแคบมากๆด้วยความสูงของหญ้าที่บดบังจนเกือบสูงเท่าคน ในขณะที่มีหมอกลอยต่ำ ในค่ำคืนที่แทบไม่มีแสงดาว ระยะการมองเห็นจึงมีเพียงแค่รัศมีของแสงเทียนสองเล่มเท่านั้น โดยที่ทางกลุ่มมีวิธีเช็คจำนวนสมาชิกด้วยการผลัดกันนับยอด 1…2…3… 10 อยู่เป็นระยะ ตามแบบฉบับของการเค้าค่ายเดินป่า เพื่อที่หากมีสมาชิกหายไปหรือเพิ่มเข้ามา(?) จะได้รู้ตัว…

ในขณะที่กลุ่มนักศึกษาเดินไปตามเส้นทาง พวกเขาต่างรู้สึกตัวกันตลอด ถึงบางสิ่งที่ดูไม่ชอบมาพากล คือมีเสียงที่ราวกับว่าใครบางคนกำลังเอามือลูบราไปตามแนวต้นหญ้าเล่นไปตามทาง ซึ่งในเวลาแบบนั้นคงไม่มีใครในหมู่นักศึกษาที่จะสบายอารมณ์พอจะทำแบบนั้น แต่แม้ว่าจะรู้สึกกันได้ทุกคน ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักเรื่องนี้ขึ้นมาสักคน จนกระทั่งมีนักศึกษาคนหนึ่งกระซิบกระซาบว่า ตนเห็นเงาอะไรบางอย่างรูปร่างคล้ายคน แต่ตัวใหญ่กว่าคนปกติทั่วไปมาก นั่งกอดเข่าอยู่ภายในแนวหญ้าอยู่แวบหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็ถูกบอยที่รั้งท้ายตามมาเบิ๊ดโหลกเข้าให้ทีหนึ่ง ก่อนจะปรามว่า ไหน? กรุไม่เห็นจะเห็นใครเลย… แม้ว่าในภายหลังจะมีนักศึกษาในกลุ่มอีกหลายคนให้การคล้ายกันว่า พบเห็นเงานิรนามลักษณะสูงใหญ่เช่นกัน หากแต่เพราะทัศนวิสัยที่คับแคบ และก็ไม่มีใครที่ได้เห็นแล้วจะใจกล้าบ้าบิ่นพอที่จะเหลียวกลับไปดูอีก

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ…ทางข้างหน้าตอนนี้เป็นสิ่งที่หลายคนเรียกันว่า “ทาง 3 แพร่ง” นอกเหนือไปจากเส้นทางที่เดินผ่านกันมา ด้านหน้าจำเป็นต้องเลือกว่าจะไปทางซ้าย หรือขวา… ในจังหวะนั้นเอง คณะเดินทางก็หยุดพักเพื่อนับยอดเช็คจำนวนกัน น่าแปลกที่คราวนี้นับได้เพียงถึงแค่ 9… พอมองหาดูดีๆก็พบว่าเป็นบอยนั่นเองที่หายตัวไป ขอย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เล็กน้อย จู่ๆก็มีเสียงบอยกระซิบกระซาบกับเพื่อนใกล้ๆกันว่า ตนรู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออกกระทันหัน แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่งหน้าขวาน ทุกคนใจจดจ่อแต่กับทางข้างหน้า จนคิดกันไปว่าบอยคงนึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมาได้อีกกระมัง เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก กระทั่งตอนนี้รู้แล้ว…ว่าบอยไม่ได้ล้อเล่น

กลุ่มนักศึกษาจึงแบ่งคนออกมาจำนวนหนึ่ง เดินย้อนกลับไปตามเส้นทางที่พึ่งจะผ่านกันมา เพื่อตามหาบอย เดินหากันอยู่สักพักหนึ่ง ก็พบบอยนอนล้มอยู่ริมทาง แต่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คือส่วนเอวลงไปของบอยหายเข้าไปในพงหญ้ารกชัฏ และดูเหมือนจะค่อยกลืนร่างบอยเข้าไปเรื่อยๆ ราวกับถูกอะไรบางอย่าง ชุดกระชากลากถูบอยเข้าไปในป่าหญ้า พอเพื่อนๆเห็นดังนั้นก็กุลีกุจอกันเข้าไปรั้งตัวบอยไว้ ส่วนคนที่วิ่งตามมาบ้างก็รีบร้อนจนไปเตะกิ่งไม้แห้งตำจนได้แผลมา

ภาพที่หลายคนเห็นตอนนั้นคือ บอยออกอาการไม่ค่อยดี มีภาวะกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ตัวแข็งทื่อ ตาเหลือกค้าง สร้างความตื่นตระหนกให้คนที่พยายามจะเข้ามาช่วยอย่างมาก แม้ว่าจะพยายามปฐมพยาบาลด้วยการบีบนวดให้คลายกล้ามเนื้อ แต่ปรากฏว่าร่างของบอยแข็งเกร็งราวกับท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น คณะนักศึกษาเลยเลือกที่จะช่วยกันแบกร่างของบอย ที่ตอนนี้เรียกได้ว่าไร้สติไปเรียบร้อยแล้ว คนหนึ่งหิ้วแขน อีกคนหิ้วขา หามกันไปได้ครู่หนึ่ง กลุ่มนักศึกษาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ที่พื้นด้านหน้า… ปรากฏว่าเป็นงูตัวหนึ่งที่ทำท่าจะเลื้อยเข้ามาทางนี้

กระทั่งทั้งคณะก็ตกใจจนหยุดกึกกันหมด เจ้าสิ่งที่ดูคล้ายงูนั่นก็นิ่งตาม แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ พอลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มันกลับกลายเป็นเพียงท่อนไม้ท่อนหนึ่ง แม้ว่าทั้งเก้าคนจะให้การตรงกันว่า เมื่อกี้มันเป็นงูแน่ๆก็ตาม หลังเดินทางกันต่อไปได้สักพัก เพื่อนที่หามบอยจู่ๆก็ออกปากว่าหามไม่ไหวแล้ว หนักมากๆ เรื่องนี้ก็นับว่าแปลกมาก เพราะคนหามก็เป็นคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ขณะที่ตัวบอยก็ไม่ได้จัดว่าเป็นชายรูปร่างใหญ่อะไร ออกจะเล็กกว่ามาตรฐานชายไทยเสียด้วยซ้ำ เพื่อนอีกคนก็เลยไปช่วยซ้อน ปรากฏว่าคราวนี้บอยตัวหนักกว่าเดิม จนแม้จะใช้ถึงสามคนก็พยุงไม่ขึ้น ร่างของบอยก็ร่วงแผละลงไปกับพื้น ก่อนที่จะเริ่มชักดิ้นชักงออย่างน่ากลัว

ในระหว่างนั้นเอง นักศึกษาคนหนึ่งในกลุ่มก็สังเกตดวงไฟผ่านมาทางนี้ พอสังเกตดูดีๆก็พบว่าเป็นแสงจากโคมไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์ ผู้ที่กำลังขับขี่อยู่นั้นใส่ชุดพรางคล้ายทหาร เลยโบกและตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือได้ทัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่มีใครได้ยินหรือสัมผัสถึงเสียงรถได้เลย เจ้าหน้าที่ในชุดพรางก็เรียกให้นำคนป่วยขึ้นรถทันที โดยที่มีรุ่นพี่นำกลุ่มตามขึ้นไปคอยพยุงร่างบอยกลับไป ส่วนคณะนักศึกษาที่เหลืออีก 8 คน ทางเจ้าหน้าที่แนะนำให้เดินเลี้ยวขวาที่ทางแยก 3 แพร่งที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า เพื่อที่จะกลับไปยังที่ทำการฯได้เร็วที่สุด โดยรุ่นพี่ก็ส่งมอบไม้แดงที่เก็บไว้กับตัวให้นักศึกษาคนหนึ่งนำติดตัวไป

ภายหลังรุ่นพี่ที่ขึ้นรถไปกับบอยก็เล่าว่า จังหวะนั้นเองก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีก คือทั้งๆที่เจ้าหน้าที่แนะนำเส้นทางว่าทางขวาจะใกล้ที่สุด แต่กลับพาบอยกับตนเลี้ยวซ้ายแทน รุ่นพี่คนนี้ก็นึกครึ้มใจขึ้นมาเลยชวนคุยว่า พวกตนไปเจออะไรกันมาบ้างตลอดวันกระทั่งบอยหายตัวไปก่อนจะพบตัวอยู่ในพงหญ้า จู่ๆเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่จะเอ่ยปากเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงยานคาง แบบที่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เคยได้ยิน ว่า… “มันน ไม่เป็นน อะไรหรอกก” รุ่นพี่สารภาพว่าตอนนั้นกลัวมาก แม้ว่าสุดท้ายจะเดินทางไปถึงสะพานไม้หลังที่ทำการอุทยานได้อย่างปลอดภัยก็ตาม

ตอนนั้นน้ำหนักบอยไม่ได้มากเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในป่า รุ่นพี่เพียงคนเดียวก็พอที่จะหิ้วปีกเข้าไปห้องพยาบาลได้ ตอนนี้บอยอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่แล้ว โดยที่มีรุ่นพี่คอยเฝ้าดูอาการอยู่ กระทั่งผ่านไปไม่นานบอยก็ฟื้นขึ้นมาได้ซะเฉยๆ แต่ยังมีอาการสับสนงุนงงอยู่ จึงให้นอนพักต่อ อีกด้านนึงนักศึกษาทั้ง 8 ที่ลัดเลาะมาตามเส้นทางแยกขวา ในที่สุดเทียนที่มีอยู่ก็หลอมละลายจนหมด แสงสว่างก็ดับลงทันที แต่ยังพอจะมีแสงไฟจากจอมือถืออีกสองสามเครื่อง โดยที่ภายหลังนักศึกษากลุ่มนี้ก็ให้การว่าระหว่างทางก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนนอกเหนือจากพวกเขาติดตามมาด้วยตลอดทาง และในจำนวน 8 คนมีบางคนที่ถูกพลักตกหลุ่มบ่อลงไปนอนวัดพื้นถึง 2 ครั้ง 2 ครา แน่นอนว่าไม่มีใครแกล้งเอาสนุกในเวลาเช่นนั้น

กระทั่งกลุ่มนักศึกษาเดินไปจนพบกับแสงไฟห่างออกไปข้างหน้า ลักษณะเหมือนไฟจากอาคารบ้านเรือน ทั้งกลุ่มจึงมีความหวังและเร่งฝีเท้าออกเดินมุ่งหน้าไปยังแสงที่ว่านั้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปไกลแค่ไหน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใกล้แสงนั่นเลย ซ้ำดูเหมือนมันค่อยๆห่งออกไปเรื่อยๆทุกก้าวที่เดินหน้าไป จนในที่สุดมันก็เลือนหายไปในความมืด หลายคนเริ่มรู้สึกแล้วว่าพวกตนกำลังเดินวนเป็นวงกลม หลงอยู่ท่ามกลางความมืดรึเปล่า ความกลัวก็เริ่มแทรกเข้ามาเกาะกุมหัวใจ พร้อมกับที่ความหวังเมื่อครู่ดับไปพร้อมกับดวงไฟ หนึ่งในนั้นก็ยกมือที่กำไม้แดงแน่นขึ้นกราบไหว้ บนบานศาลกล่าว ขอเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้ช่วยด้วยเถิด ขอให้นำทางไปพวกตนไปที่ถูกที่ควรด้วย …

Admin

10/02/2020

เรื่องเล่าผี | สยองยุค’90 เมื่อผีโทรเข้ามากลางรายการวิทยุ

หากพูดถึงรายการที่เกี่ยวกับเรื่องเล่าผี เดอะช็อคต้องเป็นตัวเลือกแรกที่คนนึกถึง ด้วยความที่เสิร์ฟเรื่องเล่าสุดหลอนมานานนับสิบๆปีจนมีแฟนๆทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ในอดีตนั้นที่เชียงใหม่เคยมีรายการเรื่องผีที่โด่งดังที่สุดอย่าง “ไนน์ตี้ช็อค” กับเรื่องราวสุดสะพรึงเมื่อมี “ผี” โทรศัพท์เข้ามาเล่าเรื่องผีเสียเอง!

เมื่อผี…โทรศัพท์เข้ามาเล่าเรื่องผี ในรายการผี!

เหตุการณ์สยองขวัญที่พิลึกพิลั่นที่สุดในวงการรายการวิทยุผี ต้องย้อนกลับไปมากกว่า 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันหลายคนคงรู้จักรายการผียอดนิยมคู่บ้านคู่เมืองอย่าง “เดอะช็อค” กันเป็นอย่างดี แต่เหตุการณ์ที่จะกล่าวถึงนี้เกิดขึ้นกับรายการผีรุ่นบุกเบิกอย่าง “ไนน์ตี้ช็อค” (90 Shock) ซึ่งเรียกว่ามีหัวหอกคนสำคัญของเดอะช็อคปัจจุบันอย่าง “พี่ป๋อง กพล” เป็นพิธีกรรายการในขณะนั้นด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นราวพ.ศ. 2539 โดยปกติแล้วรายการไนน์ตี้ช็อค จะมีช่วงที่รับสายเรื่องเล่าผีจากทางบ้านในช่วงหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ว่ากันว่า..ในค่ำคืนนั้นเรื่องผีที่โทรเข้ามาล้วนแล้วแต่น่าเบื่อ ไม่น่ากลัวเลยสักนิด เป็นอีกคืนนึงที่ผ่านไปอย่างราบเรียบ จนกระทั่งมาถึง “สายสุดท้าย” ที่เข้ามาในคืนนั้น

สายที่ว่านั้นเป็นสายจากผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้แจ้งชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นใคร หรือมาจากไหน อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ดูมีอะไรผิดปกตินักนอกจากเสียงจากสายโทรศัพท์ที่จะไม่ค่อยชัด มีขาดๆหายๆ มีเสียงซ่าๆปนเข้ามา คล้ายกับสัญญาณคลื่นไม่ค่อยดี จนกระทั่งเธอเริ่มเล่าเรื่อง… เพราะสิ่งที่เธอเล่าออกมาไม่ใช่เรื่องเล่าผีอย่างที่ทุกคนคิดว่าจะเป็น

“หนู…เป็นคนทำงานกลางคืน… หนูเลิกดึก…มาก… หนูขี่รถเครื่อง…มาทำงาน”

มันดูคล้ายกับว่าเธอโทรเข้ามาเพื่อปรับทุกข์มากกว่าที่จะโทรมาเล่าเรื่องผี อย่างไรก็ตาม วิธีการเล่าของเธอก็ดูแปลกๆ เธอเล่าๆหยุดๆเป็นช่วงๆ แต่สิ่งที่คนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นจำได้ดีคือ…น้ำเสียงอันเย็นเยียบ และแฝงไว้ด้วยความน่าขนลุก ราวกับในตัวละครในหนังผี

“คืนนั้น..หนูขี่รถกลับบ้านทางดอยสะเก็ด… ช่วงประมาณตี 1… ในความมืด… หนูเจอเข้ากับ..มัน!”

เธอยังคงเล่าเรื่องของเธอต่อไป แต่คราวนี้น้ำเสียงเธอยิ่งแฝงความปวดร้าวไว้ภายใน พร้อมกับเสียงสะอื้นเป็นระยะ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เล่าเรื่องผีอยู่ แต่คนที่ได้ฟังรายการสดในวันนั้นคงจะสัมผัสถึงบรรยากาศน่าขนลุกอันไม่น่าไว้วางใจได้เป็นอย่างดี และเนื่องจากเป็นการออกอากาศสด ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนกระมีเสียงของทีมงาน ผู้ช่วยของดีเจผู้ดำเนินรายการแทรกเข้ามากระทันหัน “พี่..หนูว่ามันแปลกๆแล้วนะ วางสายเถอะ หนูไม่ไหวละนะพี่!” สิ้นเสียงของทีมงานพูดจบ หญิงปริศนาที่ปลายสายก็เริ่มร้องห่มร้องไห้อย่างหนักทันที เธอสะอึกสะอื้นอย่างโหยหวน จนเริ่มคิดกันแล้วว่านี่ไม่ใช่การล้อกันเล่นแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ขณะที่ยังร้องไห้ไม่หยุด เธอก็เริ่มเล่าต่อด้วยน้ำเสียงแผดดังน่ากลัว

“มันตามหนูมาแล้ววว มันตามหนูมา..ฮือๆ แล้วมัน..แล้วมัน ฮือๆ”

“แล้วมันก็ฆ่าา !!!!!!!!!!!!!!”

เพียงเท่านั้น ทีมงานผู้ช่วยดีเจก็ร้องกรี๊ดออกมาอย่างหวาดกลัว “วางสายเลยๆ วางสายสิพี่!” ทีมงานร้องเร่งให้ดีเจวางสายโทรศัพท์นั้นทิ้งซะ ตามมาด้วยเสียงโครมคราม เสียงร้องไห้ เสียงตะโกนและกระซิบกระซาบอย่างจับใจความไม่ได้ภายในห้องส่ง แสดงให้เห็นถึงความชุลมุนชุบเกอยู่ในที่นั้น นั้นคือสิ่งสุดท้ายที่ผู้ฟังทางบ้านได้ยิน ก่อนที่ทางสถานีจะตัดเข้าโฆษณา ยิ่งสร้างความงุนงงและสงสัยแก่ผู้ฟังที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น…

กระทั่งวันถัดมาก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น และตรงกันกับสิ่งที่หญิงนิรนามโทรเข้ามาเล่าอย่างน่าสะพรึง นั่นคือข่าวการพบศพหญิงสาวเสียชีวิตอยู่ที่เส้นทางดอยสะเก็ด – เชียงใหม่ ซึ่งสร้างความฮือฮาไปทั่วจังหวัดเชียงใหม่ในยุคนั้น โดยจาการสืบสวนพบว่าน่าจะถูกฆ่าชิงทรัพย์ หลังจากที่หญิงสาวรายดังกล่าวขี่มอเตอร์ไซคผ่านเส้นทางนี้ หลังจากเลิกงานที่ไนท์บาร์ซ่า และถูกถีบรถจนล้ม จากนั้นก็ถูกทำให้ถึงแก่ชีวิต อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากสภาพร่างของเธอแล้วคาดว่าจะเสียมาแล้วหลายวัน

มีหลายอย่างที่ชวนให้คิดว่า “หญิงสาวที่ถูกพบร่าง” กับ “หญิงในสายนิรนาม” อาจจะเป็นคนเดียวกัน เนื่องจากมีคีย์เวิร์ดหลายอย่าง…ชวนให้คิดเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางเปลี่ยวดอยสะเก็ด การทำงานในช่วงกลางคืน หรือแม้กระทั่งเรื่องเล่าทางโทรศัพท์ที่ชวนขนลุกไม่แพ้เหตุการณ์สยองในคดีนี้เลย หลายคนเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ “ผีโทรศัพท์เข้าไปในรายการ” เพื่อจะสื่อสารให้ใครได้รับรู้ถึงสิ่งที่เธอประสบด้วยความโชคร้าย และต้องการให้มีคนไปพบร่างของเธอ

อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้จะผ่านมาเกิน 20 ปีแล้วก็ตาม แม้ว่ารายการ “ไนน์ตี้ช็อค” จะกลายเป็นเพียงตำนานของชาวเชียงใหม่ไปแล้ว เรื่องเล่าผีเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานกันมาอยู่เนืองๆถึงปัจจุบัน ด้วยความตลกร้ายตรงที่…รายการผีที่ใครๆก็อยากจะฟังเรื่องเล่าผี กลับมีผีโทรเข้ามาเล่าเรื่องของตัวเองให้ได้ฟังกันซะงั้น เรื่องราวสั้นๆที่ชวนสยองเป็นที่สุด นอกจากนี้ในเว็บไซท์พันทิป.คอม ยังเคยมีสมาชิกพูดคุยถกเถียงกันถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ว่ามเป็นเรื่องจริงรึเปล่า ซึ่งก็มีผู้ฟังที่อยู่ในเหตุการณ์จริงวันนั้น มาร่วมแชร์ประสบการณ์ให้ได้ฟังกันอีกด้วย

ความคิดเห็นจากผู้ที่อยู่ได้ฟังสดเรื่องเล่าผีในคืนนั้น…

สมาชิก “ปลาวาฬแก้มป่อง” ออกมายืนยันว่าเป็นแฟนรายการไนน์ตี้ช็อค และก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสได้ฟังสดรายการวันนั้นด้วยตัวเอง แถมหลังจากการออนแอร์รายการในคืนนั้น สมาชิกท่านนี้ได้มีโอกาสไปติดตามเรื่องราวต่อถึงสถานี โดยได้รับการบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่สถานีว่า โดยปกติเจ้าหน้าที่คนนี้จะเป็นหนึ่งในทีมงานและเป็นผู้คอยรับโทรศัพท์เพื่อสกรีนเรื่องของผู้เล่าจากทางบ้านก่อน แต่ค่ำคืนนั้นเขากลับเข้ามาห้องส่งไม่ทันตอนสายหลอนดับกล่าวโฟนอินเข้ามา จึงกลายเป็นว่าดีเจผู้จัดรายการเป็นคนรับสายนั้นด้วยตัวเอง ยืนยันว่าเรื่องราวในวันนั้นเกิดขึ้นจริง

สมาชิกพันทิป “แม่ฮะ เทไฮน์ให้หน่อย” เป็นอีกคนที่ออกมาแชร์ประสบการณ์ในค่ำคืนนั้น โดยเขาจำเรื่องเล่าผีวันนั้นได้ดี โดยเพิ่มเติมรายละเอียดว่า ภายหลังมีการค้นหาเทปบันทึกรายการวิทยุในค่ำคืนนั้นด้วย แต่ปรากฎว่า…สิ่งที่บันทึกไว้มีเพียงเสียงของดีเจเท่านั้นที่ถูกบันทึกติด แต่ช่วงที่เป็นหญิงปริศนาเล่าเรื่องของตน กลับกลายเป็นว่าไม่มีเสียงใดๆอยู่เลย และนั่นเป็นการออนแอร์ครั้งสุดท้ายของรายการด้วย

“ไส้อั่วจิ้นหมู” บอกว่าตนเคยนำเรื่องนี้มาพูดคุยครั้งหนึ่งเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ซึ่งตนยืนยันว่าเคยเป็นเรื่องทอล์คออฟเดอะทาวนืในสมัยนั้น ที่วัยรุ่นในเชียงใหม่ต่างพูดถึงกัน โดยแก้ข้อมูลนิดนึงว่า รายการยังคงออนแอร์อยู่อีกหนึ่งวัน ก่อนที่จะปิดตัวถาวรในภายหลัง โดยยังให้แนวคิดว่า ในสมัยนั้นการจะใช้เทคดนโลยีในการปลอมแปลงเสียงหรือทำซาวด์ไม่ง่ายเหมือนในปัจจุบัน ต้องบอกว่าความหลอนที่ทุกคนได้รับฟังกันในคืนนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอน

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : https://pantip.com/topic/34505887

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีเดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

07/02/2020

เรื่องผี the shock | คุณไสยในกุฏิพระ ประสบการณ์จำวัดสุดหลอน

เรื่องผี the shock เรื่องนี้ เป็นเหตุการที่ “คุณเบน” ได้เล่าไว้ในรายการ the shock 13 fm ในชื่อเรื่องว่า “ทางผีผ่าน” โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นตอนี่คุณเบนและน้องชายไปบวชและได้ที่พักเป็นห้องหนึ่งบนชั้นสองของกุฏิที่ว่างอยู่ แต่ภายในห้องที่ว่ากลับมีของบไางอย่างที่ดูเหมือนว่าจะถูกเตือนเอาไว้ว่า “ห้ามแตะต้องอย่างเด็ดขาด” จนน่าสงสัยว่า ของเหล่านั้นหรือแม่กระทั่งห้องนี้ เคยใช้ทำอะไรมาก่อน…

เรื่องผี the shock ประสบการณ์จำวัดในห้องที่เคยใช้ทำคุณไสยมนต์ดำ

เรื่องผีเดอะช็อคจากประสบการณ์ของคุณเบนผู้เล่า ครั้งเมื่อคุณเบนและน้องชายไปบวชที่วัดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยที่พระพี่เลี้ยงก็พาทั้งคู่ไปพักที่กุฏิบนชั้น 2 อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเบนเข้าไปยังห้องดังกล่าวก็รู้สึกแปลกใจ เนื่องจากห้องอื่นๆจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานตั้งไว้ในทุกห้อง แต่ห้องที่ตนได้กลับมีบาตรที่มีลายเหมือนอักขระอาคมเขียนเอาไว้แทน

บาตรที่ว่ายิ่งดูไม่ชอบมาพากลเข้าไปอีก เมื่อพระพี่เลี้ยงกำชับอย่างหนักแน่นว่า “ห้ามไปแตะต้องบาตรนั่นเด็ดขาด” แต่คุณเบนในตอนนั้นก็ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นจนถึงขนาดจะออกปากถามว่าบาตรนั่นมันคืออะไร จนกระทั่งตกดึก คุณเบนกับน้องก็จัดแจงธุระส่วนตัวก่อนที่จะฝึกท่องบทสวดสำหรับประกอบการบิณฑบาตรในเช้าวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตามคุณเบนพึ่งสังเกตเห็นว่า หากมองออกไปทางหน้าต่าง ห้องนี้จะมีทิศทางที่ตรงกันกับ “ทางสามแพร่ง” ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักพอดี

ขณะที่ทั้งคู่ยังคงฝึกท่องบทสวดกันอย่างขะมักเขม้น จนถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่า การออกเสียงด้วยกันจะทำลายสมาธิของกันและกันเสียมากกว่า จึงแยกย้ายกันไปฝึกโดยที่คุณเบนท่องบทสวดอยู่ในห้อง ส่วนน้องชายหรือคุณแบล็คออกไปท่องอยู่หน้าห้อง กรั่ผ่านไปสักพักหนึ่งคุณเบนก็ได้ยินเสียงของพระพี่เลี้ยงลนลานพูดขึ้นว่า “พระแบล็ค โต๊ะตัวนี้ก็นั่งไม่ได้นะ ห้ามแตะต้องเด็ดขาด เมื่อกี่หลวงพี่ลืมบอก” คุณเบนจึงออกไปดูและพบว่าน้องชายนั่งท่องบทสวดอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งตั้งว่างๆอยู่หน้าห้อง ทั้งคู่ทำตามคำขอด้วยดี แต่คุณเบนอดคิดในใจไม่ได้ว่า…อะไรกัน ทำไมข้อห้ามเยอะแยะไปหมด แม้กระทั่งการแตะต้องข้าวของเครื่องใช้ในห้อง ดูผิดธรรมชาติพิกล คุณเบนจึงชวนคุณแบล็คน้องชายลงมาท่องด้านล่างกุฏิ

พอลงมาด้านล่างกุฏิ ก็พบกับหลวงพี่อีกท่านนึง ยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเองก่อนจะสอบถามว่าทั้งคู่พักอยู่ห้องไหน คุณเบนจึงชี้ขึ้นไปยังห้องบนชั้น 2 ของกุฏิแล้วบอก หลวงพี่ท่านนั้นเห็นแล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยพรางหัวเราะร่วน “ห้องนี้เองเหรอ ตรงข้ามกับห้องอาตมาพอดีเลย” คุณเบนเห็นท่าทางนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ จึงพยายามสอบถามว่าที่ห้องนั้นเคยมีประวัติอะไรหรือเปล่า ทีแรกหลวงพี่ก็เหมือนจะเลี่ยงๆ กระทั่งพอถูกถามซ้ำก็ตอบว่า “ถ้าจะให้อาตมาเล่าให้ได้ ท่านทั้งสองอย่ากลัวนะ…” คุณเบนกับน้องกับตบปากรับคำ หลวงพี่ก็เล่าให้ฟังว่า ห้องนั้นมีประวัติจริง! ก่อนหน้านี้พระเจ้ากุฏิเก่าเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีคุณไสย โดยนำร่างผีตายโหงมาไว้ในห้อง ก่อนที่จะมรณะภาพไป! โดยเฉพาะโต๊ะที่คุณแบล็คน้องชายนั่งเมื่อสักครู่ เคยเป็นที่ที่ใช้วางศพพอดิบพอดี

คุณเบนกับน้องชายได้ฟังแล้วก็หักห้ามความกลัวไม่ได้จริงๆ คิดแต่เพียงว่า แบบนี้นอนไม่ได้แน่ๆ จึงตัดสินใจนำหมอนผ้าห่มลงมาขอนอนในกุฏด้านล่าง ปรากฏว่ากุฏิด้านล่างก็มีพระหลวงพี่นอนอยู่ 2 รูปแล้ว ซึ่งรูปหนึ่งควรจะต้องนอนในชั้น 2 ที่ว่านั่น แต่ก็ไม่สามารถนอนได้เช่นกันจนต้องหนีลงมานอนข้างล่างแทน อย่างไรก็ตามหลวงพี่ท่านก็ได้อนุญาตให้นอนด้วยกันได้ กระทั่งตกดึกมีเพียงคุณเบนเท่านั้นที่ยังตื่นอยู่ เมื่อสังเกตไปรอบห้องก็พบว่าพระรูปอื่นๆกระทั่งน้องชายหลับไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรตนก็ไม่อาจจะข่มตาหลับได้หลังได้รบฟังเรื่องชวนขนลุกดังกล่าว

ระหว่างที่พลางครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย คุณเบนก็ได้ยินเสียงคล้ายกับ “มีใครบางคน?” เดินย่ำไปมาอยู่บนห้องชั้นบน ที่ซึ่งไม่ควรจะมีใครอยู่บนนั้น คุณเบนกวาดสายตาไปรอบห้อง ครั้นจะปลุกหลวงพี่ขึ้นมาฟังก็เกรงใจ จึงสะกิดน้องข้างๆแทน แต่ทันทีที่น้องลืมตาตื่นขึ้นมา…จู่ๆก็เกิดสะดุ้งตกใจอย่างรุนแรงราวกับเจอผีสางนางไม้ จนรีบผงะถอยครูดเข้าไปติดหลวงพี่ จนหลวงพี่ต่างรู้สึกตัวและเปิดไฟในห้องจนสว่างไปทั่ว คุณเบนสอบถามน้องว่าเกิดอไรขึ้น เป็นอะไรไป แต่คุณแบล็คน้องชายก็สงบลงก่อนที่จะบอกปัดๆไปว่าเปล่า ไม่มีอะไร จึงเป็นอันว่าหลวงพี่ก็ปิดไฟจะนอนต่อ ในระหว่างนั้นเองที่น้องชายสารภาพกับคุณเบนว่า…ตัวเองเจอดีเข้าให้แล้ว!

คุณเบนพยายามสอบถามว่าไปเจออะไรเข้า คุณแบล็คเลยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่คุณเบนปลุกขึ้นมานั้น ตนก็ค่อยๆหรี่ตาขึ้นมา แต่แทนที่จะเห็นหน้าพี่ชาย กลับกลายเป็นหน้าใครบางคนแสยะยิ้มสยองให้แทน! คุณเบนอดรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาซะเฉยๆไม่ได้ ขณะที่หลวงพี่ก็พยายามปลอบว่าอย่าไปคิดมากเลย เดี๋ยวอาตมาจะเฝ้ายามให้ ให้ทั้งคู่นอนพักผ่อนเถอะ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะหลับกันได้ง่ายๆในสถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งคุณเบนสังเกตเห็นว่าพระหลวงพี่ที่นั่งเฝ้ายามนั้น ไม่ได้นั่งเฝ้าเฉยๆ แต่ท่องคาถาบทสวดอะไรบางอย่างไปด้วย จึงเริ่มรู้สึกคลายกังวลและหลับไปในที่สุด

เช้าวันรุ่งขึ้นคุณเบนและน้องก็ออกบิณฑบาตและปฏิบัติกิจวัตรของสงฆ์ได้อย่างเป็นปกติ กระทั่งคืนนั้นคุณเบนและน้องก็สวดมนต์แล้วเข้านอนกับหลวงพี่เช่นเดิม ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเดินไปมาอยู่ด้านบนเหมือนเมื่อคืน แต่ที่แย่กว่านั้นคือ…เสียงที่ว่าคล้ายกับค่อยๆย่างฝีเท้าลงมาตามบันได ก่อนที่จะมาหยุดที่หน้าประตูแล้วเดินไปมาอยู่รอบๆ! คุณเบนเล่าว่ารู้สึกเหมือนกับว่ามีใครเข้ามาเดินสวนไปมาอยู่รอบๆตัวในความมืด แม้จะไม่เห็นตัวก็ตาม แต่คงจะมีมากกว่า 3 !! คุณเบนพยายามเรียกหลวงพี่ข้างๆก่อนจะถามถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น แต่หลวงพี่ตอบสั้นๆเพียงว่า “มันเป็นเรื่องปกติ” แต่คุณเบนไม่สามารถคิดแบบนั้นได้แต่ๆ

เหตุการณ์นี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกคืน จนคุณเบนต้องกินยาช่วยให้นอนหลับอยู่เป็นประจำ กระทั่งคืนที่ 9 เป็นคืนที่มีหลวงพี่บวชใหม่จะมาพักห้องด้านบนที่ว่า คืนนั้นคุณเบนกับน้องก็สวดมนต์เหมือนที่ทำทุกคืน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปมา และขึ้นลงบันไดอยู่ 4 เที่ยว แต่เนื่องจากเริ่มจะชินชาเลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่แล้วจู่ๆคราวนี้ก็มีเสียงเคาะประตูดังลั่นจนตกใจกันทั้งห้อง ปรากฎว่าเป็นหลวงพี่มาใหม่นั่นเองที่มาเคาะ ก่อนที่จะออกปากถามว่า “มีใครมาเคาะประตูห้องอาตมาเล่นหรือเปล่า?” ได้ใจความว่าหลวงพี่ท่านนี้ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู แต่พอเปิดออกไปดูก็ไม่พบใครอยู่หลายรอบ คุณเบนจึงสอบถามว่าคืนนี้หลวงพี่เดินลงมากี่รอบ? ท่านตอบกลับมาว่า “พึ่งจะลงมารอบเดียวนี่แหละ” สรุปว่าหลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอยู่ครู่นึง หลวงพี่ท่านนั้นก็ตัดสินใจลงมานอนด้วยกันเพิ่มเป็น 5 รูป

ขอบคุณที่มา เรื่องเล่าผี : https://pantip.com/topic/36405715

อ่านเรื่องผี เดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

02/02/2020
1 28 29 30 33