เรื่องผีออริจินัล

สาวชุดดำ

สมปอง  เดินทางเข้ามาทำงานด้วยการเป็นคนขับรถแท็กซี่ แต่มาไม่นานก็ต้องเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่มีผู้โดยสารใช้บริการ เขาวิ่งรถมา 2-3 วันแล้ว เงียบกริบจนเขาเองก็ท้อ

วันนี้สมปองขับรถวนไปทั่วก็ยังไม่มีผู้โดยสาร ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว เขาต้องรีบกลับบ้านเพราะจะติดเคอร์ฟิว เขาขับรถไปด้วยอารมณ์หดหู่สุดชีวิต ในใจก็คิดว่า ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีกเขาคงต้องกลับบ้านไปทำนาเสียแล้ว ขืนอยู่ต่อไปคงอดตายเป็นแน่แท้

21.30 น.

วันนี้สมปองก็ต้องตีรถเปล่ากลับบ้าน วันนี้ไร้วี่แววผู้โดยสารอีกแล้ว  ทุกคนกลัวโรคระบาด งดเดินทาง ล็อคดาวน์ประเทศ เขามองถนนที่วิ่งอย่างว่างเปล่าไปตามถนนที่ค่อนข้างเงียบเชียบ ไฟทางอยู่ห่างกันและริบหรี่เต็มที จนกระทั่งรถขับผ่านวัดๆหนึ่ง

“สาธุ วันนี้ขอให้ลูกได้ลูกค้าด้วยเถิด เพี้ยง!!”

พลันสายตาเขาก็ไปเจอร่างนึงที่ยืนอยู่ข้างทาง ไฟรถส่องไปปะทะเป็นผู้หญิงผมยาวท่านหนึ่ง กำลังโบกมือช้าๆ สมปองดีใจมาก ค่อยๆชะลอรถเทียบข้างทาง เมื่อเข้าไปใกล้ เขาตกใจเล็กน้อย สาวเจ้าผมยาวแถมผมเผ้ารุงรัง ตัวขาวซีดใส่ชุดเดรสสีดำคลุมเข่า ก้มหน้า มองไม่ชัด

“ไปไหนครับ”

“ซอย… ”

 “ได้ครับ  เชิญ..”

สมปองอ้าปากค้างไปนิดนึง เขายังไม่ทันพูดจบหญิงสาวขึ้นมานั่งตั้งแต่ตอนไหน แถมไม่ได้ยินเสียงปิดประตูรถด้วย แต่ด้วยเวลาใกล้จะเคอร์ฟิวแล้ว เขาจึงรีบไปยังจุดหมายและเป็นความโชคดีที่ว่าทางที่เขาจะไปเป็นทางเดียวกันกับทางกลับบ้าน

ตลอดทางเขาพยายามชวนคุย สาวเจ้าเอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่ตอบ จนรถเคลื่อนมาถึงซอยที่เธอบอก ก็พบกับวัดหนึ่ง เธอบอกให้เขาขับเข้าไปตามถนนที่ตัดเข้าวัด แต่ไม่เท่าไหร่ก็เจอกับทางตันมีเพียงกำแพงวัดที่เต็มไปด้วยรูปผู้เสียชีวิต เขารู้สึกกลัวมาก หันไปหาผู้โดยสารเธอหายไปแล้ว เขาจึงรีบออกรถ และด้วยอารมณ์ตกใจ แทนจะใส่เกียร์ถอยกับเหยียบคันเร่งจนชนเข้ากับกำแพงวัดที่บรรจุรูปคนตายพอดี

สมปองเปิดประตูไปดูว่าเขาชนอะไรไป ก็มองเห็นว่ากำแพงวัดแตก ช่องที่บรรจุอัฐิเปิดออก เขาเดินไปเห็นรูปหญิงสาวก็ขนลุก เธอคือคนเดียวกับที่เขารับขึ้นรถมาแน่ ๆ ถึงจะเห็นไม่ชัดแต่เขาจำได้ถนัด

ตุ๊บ!!

เสียงเหมือนมีอะไรหล่นลงมาที่หน้ากระโปรงรถ สมปองหันขวับทันที เขาก็พบกับร่างหญิงสาวในชุดเดรสสีดำ แต่ตอนนี้ร่างกายผิดรูป แขนหัก ขาหัก พยายามพยุงกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก และคลานลงจากรถของเขาตรงมาที่สมปองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้มือจับที่ข้อขาของเขา เป็นผลทำให้เขาล้มลงก้มจ้ำเบ้าอย่างแรก พร้อมทั้งแหกปาก ให้คนช่วยเสียงดัง ฉี่ราดกางเกงอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะได้ยินเสียงผีสาวพูดก

“มาอยู่ด้วยกันเถอะ มาอยู่กับหนูเถอะ ฮี่ๆๆ”

อ๊ากกกกกกกก

สมปองร้องสุดเสียง ก่อนที่สติสัมปะชัญญะทุกอย่างจะดับวูบลง

รุ่งเช้า ท่านเจ้าอาวาสให้ชาวบ้านมาช่วยปฐมพยาบาลสมปองจนฟื้นคืนสติ แต่หลังจากได้สติสมปองมีอาการตื่นกลัว ไม่ให้ใครเข้าใกล้ ร้องแต่กลัวๆๆๆ จนท่านเจ้าอาวาสท่านต้องทำน้ำมนต์มาปะพรมให้ ผ่านไปนับชั่วโมงจึงมีสติกลับคืนมาได้

เมื่อได้สติ จึงค่อยๆเล่าให้ท่านเจ้าอาวาสและชาวบ้านฟัง ทุกคนมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะมีมัคนายกเล่าให้ฟังว่า หญิงสาวที่สมปองเจอน่าจะเป็น ส้ม เด็กสาวที่เสียชีวิตเมื่อ 3 ปีก่อน

ท่านเล่าให้ฟังว่า ส้ม บ้านอยู่ถัดจากวัดไป 200 เมตร วันนั้นดึกแล้ว ส้มน่าจะกำลังกลับบ้านจึงโบกรถแท็กซี่ให้มาส่ง แต่แท็กซี่คันนั้นคิดไม่ดีจะพาเธอไปข่มขืน แต่เธอน่าจะไม่ยอมพยายามต่อสู้ตำรวจสันนิษฐานว่า ทั้งคู่น่าจะทะเลาะกัน เลยทำให้รถเสียหลักชนต้นไม้ตรงใกล้ๆกับที่สมปองจอดรับ แต่รถเกิดติดไฟ ตัวคนขับหนีออกมาได้ ส้มติดในรถออกไม่ได้ถูกไฟคคลอกตาย ศพก็มาทำพิธีที่วัดนี้และเอาอัฐิไปใส่ช่องกำแพงที่รถคุณชนนั้นแหละ หลังจากนั้นก็มักจะคนเจอเธอมายืนโบกรถอยู่ข้างทางเสมอ โดยเฉพาะรถแท็กซี่ โดนหลอกประจำ

หลังจากนั้น สมปองก็ซ่อมและคืนรถกับอู่ เดินทางกลับบ้านไปทำไร่ไถนา แต่ก่อนกลับไม่ลืมที่จะไปขอขมาส้มและซ่อมแซมกำแพงวัดให้เรียบร้อย

Admin

04/12/2022

บ้านพักครูหลังเก่า

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน วัตรเพิ่งเรียนจบครูใหม่ๆ และได้ถูกไปบรรจุประจำการที่จังหวัดหนึ่งในเขตอีสานใต้ ซึ่งพื้นที่ที่ครูวัตรไปเป็นถิ่นค่อนข้างทุรกันดาร ห่างไกลจากเมืองมาก บริเวณอาณาเขตค่อนข้างเป็นภูเขาล้อมรอบ ส่วนไฟฟ้าก็ใช้โซล่าเซลล์จากแสงอาทิตย์ให้ความสว่าง ซึ่งก็พอไม่ให้มืดมิดไปกว่าที่เป็น

วัตรเดินทางไปถึงโรงเรียนที่ตนจะมาสอนในช่วงวันหยุดยาว เมื่อไปถึงจึงตรงไปรายงานตัวกับครูใหญ่ของโรงเรียน โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีครูกับนักเรียนไม่มาก ครูใหญ่จึงพาวัตรเดินรอบโรงเรียน จนมาถึงด้านหลังโรงเรียน

ด้วยความที่ยังไม่มีที่พัก ครูวัตรจึงเอ่ยปากถามว่า

“ปกติคุณครูพักกันที่ไหนเหรอครับ”

“ส่วนมากก็พักกันบ้านใครบ้านมันอ่ะครู เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพื้นที่”

“แถวนี้มีโรงแรมหรือบ้านให้เช่าราคาถูกให้เช่าไหมครับ พอดีผมยังไม่ที่มีที่พักเลย”

“มันไกลมากเลยครู ไปพักบ้านผมก่อนไหม”

ครูวัตรมองไปโดยรอบก็เห็นว่าที่โรงเรียนมีบ้านพักครูอยู่ 1 หลัง จึงเอ่ยปากสอบถามว่ามีคนไหม ครูใหญ่อ้ำอึ้ง ทำหน้าปั้นยากไปหนึ่ง บอกว่าง แต่มันเก่ามากนะครู จะอยู่ได้เหรอ ครูวัตรบอกอยู่ได้ ทำความสะอาดก็น่าจะโอเค แกก็เลยให้พัก

หลังจากไปหยิบกุญแจให้ครูวัตร ครูใหญ่ก็ขอตัวอย่างเร่งรีบ แต่ยังให้จักรยานกลางเก่ากลางใหม่ไว้ 1 คัน พร้อมบอกร้านค้าที่พอจะพอซื้อของได้ ครูวัตรจัดแจงซื้ออุปกรณ์และอาหารสำเร็จสำหรับวันแรก และตรงไปทำความสะอาดทันที

บ้านพักครูปล่อยทิ้งร้างนาน ฝุ่นเกาะเกรอะกรังเต็มไปหมด ครูวัตรทำความสะอาตั้งแต่ชั้นบน จนมาถึงชั้นล่าง และสังเกตเห็นว่า มีห้องใต้บันไดอยู่ห้องหนึ่งแต่ไม่มีกุญแจไข ด้วยความเหน็ดเหนื่อย แกจึงไม่ได้ใส่ใจ เอาข้าวของตัวเองมาตระเตรียม และไปอาบน้ำที่ห้องน้ำโรงเรียนก่อน เพราะห้องน้ำยังไม่ได้ต่อน้ำมา

คืนนั้นครูวัตรเลือกนอนที่ชั้นสองของบ้านและหลับลงอย่างรวดเร็วเพราะความเหน็ดเหนื่อย จนเวลาล่วงเลยไปค่อนข้างดึก ก็ได้ยินเสียงกุกกักจากชั้นล่าง แกงัวเงียตื่นขึ้นมาหยิบตะเกียงเดินลงไปดู แสงตะเกียง แกเดินลงไปและมองไปรอบๆไม่เห็นอะไร

ฟรึ่บ!!

หางตาครูวัตรเห็นบางอย่างวิ่งผ่านไปรวดเร็ว เมื่อหันไปก็พบแต่ความว่างเปล่า ด้วยความง่วง จึงเดินขึ้นไปนอน โดยมีบางอย่างมองแกขึ้นห้องไม่วางตา

วันรุ่งขึ้นหลังจากไปเตรียมแผนการสอนกับครูที่โรงเรียนเพื่อวันเปิดเรียนแล้ว ครูใหญ่ที่ดูเร่งรีบก็สาวเท้าเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“เป็นไงบ้างครู นอนหลับสบายไหม”

“สบายดีครับ”

“ไม่มีอะไรใช่ไหม”

“ไม่มีครับ ครูใหญ่มีอะไรรึเปล่า”

“ปะ เปล่า เดี๋ยววันนี้ผมให้คนต่อไฟกับน้ำให้นะครับช่วงกลางวัน”

หลังจากวันนี้ช่างไฟ ประปามาต่อน้ำไฟให้ คืนนี้ครูวัตรเลยเพลิดเพลินไปกับการเขียนแผนการสอน และเตรียมตำราเรียนบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวน้อย เวลาล่วงเลยไปจนดึก จู่ ๆ เสียงนกแสกก็ดังขึ้น ทำลายความเงียบลงทันที ด้วยความตกใจ แกเลยออกปากไล่นกที่หน้าต่าง แล้วมันก็บินหนีไป

ตึง ตึง ตึ้ง

เสียงคล้ายฝีเท้าวิ่งลงบันได ครูวัตรรีบวิ่งไปดูทันที ก็ไม่พบสิ่งปกติ แกจึงหยิบเอาตะเกียงมาส่องหาสิ่งผิดปกติ เพราะกลัวขโมยขึ้นบ้าน แต่ทุกอย่างงยังคงเงียบเชียบ จังหวะที่แกกำลังจะก้าวขึ้นบันได ก็มีเสียงดังเพล้ง คล้ายของตกแตกที่ด้านหลัง แกหันขวับไปทันที เห็นเงาดำวิ่งผ่านไปหลังบ้าน แกรีบวิ่งตาม แต่พอไปถึงก็พบแต่ความว่างเปล่า

เสียงประตูปิดดังปัง! ทั้งที่ไม่มีลมพัด ครูวัตรเริ่มใจคอไม่ดี เหงื่อเริ่มออกทั้งที่วันนี้อากาศเย็น อากาศเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันใด แกกำลังจะวิ่งขึ้นชั้นสอง ก็ได้ยินเสียง ตุ๊บ!! เคล้งๆ คล้ายมีอะไรหล่นในบ้านและกลิ้งไปมา ด้วยความกลัวและความอยากรู้ แกจึงส่องตะเกียงและเดินไปดู

วัตถุทรงกลมกลิ้งไปมาที่พื้น ครูวัตรปรับสายตาให้ชินกับความมืดและกำลังก้าวขาไปที่วัตถุต้องสงสัย กำลังจะคว้ามือไปจับว่าคืออะไร สิ่งนั้นก็พลิกกลับทันที

หัวคน!!

ใบหน้าซีดขาว ตาโปน ปากแดง ค่อยๆฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้กับครูวัตร ผมเผ้าที่ร่วงเป็นกระจุก กลิ้งไปมา พร้อมหัวเราะร่าด้วยความสะใจ

ฮี่ๆ ฮี่ๆ

“อ๊ากกกกกกกก”

ครูวัตรแหกปากร้องลั่นทิ้งตะเกียงวิ่งขึ้นด้านบน กำลังจะก้าวขึ้นขั้นสุกท้ายก็ต้องเบรกจนแทบตกบันได เมื่อไปปะทะกับร่างหนึ่งที่ยืนขวางอยู่ ครูวัตรมองขึ้นไปจากปลายเท้าอย่างกลัวสุดขีดแล้วก็ต้องช็อก เมื่อร่างนั้นก้มลงมาหา แต่ไม่มีหัว!!!

เห็นหัวกูไหม เห็นหัวกูไหม!!

“อ๊ากกกกกกกก”

ครูวัตรกลิ้งตกบันได ด้วยความกลัวสุดขีด แกลืมความเจ็บไปเสียสิ้น พยายามลุกผสมคลานออกนอกบ้านให้ไวที่สุด กำลังจะถึงประตูอยู่แล้ว จู่ๆก็มีร่างหนึ่งทิ้งดิ่งลงมาจากด้านบน หล่นตุ๊บ!! ขวางหน้าแก ร่างนั้นคอบิดไปข้างหลัง  ลิ้นจุกปาก ตาเหลือก ตัวบวมอืดส่งกลิ่นเน่าเหม็น และดิ้นทุรนทุราย พร้อมกับที่เสียงหัวเราะด้วยความสะใจดังมาจากหัวที่กลิ้งมาด้านหลัง

“ช่วยด้วยยยยย”

สิ้นเสียงครูวัตรสติหลุดสบลคาที่ตรงนั้นทันที!!

รุ่งเช้า ครูวัตรได้รับการช่วยเหลือจากครูใหญ่และชาวบ้าน และแกเพิ่งรู้ว่าตอนนี้แกไม่ได้อยู่บ้านพักครูหลังนั้นแล้ว ครูใหญ่สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ครูวัตรเหมือนคนติดอ่าง กว่าจะคืนสติก็ปาไปครึ่งค่อนวัน

ครูวัตรจึงเล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟัง และถามว่าบ้านนั้นมีอะไรเคยเกิดขึ้นไหม ครูใหญ่ถอนหายใจก่อนจะเล่าให้ฟังว่า

เมื่อก่อนบ้านหลังนั้น เคยมีครูชายกับครูหญิง สองสามีภรรยาอาศัยอยู่ แต่ด้วยความที่ครูหญิงเป็นคนสวยที่อัธยาศัยดี แต่ครูชายเป็นคนขี้หึง จึงเกิดเรื่องทะเลาะกันประจำ จนวันหนึ่งไม่รู้ทะเลาะอะไรกัน แต่น่าจะหนักมาก ครูชายลงมือบีบคอ และโยนครูหญิงลงจากชั้นบนลงมาจนคอหัก หมุนไปข้างหลัง ส่วนครูชายก็ไปผูกคอตายในบ้านหลังนั้นแหละ แต่ด้วยช่วงนั้นเป็นปิดเทอม ทำให้ไม่มีคนพบศพ จนเปิดเรียนกลิ่นมันเหม็นคลุ้งไปหมด พอแจ้งตำรวจไปดู ก็พบว่าพบครูทั้งสองขึ้นอืดและแตกเป็นที่เรียบร้อย แต่ศพครูชายเชือกรักคอแกจนขาดกระเด็น เป็นภาพที่สยองมากเลยครู ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครอยู่บ้านนั้นอีกเลย โดนหลอกทุกราย ครูต่างถิ่นที่มาสอน เขาก็อาศัยขับรถเข้าออกเมืองเอา

หลังจากนั้น ครูวัตรก็ย้ายออกทันที โดยไปอาศัยกับครูใหญ่ก่อน พอขยับขยายได้จึงหาที่อยู่ใหม่ และไม่นานหลังจากนั้น บ้านนั้นก็ถูกรื้อทิ้ง นำไม้ไปถวายวัดทั้งหมด

Admin

10/11/2022

เดลิเวอร์…หลอน ออเดอร์เขย่าขวัญ

เรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้เกิดขึ้นตอนที่ผมต้องขับรถไปส่งอาหารที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว แต่ผมก็ยังทำงานอยู่ อย่างที่ผมบอกว่ายิ่งทำก็ยิ่งได้เงินเยอะ ถ้าขยันซะอย่างยังไงซะก็ไม่อดตาย แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นหลังจากที่ผมกดรับออเดอร์หนึ่ง เพราะร้านอาหารที่ต้องไปรับกับที่อยู่ของลูกค้าค่อนข้างไกลกัน (ปกติผมไม่เคยผ่านเส้นทางนั้นมาก่อน) จึงได้แต่วิ่งไปตามที่ GPS บอก

หนทางนอกเมืองเริ่มเปรี่ยวและมืดลงตามลำดับ ตึกรามบ้านช่องต่างๆของคนแถวนี้ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว  จนเมื่อผมขี่มาถึงหน้าหมู่บ้านพบกับป้อมยามเหงาๆอยู่ป้อมหนึ่งที่ภายในนั้นไม่มีการใช้งานแล้ว หลายๆหมู่บ้านก็กลายเป็นแบบนี้เสมอ ในอดีตอาจจะเคยรุ่งเรือง แต่ปัจจุบันก็ดูซบเซาและหงอยเหงามาก  ผมเช็คที่อยู่ดูอีกทีในมือถือโดย GPS บอกหนทางและซอยต่างๆอย่างละเอียด  ผมจึงขี่รถไปตามถนนได้ไม่ยากนัก

ข้อสังเกตของหมู่บ้านนี้ก็คือ  หมู่บ้านนี้กว้างใหญ่มาก แบ่งเป็นซอกซอยซ้ายทีขวาที  บ้านบางหลังก็ยังสร้างไม่เสร็จ  ผู้คนส่วนใหญ่ก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว  ดูๆไปก็น่าขนลุกเหมือนกัน  จนเมื่อผมขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของลูกค้า  ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน แยกออกมาในซอยตันแห่งนี้  ทางซ้ายทั้งขวามีบ้านอยู่ไม่กี่หลัง  แต่ละหลังก็ปิดไฟมืดหมดแล้ว  ผมแจ้งเตือนลูกค้าว่าตอนนี้มาถึงแล้ว  ครู่ต่อมาลูกค้าคนนี้ก็ตอบกลับมาว่า  ให้แขวนอาหารไว้ที่หน้าประตูได้เลย

มันดูแปลกมาก  ผมจึงพิมพ์ถามกลับว่าลูกค้าไม่เช็คสินค้าหน่อยหรือ  แต่เขาก็ตอบกลับมาว่า  ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ เเค่แขวนไว้ที่ประตูรั้วก็พอ

เอาไงก็เอากัน  ยังไงลูกค้าคนนี้ก็ตัดเงินผ่านบัตรเครดิตอยู่แล้ว  ถ้าเขาต้องการให้นำอาหารไว้ตรงไหนก็ต้องตามใจเขา  ผมจึงเดินสะพายกล่องอาหารไปที่บ้านหลังนั้น  แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าบ้านหลังนี้  มีถุงอาหารมากมายแขวนอยู่ที่ประตูรั้ว  กองขยะที่พื้นมีทั้งถุงพลาสติกและกล่องโฟมมากมายกองอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด  เหมือนว่าคนที่กินอาหารแกะกินแล้วทิ้งไว้ตรงนี้  บางส่วนก็เน่าส่งกลิ่นเหม็น

ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ กลางบ้านในส่วนของโรงจอดรถ มีชุดเก้าอี้ม้าหินอ่อนตั้งไว้และบนโต๊ะนั้นก็มีกระถางธูปปักอยู่  อีกทั้งบ้านหลังนี้ยังคล้องโซ่กุญแจจากภายนอก  ซึ่งก็ไม่น่าจะมีใครอยู่จริงๆ  ดูไปแล้วก็แปลกพิลึก 

ผมรีบพิมพ์ถาม  เพื่อยืนยันบ้านเลขที่ (ที่จริงอยากจะถามว่าทำไมบ้านรกขนาดนี้  แต่อาชีพของผมคงจะพูดแบบนั้นไม่ได้)  สักพักเขาก็พิมพ์กลับมายืนยัน ว่าบ้านเลขที่นี้แน่นอนให้วางอาหารไว้แล้วไปได้เลย  ผมจึงรีบแขวนถุงอาหารไว้ตามที่เขาต้องการ  จากนั้นก็รีบกลับมาที่รถ  จู่ๆก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น ตะโกนเรียกผมมาจากบ้านฝั่งตรงข้าม  พอหันไปมองพบว่าเป็นลุงคนหนึ่ง  แกถามผมว่ามาทำอะไรดึกๆดื่นๆแถวนี้

ผมจึงเดินไปหาแก  ผมบอกกับลุงว่าผมนำอาหารมาส่งให้คนที่บ้านหลังนั้น  แต่เจ้าของไม่อยู่ให้ผมไปเอาไว้  มาลงแกได้ฟังผมพูด  ลุงแกก็ชมผมด้วยว่าขยันจริงๆ  จากนั้นแกก็พูดในสิ่งที่ทำให้ผมต้องตกใจ

ลุงแกบอกว่า  มาส่งอาหารให้ผีในบ้านหลังนั้นอีกแล้วสินะ  ผมใจหายวาบ  คิดไม่ถึงว่าลุงจะพูดประโยคนี้  จนผมต้องถามซ้ำว่าลุงพูดอะไรเมื่อสักครู่

ลุงแกจึงบอกว่าบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่มานานแล้ว  เจ้าของบ้านตายกันไปหมดแล้วทั้งหลังเลย  ผมจึงบอกลุงแกว่ามีคนให้ผมนำอาหารมาส่งที่นี่จริงๆ  ลุงแกก็เลยบอกว่าน่าจะเป็นลูกชายของเจ้าของบ้านที่ทำงานอยู่ที่จังหวัดอื่น แล้วมักจะสั่งอาหารมาเซ่นพ่อแม่พี่น้องเป็นประจำ นานๆครั้งจะมาทำความสะอาดสักทีช่วงตอนกลางวัน 

ผมขาอ่อนขนลุกซู่ตอนฝังลุงอธิบาย  จากนั้นลุงก็พูดขึ้นมาว่า  ตอนนี้พี่อยู่ในบ้านหลังนั้นก็กำลังกินอาหารอยู่  ลุงแกไม่พูดเปล่า พลางมองข้ามไหล่ผมไปยังบ้านหลังนั้น  ผมยืนเกร็งตัวสั่นไม่กล้าหันไปมองแบบลุง  แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีเสียงของอะไรสักอย่างกำลังแย่งกันฉีกถุงอาหาร และกินส่งเสียงดังมาถึงตรงนี้ 

ผมถามลุงว่าตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี  ลุงแกก็บอกง่ายๆว่าให้กลับบ้าน  ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งรีบยกมือไหว้ขอบพระคุณคุณลุง  ที่ลงช่วยเตือนสติ  จากนั้นก็กระโดดควบรถใส่หมวกกันน็อคแล้วสตาร์ทรถ  แต่ลุงก็ตะโกนกลับมาว่าอย่ารีบนะเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
คิดๆไป ลุงแกก็ดีใจหาย อีกทั้งยังน่าสงสาร ที่ต้องมาอยู่บ้านตรงข้ามกับบ้านผี  จนเมื่อผมหันไปไหว้ขอบคุณลุงอีกครั้ง  ลุงแกก็พูดขึ้นมาว่า  ถ้าครั้งหน้ามาส่งที่บ้านผีอีกก็ช่วยหยิบของติดไม้ติดมือมาฝากลุงบ้าง เพราะลูกหลานไม่ทำบุญมาให้นานแล้ว

ผมขนหัวลุกอีกรอบ  หันไปมองลุงทันที และสภาพของลุงตอนนี้ผอมจนหนังติดกระดูก ตาลึกกลวงโบ๋ ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ชัดๆ  แต่นี่ไม่ใช่ซอมบี้ นี่คือผีลุงอย่างแน่นอน

ส่วนที่บ้านหลังนั้นของลูกค้า ก็มีอะไรบางอย่างกำลังเขย่าและขยับประตูลูกกลอนเหมือนพยายามจะออกมาให้ได้ ซึ่งทันทีที่ผมหันไป ก็เห็นเงาดำสี่เงา ดวงตาส่องสว่างสะท้อนกับแสงจันทร์ในตอนนี้ และเงาพวกนี้ดูเหมือนจะเป็นพ่อแม่ลูกเหมือนที่ลุงแกบอก แต่ปัญหาก็คือเงาทุกเงาไม่มีขา

ผมจึงบิดหนีออกมาด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วไม่กล้าหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีก

หลายวันต่อมา จึงรู้จากพี่ๆที่ทำงานแบบเดียวกัน ที่เล่าให้ผมฟังว่าบ้านหลังนั้นไม่มีใครก็รับออเดอร์กันสักคน  คนแถวนี้เขารู้จักกันดี

Admin

23/03/2022

บ้านเช่าหลอนที่อนุสาวรีย์…

เรื่องมีอยูว่าเรากับแฟนได้เช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่แถวย่านอนุเสาวรีย์ เราเช่าอยู่ในราคา 20,000 บาท บ้านหลังนี้มีรูปแบบบ้านที่แปลกไม่เหมือนที่อื่นคือ…

ตรงกลางบ้านโล่งขึ้นไปถึงหลังคา บ้านหลัง นี้มี 4 ชั้นรวมชั้นดาดฟ้า บนดาดฟ้านี้มีศาลอยู่ด้วยค่ะ เราพอทราบมาว่าก่อนหน้าที่เราจะมาเช่า บ้านหลังนี้ว่างอยู่เกือบ 2 ปี หลังจากที่เราทั้งครอบครัวย้ายเข้ามานั้น เป็นช่วงที่ตรงกับฟุตบอลโลกพอดี คืนที่ 2 หลังจากย้ายเข้าบ้านทุกคนหลับหมดแล้ว เหลือแต่น้องชายนั่งดูบอลอยู่จนกระทั่งบอลจบ

ช่วงเวลาประมาณตี 2 ครึ่ง น้องก็ได้เดินจากชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องนั่งเล่น กลับเข้ามานอนที่ห้องของตัวเอง

ระหว่างทางที่เดินผ่านที่พักบันได น้องชายไม่ได้เปิดไฟทางเดิน แต่มีไฟสลัวตรงหน้าต่าง น้องชายได้ยินเสียงผู้หญิง 2 คนคุยกันอยู่ตรงหัวบันได ประมาณว่า “ผู้ชายคนนี้เป็นใครเนี่ยเข้ามาในบ้านเราได้ยังไง” แต่น้องเราก็คิดว่ามันหูฝาด เพราะน้องไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ก็เข้านอนตามปรกติ จนหลับไปได้สักพักน้องชายเรารู้สึก ว่ามีคนมาดึงขา ลากลงมาจากที่นอน น้องเรากลัวมาก รีบมาเคาะห้องขอนอนกับแม่ หลังจากคืนนั้นน้องเรามันย้ายกลับไปอยู่บ้านเดิมไม่มานอนที่นี่อีกเลย

มาพูดถึงห้องนอนเราบ้างนะ

เพื่อนๆลองนึกภาพ ห้องน้ำที่มีชักโครกที่เวลาเงยหน้าขึ้นไปจะมีหน้าต่างกระจก สามารถมองขึ้นไปแล้วเจอกับศาลตรงชั้นดาดฟ้าพอดี คิดเอาเถอะค่ะ เราไม่กล้าทำทุกข์หนักตอนกลางคืนกันเลยทีเดียว บอกได้ว่าน่ากลัว เราไม่สามารถข่มตาหลับในห้องนอนเวลาเรานอนคนเดียวได้แม้แต่ครั้งเดียว

มีความรู้สึกเหมือนมีคนมองตลอด เวลาเพื่อนที่มานอนที่บ้านเหมือนกัน โดนผีอำทุกราย ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราโดนทุกวัน จนเราชินมาก แต่บางครั้งก็ยังกลัวนะ ตลอดเวลาเกือบสองปีเจอแบบนี้ตลอดเหมือนมีคนอยู่ด้วยทั้งๆๆที่เราอยู่คนเดียว

หมาเราชอบเห่ามุมของห้องนอน (มุมนั้นมุมเดียวจริงๆๆห้องนั้นห้องเดียวด้วยตลอดระยะเวลาเกือบ2ปีมันเห่าทุกวันและต้องเป็นเฉพาะตอนเราอยู่คนเดียว)จนก่อนที่เราจะย้ายออก เรายืนล้างจานอยู่ในครัวซึ่งน่ากลัวมากด้านหลังติดกับห้องครัวเป็นห้องเก็บของที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปคนเดียวนอกจากแฟนเรา

ขณะที่เรายืนล้างจานอยู่เราได้ยินเสียงมีใครเรียกชื่อเราอยู่ตรงข้างหู เราตกใจมากสะดุ้งสุดๆเพราะมันอยู่ข้างหูเราเองสามารถรู้สึกได้แต่เราไม่ได้ขานรับนะจากนั้นมาเราก้อย้ายออก จากนั้นพอเราย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่เรีบยร้อยแฟนเราก็เล่าให้เราฟังว่า…

เค้าเป็นคนไม่เคยเชื่อเรื่องผี เพราะเค้าเป็นต่างชาติ แต่เค้ากลับบอกเราว่า ตลอดเวลาที่เค้าอยู่บ้านหลังนั้น เค้ารู้สึกเหมือนมีคนอื่นอยู่ด้วยนอกเหนือจากเรา เวลาที่เค้าอยู่ในบ้าน รู้สึกถึงสายตาจ้องมองตลอด เค้าบอกว่าไม่อยากเล่าให้เรากลัวหรือไม่สบายใจ ขอยืนยันว่านี่เป็นเรื่องจริงจากที่เจอ หลอนนิดๆๆกันบ้างไหมคะ

Admin

22/03/2022

เฮี้ยนตั้งแต่คืนแรก…เพลงอย่างหลอน

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของคุณบอย คุณบอยเล่าว่าครั้งนึง ป้าของเพื่อนชวนคุณบอยและพวกไปเยี่ยมเยียนกัน เลยพากันไปหาแก บ้านของป้าแกเป็นบ้านเดี่ยวในโครงการบ้านจัดสรร แบบที่ทุกคนคงเคยเห็นกันจนชินตา รอบบริเวณบ้านจะถูกกั้นด้วยรั้วปูน ความสูงประมาณครึ่งตัวคน โดยที่บ้านแต่ละหลังก็จะอยู่ติดๆกัน มีเพียงรั้วที่ว่ากั้น ถัดเข้ามาภายในบ้านก็จะเป็นสนามหญ้าโดยมีตัวบ้านอยู่ตรงกลางของผืนที่ดิน

อย่างไรก็ตาม คุณบอยและเพื่อนๆมาเยี่ยมคุณป้าครั้งนี้ ไม่ได้วางแผนที่จะค้างคืนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเรื่องเล่าจากคุณป้าว่า… ‘เมื่อสามวันก่อน ข้างบ้านติดกันมีคนตาย’ คุณบอยได้ยินก็แทบอยากจะกลับทันที แต่ก็ได้คุณป้าคะยั้นคะยอ ว่าไหนๆก็มาทั้งที อยู่เป็นเพื่อนป้าหน่อย ค้างคืนกันซะที่นี่แหละ

คุณป้ายังเล่าอีก… ได้ยินว่าสามีของคนตายไม่กลับบ้านกลับช่อง ในลักษณะว่ามีเมียน้อย เลยเป็นเหตุให้เธอเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่แต่งงานกันมาได้ไม่นาน ก่อนที่เธอจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยผ้าที่ผูกกับพัดลมเพดาน ป้าแกซึ่งเป็นเพื่อบ้านก็มักเข้าไปปลอบโยนดูแลเธอเสมอเท่าที่จะทำได้ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งจิตใจที่แตกสลายของเธอผู้นั้นไว้ได้ คุณป้ายังจำได้ดี วันที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ มาพาร่างเธอออกจากบ้านในสภาพที่ถูกห่อไว้ในห่อผ้าอย่างมิดชิด ก็อดใจหายไม่ได้

คืนนั้นคุณบอยก็นอนกับเพื่อนอีก 3 คน ในห้องเก็บของบ้านป้าที่ชั้น 1 ถึงจะบอกว่าเป็นห้องเก็บของ แต่ก็ไม่ได้รกอะไร มีที่พอจะให้นอนกันได้อย่างกว้างขวาง กระทั่งกลางดึกไม่แน่ใจว่ากี่โมงกี่ยาม คุณบอยที่ยังไม่หลับ ก็สังเกตเห็นว่าบ้านข้างๆดังกล่าว ซึ่งมืดทึบมาตั้งแต่หัวค่ำ บัดนี้มีไฟสลัวเล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างชั้น 2 คุณบอยนึกได้ว่า บ้านหลังนั้นไม่น่าจะมีคนอยู่ ก็เลยนึกอยากรู้อยากเห็นเข้า เลยแอบดูจากหน้าต่างในห้องเก็บของ

คุณบอยเห็นว่า… มีเงาอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวขยุกขยิกอยู่ แต่ด้วยมุมเงยที่ไม่ชัด เลยขึ้นบันไดบ้านไปชั้นสอง แล้วมองจากหน้าต่างชั้นบน คราวนี้คุณบอยมั่นใจว่า… มีใครบางคนอยู่ในบ้านหลังนั้น เงาใครที่ว่านั่นกำลังเอามือยกขึ้นไปบนหัว ราวกับกำลังขยำศีรษะด้วยความหงุดหงิด หรือโมโหอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเรื่องผีไม่ได้อยู่ในความคิดของคุณบอย นึกไปว่าอาจจะเป็นสามีของเธอที่รู้ข่าว ก็เลยกลับมาจัดการอะไรๆที่บ้านหลังนี้

ระหว่างที่สังเกตการณ์อยู่ ไฟในบ้านหลังนั้นก็มืดทึมลงอีกครั้ง ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิต มันเงียบสงัดราวกับบ้านร้าง พอไฟมืดลงคุณบอยเลยละความสนใจจากไฟที่ลอดหน้าต่าง ไปสังเกตที่รั้วเลื่อนหน้าประตู มีบางสิ่งที่ทำให้คุณบอยผิดสังเกต สิ่งนั้นคือแม่กุญแจที่ล่ามโซ่ล็อคมันไว้อย่างแน่นหนา จนอดคิดไม่ได้ว่า…มีใครอยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆหรือ?

คุณบอยได้แต่เก็บงำความสงสัย แล้วกลับลงไปนอนต่อที่ห้อง ระหว่างที่นอนๆอยู่ ก็สัมผัสได้ว่า… มีใครบางคนอยู่ด้านนอก เสียงเหยีบย่ำลงบนสนามหญ้าที่อยู่ระหว่างกำแพงบ้านกับผนังห้องเก็บของ บวกกับแสงภายนอกที่ส่องเข้ามาในห้องถูกบดบัง แม้ไม่กี่วินาที แต่นั่นหมายความว่า… ใครบางคนเดินผ่านหน้าต่างห้องเก็บของไปไม่ใช่หรือ? เงาที่พาดเข้ามาอยู่บนขอบหน้าต่าง ผ่านไปทางด้านหลังบ้าน แล้วผ่านกลับไปอยู่ทางหน้าบ้าน

คุณบอยลุกขึ้นมาแอบดูอยู่ชิดขอบหน้าต่างอย่างใจจดจ่อ ภาพที่เห็นคือ มีคนอยู่ในเขตบริเวณบ้านของป้าจริงๆ เขาหรือเธอก็ไม่ทราบได้ เพราะถูกคลุมโปงด้วยผ้าผืนยาวสีขาวหม่น ตอนนั้นคุณบอยตกใจมาก เข้าใจว่าเป็นขโมยขึ้นบ้านแน่ๆ บางทีอาจเป็นรายเดียวกับที่ขึ้นบ้านหลังข้างๆ เลยพยายามจะปลุกเพื่อน แต่ก็ไม่มีใครตื่น

จู่ๆก็มีเสียงเพลงลอยแว่วมาตามลม มันเป็นเพลงที่คุณบอยก็ไม่รู้จักมาก่อน แต่ค่ำคืนนั้นมันทำให้คุณบอยจำได้ไม่มีวันลืม…

“โอ้ห้วยแก้วเป็นพยาน สาบานว่าใจจะรักจริง ไม่เปลี่ยนแปลง…”

มันเป็นเพลงที่ขับร้องด้วยเสียงผู้ชาย ฟังจากทำนองและดนตรี เป็นเพลงเก่าคล้ายเพลงลูกกรุง ตามด้วยท่อนที่เป็นเสียงผู้หญิง ในลักษณะเพลงคู่

“ใจยังเกรงจะทิ้ง ลวงล่อ เพียงพะนอนแนบแลล้วงหน่าย…”

ทั้งๆที่เป็นเพลงรัก เนื้อหาหวานซึ้งแท้ๆ แต่คุณบอยกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบที่ได้ฟัง ระหว่างนั้นก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาสอดประสานกับเสียงเพลง

“ฮืออ…ฮือๆๆ…”

เสียงสะอื้นร้องไห้ที่บาดลึก และเหน็บหนาวที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน มันเป็นเสียงสะอื้นที่ดังมาจากทาง ใครบางคนในชุดคลุมสีขาว คุณบอยได้แต่กลืนน้ำลายตัวแข็งทื่อ ทำได้เพียงจ้องมองดูเหตุการณ์ชวนประหลาดดังกล่าว และแล้วเสียงเพลงก็ดับลงกระทันหัน พร้อมๆกับเสียงร้องไห้ ดูเหมือนใครบางคนที่ว่าจะรู้ตัวว่ามีคนแอบมองอยู่ เลยค่อนๆหันมาทางคุณบอยช้าๆ…

คุณบอยถลากลับไปหากลุ่มเพื่อนในห้อง กี่งวิ่งกึ่งคลาน ขดตัวแน่นบนที่นอน กระทั่งเสียงเพลงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับเพลงที่พอสไว้ ถูกกดปุ่มเพลย์ขึ้นอีกครั้ง บทเพลงที่ว่าบรรเลงต่อเนื่องจากรอบแรก แต่ต้นเสียงมันใกล้มาก พร้อมๆกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ที่ดังกว่าเดิม คุฯบอยรู้สึกได้ว่ามันอยู่ใกล้แค่เพียงกำแพงกั้น

คุณบอยใจดีสู้เสืออีกครั้ง ความคาใจมันเอาชนะความกลัวชั่วขณะ เลยไปส่องที่ข้างหน้าต่างอีกครั้ง ภาพที่เห็นทำเอาคุณบอยช็อค ล้มทั้งยืน บุคคลนิรนามที่ว่าเป็นสตรี ที่บัดนี้กำลังนอนอยู่ชิดกำแพงใต้หน้าต่าง ด้วยความที่ใกล้มาก มันทำให้คุณบอยเห็นอย่างชัดเจนว่า… เครื่องนุ่งห่มที่เธอสวมใส่ ไม่ใช่เสื้อผ้าหรือผ้าห่มกันหนาว หากแต่มันเป็นผ้าดิบที่ใช้ห่อศพต่างหาก เธอหันหน้ามาช้าๆ ก่อนจะร้องเพลงต่อบทในท่อนของผู้หญิง ในเพลงที่ชวนขนลุกว่า…

“แม้ใครเลวเลือนลืมคำ… ขอจงจมน้ำวังบัวบาน”

นั่นเป็นภาพและเสียงสุดท้ายที่คุณบอยรับรู้ ก่อนจะสลบเหมือดไปนานเท่าใดไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกทีก็ช่วงสายของวันถัดมา คุณบอยเล่าให้เพื่อนๆ ก็หน้าถอดสีกันยกแก๊ง มีเพียงคุณป้าเท่านั้นที่สงบนิ่งราวกับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับแก

คุณป้าสอบถามถึงรูปพรรณสัณฐานของหญิงคงดังกล่าว ก็บอกกับคุณบอยว่า ความจริงตั้งแต่คืนแรกที่มูลนิธินำร่างของเธอไป คนแถวนี้ก็เจอกันทุกคืน! จนบางหลังก็ย้ายหนีกันไปชั่วคราวแล้ว แม้แต่ป้าแกเองก็เจอ วันดีคืนดีก็เห็นนางไปยืนร้องเพลงที่ว่าอยู่บนหลังคาบ้าน หนักกว่านั้นคือมีบางคนเห็นนางห้อยต่องแต่ง เวลาเดินผ่านบ้านนางกลางคืน

เท่าที่คุณป้าเสวนากับคนในละแวกมา พอจะได้ความว่าผัวเธอหายไปอยู่กับเมียเก็บ ทิ้งให้เธอเหงาอยู่คนเดียว ทั้งๆที่เป็นคนที่เธอรัก คนที่เธอมั่นใจและไว้ใจ หลังแต่งได้ไม่นานก็มาเป็นซะแบบนี้ ส่วนเพลงเจ้าปัญหา ได้ยินมาว่าเป็นเพลงที่เธอร้องคู่กับสามีในงานแต่ง ดังนั้นมันจึงเป็นเพลงที่เธอหวงแหน เป็นเพลงแห่งคำมั่นสัญญาในความรักระหว่างเธอและเขา และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม… เพลงดังกล่าว แม้เป็นเพลงรักหวานชื่น แต่ต้นฉบับก็มีความหลอนในตัว ‘เพลงวิมานรักห้วยแก้ว’ เป็นเพลงที่มีเนื้อหาว่า ใช้น้ำตกห้วยแก้วเป็นสักขีพยานในความรักของคู่หนุ่มสาว หากใครผิดคำสัญญา ก็ขอให้จมน้ำตกแห่งนี้ตาย ต่อให้น้ำจะเหือดแห้งเพียงใด แต่ความรักจะมั่นคงตลอดไป บอกเลยว่า… ต้องลองไปหามาฟังกัน

Admin

27/02/2022

รูมเมทใหม่โชว์กายกรรม โดดระเบียงจากชั้น 5 ใครเห็นก็ว่าตาย…

เรื่องนี้เคยถูกเล่าใน the Shock Story ซึ่งเป็นช่วงหนึ่งในรายการเดอะช็อค ที่นำเรื่องเล่าผีที่แฟนๆรายการส่งเข้ามาทางอีเมล์ เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นอินยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี อินศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมปลาย ม.5 ปัจจุบันได้ย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพแล้ว เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่โรงเรียนเก่าสมัยที่อินยังเรียนอยู่ในโรงเรียนม.ปลายดังกล่าวนั้น เธอพักที่หอพักประจำของนักเรียนหญิง ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณของโรงเรียนเอง ตัวอินนั้นอยู่ที่หอพักหญิงมาตั้งแต่ ม.4 

ก่อนอื่นต้องขออธิบายลักษณะของหอพักแห่งนี้ก่อน หอพักแห่งนี้นั้นจะมีทั้งหมด 3 ตึก ตึกละ 5 ชั้นแต่ไม่ทราบว่าแต่ละชั้นนั้นมีกี่ห้อง และยังแบ่งเป็นหอพักชายเรียกว่าตึก ช1 หอพักหญิงนั้นเรียกว่าตึก ญ1, ญ2 อีก 2 ตึก ซึ่งหอพักนักเรียนหญิงจะมีเยอะกว่า เพราะนักเรียนหญิง
จะนอนพักที่หอพักของโรงเรียนซะเป็นส่วนใหญ่ ช่วงที่อินเข้าเรียนแรกๆนั้นอินได้พักที่ห้อง ญ1 3005 ซึ่งเป็นตึกที่ 2 ตั้งอยู่ระหว่างกลางของตึกทั้ง 3 ตึก ใน 1 ห้องนอนนั้นทาง
โรงเรียนจะจัดให้นักเรียนพักได้แค่ 2 คน เนื่องจากเตียงนอนเป็นเตียงแบบ 2 ชั้น

ในห้องพักของอินนั้นพักอยู่ด้วยกันทั้งหมด 2 คน คืออิน กับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อว่าใหม่ ใหม่เป็นเด็กนักเรียนที่มาจากภาคใต้ ตามคุณพ่อมาทำงานที่จังหวัดนี้ ก็เลยต้องจากบ้านมาไกล อินนั้นได้พักอยู่กับใหม่ตั้งแต่เข้ามาในโรงเรียนเลย ใหม่เป็นคนที่มีสภาพร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงดี หรือเรียกอีกอย่างว่าขี้โรคนั่นเอง เพราะเวลาอากาศเย็นหน่อย ใหม่ก็จะเป็นหวัดเร็วกว่าใครเพื่อน เพราะเหตุนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

 มีคืนหนึ่งระหว่างที่อินกำลังนั่งทำการบ้านที่อาจารย์สั่งมาอยู่นั้น ใหม่ก็อยู่ในห้องด้วยแต่ว่าใหม่เขานอนอยู่บนเตียงซึ่งอยู่ชั้นบน ส่วนอินนั้นนอนที่เตียงชั้นล่าง ระหว่างที่อินกำลังนั่งทำการบ้านอยู่นั้นใหม่ก็เริ่มที่จะไอ ค่อกแค่ก ค่อกแค่ก ไอเป็นระยะๆ จนกระทั่งใหม่นั้นไอแรงขึ้นๆ อินก็ลุกขึ้นมาดู เห็นว่าอาการไม่น่าจะดีแล้ว รีบพาเพื่อนไปหาอาจารย์ก่อนจะดีกว่า เวลาในขณะนั้นประมาณทุ่มครึ่ง อาจารย์ที่นอนพักอยู่บริเวณชั้น 1 ก็ยังไม่ได้เข้านอน อินก็เลยรีบไปตามอาจารย์มาดูอาการของใหม่ 

เนื่องจากบริเวณคอของใหม่นั้นแดงมาก เป็นผื่นสีแดงขึ้นเต็มคอไปหมด อาจารย์จึงตัดสินใจโทรศัพท์ติดต่อคุณพ่อของใหม่ เพื่อที่จะพาน้องไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด พอพ่อมารับก็ได้ส่งไปโรงพยาบาลโดยด่วน อาจารย์กับอินกลับไปดูในห้องพัก เห็นสีที่ผนังและบริเวณเพดานนั้นสีหลุดออกมาหมดแล้วทำให้มีฝุ่น อาจารย์ก็เลยบอกว่า “ถ้าขืนอินยังอยู่ห้องนี้ต่อก็คงมีอาการแบบเดียวกับใหม่แน่นอน” อาจารย์จึงออกความเห็นว่าให้อินนั้นเก็บข้าวของ ไปนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ที่ตึก ญ2 นั่นเอง เนื่องจากตึกนั้นยังคงมีห้องว่างอยู่พอสมควร

ผ่านไปซักประมาณครึ่งชั่วโมงได้ อินก็เก็บข้าวของใกล้จะเสร็จแล้ว อาจารย์ก็เดินกลับมา
พร้อมกับกุญแจห้องที่ตึกใหม่ อาจารย์ยื่นกุญแจให้กับอินแล้วก็บอกกับอินว่า “เอากุญแจนี้ไป แล้วเดินไปที่ตึกใหม่ เข้าไปหาอาจารย์ที่ดูแลตึกนั้น แล้วบอกให้อาจารย์พาไปที่ห้อง คืนนี้เธอคงต้องนอนพักที่ตึกนั้นคนเดียวไปก่อน ได้เรื่องยังไงแล้วค่อยตกลงกันอีกที” พอพูดจบ
อาจารย์ก็รีบตรงไปโรงพยาบาล ตอนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม อินพอเก็บข้าวของเสร็จก็เดินไปที่ตึก ญ2 พอไปถึงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับอาจารย์ผู้ดูแลตึกได้ฟัง อาจารย์ผู้ดูแลนั้นพอรับเรื่องทั้งหมดแล้วก็หากุญแจ แล้วก็เตรียมตัวจะพาอินนั้นขึ้นไปพักที่ห้องหมายเลข ญ2 5016 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคาร

อินบอกกับอาจารย์ที่ดูแลหอว่าให้อาจารย์ลงไปก่อนเลยก็ได้ อินสามารถเดินไปที่ห้องคนเดียวได้ อาจารย์จึงบอกว่า “ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรก็ลงมาตามอาจารย์ได้ตลอดเวลานะ” จากนั้นอินก็เดินมุ่งหน้าขึ้นสู่ชั้นบน พอไปถึงหน้าห้อง อินก็ได้เห็นสิ่งผิดปกติทันที นั่นก็คือ ที่หน้าประตูของห้องพักนั้นมีผ้ายันต์อะไรสักอย่างสีแดงๆแปะเอาไว้หน้าห้อง แล้วบริเวณหน้าห้องนั้นยังมีถาดอาหาร แก้วน้ำ ขนม วางเอาไว้เยื้องๆกับประตูหน้าห้อง อินก็คิดในใจ สงสัยเจ้าของเก่าเค้าอาจจะเป็นคนกลัวผีหรือมีความเชื่ออะไรสักอย่าง อินก็เอากุญแจไขไปที่ลูกบิดของประตูเพียงแต่ว่าประตูมันไม่เปิดออก แต่ว่าลูกบิดนั้นสามารถหมุนได้ เหมือนกับว่า
ประตูห้องถูกล็อคด้วยกลอนจากด้านใน

อินก็เริ่มที่จะแปลกใจ เนื่องจากอาจารย์ผู้ดูแลตึกเก่าบอกว่าจะให้ไปนอนที่ห้องว่าง แต่นี่ลักษณะเหมือนกับว่ามีคนอยู่ล็อคกลอนจากด้านใน อินก้มลงมองดูที่กุญแจหมายเลขนั้น ก็ตรงกับหมายเลขที่ประตู ตอนนั้นอินคิดว่าที่นี่น่าจะมีคนย้ายเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว โดยที่อาจารย์ผู้ดูแลตึกเก่าไม่ทราบ คิดเอาว่าเดี๋ยวลงไปหาอาจารย์ที่ดูแลตึกนี้แล้วขอห้องใหม่จะดีกว่า พออินหันหลังกลับกำลังจะถอยออกจากห้องนั้น ก็ได้ยินเสียงไขกลอนดัง แกร๊ก แล้วก็มีคนเปิดประตูออกมา คนที่ว่านั้นเป็นผู้หญิง เธอเรียกอินแล้วถามว่า “เธอๆ ไขประตูห้องเราทำไม”

อินก็เลยเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟังว่าต้องมาพักชั่วคราวที่ตึกนี้แต่ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ก่อนแล้ว เดี๋ยวจะลงไปหาอาจารย์ขอเปลี่ยนห้องใหม่ แต่ว่าผู้หญิงเจ้าของห้องนั้นก็บอกว่า “เอาอย่างนี้ ไม่เป็นไรหรอก มาพักกับเราก็ได้ เพราะว่าเราก็พักอยู่คนเดียว” อินก็เลยตอบตกลงทันที เพราะว่าไม่อยากไปกวนอาจารย์อีกครั้ง แล้วอินก็ค่อยๆย้ายของเข้าไปในห้องห้องนั้น ระหว่างที่ย้ายของอยู่นั้นอินก็ได้แนะนำตัว แล้วก็ถามชื่อของเจ้าของห้องว่าเธอชื่ออะไร เจ้าของห้องนั้นบอกว่าเธอชื่อน้ำ ระหว่างที่กำลังเก็บ ข้าวของอยู่นั้นทั้งสองคนก็คุยกันไปเรื่อยๆ เลยทราบว่าน้ำนั้นเรียนอยู่ชั้น ม.6 

พออินจัดข้าวของเสร็จ จัดที่นอนเสร็จ ก็เลยถามกับน้องน้ำว่า “จะเข้านอนหรือยัง อินขอทำการบ้านต่ออีกหน่อยได้ไหม เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องส่ง” น้ำก็บอกว่า

“เอาเลย ตามสบาย คืนนี้…น้ำไม่นอนหรอก”

อินก็งง ทำไมตอบแบบนั้น น้ำนั้นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผิวขาว หน้าตาดี ผมยาวถึงบ่า น้ำเป็นคนสวยมาก แต่ว่าเวลาที่น้ำพูดนั้นเสียงของเธอจะฟังดูเยียบเย็น พูดแบบเหมือนกับเสียงนั้นไม่ได้ออกมาจากปาก เหมือนกับมันก้องอยู่ในลำคอ เวลาผ่านไปสักครู่อินก็ทำการบ้านจนเสร็จ ซึ่งในระหว่างนั้นน้ำก็นั่งอยู่ที่เตียงข้างๆ เวลาในขณะนั้นเข้าสู่ช่วง 4 ทุ่มแล้ว อินทำการบ้านเสร็จก็หันไปมองน้ำ เธอก็ยังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ อินเลยบอกว่า “น้ำงั้นขอตัวนอนก่อนนะ” น้ำก็บอกให้อินนอนก่อนได้เลย ส่วนตัวเธอเองขอคุยกับแฟนก่อน อินก็เลยล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า

หลับไปได้สักพักหนึ่งก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้น เนื่องจากเสียงโทรศัพท์ของน้ำนั้นดังขึ้น ก็เลยได้ยินเสียงของน้ำรับโทรศัพท์ เดินออกไปคุยที่นอกระเบียง น่าจะคุยกับแฟนของเธอเอง เวลาก็ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็เริ่มที่จะดังขึ้นเหมือนกับว่าทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน จับใครความได้
บางส่วนว่าน้ำนั้นน่าจะกำลังท้องอยู่ อินก็ไม่ได้สนใจอะไรเนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว อินกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นแล้วก็ได้ยินเสียงน้ำเปิดประตูระเบียงเดินเข้ามา เธอกำลังร้องไห้ น้ำมายืนอยู่เบื้องหน้าของอินพร้อมกับร้องไห้หนักมาก เธอพูดออกมาเบาๆว่า

“เดี๋ยวเรามานะ…เพื่อนใหม่”

หลังจบประโยค…น้ำก็เดินไปเปิดประตูระเบียง แล้วเธอก็กระโดดลงไปจากชั้น 5 ทันที ตอนนั้นอินตกใจจนตื่น ถึงกับช็อค งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก นั่งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้แป๊บเดียวเท่านั้น พอรู้สึกตัวก็รีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อจะบอกอาจารย์ว่าเพื่อนร่วมห้องกระโดดลงไป อินกำลังวิ่งลงไปจนกระทั่งกำลังจะถึงชั้น 1 อินก็ต้องหยุดวิ่งเพราะสิ่งที่อินเห็นนั้นก็คือ น้ำ…ที่เมื่อสักครู่นี้ทิ้งตัวลงไปจากระเบียงชั้น 5 กำลังเดินสวนขึ้นมา ทั้งตัวนั้นอาบไปด้วยสีแดงฉาน น้ำแหงนหน้าขึ้นมามองอินจากบันไดทางขึ้น แล้วก็พูดกับอินว่า

“จะไปไหน! กูบอกว่าเดี๋ยวกลับไปไง” 

แค่นั้นเองอินรู้แล้วว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร อินทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าแล้วก็ร้องกรี๊ดเสียงดังมาก เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ จากความรู้สึกของอินนั้นรู้สึกว่ามันยาวนานมาก  อินมารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่ออาจารย์วิ่งมาเขย่าตัวของอิน และคนที่อยู่ในหอก็ออกมามุงดูกันเยอะแยะไปหมด ตอนนั้นอินไม่มีสติพอที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ใครฟังได้เลย แล้วอาจารย์ก็พาอินไปนอนพักที่ห้องของอาจารย์ก่อน พอสติกลับมาทั้งหมด อินก็เลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับอาจารย์ฟัง อาจารย์ก็ยังถามอีกว่าอินนั้นได้ไปอยู่ที่ห้องไหน อินตอบกลับไปว่าห้อง 
5016 อาจารย์จึงถามอีกครั้งว่า “แน่ใจนะ” อินบอกว่า “แน่ใจ เพราะเป็นห้องที่มีผ้ายันต์แปะอยู่หน้าประตู” อาจารย์ได้ยินแบบนั้นก็มีสีหน้าตกใจมาก บอกกับอินว่า “ห้องนั้นมันห้อง 5017 ไม่ใช่ 5016”

อินตกใจแล้วก็บอกว่าแน่ใจ เนื่องจากก้มลงมองตัวเลขที่กุญแจ พร้อมกับมองตัวเลขที่ประตู อาจารย์ผู้ดูแลเธอก็เลยถามว่า “มันใช่ห้องที่มีกับข้าว น้ำ ขนม วางอยู่เยื้องๆหน้าห้องใช่ไหม” อินตอบไปว่าใช่ อาจารย์ก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่า “กับข้าวและน้ำพวกนั้นอาจารย์เอาไปวางไว้ทุกวันเอง เนื่องจากเคยมีนักเรียนที่เคยอาศัยอยู่ในห้องนี้ได้โดดตึกเสียไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว” พูดจบอาจารย์ก็เดินไปค้นเอกสารในห้องแล้วมาให้อินดู รูปนั้นก็คือรูปของน้ำ คนเดียวกันแน่นอน เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงเพียงเท่านี้…

Admin

22/02/2022

ห้องแลปหลอน…มหา’ลัยดังในชลบุรี

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของ ‘คุณแบงค์’ ซึ่งเคยเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง นำประสบการณ์เรื่องราวของตัวเอง มาเล่าผ่านรายการ ‘อังคารคลุมโปง’ ทาง EFM94 เป็นเหตุการณ์สมัยที่เขาอยู่ทำแลปตั้งแต่ดึกดื่นยันฟ้าสาง ในตึกที่มีประวัติเรื่องเล่าจากรุ่นพี่ว่า…ระวังจะ ‘ได้เจอ’ อะไรเข้า

คุณแบงค์เคยเป็นนักศึกษาปี 4 คณะวิทยาศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ในช่วงนั้นคุณแบงค์มีโปรเจคต์จบการศึกษาที่ต้องทำ ข้ามวันข้ามคืนนานนับสัปดาห์ แม้ว่าโปรแกรมชีวิตของนักศึกษาภาควิชานี้จะสาหัสแค่ไหน แต่มันก็คงไม่มากไปกว่า…การที่คุณแบงค์ต้องเข้าไปทำแลปบนตึกนั่น

ในหมู่ตึกหลายตึกของคณะวิทยาศาสตร์ ตึกที่จะกล่าวถึงต่อไป เป็นตึกของคณะที่เก่าแก่ที่สุด อาจจะอยู่มานานพอๆกับมหาวิทยาลัยเลยก็เป็นได้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตึกหลังนี้อยู่มากมาย เป็นเรื่องที่เล่ากันมาปากต่อปาก อย่างไรก็ตามในฐานะคนที่เรียนวิทยาศาสตร์ คุณแบงค์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องกลัวอะไร แม้ก่อนหน้าที่จะเข้าไปใช้ชีวิตข้ามคืนในตึกนั้น จะมีเพื่อน มีรุ่นพี่ทัก ว่า ‘ระวังจะได้เจอล่ะ’ ก็ตาม สำหรับนักศึกษาทั่วไปแล้ว การไม่ได้จบการศึกษาตามเวลาที่ควรจะเป็นต่างหาก ที่หวั่นเกรง

คืนนั้นคุณแบงค์ขึ้นตึกไปที่ชั้นสาม ออกจากลิฟต์มาทางซ้าย จะเป็นทางเดินยาวรูปตัว T ห้องแลปที่คุณแบงค์ต้แงใช้ในค่ำคืนนี้ อยู่ข้างๆกับลิฟต์พอดี เนื่องจากตึกแห่งนี้สร้างมานานมาก ห้องหับจึงไม่ได้ใหม่นัก กระทั่งกระจกก็ยังเป็นบานเกล็ดธรรมดา คุณแบงค์นั่งที่โต๊ะซึ่งห่างจากประตูห้องและบานเกล็ดที่ว่าราว 3 ก้าวเท่านั้น บนโต๊ะมีกล้องจุลทรรศน์กับขวดแก้วบีกเกอร์ที่ใส่สารละลายอยู่

ระหว่างที่คุณแบงค์นั่งส่องตัวอย่างในเพลทกระจกบนกล้องจุลทรรศน์ มีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาทำลายสมาธิอย่างเงียบๆ คุณแบงค์เห็นผ่านหางตาอีกอีกข้าง ว่ามีใครบางคนเดินผ่านประตูห้องไปทางบานเกล็ด แล้วหยุดยืนส่องเข้ามาในห้อง แต่พอคุณแบงค์หันไปดู เงาตะคุ่มนั่นก็ผลุดนั่งหายลับลงไปในผนังใต้บานเกล็ด คุณแบงค์ลุกจากเก้าอี้ออกไปดูด้านนอก ก็ไม่พบใคร ก็ทั่งมีรอบที่ 2 เลยคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนมาแกล้งเล่น เพราะห้องแลปด้านข้าง มีเพื่อนอีกคนทำแลปอยู่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มันมีครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 โดยเฉพาะครั้งที่ 4 คุณแบงค์ไม่ได้กลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยซ้ำ แต่ยืนรอจังหวะเปิดประตูกะว่าจะจับให้ได้คาหนังคาเขา แต่ปรากฏว่าก็ไม่เคยทันที่จะเห็นเจ้าขอเงาตะคุ่มนั่นสักครั้ง มันหายไปอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย ในค่ำคืนที่เงียบเชียบแบบนี้ คุณแบงค์นึกถึงเรื่องที่เพื่อนๆ หรือแม้แต่รุ่นพี่เคยเตือนก่อนหน้า แล้วก็รู้สึกโมโหอยู่ในใจ

“ไอซั๊สส ถ้าเมิงมีจริง ก็เลื่อนบีกเกอร์บนโต๊ะให้ดูหน่อยดิ๊!”

ไม่ทันให้คุณแบค์ได้รอนาน จู่ๆ บีกเกอร์บนโต๊ะข้างกล้องจุลทรรศน์ก็ขยับ ‘กลุก…กลัก’ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นไปปัดมัน จนสารละลายในนั้นกระฉอกออกมาเลอะเป็นหย่อมๆบนโต๊ะ คุณแบงค์ตรงไปนั่งทำแลปต่อเงียบๆทันที เพราะสัมผัสได้ว่า… มีโทสะเจือปนอยู่ใน ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เค้าเล่าขานกันซะแล้ว ยังดีว่าตอนนั้นก็รุ่งเช้าพอดี เกือบ 6 โมง ฟ้าสางแล้ว

อย่างไรก็ตาม เรื่องในวันนั้นก็ถูกเก็บอยู่ในใจคุณแบงค์เรื่อยมา โดยไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ถัดจากวันนั้นมาสองสัปดาห์ คุณแบงค์ต้องไปทำแลปที่ตึกเดิมแต่เช้า หากว่าคราวนี้เป็นชั้นหนึ่ง ห้องนี้เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยที่เลี้ยงสาหร่ายไว้ในตู้กระจก คุณแบงค์เข้าไปเพื่อจะเก็บตัวอย่างมาทำการวิจัย ห้องที่ว่าจะมีลักษณะเฉพาะอยู่ คือเป็นห้องซ้อนห้อง เปิดประตูเข้าไปบานแรก จะเป็นโถงที่มีโต๊ะแลปยาว 2 โต๊ะติดกัน ทางด้านซ้ายของห้องนั้นจะมีประตูเพื่อเข้าไปสู่ห้องเรียนเลคเชอร์

ขณะที่คุณแบงค์แง้มประตู้เพื่อจะเข้าไปในห้องเลคเชอร์ เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างที่ไม่ควรมีในห้อง ตรงโต๊ะสำหรับอาจารย์หน้าห้อง มีผู้หญิงในชุดกราวด์สีขาวตัวยาว นั่งหันข้างให้เขาอยู่ ทั้งๆที่คุณแบงค์พึ่งจะ ‘ไขประตู’ ด้วยกุญแจเข้ามาเป็นคนแรกของวัน ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองไปทางประตูอีกบานที่อยู่สุดห้องนั้น ซึ่งด้านในเป็นห้องเล็กๆที่มีตู้กระจกเลี้ยงสาหร่าย ซึ่งเป็นเป้าหมายของคุณแบงค์

ทันใดนั้นเอง ผู้หญิงที่ว่าก็ผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะซอยเท้าสวบๆที่สวมรองเท้าคัทชูสีดำเป็นมัน ตรงไปที่ประตูห้องด้านใน แต่แทนที่หยุดเปิดประตู เธอกลับพุ่งทะลุหายเข้าไปในประตูนั้น คุณแบงค์ที่ยืนดูอยู่ห่างๆก็อดหวั่นไม่ได้ ถ้าหากว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเค้า ซึ่งเป็นเวรต้องมาจดบันทึกข้อมูลของตัวอย่างทดลองในห้องนี้ ซึ่งมีเพื่อนร่วมชั้นจำเป็นต้องใช้ข้อมูลชุดนี้รออยู่เช่นกัน เขาคงถอยหลังกลับไปแล้ว

คุณแบงค์ทำใจดีสู้เสือ เปิดประตูห้องด้านในเข้าไปโดยไม่คิดจะงับประตู บรรยากาศวังเวงกว่าที่เคย ในห้องเล็กๆที่มีตู้ปลาซึ่งใส่สาหร่ายไว้แทน กำลังร้องดัง ‘ปุดๆๆ’ จากเครื่องเพิ่มออกซิเจน ไฟสลัว และความหนาวเย็นจากแอร์ที่เปิดทิ้งไว้รักษาอุณหภูมิ มันเพิ่มความไม่ชอบมาพากลไปเป็นเท่าตัว

ระหว่างนั้นคุณแบงค์วัดค่าจากตัวอย่างไปพลาง บันทึกลงในเอกสารไปพราง ขณะที่กำลังจะเอามือถือเก็บใส่ในกระเป๋ากางเกง ดันทำร่วงลงพื้น ตอนที่ก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา คุณแบงค์เห็นขาเจ้าของรองเท้าคัตชูสีดำมัน …มายืนชิดอยู่ด้านหลังของเขา ผ่านทางใต้ท้องแขน ราวกับกำลังมาสอดแนมอย่างอยากรู้อยากเห็น พอดูจนพอใจ ขาคู่ที่ว่าก็ก้าวสวบๆออกจากห้องไป คุณแบงค์รีบวิ่งออกจากห้องทั้งหมด ก่อนจะล็อคกุญแจทันที เรื่องนี้คุณแบงค์เล่าให้เพื่อน รุ่นพี่ หรือแม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาฟัง อาจารย์ก็ปลอบอย่างใจดีว่า ‘ไม่มีอะไรหรอก รุ่นพี่ในแลปเค้ามาดู ว่าเธอบันทึกข้อมูลมาถูกรึเปล่า’

หลังจากที่เรื่องของคุณแบงค์รับทราบกันในวงกว้าง ก็มีกันพูดกันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่ศึกษาที่นั่น แล้วเกิดหัวใจวาย แม้จะไม่ได้เสียในตึกนั้นก็ตาม แต่ด้วยความที่รักการทำแลปเป็นชีวิตจิตใจ สมัยยังมีชีวิตก็คลุกคลีในตึกนี้ จนแทบจะนอนในห้องแลปมากกว่าในหอด้วยซ้ำ เลยเกิดเป็นความผูกพันกับที่แห่งนี้ พอมีคนมาถาม ว่าผู้หญิงที่คุณแบงค์เจอ รูปร่างหน้าตา ทรงผม ประมาณนั้นนี้หรือเปล่า? ปรากฏว่าก็ตรงกันกับที่เคยมีคนอื่นๆเห็น จนคุณแบงค์ก็อดคิดย้อนกลับไปไม่ได้ว่า ถ้ามันจะขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครบอกกันก่อนเลย!

เหตุการณ์แปลกๆที่คนอื่นพบเจอก็เช่นว่า ลิฟต์ของตึกหลังนี้จะมีความผิดปกติอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ว่าคุณจะกดไปที่ชั้นในก็ตาม มันมักจะไปหยุดที่ ‘ชั้นสาม’ ก่อน แม้จะไม่มีใครกดก็ตาม หรือบางครั้งลิฟต์ตัวนี้จะขึ้นข้อความ ‘Overloaded’ เพื่อเตือนว่าลิฟต์กำลังบรรทุกเกินน้ำหนัก แม้จะมีอยู่ไม่กี่คนในลิฟต์ก็ตาม แต่เรื่องที่หนักที่สุดคงจะเป็นเรื่องของน้ายาม…

น้ายามคนนี้เฝ้าอยู่ตึกที่ว่า แกจะนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าลิฟต์ชั้นหนึ่ง มีแยู่ช่วงนึงที่คุณแบงค์ไม่เจอแกเลยนานหลายสัปดาห์ กระทั่งบังเอิญเจอกันที่อื่นในมหาวิทยาลัย ด้วยความคุ้นเคยคุณแบงค์เลยเข้าไปทักทาย …ว่าน้าไปไหนมา ช่วงนี้ไม่เห็นเลย น้ายามก็ตอบกลับมาว่าผมลาออกแล้วครับ คุรแบงค์ก็อดประหลาดใจไม่ได้ เลยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ถ้าผมเล่าไปแล้ว จะไปทำให้กลัวรึเปล่า”

เกริ่นกันมาขนาดนี้ คุณแบงค์ไม่ล้อช้าที่จะคะยั้นคะยอให้น้าแกเล่าให้ฟังอยู่แล้ว น้ายามแกเล่าว่า ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยเงียบลงมาก แต่แน่นอนว่าแกยังต้องมาเฝ้าตึกทุกวัน วันนั้นเองแกก็มั่นใจว่า ไม่มีใครอยู่ในตึกแน่นอน กระทั้งเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านทางเดินรูปตัว T บนชั้นสาม ผ่านทางจอของกล้องวงจรปิด

“อ้าว มีขโมยขึ้นตึกเหรอครับน้า” คุณแบงค์ไม่ได้เอะใจในทีแรก

“มันจะไม่แปลกหรอกครับ ถ้าผู้หญิงคนนั้น…เดินอยู่บนพื้น”

ประโยคนี้ทำเอาคุณแบงค์เหมือนเดินสะดุดหินก้อนใหญ่…

ผู้หญิงคนที่ว่านั่น ไม่ได้บนพื้น แต่เดินห้อยหัวอยู่บนเพดานไปตามทางเดินของชั้นสาม ศีรษะของเธอผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ด้านบนไปที่ละตัวๆ สิ่งที่น้ายามเห็นในจอกล้องวงจรปิดคือ เธอผ่านกล้องไปตามชั้นต่างๆอย่างรวดเร็ว… จากชั้น 3 มาชั้น 2 และมาชั้น 1… ชั้นที่น้ายามกำลังนั่งอยู่ตามลำพังนั่นเอง น้ายามไม่รอให้ภาพสุดท้ายที่คิดในหัวปรากฎขึ้นบนจอ เพราะรีบวิ่งออกมาอย่างเร็วที่สุด เรื่องเล่าก็มีเพียงเท่านี้…

Admin

21/02/2022

ถูกผีตามราวี…เธอให้ผมหาผัวที่หนีไปมาพบ

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านเช่าที่อยู่แถวๆย่านสามเสนเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อตอนนั้น คุณแบงค์อายุ 25 ได้ทำงานเป็นครีเอทีฟอยู่บริษัทแถวๆนั้น คุณแบงค์นั้นพักอยู่ซอยระนอง 1 และก็มีรุ่นน้องอีกคนนึงอยู่ซอยระนอง 2 แล้วอยู่ๆเขาก็ได้ไปเช่าบ้านเช่า 2ชั้นหลังนึง แต่เขาจะแบ่งให้เช่าแยกกันระหว่างชั้นบนกับชั้นล่าง รุ่นน้องคุณแบงค์ได้ห้องเช่าข้างบน แต่พอรุ่นน้องเข้าไปอยู่ได้ 4 วัน เขาก็ย้ายออก และพอกลางดึกรุ่นน้องคนนี้ก็โทรมาหาคุณแบงค์และบอกว่า พี่แบงค์ว่างเปล่า คุณแบงค์ก็ตอบไปว่า ว่างดิ รุ่นน้องก็บอกต่อว่า พี่ ไปเฝ้าของให้คืนนึงสิ คุณแบงค์ก็ถามว่าทำไม รุ่นน้องก็บอกว่า อ๋อ ผมได้หอใหม่ ดีกว่าที่เดิม ก็กะว่าจะย้าย คุณแบงค์ก็บอกว่า ได้ๆๆ เดี๋ยวพี่ไปเฝ้าให้ แล้วรุ่นน้องก็บอกต่ออีกว่า พี่พาใครก็ได้มาเป็นเพื่อนซักคนนะ กันพลาด คุณแบงค์ก็คิดว่าจะกันพลาดทำไม คุณแบงค์ก็เลยบอกว่า ไม่ต้องหรอก แต่รุ่นน้องก็ยังย้ำอยู่ว่า พี่ พามาเถอะ คุณแบงค์ก็เลยโทรชวนรุ่นน้องอีกคนนึงชื่อว่า ไฮน์ ไฮน์ก็ตกลงที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแบงค์

คุณแบงค์ก็นัดเจอกับไฮน์ที่ซอยระนอง 2 พอมาถึงที่บ้านก็เป็นเหมือนทาวเฮ้าท์ไม้ 2 ชั้น สภาพบ้านถือว่าดูดี ตอนเดินเข้าไปก็เจอลุงยามคนนึง แกเปิดประตูออกจากห้องมา พอเขาเห็นพวกคุณแบงค์เขาก็ดูแปลกๆ แล้วก็ค่อยเดินออกไป ตอนนั้นคุณแบงค์ก็คิดว่า เขาคงสงสัยหละมั๊งว่าเราเป็นใคร ทีนี้คุณแบงค์กับไฮน์ก็ขึ้นไปบนห้อง แล้วไฮน์ก็บอกคุณแบงค์ว่า พี่ผมขอไปอาบน้ำก่อนนะ ซึ่งห้องน้ำจะอยู่นอกห้องนอน คุณแบงค์ก็บอกว่า ได้ แล้วคุณแบงค์ก็นั่งทำงานอยู่บนที่นอน

ซักแปปนึงก็ได้ยินเสียงไฮน์ออกจากห้องน้ำและเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วไฮน์ก็เรียก พี่แบงค์ คุณแบงค์ก็เงียบไม่ได้พูดอะไร ไฮน์ก็เรียกอีกด้วยเสียงสั่นๆว่า พี่แบงค์ จนครั้งที่ 3 คราวนี้เสียงเรียกของไฮน์เหมือนคนจะร้องไห้ ทีนี้คุณแบงค์ก็ลุกขึ้นมาถามว่า ไฮน์เป็นอะไร แล้วไฮน์ก็เรียกอีกครั้งแบบว่าไม่ไหวแล้วว่า พี่แบงค์ครับ คุณแบงค์ก็ถามไฮน์ว่า ไม่สบาย หรือหนาวหรือเปล่า ไฮน์ก็บอกว่า พี่ผมทะเลาะกับแฟนอ่ะ ผมไปหาแฟนก่อนนะ คุณแบงค์ก็บอกว่าไปว่า อ้าว มีเรื่องกันหรอ ไปๆๆๆ ไฮน์ก็บอกกับคุณแบงค์ว่า พี่แบงค์อยู่ได้นะพี่ คุณแบงค์ก็บอกว่า อยู่ได้ แต่ไฮน์ก็พยายามพูดในทำนองว่า พี่ไปกับผมดีกว่านะ

คุณแบงค์ก็บอกว่า ไม่เป็นไร นายทะเลาะกับแฟน ก็ไปเคลียร์กับแฟนให้รู้เรื่อง ไม่ต้องเกรงใจพี่ ไฮน์ก็ยังบอกอีกว่า พี่ ไปเถอะ แต่คุณแบงค์ก็บอกให้ไฮน์รีบไป เพราะแฟนของไฮน์เป็นคนที่อารมณ์ร้ายมาก ไฮน์ก็เลยยกมือไหว้แล้วก็พูดว่า ผมขอโทษนะ แล้วก็เก็บของทุกอย่างหมดเลย คุณแบงค์ก็เลยถามว่า จะไม่กลับมาละหรอ ไฮน์ก็บอกว่า ไม่กลับมาแล้วพี่ ผมคงไปนอนค้างนู่นเลย คงเคลียร์กันยาว

หลังจากนั้นพอไฮน์เปิดประตูออกไป คุณแบงค์ก็ได้ยินเสียงไฮน์วิ่งลงไปจากบันไดเร็วมาก ซึ่งตามปกติ ไฮน์จะเป็นคนที่เชื่องช้ามาก แล้วบ้านของไฮน์ค่อนข้างมีฐานะ พ่อแม่ก็ซื้อมอเตอร์ไซด์ DUCATI ให้ แต่ว่าไฮน์เป็นคนที่ขับ DUCATI ช้ามาก แต่คืนวันนั้นคุณแบงค์ได้ยินเสียงไฮน์บิดมอไซด์แล้วก็หายไปเลย คุณแบงค์ก็คิดว่าสงสัยจะทะเลาะกันแรง ถึงรีบขนาดนี้

คุณแบงค์ก็เลยทำงานต่อ แล้วคุณแบงค์เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเปิดแอร์ ก็เลยเปิดแค่พัดลมธรรมดา แล้วซักพักพัดลมก็หยุดเองแต่ด้วยความที่คุณแบงค์ไม่เชื่อเรื่องผี คิดว่าพัดลมมันเก่า คุณแบงค์ก็ไม่ได้สนใจอะไร แล้วซักพักคุณแบงค์ก็เข้านอน แต่พอนอนอยู่ ตัวขยับไม่ได้ ตาลืมไม่ได้ เหมือนโดนผีอำ แต่คุณแบงค์ก็คิดว่าพักผ่อนน้อย หรือนอนทับเส้นหรือเปล่า และนอนแปลกที่ด้วย ซักแปปนึง คุณแบงค์ก็ขยับตัวได้ ก็ลุกขึ้นมานั่งมองซ้ายมองขวาก็ไม่มีอะไร

แต่พอนอนต่อ คราวนี้มันหนักกว่าเดิม โดยที่ตัวคุณแบงค์ขยับไม่ได้ แต่ตาลืมได้ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงพูดข้างๆหูว่า ต้องให้กูทำยังไง มึงถึงจะยอมออกไปจากบ้านกู ต้องให้กูออกไปให้มึงเห็นใช่มั๊ย แล้วบนฝ้าของบ้านก็เหมือนมีเสียงคนเดินอยู่ข้างบนฝ้า เดินมาจากด้านหลังเดินมาตรงด้านหน้าประตู ซึ่งด้านหน้าประตูก็จะมีฝ้าที่แตกอยู่ช่องนึง พอที่จะมีคนโดดลงมาได้

คุณแบงค์ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็เลยคว้าทุกอย่างที่คว้าออกมาได้ แล้วก็วิ่งออกจากห้องไป ขึ้นมอเตอร์ไซด์เรียบร้อย โดยที่ไม่สนว่าห้องรุ่นน้องจะโดนงัดแงะหรืออะไร ระหว่างที่คุณแบงค์กำลังจะสตาร์ทเครื่อง คุณแบงค์ก็เงยหน้าขึ้นไปดูที่บนบ้าน ปรากฏว่า เห็นผู้หญิงธรรมดาคนนึง แต่หน้าเขาจะคล้ำๆกว่าปกติ ใส่เสื้อยีนส์ กางเกงยีนส์ขายาว นั่งอยู่บนขอบระเบียงและชี้นิ้วลงมา เหมือนว่าโกรธมาก ตอนนั้นคุณแบงค์ทำอะไรไม่ถูก ขับมอไซด์ไม่เป็น คุณแบงค์ใช้เข็นจากซอยระนอง 2 มาซอยระนอง 1 กลับมาบ้านตัวเอง จะเข้าห้องก็ไม่กล้า วินาทีนั้นคือกลัวทุกอย่าง เอามอเตอร์ไซด์จอดฝากยามไว้ แล้วก็หิ้วของที่มีกลับบ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร

คุณแบงค์ก็ไปเรียกแท็กซี่ แท็กซี่ก็ยอมให้คุณแบงค์ขึ้นมา แล้วเขาก็เห็นว่าคุณแบงค์ดูท่าทางผิดปกติ เขาก็เลยถามว่า น้องมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า คุณแบงค์ก็บอกว่า ขอเปิดไฟนะ ไม่ไหวจริงๆ ผมกลัว เขาก็เปิดไฟให้ พอคุณแบงค์สงบสติอารมณ์ได้แล้ว คนแรกที่คุณแบงค์โทรหาเลยก็คือ ไฮน์ ว่าไฮน์เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า เจออะไรบ้างหรือเปล่า พอโทรไป คำแรกที่ไฮน์พูดก็คือ พี่ผมขอโทษ คุณแบงค์ก็ถามว่า ไฮน์เจอหรอ ไฮน์ก็ตอบว่า ครับพี่ ผมเจอ แล้วไฮน์ก็เล่าให้ฟังว่า

ตอนที่ออกจากห้องน้ำมา พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นว่าคุณแบงค์นอนทำงานอยู่ และก็เห็นว่าข้างๆตัวก็มีผู้หญิงนั่งอยู่ตรงขอบๆที่นอน แล้วก็ชะโงกหน้ามองคุณแบงค์ พอไฮน์เห็นก็ตกใจ ทีแรกก็คิดว่า คุณแบงค์พาแฟนมาหรือเปล่า แต่ว่าถ้าพามาพร้อมกันก็ต้องเห็นตั้งแต่แรกแล้วสิ แล้วไฮน์ก็ถามคุณแบงค์ว่า ที่พี่เจอคือ เสื้อยีนส์กางเกงยีนน์ขายาว ผมยาวๆใช่มั๊ย คุณแบงค์ก็ตอบว่า ใช่ ไฮน์ก็บอกอีกว่า ผมเจอก่อนพี่ แต่ผมพูดไม่ได้จริงๆ

เหตุผลที่ไฮน์ไม่พูด เพราะว่า ตอนที่ไฮน์เรียกคุณแบงค์ครั้งแรก คุณแบงค์ไม่หัน แต่ว่า ผู้หญิงนั้นหันไปมอง พอเรียกครั้งที่ 2 คุณแบงค์ก็ยังไม่เห็น แต่ผู้หญิงมองไฮน์แบบจิกตา และพอเรียกครั้งที่ 3 คุณแบงค์ก็ถามไฮน์ว่ามีอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ชี้หน้าไฮน์ ประมาณว่า มึงเงียบนะ พอครั้งที่สี่ ที่ไฮน์เรียกว่า พี่แบงค์ครับ ปรากฏว่าร่างของผู้หญิงคนนั้นหายไป พอฟังจบ คุณแบงค์ก็บอกไฮน์ไปว่า พี่ไม่ได้โกรธ แล้วก็ถามไฮน์ว่าปลอดภัยนะ ไฮน์ก็ตอบว่า ปลอดภัย แล้วคุณแบงค์ก็เล่าให้ฟังว่าเจออะไร

ทีนี้ก็รุ่นน้องเจ้าของห้อง ที่บอกให้พาเพื่อนมาด้วยนะ กันพลาด คุณแบงค์ก็โทรหารุ่นน้องคนนี้ ชื่อว่า ต้น พอโทรหาต้น ต้นก็พูดคำแรกว่า เจอแล้วใช่มั๊ยพี่ คือต้นรู้อยู่แล้ว แล้วต้นรู้ว่าคุณแบงค์ไม่เชื่อเรื่องผี คิดว่าถ้าไม่เชื่ออาจจะไม่เจอ แล้วต้นก็เล่าเรื่องให้คุณแบงค์ฟังว่า วันแรกที่เข้าไปอยู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอวันที่ 2 เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้กระจายมาอยู่ตรงพื้นหมดเลย ต้นก็เข้าใจว่า ยามต้องเข้ามารื้อห้องตอนที่เขาหลับ แต่ไม่มีของมีค่าหาย จนมาคืนที่ 3 ต้นก็นอน พอนอนๆอยู่ เหมือนว่า มีอะไรเฉี่ยวจมูก พอต้นลืมตามาก็เห็นสิ่งที่เฉี่ยวจมูกของต้นคือ เท้าของผู้หญิง เป็นผู้หญิงผูกคอตายอยู่กับพัดลมเพดานซึ่งพัดลมหมุนอยู่ แล้วปลายเท้าก็เลยแกว่งมาโดนจมูกของต้นพอดี ต้นก็มองตาค้างอยู่แบบนั้น จนผู้หญิงกระตุกตัวแรงๆเหมือนจะให้หลุดลงมา พอต้นเห็นแบบนั้นก็สลบไปเลย ตื่นเช้ามาก็ไม่อยู่แล้ว ค่ามัดจำก็ไม่เอาแล้ว

แล้ววันถัดมา คุณแบงค์ก็กลับมาเอาทองที่ลืมไว้บนหัวนอน แล้วก็มาเจอลุงยาม ลุงยามก็เรียกคุณแบงค์ว่า น้อง เข้ามาคุยกันในห้องดีกว่า พอพี่ให้สัญญาณน้องเข้าห้องนะ แล้วเขาก็สวดอะไรงึมงัมๆแล้วก็เป่าไปที่มือ แล้วก็จับลูกบิดเปิดประตูเข้าห้องเลยแล้วเขาก็บอกอให้เข้ามาเลย คุณแบงค์ก็รีบเข้าไป เขาก็ปิดประตูล็อคห้อง ซึ่งห้องของเขาที่ชั้นล่าง มีดินสอพองเขียนทั้งห้องเลย เขาบอกว่าเขาอ่ะเป็นพระมาก่อน สึกออกมามาทำงานเป็นยาม …

Admin

07/02/2022

เป็นผีหรือเห็นผี? เหตุเกิดในคืนฝนตก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหนึ่ง เกียร์ 8 ได้รับฟังมาอีกทีหนึ่ง แล้วนำมาถ่ายทอดให้ฟังในหลายรายการ ทั้งเดอะช็อค อังคารคลุมโปง ฯลฯ เกี่ยวกับเหตุการณ์หลอนที่ ‘คุณโจ’ เจ้าของเรื่องตัวจริง พบเจอมาเมื่อราว 7-8 ปีก่อน ครั้งเมื่อเย็นวันหนึ่ง ขณะคุณโจเข้าไปหลบฝนที่ศาลากลางทาง แล้วถูกคน(?)แปลกๆทักขึ้นว่า “ผมเป็นผี” กับตอนจบสุดหักมุม ที่ยากจะคาดเดาชนิดที่ว่าหงายเงิบกันไปเลย

ย้อนกลับไปเมื่อตอนปี 2557 คุณโจเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกทม. คุณโจได้รับข้อเสนอจากทางบริษัทแม่ที่ตนทำงานอยู่ว่า ทางบริษัทสาขาในต่างจังหวัด มีความต้องการพนักงานเพิ่ม เลยมีโครงการให้พนักงานเดิมที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดนั้นๆ ย้ายกลับถิ่นฐานไปทำงานกับสาขาได้ คุณโจเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี หนึ่งคือได้เงินเดือนเพิ่มนิดหน่อย สองคือได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อและแม่ที่ต่างจังหวัด

แต่คนที่ดูจะดีใจกับเรื่องนี้ที่สุด เห็นจะเป็น ‘แป้ง’ ลูกพี่ลูกน้องของคุณโจ เธอเป็นลูกสาวอาคุณโจ สาเหตุก็เพราะในทุกๆวัน แป้งต้องขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านเข้าตัวเมืองไปทำงานหลายสิบกิโลเมตร ในขณะที่ข้างทางก็เต็มไปด้วยป่าหญ้ารกชัฏชวนสะพรึง จนคุณโจยังอดถามไม่ได้ว่า ‘แป้งไม่กลัวบ้างเหรอ?’ แต่ลูกพี่ลูกน้องตอบกลับมาว่า…

“แป้งออกจากบ้าน 7 โมงเช้า กลับ 4 โมงเย็น กลางวันแสกๆ จะมีอะไรให้กลัวล่ะพี่?”

อย่างไรก็ตาม การที่ได้คุณโจกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน เท่ากับว่าในทุกๆวัน แป้งก็จะติดสอยห้อยตาม ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปทำงานพร้อมกับคุณโจได้ เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ 4-5 เดือน กระทั่งเย็นวันหนึ่งที่ฝนเริ่มตั้งเค้า เมฆดำส่งกลิ่นชื้นลอยมาแต่ไกล คุณโจมองออกไปที่หน้าต่างดูกลุ่มเมฆด้วยสายตาเหงาๆ ตอนนี้ใกล้ 5 โมงเย็นเข้ามาทุกที แต่เขาต้องรอจนกว่าเข็มยาวจะเดินไปทับเลข 12 เพื่อจะได้สแกนนิ้วกลับบ้านได้ แบบที่ไม่มีปัญหาภายหลัง

คุณโจเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง แป้งมายืนรออยู่พักนึงแล้วร้องทัก

“ไปเร็วพี่ ฝนจะตกแล้วเนี่ย”

คุณโจก็แซวทีเล่นที่จริง ‘อยู่ใต้ฟ้าจะกลัวฝนทำไม’ ทำเป็นไม่เคยโดนฝนไปได้ ถ้าตกหนักอย่างมากก็จอดแวะข้างทาง แต่แป้งชูโทรศัพท์ ‘ไอโฟน’ เครื่องโปรดขึ้นมาเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า เธอหวงโทรศัพท์ต่างหากล่ะ คุณโจก็แอบขำอยู่ในใน ก็เด็กสาวสมัยนี้หวงมือถือยิ่งกว่าอะไร คงจะเพราะพึ่งซื้อมาใหม่กระมัง …แต่หากมาลองคิดดูดีๆในภายหลัง จะพบว่าการที่แป้ง ‘ห่วงโทรศัพท์’ มีเหตุผลลึกลับซ่อนอยู่ คุณโจเลยไขเบาะมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเอากระเป๋าสะพายข้างยัดลงไป เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อ แล้วออกตัวรถทันที

คุณโจกับแป้งขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ราว 10 กิโลเมตร ก็เจอกับปัญหาที่คาดไว้จริงๆ ฝนตกลงมาหนักขึ้นทุกทีจนไม่สามารถทนฝ่าไปได้ เลยตัดสินใจจอดแวะพักที่ศาลาไม้ริมทาง เนื่องด้วยวันนี้ฟ้าฝนกระหน่ำ ทำให้ 5 โมงเย็นดูมืดไวผิดตา พอรถจอดสนิ แป้งรีบวิ่งดิ่งเข้าศาลาทันที คุณโจตามเข้าไปพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กยื่นให้แป้ง แต่แทนที่เธอจะเช็ดหน้าเช็ดตา กลับเช็ดโทรศัพท์จนแห้งก่อน ระหว่างนั้นฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง แถมมีฟ้าแลบฟ้าร้องคำรามไปทั่วบริเวณ ในจังหวะที่ฟ้าแลบ ‘แว่บบ’ ความสว่างสไวในชั่วอึดใจ ส่องให้เห็นอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก

“อุ๊ยยยยย”

เสียงแป้งร้องตกใจ ก่อนพยักเผยิดหน้าไปด้านหลัง เป็นนัยว่าเธอพบเจอบางอย่างที่ไม่คาดคิดลึกเข้าไปด้านในศาลา คุณโจหันกลับไปมองก็ตกใจเช่นกัน ภายในความมืดสลัวใต้เงาหลังคาของศาลา มีร่างใครบางคนนั่งตะคุ่มอยู่ที่ม้านั่ง ทั้งๆที่ก่อนจะเข้ามาคุณโจไม่สังเกตเห็น ทันใดนั้นเอง ฟ้าแลบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คุณโจเห็นร่างนั้นอย่างชัดเจน เป็นชายเนื้อตัวมอมแมม หัวยุ่งเป็นรังนก ดูราวกับวนิพกพเนจรหรือคนไร้บ้านยังไงยังงั้น แต่สิ่งที่ทำให้ชายคนนั้นดูแปลกแยกกับสิ่งอื่นรอบข้าง คือเสียงครางในลำคอ ‘อืออออ… อืออออ…”

คุณโจรู้สึกใจหวิวๆ ในใจภาวนาอยากให้เป็น ‘ผี’ มากกว่าคนด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าเป็นผีที่ไม่มีกรรมผูกพันกันก็ต่างคนต่างอยู่ แต่กับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ในที่มืดเปลี่ยวเช่นนี้ ชวนให้ไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง คุณโจอดกลัวไม่ได้เหมือนกัน ว่าถ้าหมอนั่นเกิดลุกตรงเข้ามาหาทั้งคู่ จะทำอย่างไรดี คุณโจเลยพยายามไม่คลาดสายตา คอยเหลือบไปมองอยู่บ่อยๆในระหว่างที่ต้องรอฝนหยุดตกเกือบครึ่งชั่วโมง แต่แล้วสิ่งที่คุณโจไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงฝนกระทบหลังคาดังราวกับลำโพงแตก มันมีเสียงของชายคนนั้นปนเข้ามาด้วย…

“ผม…เป็นผี ผะ…ผมเป็นผี”

อะไรนะ! หมอนั่นมันว่ายังไงนะ แต่พอได้ยินอยู่สองสามรอบ ‘ผมเป็นผี… ผมเป็นผี’ นายคนนั้นยังคงพูดต่อไปซ้ำๆ ในขณะที่นั่งกอดเข่าคู้ตัวสั่นๆ ขนทั่วทั้งตัวของคุณโจพร้อมใจกันลุกแบบไม่ได้นัดหมาย แป้งก็มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งฝนเริ่มซาลงแป้งเลยสะกิดบอกคุณโจ ‘พี่ๆ ไปเลยกีกว่า’ เลยตัดสินใจขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ฝ่าฝนไปเลย ตอนที่ออกตัวมาได้ไม่กี่สิบเมตร ฟ้าก็แลบขึ้นอีกครั้ง เผยให้เห็นในกระจกมองข้างว่า… ชายผู้ประกาศตนว่า ‘เป็นผี’ กำลังวิ่งไล่ตามมาทางพวกเขา แน่นอนว่าคุณโจบิดอย่างแรง จนหายลับตาไป

กว่าจะมาถึงบ้านก็ 6 โมงกว่าเข้าไปแล้ว ตอนที่เลี้ยวเข้าซอยหมู่บ้าน หมาทั้งซอยที่คุณโจคุ้นเคย แจกข้าวแจกน้ำกันอยู่บ่อยๆ ก็พร้อมใจกันเห่าหอนมาทางพวกเขา จนแอบคิดหวั่นใจว่า ‘หรือมันจะตามเรามาด้วย?’ พอถึงหน้าบ้านของแป้ง แป้งก็ลงไปไขรั้วเลื่อนหน้าบ้านให้คุณโจนำรถเข้าไปจอด จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายเข้าบ้าน ซึ่งบ้านคุณโจอยู่เลยไปอีก 2 หลัง พอคุณโจมาถึงหน้าบ้านตน หมาที่เลี้ยงไว้ก็ขู่ฟ่อๆทันที หมาที่เคยน่ารัก ทั้งเชื่องและแสนรู้ วันนี้กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนคุณแม่คุณโจจะได้ยินเสียงหมาเห่า เลยเปิดหน้าต่างออกมาต้อนรับคุณโจ ด้วยอารมณ์หงุดหงิดระคนร้อนใจ

“ไอโจจจ ไปมัดหัวอยู่ไหนมา ทำไมกลับมามืดค่ำเอาป่านนี้!”

“ฝนมันตกจ่ะแม่ จะให้ขับฝ่ามายังไง”

“แล้วทำไมเอ็งไม่รับโทรศัพท์ ทั้งพ่อทั้งอาโทรตามแกเป็นร้อยๆครั้ง เอ็งไม่รู้เหรอ…ว่าอีแป้งน้องเอ็งโดนรถชนตายเมื่อเย็นนี้!!”

“เห้ยยยยยยย! ว่าไงนะแม่ แม่พูดอะไรเนี่ย”

คุณโจก็ยืนยันเสียงแข็ง ว่าตนขี่รถมากับแป้งจริงๆ ระหว่างทางเจออะไรมาบ้าง กระทั่งจอดส่งน้องที่บ้าน แม่คุณโจก็บอกให้ดูโทรศัพท์ซิ คุณโจหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค มีพายุ missing call กระหน่ำเข้ามาจนนับไม่ถ้วนจริงๆ เหงื่อเริ่มออกตามง่ามนิ้วมือของคุณโจ จนมันลื่นซะจนแทบกำโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่ คุณโจเดินย้อนกลับไปที่บ้านแป้งก็แทบหยุดหายใจ สิ่งที่พบมันทำให้ความหวังเล็กๆในใจเลือนหายไปในทันที

‘รถมอเตอร์ไซค์ที่คุณโจพึ่งเอาเข้าไปจอดในบ้าน โดยที่แป้งเปิดประตูรั้วให้… บัดนี้มันยังถูกจอดไว้หน้าบ้านนอกรั้ว ในสภาพที่ยังมีกุญแจเสียบคาอยู่ ประตูรั้วเลื่อนก็ปิดสนิทพร้อมกับแม่กุญแจคล้องอยู่’

ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ไม่เคยเกิดขึ้น…

คุณโจรีบควบมอเตอร์ไซค์แล้วบิดกลับเข้าตัวจังหวัดอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ไปทำงาน แต่ตรงไปที่โรงพยาบาล ซึ่งร่างของแป้งนอนสงบนิ่งอยู่ที่นั่น เมื่อไปถึงที่นั่นก็พบว่าทั้งพ่อ อา และเพื่อนร่วมงานแป้งอยู่ที่นั่นกันเต็ม พ่อคุณโจเห็นว่ามาช้าเลยสวดเข้าให้ชุดใหญ่ คุณโจเลยเล่าเรื่องที่พบให้ฟัง กลายเป็นว่านาทีนั้นไม่มีใครอยากตำหนิคุณโจแล้ว หลังสอบถามกับเพื่อนของแป้ง ได้ความว่าตอนที่เลิกงานเมื่อ 4 โมงเย็น ขณะเดินข้ามถนน จู่ๆก็มีรถพุ่งมาชนเธอ สภาพร่างเธอดูไม่ดีเอาซะเลย แต่น่าแปลกว่าโทรศัพท์ไอโฟนเครื่องเก่งของเธอนั้นไร้รอยขีดข่วน

เนื่องจากคืนนั้นมืดค่ำแล้ว ทางโรงพยาบาลจึงยังไม่อนุญาตให้นำร่างของแป้งกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาได้ทันที คุณโจและพ่อกับอา เลยค้างคืนกันที่โรงแรมในตัวเมือง กระทั่งรุ่งเช้าถึงได้ทำเรื่องดำเนินการนำร่างเธอกลับไป อย่างไรก็ตาม ตามความเชื่อของคนแถบนั้น หากเป็นวิญญาณตายโหงจะไม่นำเข้าบ้าน ร่างของเธอจึงถูกส่งไปที่วัดทันที ส่วนคุณโจขณะกำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับ ก็นึกย้อนถึงเหตุการเมื่อเย็นก่อน สิ่งที่ยังติดในใจคือ…ชายวนิพกที่ศาลาแห่งนั้น คุณโจเลยตรงไปที่นั่น

ชายวนิพกยังคงนั่งอยู่ในศาลาเหมือนคืนวาน หากแต่ครั้งนี้พบกันในสถานการณ์ที่อากาศสดใสยามเช้า อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นมีอาการตั่วสั่นไปด้วยความหวาดกลัวทันทีที่เห็นคุณโจ ‘อือออ… อืออออ…’ ชายคนนั้นคราง คุณโจเดินเข้าไปหาใกล้ๆ จนได้ยินเสียงชายคนนั้นพึมพำอย่างชัดเจน

“ผม…เ ็ น ผี ผะ ผ ม … เ ห็ น ผี”

เนื่องจากจอกันครั้งก่อน เสียงฝนกระหน่ำบวกกับจิตปรุงแต่งของคุณโจ ทำให้คุณโจฟังผิดไปว่าเป็น ‘ผม…เป็นผี’ แต่ประโยคแท้จริงที่ชายคนนั้นสื่อสารคือ ‘ผม…เห็นผี’ !!

เขาหวาดกลัว เพราะเขาเห็น…แป้ง!

คุณโจถึงกับเข่าทรุดนั่งลงกับพื้นศาลาข้างชายที่พึมพำไม่หยุดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจากไปโดยทิ้งแบ็งค์ 100 สองใบไว้ให้ชายคนนั้น ไม่ว่าเขาจะต้องการมันหรือไม่

ในช่วงสวดอภิธรรมงานแป้ง คุณโจฝันเห็นเธอ เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรถึงเขา คุณโจคิดไปว่า…แป้งอาจอยากได้ของใช้ส่วนตัวที่เธอหวงแหนอย่าง ‘ไอโฟน’ คุณโจเลยเป็นคนจัดการ นำไปใส่ไว้ในโลงให้ คืนถัดมาคุณโจยังคงฝันเห็นแป้งอีก แต่รอบนี้ดูชัดเจยกว่าครั้งก่อน …

Admin

05/02/2022

สาวข้างห้องตายซ้ำๆที่เดิม…ทุกสามทุ่ม

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับคุณซัน ที่ได้โทรมาเล่าผ่านรายการ The Shock FM

โดยตัวคุณซันนั้นนับถือศาสนาคริสต์ ที่ไม่ได้มีความเชื่อตามแบบพุทธอยู่แล้ว และคุณซันมีอาชีพเป็นนายแบบก็จะไป-กลับ
บ้านที่คุณซันอาศัยอยู่นั้นเป็นบ้านเดี่ยวและอาศัยอยู่คนเดียวเพราะครอบครัวอาศัยอยู่ตปท.กันหมด

คุณซันเองก็สนิทกับน้องข้างบ้านที่ชื่อก้อยและกิ๊ฟ จนนับถือเป็นพี่เป้นน้องกัน โดยห้องของก้อยอยู่ชั้นบนจะตรงกับห้องคุณซันพอดี คือถ้าหากว่าเปิดหน้าต่างห้องมาก้จะชนกันพอดี คุณซันและก้อยก็มักจะชอบพูดคุยกันผ่านทางหน้าต่างเป็นประจำ

และในวันนั้นคุณซันจะต้องเดินทางไปถ่ายแบบที่ตปท. เมื่อขึ้นเครื่องไปแฟนก็บอกกับแฟนรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้ รู้สึกแค่มันไม่ดี บ้านของคุณซันนั้นจะไม่มีคนอยู่ แต่จะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกวัน คือเข้างานตั้งแต่8โมงเช้า เลิกงาน5โมงเย็นเขาก็จะกลับบ้านไป

พอกลับจากตปท.มาถึงเมืองไทยก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ พอกลับมาถึงบ้านก็มีข้อความจากก้อยส่งมา

‘กว่าจะกลับมาได้นะ นานเหลือเกินรอตั้งนาน’

พอคุณซันทำอะไรเสร็จก็ขึ้นไปบนห้องเพื่อจะคุยกับก้อย ก็เห็นห้องของก้อยเปิดไฟอยู่เป็นไฟจากพัดลมเพดานจะมีสีเหลืองๆส้มๆ ก็เห็นก้อยเดินออกมา ก็ทักทายกันตามปกติถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนเคย พอคุณซันมองไปที่โรงรถบ้านก้อยก็ไม่เห็นรถพ่อกับแม่ของก้อยอยู่ คุณซันก็เลยถามว่าพ่อแม่ไม่อยู่หรอ ก้อยก็บอกว่าพ่อกับแม่ไปงานศพแล้วก้อยก็ถามคุณซันว่า

‘พี่ซัน ถ้าหนูทำอะไรไม่ดีพี่จะโกรธมั้ย’

ด้วยความเป็นห่วงคุณซันก็บอกว่า ‘ถ้าไม่ดีมากก็โกรธแหละแต่ไม่มากหรอก แต่มีอะไรก็ต้องบอกพี่นะ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘หนูก็อยากบอกนะ แต่พี่ไม่อยู่’

คุณซันก็เลยบอกว่า ‘นี่ไงพี่กลับมาแล้วมีอะไรก็บอก’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ยังอ่ะ ยังไม่บอกหรอก ไว้ค่อยบอกทีหลัง’

หลังจากนั้นก็ไม่ได้อะไรก็คุยกันปกติ พอสักประมาน3ทุ่มแฟนคุณซันก็โทรเข้ามา พอคุณซันหันกลับมามองไปที่หน้าต่างก็เห็นก้อยปิดม่านแต่ไฟยังเปิด ภาพที่เห็นก็จะเป็นเงาของก้อนเดินอยู่ในห้อง คุณซันก็คุยกับแฟนอยู่แต่สายตาก็เห็นก้อยเดินขึ้นไปบนเตียงและยืนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน

คุณซันก็ว่าทำไมก้อยมายืนบนเตียง ไม่ยอมไปนอนก็เลยส่งข้อความไปแกล้งแซวว่า ‘ยืนทำไรไม่นอน ยืนไปก็ไม่สวยหรอก’ แต่ก็ไม่มีข้อความตอบกลับ สักพักไฟก็ดับไปแต่คุณซันก็ไม่เห็นว่าก้อยจะเดินไปปิดไฟหรืออะไรเลย

แฟนคุณซันถามว่าได้ให้ผ้าพันคอน้องก้อยไปรึยัง น้องก้อยนั้นเป็นคนชอบผ้าพันคอมาก เวลาคุณซันไปเที่ยวหรือไปถ่ายงานก็มักจะซื้อผ้าพันคอมาให้ตลอด พอตอนตี5 คุณซันก็ได้ยินเสียงของก้อยมาตะโดนเรียก ‘พี่ซัน’ คุณซันได้ยินเสียงก็ตื่นแล้วก็เดินไปถามว่ามีอะไร ก้อยก็บอกว่าไม่มีอะไรแค่มาปลุก

คุณซันเลยขอตัวไปอาบน้ำเพราะมีนัดกินข้าวเช้ากับแฟน พอลงมาก็ยังไม่เจอแม่บ้านเพราะแม่บ้านเข้า8โมงเช้า พอกลับมาถึงบ้านก็ดึกอีก พอขึ้นมาข้างบนห้องก็เห็นก้อยนั้งอยู่ คุณซันก็ถามกับก้อย ‘อ้าวก้อย พ่อกับแม่ไปงานศพอีกแล้วหรอ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ใช่’

‘แล้วกิ๊ฟอ่ะ’ ก้อยก็ตอบว่า ‘ไปกันหมดเลย’ คุณซันเองก็แปลกใจว่าทำไมก้อยถึงอยู่บ้านคนเดียวไม่ไปงานศพด้วยแต่ก็ไม่สนใจอะไรมาก คุณซันก็เลยบอกกับก้อยว่า ‘เนี่ยพี่ซื้อผ้าพันคอมาให้ เดี๋ยวเอาลงไปให้’ ก้อยก็บอกว่า ‘ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยให้ก็ได้’

ก็คุยกันไปสักพักก้อยก็เดินหายเข้าไปในห้องแล้วก็หยิบผ้าพันคอมา2ผืน แล้วก็ถามคุณซันว่าพี่จำผ้าพันคอนี้ได้มั้ย คุณซันก็บอกจำได้ ก้อยบอกว่ามันเป็นผืนแรกที่พี่ให้ก้อยส่วนอีกผืนเป็นผืนที่ก้อยชอบมากที่สุด คุณซันก็แซวว่าพี่ซื้อให้ก้อยก็บอกว่าชอบหมดแหละ

ก็คุยกันสักพักคุณซันขอตัวลงไปข้างล่าง พอขึ้นมาบนห้องก็เป็นเวลา3ทุ่ม ก็เห็นว่าก้อยปิดหน้าต่างปิดม่านแล้วแต่ยังเปิดไฟที่ติดกับพัดลมอยู่ ก็จะเห็นเป็นเงาของก้อยอยู่ในห้อง ภาพที่เห็นก็ยังคงเป็นแบบคืนก่อนคือก้อยขึ้นไปยืนอยู่บนเตียงสักพักแล้วไฟก็ดับไป คุณซันเห็นแบบนั้นก็ไม่อยากกวน เลยโทรศัพท์คุยกับแฟนก็เลยคุยถึงเรื่องเมื่อเช้าที่ยังคงบ่นกับแฟนว่ายังรู้สึกไม่ดีอยู่ นอนก็ไม่ค่อยหลับ

พอตอนเช้าตื่นมาก็ประมาน7โมงกว่าๆ อาบน้ำลงมาข้างล่างก็เห็แม่บ้านทำความสะอาดอยู่ คุณซันก็คุยกับแม่บ้านว่าเนี่ยข้างบ้านเค้าไปงานศพ 2 วันติดเลย แม่บ้านก็บอกว่า

‘คุณซันไม่รู้หรอว่าลูกสาวบ้านนั้นเค้าเสีย’

คุณซันตกใจก็คิดว่าเป็นกิ๊ฟน้องของก้อย แต่ไม่ใช่กลายเป็นก้อยเองที่เสียชีวิต คุณซันไม่เชื่อก็แย้งว่าจะเป็นไปได้ไงเพราะก็เพิ่งคุยกับก้อยมาเอง คุณซันรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องแล้วตะโดนไปที่ห้องของก้อยก็ไม่มีใครตอบรับ คุณซันเลยรับวิ่งไปที่บ้านของก้อยไปตะโดนเรียกแม่กับพ่อของก้อย ก็ได้ความว่าก้อยผูกคอในห้องนอนของตัวเอง

คุณซันแทบไม่อยากเชื่อเลยวิ่งขึ้นไปที่ห้องของก้อยก็เห็นผ้าพันคอที่คุณซันซื้อให้ผืนแรกกับผืนที่ก้อยชอบคล้องเป็นห่วงอยู่ที่พัดลมเพดาน พัดลมเพดานนี้ก้อยก็ติดตั้ง ตามที่คุณซันแนะนำ ที่ตัวพัดลมจะมีไฟอยู่ด้วยพอเปิดก็จะเป็นแสงสีส้มๆนวลๆ สรุปได้ว่าก้อยใช้ผ้าพันคอนั้นผูกคอกับพัดลม

ในวันที่คุณซันกลับมาถึงวันแรกที่ก้อยส่งข้อความมาหานั้นก้อยเสียไปแล้ว5วัน คุณซันเลยไปวันที่เผาก้อย ก่อนที่จะเผาก็จะมีเปิดโลงศพให้ดูเป็นครั้งสุดท้าย คุณซันก็ได้ใส่ผ้าพันคอลงไปในโลงของก้อยแล้วก็พูดว่า

‘มันเป็นผืนสุดท้ายที่พี่จะให้แล้วนะ’

‘แล้วพี่ก็ไม่ได้โกรธด้วย แต่ทำไมถึงไม่รอพี่’ คุณซันก็เอาผ้าพันคอใส่ลงไปในโลงของก้อยแล้วก็ยกโลงเข้าเตาเผาไป…

ในทุกๆวันเวลา3ทุ่ม คุณซันจะเห็นว่าห้องของก้อยเปิดไฟอยู่และเงาของก้อยจะยืนอยู่บนเตียงอย่างนั้นแล้วไฟก็ดับไป คุณซันไม่ได้กลัวกับสิ่งที่เห็น แต่เป็นความสงสารก้อยมากกว่า ที่จะต้องมาตายทุกวันเวลาเดิม จนกว่าจะครบ 100 วัน ตามความเชื่อที่ว่า…วิญญาณจะอยู่ในโลก 100 วันก่อนที่จะเดินทางไปปรโลก หรือแย่กว่านั้นก็จนกว่าหมดอายุขัยตัวเองจริงๆ

การที่จะต้องมาตายซ้ำๆนี้ คุณซันก็รู้มากจากเพื่อนที่เป็นคนพุทธว่าจะต้องทำซ้ำๆแบบนี้และจะไม่มีทางแก้ได้เพราะเป็นกรรมหนัก จนคุณซันทนดูภาพนั้นทุกๆวันไม่ไหวบวกกับยังทำใจไม่ได้เลยออกไปอยู่คอนโดแล้วก็ไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีกถ้าไม่จำเป็น คุณซันเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ… เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้

Admin

04/02/2022
1 2 12