เรื่องผีเดอะช็อค

เสาตกน้ำมันเลยเอาพระมาตั้ง ผีด่า…ผู้หญิงจะอยู่กับพระได้ไง!

#เสาตกน้ำมัน
เรื่องเล่าสยองขวัญจาก : THE SHOCK
เล่าโดย : คุณอาร์ต

    เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณน้าของคุณอาร์ต เมื่อประมาณเจ็ดปีที่แล้ว ชื่อว่าคุณแอ๋ว ทำอาชีพครู อยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร คุณแอ๋วจะเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีเลย แต่จะเจอสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำ

    ตอนที่คุณแอ๋ว ได้ไปบรรจุที่กำแพงเพชรใหม่ๆ ไปกับลูกชายคนนึง และได้ไปหาบ้านเช่าอยู่ จนไปเจอบ้านไม้อยู่หลังนึง ซึ่งราคาถูกมาก ก็เลยตัดสินใจเช่า และเข้าไปทำความสะอาด

    ในระหว่างที่เข้าอยู่ จะเริ่มเห็นอะไรแปลกๆ เห็นเป็นคนเดินไปเดินมาภายในบ้าน แต่คุณแอ๋วก็ไม่ได้สนใจอะไร จนพักหลังๆ ก็เริ่มมาเข้าฝัน เป็นผู้หญิงผมยาว ห่มสไบสีแดง และที่น่าแปลกก็คือ ลูกของคุณแอ๋วก็เห็นผู้หญิงคนนี้ในฝันเหมือนกัน

    จนหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ มีการมากระซิบข้างๆหู คุณแอ๋วก็เริ่มจะรู้สึกไม่ดี และเริ่มสังเกตว่า ที่กลางบ้าน จะมีเสาอยู่ต้นนึง คนอยู่เก่าได้เอาทองคำเปลวไปติดไว้ทั่วเสา และมีน้ำมันสีดำไหลออกมา

    คุณแอ๋วก็ฉุดคิดขึ้นมาในใจ เพราะมักจะเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาตรงจุดนี้บ่อยที่สุด และเวลาที่เพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน ถ้าเป็นผู้หญิงจะไม่ค่อยเห็นอะไร แต่ถ้าเป็นผู้ชาย เค้าจะออกมาให้เห็นแบบจะๆ จนเพื่อนต้องขอตัวกลับบ้าน

    คุณแอ๋วอยากลองพิสูจน์ดูอย่างจริงๆจังๆ จึงได้ชวนเพื่อนทั้งชายหญิง มาทำอาหารทานกันที่บ้าน แล้วนอนที่บ้านหลังนี้เลย ผู้หญิงจะนอนกันในห้อง ส่วนผู้ชายจะนอนกันที่กลางบ้าน ข้างๆเสาร์ตกน้ำมัน

    ปรากฏว่าในคืนนั้น ช่วงเวลาประมาณตีสี่ เพื่อนผู้ชายบอกว่า มีคนมากระซิบข้างหูว่า “ตื่นเถอะ นกร้องแล้ว” เค้าก็ตกใจแล้วลืมตาขึ้นมา เห็นผู้หญิงผมยาวห่มสไบ ยื่นหน้ามาอยู่ข้างๆหู เพื่อนตกใจมาก รีบลุกขึ้นมาเปิดไฟ แล้วรีบวิ่งไปหาคุณแอ๋วในห้อง แล้วเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

    จนเพื่อนของคุณแอ๋วไม่กล้าอยู่ต่อ จึงได้ขอกันกลับบ้านในเวลานั้นเลย คุณแอ๋วจึงได้แน่ใจ ว่าที่เจอมาตลอดไม่ได้คิดไปเอง ก็เลยหาทางที่จะอยู่กันได้ โดยที่จะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน

    คุณแอ๋วจึงได้เอาดอกไม้และธูปเทียนมาไหว้ พร้อมทั้งเอาหิ้งพระและพระพุทธรูป มาห้อยตรงเสาตกน้ำมัน แล้วในคืนนั้น ผู้หญิงห่มสไบก็ได้มาเข้าฝันคุณแอ๋ว แล้วตะโกนใส่ว่า “ผู้หญิงกับพระ จะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”

    เช้าวันต่อมา คุณแอ๋วจึงรีบไปเอาหิ้งพระลงมาจากเสา หลังจากนั้น ก็จะไม่ค่อยออกมาให้เห็น แต่จะมากระซิบข้างหู เป็นบางครั้ง

    ครั้งนึง ประตูหน้าบ้าน ซึ่งเป็นไม้แกะสลัก ได้พังแล้วหายไปบานนึง คุณแอ๋วจึงพูดออกมาลอยๆว่า “จะไปหามาจากไหนได้บ้าง ประตูแบบนี้ มาบอกหน่อยสิ” คืนนั้นผู้หญิงห่มสไบจึงมาบอกในฝัน ว่าให้ขับรถไปซื้อที่โรงไม้แห่งหนึ่งในหมู่บ้านนี้

    ตอนเช้า คุณแอ๋วจึงลองขับรถไปดู ปรากฏว่าไปเจอประตูไม้แบบเดียวกันที่ร้านแห่งนั้นจริงๆ แต่คุณแอ๋วก็ยังไม่เชื่อว่าผีมีจริง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

23/05/2020

ในลิฟต์บนห้างฝั่งธนฯ หนู..ลิฟต์ฝั่งนั้นกลางคืนเขาไม่ใช้กัน!

ประสบการณ์สยองขวัญ
#ห้างนี้มีผี
เล่าโดย : คุณอัน

    เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่ห้างแห่งหนึ่ง แถวฝั่งธน เมื่อสอบปีที่แล้ว บริษัทที่คุณอันอยู่ ได้ไปเปิดร้านกาแฟยังห้างแห่งหนึ่ง และทางบริษัทได้ให้คุณอันไปทำงานประจำยังร้านกาแฟแห่งนี้ ร้านจะอยู่ที่ชั้นสองของห้าง

    และเนื่องจากร้านกาแฟจะอยู่ในส่วนของตัวห่าง เวลาที่จะส่งเงิน จึงไม่สามารถเอาไปเข้าแบงค์เองได้ ต้องผ่านห้างก่อนเท่านั้น วิธีการที่จะเอาเงินไปส่งให้แคชเชียร์ของห้าง จะต้องเดินไปขึ้นลิฟท์ที่หน้าห้าง เพื่อไปที่ชั้นเก้า ระยะเวลาที่จะต้องส่งเงิน จะอยู่ที่ประมาณสามทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม

    วันนั้นเป็นวันแรกที่ร้านเพิ่งเปิดทำการ หลังจากที่ปิดยอดเสร็จแล้ว คุณอันต้องเดินไปขึ้นลิฟท์ที่หน้าห้าง บริเวณนั้นก็จะมีพนักงานห้าง และคนอื่นๆที่จะต้องไปส่งเงินอยู่หลานคน มีทั้งใส่ชุดฟอร์มของห้าง และของร้านต่างๆ

    ลิฟท์หน้าห้างจะมีอยู่สองตัว ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แต่คุณอันสักเกตเห็นว่า คนจะมายืนต่อคิวกันที่ลิฟท์ทางฝั่งขวาหมด ทั้งๆที่ลิฟท์ทางฝั่งซ้ายลงมารออยู่ชั้นล่างแล้ว แต่กลับไม่มีใครเดินเข้าไปใช้

    ถึงคุณอันจะงงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงวิ่งเข้าลิฟท์ทันที เพราะต้องรีบขึ้นไปส่งเงิน วันที่สอง เวลาประมาณเกือบๆสี่ทุ่ม ได้เวลาที่คุณอันจะต้องขึ้นไปส่งเงิน พอไปถึงที่หน้าลิฟท์ ก็เห็นเหมือนกับวันแรก

    ไม่มีใครเข้าไปใช้ลิฟท์ทางฝั่งซ้าย แต่ไปยืนรอลิฟท์กันทางฝั่งขวาหมดทุกคน ในใจคุณอันคิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ไม่ต้องยืนรอนาน จึงวิ่งเข้าลิฟท์ทางฝั่งซ้ายทันที คุณอันกดที่ชั้นเก้าเหมือนเดิม

    เชือกสลิงดึงลิฟท์ขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ชั่นสี่ แล้วประตูก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออก คุณอันมองออกไปที่หน้าลิฟท์ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ จึงกดปุ่มปิดลิฟท์ แต่ประตูกลับค้างไม่ยอมปิด

    ในขณะที่คุณอันกำลังพยายามกดปิด อยู่ๆก็มีพนักงานผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาในลิฟท์ ทำให้คุณอันตกใจเล็กน้อย เพราะตอนแรกก็ไม่ได้เห็นว่ามีใครยืนรอลิฟท์อยู่ แล้วประตูลิฟท์ก็ค่อยๆเลื่อนปิด คุนอันจึงถามว่า “ส่งเงินที่ชั้นเก้าใช่มั้ยคะ” แต่หนักงานหญิงกลับยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมามองคุณอัน

    ลิฟท์ค่อยๆเลื่อนขึ้นอย่างเงียบเชียบ จนไปถึงชั้นเก้า ประตูเลื่อนเปิดออก คุณอันยืนกดปุ่มเปิดประตูลิฟท์ค้างไว้ เพื่อรอให้ผู้ร่วมทางเดินออกไปก่อน แต่พนักงานหญิงกลับยืนนิ่ง สายตาเหม่อลอย แสดงใบหน้าเรียบเฉย

    คุณอันถามว่า “ออกมั้ยคะพี่” ไร้การโต้ตอบใดๆอีกเช่นเคย นอกจากสีหน้าเรียบเฉยที่ไร้ชีวิตชีวา คุณอันจึงเดินออกจากลิฟท์ด้วยความสงสัย ว่าเธอคนนั้นเป็นอะไร ทำไมถึงไม่ยอมคุยกันกับเราด้วย

    หลังจากที่เดินออกมาจากลิฟท์ได้สามถึงสี่ก้าว เสียงประตูลิฟท์ที่กำลังเลื่อนปิด ก็ดังขึ้นข้างหลัง คุณอันจึงหันกลับไปมอง ก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนนิ่งไม่ขยับตัว จนประตูลิฟท์ปิดลง รปภ ที่ประจำอยู่หน้าลิฟท์ก็มองคุณอันแบบแปลกๆ

    ถึงคุณอันจะยังไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์นี้ แต่ก็ต้องรีบเข้าไปส่งเงินก่อน จากนั้นก็เดินมารอลิฟท์ที่จุดเดิม รปภ หน้าลิฟท์ก็ถามคุณอันว่า “หนูเห็นอะไรเหรอ” คุณอันตอบว่า “หนูเห็นพี่คนนึงเค้าอยู่ในลิฟท์ แต่เค้าไม่ยอมออก” รปภ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ยิ้มตอบคุณอันเบาๆ

    ตกอีกวันหนึ่ง คุณอันเจอกับลุง รปภ ที่ชั้นล่างของห้าง รปภ ถามคุณอันว่า “หนู เมื่อคืนเห็นอะไร” คุณอันนึกย้อนไปถึงเมื่อคืน ตอนที่ขึ้นไปส่งเงิน จึงบอกกับ รปภ ว่า “หนูเห็นแคชเชียร์คนนึงค่ะ เค้าแปลกๆอ่ะค่ะ เค้าไม่พูดกับหนู” รปภ ก็บอกว่า “อืมม เหรอ ทีหลังก็ขึ้นอีกฝั่งนะ”

    ด้วยความสงสัย คุณอันจึงไปถามหัวหน้าที่คุมอยู่ในโซนชั้นที่คุณอันทำงานอยู่ หัวหน้าเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่ห้างแห่งนี้เปิดมาได้ประมาณสองปี มีแคชเชียร์คนนึงขึ้นไปส่งเงินในเวลาดึก แต่ รปภ ที่คุมลิฟท์อยู่ไม่รู้ จึงได้สับสวิตช์ไฟของลิฟท์ลง

    ทำให้แคชเชียร์ขาดอากาศหายใจตายอยู่ในลิฟท์ สภาพศพค่อนข้างหน้ากลัว ตาเหลือก อ้าปากค้าง ฉีกเงินกระจุยกระจาย จนเล็บหลุดออกเป็นแผ่นๆ ข้างฝาลิฟท์มีแต่รอยเลือด เหมือนกับว่าพยายามใช้มือที่เปื้อนเลือด ตบไปรอบๆลิฟท์ ผนักงานที่ทำงานอยู่ที่นั่น จะไม่มีใครกล้าใช้ลิฟท์ตัวนี้ ในเวลากลางคืน

    หลังจากที่คุณอันรู้เรื่องนี้เข้า ก็รู้สึกขนลุกตั้งทันที ภาพของผู้หญิงที่เจอในลิฟท์ ผุดขึ้นมาในหัว คิดว่าดีเท่าไหร่แล้วที่เค้าไม่ออมาให้เห็นในสภาพอื่น แต่ก็ยังพยายามไม่คิดมาก เพราะยังต้องทำงานอยู่ที่นี่ แต่เลื่อนมาใช้ลิฟท์อีกตัวแทน เพราะนึกภาพที่ข้างฝาลิฟท์ที่เต็มไปด้วยรอยมือเปื้อนเลือด ก็แทบไม่อยากจะเดินเข้าใกล้

    หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ คุณอันขึ้นไปส่งเงินปกติ เห็นผู้ชายวัยกลางคนกับเด็กอายุประมาณหกขวบ ถือเบียร์สองขวด เดินขึ้นลิฟท์มาด้วย

    วันนั้นคุณอันขึ้นไปส่งเงินช้า ส่วนมากคนอื่นๆจะส่งเงินกันเสร็จหมดแล้ว คุณอันก็เกิดความสงสัย ว่าสองพ่อลูกคู่นี้จะไปที่ไหน ถ้าจะไปที่โรงหนัง ต้องไปขึ้นลิฟท์อีกที่หนึ่ง พอลิฟท์เปิดที่ชั้นเก้า

    สองพ่อลูกก็เดินออกจากลิฟท์ แล้ววกไปขึ้นบันไดข้างๆโต๊ะของ รปภ คุณอันก็มองตามอย่างงงๆ ว่าสองคนนั้นกำลังจะไปไหน แล้วทำไม รปภ ถึงไม่ห้าม รปภ ก็หันมามองหน้าคุณอันแล้วพูดว่า “เห็นเหรอ” คุณตอบว่า “ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะลุง”

    รปภ ตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก เค้าก็มาแบบนี้ทุกวันแหละ ไปส่งเงินเถอะ” คุณอันได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกใจไม่ค่อยดี แต่ก็ต้องรีบเข้าไปส่งเงินก่อน หลังจากส่งเงินเสร็จแล้ว คุณอันก็ออกมาถามทันทีว่ามันคืออะไร

    รปภ จึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว มีพนักงานแคชเชียร์ของที่นี่คนหนึ่ง ลาออกจากงาน แล้วหนีไปอยู่กับแฟนใหม่ สามีจึงหอบลูกมาตามหา แต่พอทราบว่าแฟนขอตนเองได้ลาออกจากที่นี่ไปแล้วก็รู้สึกเครียด ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน

    จึงซื้อเบียร์มานั่งดื่มรอแฟนที่นี่ทุกวัน จนวันหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ซื้อเบียร์แอบขึ้นไปนั่งกินบนดาดฟ้ากับลูก แล้วจับลูกกระโดดลงไปข้างล่างด้วยกัน รปภ บอกอีกว่าผู้ชายคนนี้กับลูกจะต้องมาในเวลาเดิมทุกวัน บางวันก็เห็น บางวันก็ไม่เห็น ถ้าวันไหนเห็นเข้า ก็ทำทีว่ามองไม่เห็น

    และอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงสงกรานต์พอดี เป็นวันที่คุณอันรู้สึกเพลียมาก เนื่องจากคนเยอะ ประกอบกับที่ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน ช่วงคนเริ่มซาๆ จึงขอน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ขึ้นไปนั่งทานข้าวที่ชั้นสาม บนชั้นสามก่อนจะเข้าห้องอาหาร จะเป็นโซนขายเสื้อผ้าเด็ก และของเล่นเด็ก

    ระหว่างที่คุณอันกำลังเดินผ่าน ก็เห็นเด็กผู้ชายคนนึง นั่งเล่นอยู่คนเดียว ด้วยความที่คุณอันเป็นคนรักเด็ก คิดในใจว่าเด็กคนนี้น่ารักจัง หลังจากทานอะไรเสร็จก็ลงมาที่ร้านต่อ จนเวลาล่วงไปถึงสองทุ่ม เป็นวันที่คุณอันรู้สึกเหนื่อยมาก แต่ยอดขายกลับไม่ดีเท่าที่ควร

    ช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า คุณอันก็ได้เดินไปเข้าห้องน้ำ คนยืนต่อคิวกันเข้าห้องน้ำกันเยอะมาก เพราะเป็นช่วงสงกรานต์ แต่คุณอันสังเกตเห็นห้องหนึ่งที่ไม่มีคนใช้ เพราะประตูมันปิดไม่สนิท จึงลองผลักประตูเข้าไปดู

    ปรากฏว่าเห็นเข้ากับเด็กผู้ชายตัวสีดำๆ นั่งยองๆอยู่บนฝาชักโครก คุณอันตกใจ รีบปล่อยมือถอยหลังออกห่างจากประตูห้องน้ำ แต่ด้วยความที่กำลังเหนื่อย จนทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่ากลัว จึงพูดขึ้นในใจว่า “พี่เหนื่อย ขอพี่ฉี่ก่อนได้มั้ย ถ้าอยากกินขนมอะไรอ่ะ ไปเรียกลูกค้าเข้าร้านพี่ ถ้าได้หมื่นนึงอ่ะ พี่จัดชุดใหญ่ให้เลย”

    คุณอันค่อยๆผลักประตูเข้าไปช้าๆ ฝาชักโครกที่มันปิดอยู่ ตอนนี้กลับเปิดอ้าขึ้นเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยกลัว แต่ก็ยังรู้สึกระแวงอยู่หน่อยๆ ดีที่มีคนในห้องน้ำเยอะ คุณอันจึงเข้าไปทำกิจด้วยอาการขนลุกตั้ง แต่วันนั้น ยอดขายได้เกินหมื่นจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะไม่น่าเชื่อ จึงจัดชุดใหญ่ให้ตามที่เคยบอกไว้

    คุณอันอยากรู้ประวัติของเด็กคนนั้น จึงไปถามคนในแผนกกีฬาที่อยู่ข้างๆ ได้ความว่า มีเด็กคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แต่จะอยู่แค่ในแผนกของเล่น ถ้าผนักงานในแผนกคนไหน ทุจริตหรือขโมยของแม้แต่ชิ้นเดียว เด็กคนนี้จะตามไปถึงที่บ้าน จนอยู่ทำงานที่นี่ต่อไม่ได้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

22/05/2020

มันตามมาจากแบริ่ง! โบกแท็กซี่กี่คันก็ไม่จอด..เพราะมีผีมาด้วย

ประสบการณ์สยองขวัญ
#มาถึงบ้าน
เล่าโดย : คุณนัด

    เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวย่านศรีนครินทร์ เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา คุณนัทเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นคุณนัดต้องอยู่ที่มหาลัยจนดึกเกือบจะทุกวัน เพราะต้องอยู่ทำกิจกรรมที่คณะ

    วันนั้นเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณนัทขึ้นบีทีเอสจากบริเวณมหาลัยมาลงแบริ่ง ช่วงนั้นมีฝนตกลงมาปรอยๆ รู้สึกขนลุกแปลกๆ เหมือนมีใครเดินตามหลังอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่หันไปดูหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบใคร หรืออาจเป็นเพราะช่วงนั้นไม่มีผู้อืนอยู่เลย บรรยากาศเย็นๆ เหงาๆชอบกล จึงทำให้จิตนาการไปเอง

    คุณนัทเดินลงไปโบกแท็กซี่ ให้ไปส่งยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง รถแท็กซี่ค่อยๆออกตัวไปกลางถนน เนื่องจากถนนในเวลานั้น เปียกไปด้วยน้ำฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย

    ในจังหวะที่รถวิ่งตรงไปตามถนน อยู่ดีๆ มีรถจากเลนขวาพุ่งเข้ามาปาดหน้า ในระยะกระชั้นชิด จนทำให้รถแท็กซี่ที่คุณนัดนั่งอยู่ต้องเบรคกระทันหัน ล้อรถถูกับกับพื้นถนนเสียงดังลั่นจนรู้สึกแสบหู

    คุณนัดใจหายแวบ แต่ยังคงตั้งสติได้ เนื่องจากไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน คนขับแท็กซี่หันควับมามองทางเบาะหลัง ที่คุณนัดนั่งอยู่ แล้วเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่สักอย่าง

    คุณนัทคิดว่าคนขับคงกำลังจะหาของอะไรสักอย่าง จึงเปิดแฟลชมือถือช่วยส่องแถวๆที่วางเท้า แต่คนขับกลับพูดขึ้นว่า “น้อง แล้วผู้หญิงที่ขึ้นมากับน้องอ่ะ” คุณนัดได้ยินเช่นนั่นก็รู้สึกงง หมายถึงใครกันแน่

    จึงตอบกลับไปว่า “เฮ้ยพี่ ผมขึ้นมาคนเดียว พี่ตลกแล้ว” คนขับทำหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “น้องพี่เห็นจริงๆ เห็นตั้งแต่ที่เค้าเดินตามน้องลงบันไดเลื่อนแล้ว” คุณนัดเริ่มใจเสีย พยายามพูดเพื่อยืนยันว่า “ยังไงผมขึ้นมาคนเดียวแน่นอนพี่”

    คนขับเริ่มทำสีหน้าหวาดๆ แล้วพูดว่า “น้องพี่สาบาน พี่เห็นจริงๆ พี่มองกระจกหลัง ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งพิงไหล่น้องอยู่เลย” คุณนัดขนลุกซู่ พยายามคิดว่าคนขับกำลังอำเล่นหรือว่าอะไรกันแน่

    สุดท้ายคนขับก็บอกกันคุณนัดว่า ไปส่งไม่ได้จริงๆ และขอให้คุณนัทลงจากรถทันที และจะไม่เก็บค่าโดยสาร คุณนัทก็ต้องจำใจ ลงจากรถแต่โดยดี แล้วไปโบกรถคันอื่นเข้าบ้านแทน

    หลักจากนั้นประมานสี่วัน วันนั้นคุณนัดไม่มีเรียน และที่บ้านออกไปทำธุระที่ต่างจังหวัด จึงได้อยู่บ้านคนเดียว ด้วยความที่เบื่อๆเซงๆ คุณนัดเดินไปหั่นผลไม้มาทานเล่น จนเวลาล่วงเข้าช่วงดึก

    คุณนัดจึงวางจานผลไม้ที่เหลือไว้ข้างหน้าต่างในห้องครัว แล้วเดินขึ้นไปทำกิจวัตรต่างๆที่ชั้นบน จนเวลาล่วงเข้าตีสอง ในขณะที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่ คุณนัทได้ยินเสียงดัง “ตึ้ง!!” มาจากชั้นล่าง

    คุณนัดตกใจ ดีดตัวขึ้นลุกนั่ง ในใจคิดว่ากลัวจะเป็นโจร รีบเดินไปคว้าบีบีกัน แล้วค่อยๆย่องลงมาที่ชั้นหนึ่ง แล้วกดสวิทช์ไฟให้บ้านมันสว่างทั้งหลัง ด้านขวาจะเป็นโซนรับแขก ส่วนด้านซ้ายจะเป็นห้องครัว คุณนัดกวาดสายตามองไปจนทั่วห้องรับแขก แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

    จึงย่องเข้าไปในห้องครัว จังหวะนั้นเอง คุณนัดได้ยินเสียงแหบๆของผู้หญิงพูดว่า “กูหิว กูกินได้มั้ย” คุณนัทตกใจ หันควับไปมองทางต้นเสียง ภาพที่คุณนัทเห็นคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะใบหน้าขาวซีด ตัดกับผมสีดำยาว ยืนจับเหล็กดัดหน้าต่างอยู่ข้างนอก ใช้ปากกัดแทะเหล็ดดัด เหมือนพยายามจะเข้ามาในบ้านให้ได้ ลูกกะตาสีดำจ้องมาที่คุณนัทตาไม่กระพริบ ปากกัดลงกับซี่ของเหล็กดัด เสียงดังครึกๆ

    คุณนัดขนลุกซู่ไปทั้งตัว หัวใจแทบหยุดเต้น ร้องตะโกนลั่นบ้าน รีบวิ่งขึ้นห้อง แล้วเหวี่ยงประตูปิดดังลั่นบ้าน พร้อมกับลงกลอนอย่างแน่นหนา ยืนหายใจหอบอยู่หลังประตูด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ภาพอันน่าสยดสยองที่พึ่งเห็นเมื่อครู่ ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในหัวจนตัวสั่นระริก

    จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดัง “แคร่ง!!” มาจากชั้นล่าง ทำให้คุณนัทสะดุ้งจนตัวโก่ง รีบดีดตัวออกห่างจากประตู พุ่งขึ้นที่นอนแล้วคลุมโปงทันที ในหัวคิดฟุ่งซ่านว่าเสียงที่ดังนั่นมันคือเสียงอะไร มันเกิดจากอะไร ใครเป็นคนทำ หรือว่าสิ่งนั้นมันจะเข้ามาในบ้านได้แล้ว

    คืนนั้นคุณนัทนอนตัวสั่นทั้งคืน จนนอนแทบไม่ได้ รุ่งเช้า คุณนัดค่อยๆเดินย่องลงมาชั้นล่าง พยายามระวังตัวสุดขีด มองไปที่หน้าต่างเหล็กดัดห้องครัว

    ภาพที่เห็นเมื่อคืนยังคงติดตา จนต้องเบือนหน้าหนี คุณนัดรีบขับรถไปทำบุญที่วัดที่ใกล้บ้านที่สุด ระหว่างขากลับ คุณนัดคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะแน่ใจว่าไม่ได้ไปทำอะไรให้ใคร

    คุณนัทขับรถมาจนใกล้จะถึงหมู่บ้าน ช่วงที่รถกำลังติด คุณนัทเหลือบมองออกไปนอกรถ ก็เห็นถาดอาหารถาดหนึ่ง ซึ่งมีธูปปักอยู่ด้วย วางอยู่ข้างทางฟุตบาท ทำให้คุณนัดฉุดคิดขึ้นมาได้ นึกย้อนไปถึงเช้าของวันนั้น วันที่คนขับแท็กซี่ทักว่าเห็นผู้หญิงตามคุณนัทอยู่

    คุณนัทต้องรีบเดินทางไปที่คณะ เพราะดันตื่นสาย จนวิ่งไปเตะถาดอาหารถาดนั้นจนคว่ำ แต่ด้วยความที่คุณนัทไม่ได้สนใจ รีบวิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปซะก่อน คุณนัทคิดว่าสิ่งนี้ น่าจะเป็นสาเหตุ ให้ผู้หญิงคนนั้นตามมาจนถึงที่บ้าน

    คุณนัทเลี้ยวรถเข้าไปซื้อกับข้าวในร้านอาหารตามสั่งทันที แล้วกลับมายังที่ตรงนั้น วางข้าวกล่องลงบนฟุทบาต ยกมือขึ้นพนม พูดในใจว่า “ผมขอขมานะ กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผม ผมไม่ได้เจตนาจริงๆ ขอร้องอย่าตามผม ขอให้จบลงที่ตรงนี้” และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

20/05/2020

Pantip | ใคร? ตามมาจากสถาบันนิติเวชตอนไปรับร่างคุณพ่อ

สมาชิกหมายเลข 4470522 เว็บไซต์ Pantip ได้เล่าประสบการณ์หลอน เรื่อง “เคยไปรับศพคุณพ่อที่สถาบันนิติ ปี 2543” ระบุว่า ตอนนั้น..บ้านเราอยู่ใกล้ๆ รพ.ตำรวจ และคุณพ่อก่อนเสียก็มารักษาตัวที่นี่เสมอๆ พอคุณพ่อเสียที่รพ.ตำรวจ ด้วยโรคทางอายุกรรม ความที่คุณพ่อหย่าร้างกับคุณแม่ และแม่กับญาติๆก็อยู่ต่างจังหวัดหมด เราซึ่งอยู่กับคุณพ่อแค่สองคนเหนื่อยมากๆ ไหนจะไปติดต่อวัด เคลียร์ค่ารักษา แจ้งขอใบมรณบัตรที่เขตปทุมวัน

ทำให้ศพของคุณพ่อ ซึ่งทางรพ.ตำรวจ นำไปเก็บที่สถาบันนิติ พ่อก็อยู่ที่นั่นตั้ง 2 วัน กว่าที่เรากับคุณแม่และญาติๆจะนำโลงมาบรรทุกศพไปวัด ก็เป็นวันที่สามที่พ่อเสีย โดยทางเราให้ร้านขายโลง ซึ่งทางเจ้าของร้าน เป็นคุณพ่อของเพื่อน มารับศพไปวัด

พ่อเพื่อนเจ้าของร้านโลง รู้จักสถาบันนิติดี วันที่เราไปรับศพคุณพ่อ คนมารับศพเยอะมากๆ รอคิวยาวมากเลย อย่างว่า ที่นี่เป็นที่รวมศพไม่มีญาติ และรถจากมูลนิธิต่างๆ ไปเก็บศพมาจากทั่วกรุงเทพและปริมณฑล

พ่อเพื่อนเห็นว่ารอนาน ท่านเลยพาผมเดินเข้าไปด้านใน…อาศัยความคุ้นเคยรู้จัก จนท.ข้างใน ขอติดต่อรับศพก่อน ท่านพาผมเข้าไป ตอนราวๆ 11.45 น. แล้วท่านก็ให้ผมเดินผ่านห้องพิธีการศพ ซึ่งเป็นสถานที่ที่..ให้ญาตินำโลงมาบรรจุศพตรงนี้ แต่พ่อเพื่อนพาเข้าไปด้านในเลย ภาพที่เห็นคือ

ศพที่ถูกถอดเสื้อผ้าล่อนจ้อน ตัวแข็งทื่อ ถูกนำมาวางซ้อนๆกันในเตียงเข็น เตียงละ 2-3 ศพ ผู้หญิง ผู้ชาย วางซ้อนๆกันไป เพราะสถานที่คงคับแคบ และไม่มีพื้นที่พอที่จะวางเตียงละศพ และ จนท. ต้องถอดเสื้อผ้า ทำความสะอาดศพ ที่มีอยู่เป็นจำนวนหลายสิบศพ..อาจจะถึงหลักร้อยในแต่ละวัน

เราเดินผ่านห้องทำงานนี้ไปด้วยความสยอง เหมือนในหนังสยองขวัญ ในที่สุดพ่อเพื่อน ให้เรามายืนรอด้านนอกอาคาร เป็นลานปูนโล่งๆ ขนาด 20 x 20 เมตร เป็นที่วางศพที่มูลนิธินำมาส่งใหม่ๆ
ห่อผ้าขาวมา

เอามาถึง แกะผ้าขาวออก โชว์ศพให้นอนหงาย ตาลืมโพลงทุกศพ แบบศพที่มีเลือดเลอะเทอะ ก็วางตรงนี้เลย กองกับพื้นปูนไม่ต่ำกว่า 20 ศพ คือ พ่อเพื่อนเค้าให้เรายืนรอตรงลานนี้ เค้าขึ้นไปเอาศพคุณพ่อเรากับ จนท. ข้างบนอาคารใหญ่ 15 ชั้นอีกหลังนึงที่ิอยู่ถัดไป โดย จนท. บอกว่า คุณพ่อผม เสียมา2 วันกว่า กลัวศพเน่าจึงนำไปแช่ ในห้องเย็นบนอาคาร จะไปนำลงมาให้ ให้ผมยืนรอข้างนอก พอพวกเค้าขึ้นไปได้แค่ 2-3 นาที ก็พักเที่ยง พวก จนท. ที่ทำงานกับศพ เดินออกไปกินข้าวกลางวัน
ไปกันหมดเลยนะ 7-8 คน แล้วเราก็ยืนรออยู่คนเดียว

มองบนพื้นปูน ศพทั้งนั้น มองไปในอาคารจะเจอศพเปลือยวางซ้อนๆกันบนเตียงเข็น ตัวแข็งทื่อ เหมือนตุ๊กตา เพราะตายมาหลายวัน เส้นเอ็นตึง ข้อสังเกตอย่างนึง ผู้หญิง ไม่มีหน้าอก หน้าออกฟีบไปหมด ถ้าไม่สังเกตอวัยวะเพศก็นึกว่าเหมือนผู้ชาย
ผมมองดูจนกลัว แล้วเสียงแอร์ เสียงเครื่องต่างๆมันดับหมด คนไปพัก ข้างในก็เงียบ หันมามองศพใหม่ๆ ที่วางบนพื้นใกล้ๆ คนแก่ตายแบบคนจรจัด นอนตาลืมโพลง ตัวดำผอมลีบในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ

มี ผู้หญิงสาวคนนึง สวยครับ แบบคนเชื้อจีน แต่ว่า คนเชื้อจีนตาย..ผิวจะเหลือง…คือขาวเหลือง ก็เลยพึ่งรู้ว่า พอคนขาวตาย ผิวจะเหลือง ผู้หญิงสาวคนนี้ อายุยังวัยรุ่น…นอนตายเหมือนคนนอนหลับเลย….ถ้าผิวไม่เหลืองก็ไม่รู้ว่าตาย (ทีหลัง พอรับศพพ่อจะเสร็จ เจอพี่สาวเด็กคนนี้มากกับพี่เขยร้องไห้มากๆ เด็กสาวคนนี้กินยาฆ่าตัวตาย ที่เรารู้เพราะไปถามพ่อเพื่อน ที่เค้าก็สังเกตศพนี้เช่นกัน)

เราก็ไปมองศพเละๆ ประเภทรถชนตายเปื้อนเลือด มองแล้วสยอง เลือดเขรอะทั้งนั้น มองไปมองมา เอาหน้าขึ้นฟ้านึกถึงเรื่องงานศพ คือพยายามไม่มองศพอีก พ่อเพื่อนก็ยังไม่มาซักที ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ไม่รู้จะหลบไปทางไหน และอีกอย่างคือ อยากรับศพคุณพ่อไปวัดเร็วๆ เรามารอคิวตั้งแต่เช้า คนเยอะ ถ้าเราหายไป จนท.ก็อาจไม่ช่วยนำศพออก ต้องรอถึงตอนเย็นคงแย่ เรารอถึง 12.30 น. จนท.เข็นร่างคุณพ่อออกมา

ที่เค้าให้เรารอ เพราะว่า จะให้เรายืนยันว่าใช่พ่อของเราไหม เค้ากลัวเข็นมาผิดศพ คุณพ่อเราเหมือนคนนอนหลับ แบบหลับสนิทเลย ดูไม่เหมือนคนตายแม้แต่นิดเดียว ก็เอาเสื้อผ้าชุดโปรดคุณพ่อให้เค้าสวม….และก็นำร่างบรรจุโลง..เราก็ช่วยกันยกใส่ จุดธูปเชิญวิญญาณ นั่งรถกะบะนำไปวัดต่อไป วันนั้นกว่าจะสวดพระอภิธรรมเสร็จวันแรก เหนื่อยมาก นอนตอนสี่ทุ่มกว่า หลับไป ฝันว่ามีคนไม่รู้จักมาหามากมาย ชายหญิงเยอะแยะ มาคุย มาทักทาย

พอเวลาผ่านไปในฝัน ไปนึกถึงศพที่วางกองไว้เต็ม ในฝันจึงเห็นศพเยอะแยะไปหมด จนสะดุ้งตื่น ฝันแบบนี้ 3 คืน ช่วงงานศพคุณพ่อ ไปเล่าให้คุณแม่ฟัง คุณแม่เล่าให้พระในวัดที่จัดงานศพ ท่านรดน้ำมนต์ให้ และให้แผ่เมตตาเยอะๆ ถามญาติๆผู้ใหญ่บอกว่าคนตายที่สถาบันตามมา อาจจะมาขอให้ช่วยทำบุญให้เค้า ก็แปลกครับ พอรดน้ำมนต์ก็ไม่ฝันเห็นอีก ทำบุญแผ่เมตตาให้พวกเค้าก็ไม่เจอฝันแบบรังควาญแบบนี้อีก

ขอบคุณที่มา : กระทู้ผีพันทิป https://pantip.com/topic/37564760

Admin

21/04/2020

การเล่นสยองของสามเณร… พากันเที่ยวงัดโลงศพมาดูกลางดึก

เรื่องเล่าผีนี้ เป็นประสบการณ์ตรงของคุณชุง สมัยที่เคยไปบวชเรียนเป็นสามเณรในช่วงปิดเทอมที่วัดใกล้บ้าน เนื่องจากอยู่ในวัยกำลังซนประกอบกับที่วัดแห่งนั้นก็มีสามเณรอีกหลายรูป ตกเย็นฟ้าเริ่มมืดก็จะพากันไปวิ่งเล่นตามประสา แต่เนื่องจากในวัดคงไม่มีอะไรที่จะสามารถกระตุ้นความสนใจ ความตื่นเต้นของเหล่าสามเณรในวัยนี้ได้นานนัก กระทั่งวันนึงก็นึกพิเรนทร์ไปวิ่งเล่นกันในโกดังเก็บศพ หนักเข้าก็พากันงัดโลงเพื่อดูข้างใน…และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง

คืนงัดโลง – คุณชุง

    เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกรุงเทพ เมื่อแปดปีที่ผ่านมา หลังจากที่คุณชุงเรียนจบ ป.6 คุณพ่อได้ให้คุณชุงไปบวชเป็นสามเณรที่วัดแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ ซึ่งวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ้าน คุณชุงบวชอยู่ที่นี่ประมาณห้าปี จึงได้สึกออกมา

    ช่วงนั้นที่วัดกำลังเตรียมจัดงานเทศกาลใหญ่ คุณชุงก็ได้ไปช่วยเณรเตรียมงานต่างๆภายในวัด โดยหลวงพ่อให้เอาผ้าสี ไปขึงไว้แถวๆเมรุเผาศพ หลังจากขึงผ้าเสร็จเรียบร้อย เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง ก็ได้พากันเดินไปเล่นแถวๆโกดังเก็บศพ

    แถวๆบริเวณโกดังเก็บศพ จะเป็นที่เล่นประจำของคุณชุงและเพื่อนๆสามเณร ช่วงหลังๆมีการปลูกสร้างคอนโดขึ้นที่ข้างๆวัด ทางวัดจึงทยอยเอาศพออกจากโกดัง จนเหลืออยู่ศพหนึ่ง ซึ่งคุณชุงก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ถูกย้ายออกไปที่อื่น

    ตอนนั้นคุณชุงและสามเณรอีกสองรูป เกิดคิดพิเรนกันขึ้น พยายามจะงัดโลงออกมาดู เพราะอยากรู้ว่าจะมีศพอยู่ข้างในหรือเปล่า จึงได้ไปดึงราวตากผ้าที่หลังกุฏิ เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการงัด

    พอเปิดประตูช่องเก็บศพ คุณชุงก็ใช้ราวตากผ้าที่เป็นท่อนเหล็ก งัดฝาโลงขึ้น งัดไปงัดมา ฝาโลงเกิดแตกจนมันเปิดอ้าออก แต่ก็เปิดขึ้นได้แค่ประมาณคืบเดียว เพราะจะติดเพดานช่องเก็บศพ

    คุณชุงมองเข้าไปในโลง แต่ก็ไม่พบอะไร เห็นเพียงแค่ความมืด ประกอบกับช่วงนั้นพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเต็มที เพื่อนเณรยื่นไฟแช็คให้ แล้วบอกให้คุณชุงใช้จุดส่องดู คุณชุงก็รับไฟแช็คมา แล้วยื่นมือเข้าไปในโลงศพ แล้วจุดไฟแช็ค

    ภาพที่เห็นทำให้คุณชุงร้องอุทาน พร้อมกับชักมือกลับออกมาทันที สิ่งที่เห็นคือซากศพแห้งๆ ที่นอนพนมมืออยู่ในโลง ด้วยความตกใจ คุณชุงรีบวิ่งกลับไปที่ศาลาการเปรียญ โดยมีเพื่อนเณรทั้งสองรูป วิ่งตามหลังมาติดๆ

    เวลาย่างเข้าหนึ่งทุ่ม คุณชุงเดินกลับไปนอนที่บ้าน ซึ่งวันนั้นคุณพ่อได้ไปช่วยงานที่วัดจนดึก ที่บ้านจะเหลือเพียงแค่น้าชายคนเดียว คุณชุงเข้านอนประมาณสี่ทุ่ม แต่มารู้สึกตัวตื่นขึ้นกลางดึก ไม่แน่ใจว่าเป็นเวลากี่โมง ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดัง “ตุ๊บ..ตุ๊บ..ตุ๊บ” อยู่แถวๆปลายเตียง

    คุณชุงพยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่ก็ต้องตกใจ เพราะว่าลืมตาไม่ได้ เหมือนกับว่ามีอะไรหนักๆ กดทับที่เปลือกตาไว้ เสียงปริศนามันเริ่มขยับมาดังอยู่ตรงข้างๆเตียง จนคุณชุนต้องใช้นิ้วมือแยกเปลือกตาออก เพื่อจะดูว่ามันคืออะไรกันแน่

    ภาพที่คุณชุงเห็นก็คือ ซาพศพแห้งๆ กำลังเดินไปมาอยู่ภายในห้อง ลักษณะพนมมือมัดตราสัง โน้มลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค่อยๆก้าวเดินเหมือนคนที่กำลังอิดโรย คุณชุงตกใจสุดขีด ตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ ร้องตะโกนลั่นเหมือนคนสติแตก แต่เสียงกลับอยู่แค่ในลำคอ

    สิ่งนั้นเดินวนไปมารอบๆห้องอย่างช้าๆ โดยไม่ได้มีทีท่าสนใจคุณชุงเลย คุณชุงนอนมองอยู่นานพอ จนสามารถเห็นทุกส่วนของศพได้ชัดเจน ลูกกะตาลึกโบ๋  จมูกเห็นเป็นเพียงแค่สันบางๆ ไม่มีริมฝีปาก จึงทำให้เห็นฟังสีเหลือง ที่เรียงซี่กันอย่างสวยงาม

    ช่วงลำตัวเห็นเป็นซากหนังแห้งๆสีเทา หุ้มโครงกระดูกกะหร่อง เดินโซซัดโซเซ เหมือนกับว่าพร้อมที่จะล้มกองลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ คุณชุนทนมองภาพอันน่าขนลุกต่อไปไม่ไหว รวบรวมแรงเฮือกใหญ่ ตะโกนเรียกน้าชายลั่นห้อง จนเสียงสามารถหลุดออกมาจากลำคอได้

    ไม่กี่อึดใจต่อมา น้าชายก็วิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมๆกับที่ร่างอันน่าขนลุกนั่นค่อยๆหายไป คุณชุงลุกพรวดขึ้นจากเตียง บอกกับน้าชายว่า โดนผีหลอก และขอให้น้าชายอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้า

    วันต่อมา คุณชุงรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ จึงรีบไปปรึกษาหลวงพ่อที่วัด และไปเจอเข้ากับเพื่อนเณรก่อน เพื่อนเณรก็บอกว่าเจอเหมือนกัน ช่วงเวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ตอนที่กำลังเดินไปอาบน้ำที่ห้องน้ำหลังวัด

    เห็นศพแห้งๆที่อยู่ในโกงดัง ยืนขย่มอยู่บนต้นโพธิ์ข้างห้องน้ำ แล้วค่อยๆใต้ลงมาจากต้นโพธิ์ เพื่อนเณรจึงรีบวิ่งกลับเข้ากุฏิ ส่วนเพื่อนเณรอีกคนนอนจับไข้อยู่ในกุฏิ คุณชุงก็ได้เข้าไปหา

    เพื่อนเณรจึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนที่กำลังจะนอน ได้ยินเสียงคนเคาะที่หน้าต่างกุฏิ จึงลุกขึ้นไปเปิดดู ปรากฏว่าเห็นศพแห้งๆ ยืนอยู่อีกฝั่งของหน้าต่าง แต่หัวเป็นสุนัขดำ มีน้ำลายเหนียวๆ ยืดออกมาจากปาก

    เมื่อหลวงพ่อทราบเรื่อง จึงได้ให้จัดเครื่องเซ่นคาวหวาน ไปขอขมาที่หน้าโกดังเก็บศพ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

17/04/2020

“สวัสดีค่ะ เรื่องกรุ..สนุกมั้ย” อุธาหรณ์คนชอบฟังเรื่องผี

เรื่องเล่าผีสุดสะพรึงและพิศดารที่สุดที่เคยฟังมาเรื่องนึงเลย เรื่องนี้ถูกเล่าไว้ในรายการผีทางโซเชียลชื่อดังอย่าง “คืนพุธมุดผ้าห่ม” ว่ามีผู้ฟังรายหนึ่งส่งเรื่องเล่าที่ตัวเองเคยประสบพบเจอมาร่วมสนุกในรายการ เป็นเรื่องเล่าของคณะขนส่งสินค้าที่เกิดผิดแผน ทำให้จำเป็นต้องเดินทางในช่วงกลางคืน ทุกอย่างคงไม่เกิดเป็นเรื่องเล่าผี ถ้าเจ้าของเรื่องซึ่งร่วมรถไปด้วยในครั้งนั้น…ไม่ได้ลงไปซื้อแผ่นซีดี เดอะช็อค ระหว่างแวะพัก… ใครจะไปนึกว่าความตื่นเต้นในการเปิดซีดีเรื่องเล่าผีในครั้งนั้น จะยิ่งกว่าดูหนัง 4D เพราะผี…มาให้ดูกันตัวเป็นๆ!

เรื่องเล่าผี… “สวัสดีค่ะ” มีอยู่ว่า…

ที่บ้านผมทำธุรกิจรับติดตั้งและซ่อมแซมลิฟต์ เรื่องมีอยู่ว่า…มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรารับงานด่วนมาจากลูกค้าที่กำชับมาว่า ต้องการจะติดตั้งลิฟต์ใหม่อย่างเร็วที่สุด พูดง่ายๆคือสั่งวันนี้พรุ่งนี้ต้องไปส่งได้ทันที อย่างไรก็ตามงานได้รับมาแล้ว ที่หมายคือจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ แม้จะค่อนข้างไกล แต่หากรีบที่สุดก็สามารถไปถึงในวันเดียวได้ จึงจัดแจงขนสินค้าขึ้นรถบรรทุกทันทีที่เตรียมการเสร็จ

อย่างไรก็ตาม เกิดปัญหาไม่คาดคิดขึ้นซะก่อน รถบรรทุกเจ้ากรรมเกิดเสียขึ้นมากระทันหันในเวลาเร่งรีบแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะโชคดีอยู่บ้างที่มันเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าไปเสียกลางทาง ทว่า…มันก็ทำให้กำหนดการที่ควรจะง่ายๆสบายๆ กลายเป็นงานที่ต้องแข่งกับเวลาขึ้นไปทุกที กว่าะได้รถบรรทุกคันใหม่มาแทน กว่าจะขนลิฟต์ขึ้นรถอีก นับว่าเสียเวลาไปมากโข

จากที่เคยคาดว่าจะสามารถไปส่งได้ก่อนค่ำ กลายเป็นว่าต้องจำใจเดินทางกันช่วงกลางคืน ตอนนั้นข้าวปลาก็ยังไม่ทันได้กิน ต้องอาศัยอาหารจากร้านสะดวกซื้อยอดนิยมข้างทาง อุ่นขึ้นมากินบนรถกัน แม้งานนี้จะเริ่มอย่างตะกุกตะกัก แต่มันก็ไม่ไดเกินจากที่พวกเราเคยเจอกันมา เหตุการณ์ไม่คาดคิดมันเกิดขึ้นได้เสมอ…ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น แต่ในความเป็นจริง ค่ำคืนนี้จะเป็นคืนที่พวกเราไม่มีวันลืม

รถขับผ่านมาได้ระยะหนึ่ง พอฟ้ามืดแต่ละคนในรถก็เริ่มจะง่วงเหงาหาวนอน เพลงที่เคยเพราะเสนาะหู ถึงตอนนี้ก็เริ่มเบื่อจนดูเหมือนจะยิ่งส่งเสริมให้หลับขึ้นไปอีก เพราะว่าฟังวนครบทั้งอัลบั้มมา 3-4 รอบเข้าไปแล้ว ตอนนั้นเองที่ผมเป็นคนออกไอเดียว่า เราควรแวะพักรถกันที่ปั๊มข้างหน้าดีกว่า เผื่อจะได้แวะเข้าร้านสะดวกซื้อ หลังจากได้พักเข้าห้องน้ำห้องท่ากันอยู่พักนึง ผมก็หยิบซีดีจากร้านสะดวกซื้อติดมือมาด้วย ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าตัวผมคิดอะไรอยู่ บางทีอาจจะเพราะความง่วง ความเพลียนี่แหละ ที่ทำให้ผมหยิบแผ่นซีดีเรื่องเล่าผีอย่าง “the Shock fm” แทนที่จะเป็นเพลงเพราะๆชวนหลับ

จะว่าไปมันก็ได้ผลเกินคาด คราวนี้แต่ละคนบนรถก็ดูตื่นเต้นลุ้นระทึกไปกับเรื่องเล่าที่ค่อยๆไต่ระดับความพีค เลยไม่มีใครดูง่วงกันอีกต่อไป กระทั่งจู่ๆก็มีอะไรบางอย่างวิ่งตัดหน้ารถ จนทำให้คนขับต้องรีบเหยียบเบรคแบบไม่ทันตั้งตัว ส่งเสียงเอี๊ยดดดังลั่น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นอะไร เท่าที่ฟังจังคนขับคือ เหมือนจะเป็นสุนัขสีดำทะมึนตัวใหญ่ แต่หลังรถหยุดพอมองไปรอบๆทางเปลี่ยวข้างพงหญ้า ก็ดูเหมือนไม่พบสัญญาณของสิ่งมีชีวิต

ผลจากการเบรคกระทันหัน ไม่เพียงแต่คนที่หน้าคะมำคว่ำกลิ้งกันทั้งคัน ลิฟต์ที่อยู่ท้ายรถบรรทุกก็ดูท่าจะโยกคลอนออกจากตำแหน่งของมัน พอหันหลังไปดูก็พบว่าผ้าที่คลุมไว้ และเชือกที่รัดลิฟต์กับรถไว้อย่างดี ตอนนี้มันกระโดดออกจากกันไปคนละทาง ผมดูนาฬิกาดิจิตอลบนวิทยุหน้ารถบอกเวลาตีสามเข้าไปแล้ว โชคดีที่ถนนเส้นนั้นในเวลานั้นร้างผู้คนสัญจร ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายมากกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกัน….เพราะมันร้างจนเงียบเชียบจนได้ยินทุกเสียงกระทบเล็กๆน้อยๆนี่แหละ ที่ทำให้ผมกลัว! ยิ่งเมื่อกี้พึ่งจะฟังเรื่องผี the shock มาหยกๆ จินตนาการในสมองผมก็ขยันขันแข็งขึ้นมาผิดเวล่ำเวลา ทำเอาผมคิดไปไกลแล้ว ผมก็พ่อ ลุง และคนงานอีกคน ลงจากรถเพื่อไปช่วยกันรัดสินค้าให้แน่นเหมือนเดิม มีเพียงคนขับเท่านั้นที่ยังรออยู่บนรถ

ระหว่างที่เรา 4 คนอยู่หลังรถ ช่วยกันจัดการกับสินค้าอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดัง ตึก..ตึก..ตึกก.. เสียงมันค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีคนกำลังเดินย่ำเท้ามาทางนี้ พอผมหันไปดูทางหลังรถก็เจอเลย! เป็นหญิงสาวผมดำยาวเป็นมันในชุดสีขาว กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาๆ จวนเจียนจะถึงท้ายรถอยู่แล้ว! พอดีว่าจัดการกับลิฟต์เสร็จพอดี ผมเลยเคาะกระจกบอกคนขับให้ออกตัวเดี๋ยวนั้นเลย ผมไม่รู้ว่าที่เจอเป็นใครหรืออะไร แต่ก็โล่งใจที่ออกมาจากตรงนั้นได้ ระหว่างทางก็ขนลุกจนคิดไม่ตก แต่อย่างน้อยเราก็คงไม่ได้เจอ “สิ่งนั้น” อีกแล้ว ผมเคยคิดอย่างนั้น จนกระทั่ง…

เราตัดสินใจที่จะหาที่พักค้างคืนกันก่อน เพราะว่าหากดันทุรังไปต่ออาจจะเป็นอันตราย ก็ไปหาห้องพักกันหน้างาน และไปพบกับห้องพักราคาประหยัดแห่งหนึ่ง ซึ่งก็สมน้ำสมเนื้อกับราคาเสียจริง เพราะในห้องนั้นไม่มีอะไรอำนวยความสะดวกแต่อย่างใด เป็นห้องโล่งๆเลยว่างั้นเถอะ สักพักแม่บ้านก็นำฟูกนอนมาปูให้ครบจำนวน 4 คน ส่วนโชเฟอร์ของเรานอนแยกอยู่อีกห้องหนึ่ง

บอกตามตรงว่า เหนื่อยทั้งใจและกาย หัวถึงหมอนก็หลับทันที แต่เวลาน่าจะผ่านไปไม่นานนัก จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูห้อง “ก๊อกๆๆ…ก๊อกๆๆๆ” ทำลายความเงียบ ผมไม่ได้อยากลุกออกไปเท่าไหร่นัก แต่ก็จำเป็น และก็พบว่ามีผู้หญิงผมยาวในชุดสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้ามายืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจ

“สวัสดีค่ะ… หนูทำบางอย่างหาย… ช่วยหาหน่อยค่ะ…” 

มีคนมาขอความช่วยเหลือถึงหน้าห้อง แม้มันจะไม่ใช่เรื่องของเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ จริงมั้ยล่ะครับ พ่อผม ลุง และคนงานอีกคนในห้อง เลยลุกตามเธอ ไปช่วยหาของที่ก็ไม่รู้ว่าอะไร ส่วนตัวผมนั้นบอกตรงๆว่ารู้สึกไม่ดี และก็คุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงคนนี้ แต่ดันนึกไม่ออก ประกอบกับความง่วงจัด เลยนอนรอทุกคนอยู่ในห้อง

ระหว่างที่ผมนอนหลับปุ๋ยอยู่คนเดียว ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ถึงตรงนี้ครั้นจะลุกไปเปิดก็เกิดปอดขึ้นมาซะอย่างนั้น ผมนิ่งอยู่อย่างนั้น กะว่าเดี๋ยวก็คงเงียบไปเองทำเมินซะอย่าง แต่จู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาแทน “สวัสดีค่ะ!” ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่า… เห้ย นี่มันเสียงผู้หญิงชุดขาวคนเมื่อกี้นี้หนิ กลับมาอีกทำไม? ละ..ล.. แล้วพ่อเรากับอีก 2 คนที่ไปด้วยกันล่ะ ไปไหน? ทำไมไม่กลับมาพร้อมกัน ผมคิดหาเหตุหาผลให้กับเรื่องราวประหลาดที่พยเจอมาตลอดคืนจะหัวแทบไหม้ ไม่ทันให้ผมได้คอดนาน สักพักเสียง “สวัสดีค่ะ” ก็เริ่มดังขึ้น แบะถี่ขึ้น!

สวัสดีค่ะๆๆ…สวัสดีค่ะๆๆๆ…สวัสดีค่ะๆๆๆๆ…

บอกเลยว่าคนปกติทั่วไปคงไม่ทำอะไรน่าขนลุกแบบนี้!

เสียงที่ว่ายังคงดังต่อไป ในที่สุดผมก็รู้สึกได้ว่า…เสียงมันเริ่มใกล้หูเข้ามามากขึ้นทุกทีๆ จนเหงื่อกาฬไหลพรากๆ ไม่ไหวแล้วผมอยู่ในนี้คนเดียวต่อไปไม่ได้… คิดได้แบบนั้นก็รีบพุ่งคัวทะยานออกจากห้อง วิ่งไปไม่ไกลนักก็ไปเจอพ่อกับคนอื่นๆยืนอยู่ ผมรีบเล่าสิ่งที่เจอมาโดยสังเขปให้ฟัง หลังจากนั้นเราเลยไปรวมตัวกันในห้องอาหารใกล้ๆ ก่อนที่จะเรียบเรียงเหตุการณ์ที่พบเจอกันมาให้ฟังโดยละเอียด

แต่คุณพระ!! จู่ๆผู้หญิงคนที่เป็นหัวข้อสนทนา ก็เหมือนอยากร่วมวง ปรากฏตัวมาจากทางไหนก็ไม่ทราบ ก่อนจะโผล่พรวดเข้ามากลางวงที่พวกเรานั่งล้อมกันอยู่ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า…

“ชอบฟังเรื่องผีกันมากเหรอ? …เรื่องของกรุ สนุกมั้ยล่ะ !!”

“เรื่องกรุ สนุกมั้ยล่ะ… เรื่องกรุ สนุกมั้ยล่ะ… เรื่องกรุ สนุกมั้ยล่ะ… เรื่องกรุ สนุกมั้ยล่ะะะะะะ” 

เธอพูดซ้ำๆอย่างนั้นต่อหน้าทุกคนอย่างบ้าคลั่ง มันเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ แต่ก่อนที่ผมจะได้รู้เหตุและผล หันหน้ากลับมาอีกทีก็พบว่า…วงแตกกระเจิง วิ่งหนีกันไปหมดคนละทิศคนละทาง! ส่วนผมเหรอ จะรออะไรล่ะครับ! ใส่เกียร์หมาวิ่งจ้ำตามไปเลยจร้าา

สุดท้ายหลังวิ่งกันอยู่พักใหญ่ ก็กลับมารวมตัวนอนกอดกันกลมในห้องเดิม ผู้ชาย 4 คนนอนแนบชิดสนิทเนื้อ ที่ในสถานการณ์ปกติคุณไม่มีวันได้เห็นแน่ๆ หน้าประตูเราก็เอาสัมภาระกระเป๋าแต่ละคนมากองรวมกัน กะว่าผีมันเปิดผ่านเข้ามาไม่ได้แน่ๆ พอรุ่งเช้าเราก็ตื่นมานั่งคุยกัน จับความไปจับความมาก็นึกสงสัยสิ่งที่เธอพูดทิ้งเอาไว้ “เรื่องกรุ…สนุกไหม?” ผมเลยล้วงแผ่นซีดี the Shock ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อขึ้นมาพลิกๆดู ไล่ดูลิสท์รายชื่อเรื่องเล่าผีที่อยู่บนปกด้านหลัง ก็ไปสะดุดเข้ากับบรรทัดหนึ่ง ที่มีเรื่องชื่อว่า “สวัสดีค่ะ” อยู่ในลิสต์ด้วย!! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : “สวัสดีค่ะ” จากคืนพุธมุดผ้าห่ม

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

14/04/2020

20 คำพูดหลอนๆจากปากหนูๆ เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่เราไม่เห็น

ใครจะคาดคิด ว่าเหล่าหนูน้อยตัวเล็กๆที่ดูไร้เดียงสา บางทีก็อาจจะหลุดคำพูดที่แม้แต่ผู้ใหญ่ได้ยินก็ยังอดขนลุกขนพองไม่ได้ ว่ากันว่าช่วงอายุ 1-5 ขวบ เป็นช่วงที่มนุษย์จะยังคงมีเซ๊นส์ในการสัมผัสถึงสิ่งต่างๆที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาทั่วไป กระทั่งหนูๆเหล่านั้นเติบโตขึ้น เซ๊นส์ที่ส่าเหล่านี้ก็จะค่อยๆหายไป เว้นแต่บางคนที่เซ๊นส์แรงจริงๆ ยังคงสามารถมองเห็น “วิญญาณ” หรือผีได้แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ อย่างไรก็ตาม เราได้รวบรวม 20 เหตุการณ์ 20 คำพูดจากปากน้องๆหนูๆ ที่จะทำให้คุณขนลุกจนนอนไม่หลับ!

กล่าวอำลา

ในตอนที่น้องสาวของฉันอายุได้ 5 ขวบ เช้าวันหนึ่งเธอวิ่งเขาไปสวมกอดคุณตาจนแน่น แล้วเริ่มร้องห่มร้องไห้ ราวกับว่าไม่เจอกันมาสักปี ทั้งๆที่เราอยู่ด้วยกันมาตลอด ก่อนที่เธอจะพูดออกมาว่า “หนูรักคุณตานะคะ…แต่ ลาก่อนค่ะ หนูจะไม่ลืมเรื่องของคุณตาเลย” !?

แล้วในคืนนั้นเอง คุณตาของเราก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยโรคประจำตัวที่เป็นมานาน ไม่แน่ว่าเธออาจจะสัมผัสได้ล่วงหน้า ก็เป็นได้

ชายบนต้นไม้

ที่สวนของเพื่อนบ้านฉัน ห้อมล้อมไปด้วยโกศเก็บกระดูกของวัด วันหนึ่งพ่อ ฉัน และหลานสาวของฉันก็เดินไปบริเวณนั้น จู่ๆ หลานสาววัย 4 ขวบของฉันก็ถามขึ้นมาว่า “ผู้ชายคนนั้นขึ้นไปทำอะไรอยู่บนต้นไม้เหรอคะ?”

ที่ฉันเห็น ไม่มีผู้ชายที่ไหนสักคน แต่หลานสาวของฉันยืนยันว่ามี และสามารถอธิบายรูปลักษณ์ของเขาได้อีกด้วย บางทีถ้าใจกล้าพอและเดินดูตามโกศดีๆ คุณอาจจะพบรูปใครสักคนบนนั้น ตรงตามลักษณะที่เธอล่าวก็ได้ !

แมรี่

ผมและภรรยาได้ยินเสียงลูกสาววัย 2 ขวบของเราจากจอมอนิเตอร์ที่เชื่อมอยู่กับกล้องในห้องลูก ลูกสาวตัวน้อยเพิ่งตื่นขึ้นในเช้าวันเสาร์ เราได้ยินประโยคประมาณว่า “อะไรนะ? โอเคได้ เดี๋ยวฉันไปจะบอกเธอเอง”

จากนั้นลูกน้อยก็ลุกขึ้นจากเตียง แล้วเข้ามายังห้องของพวกเราแล้วเข้ามาพูดกับภรรยาของผมว่า “แมรี่บอกว่าแม่ทำได้ดีมาก” และแมรี่ที่ว่าก็คือคุณยายที่สนิทกับหนูน้อยมากๆ แต่บังเอิญว่าคุณยายตายไปสักพักแล้วน่ะสิ…

บทลงโทษ

ตอนนั้นฉันอายุ 17 ปี ซึ่งทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงน้อง 6 ขวบในครอบครัวที่สนิทกัน ขณะที่เจ้าหนูนอนในห้องนอนไปราวๆ 2 ชั่วโมงแล้ว ฉันจึงแอบแง้มประตูส่องในห้องนอนเพื่อเช็ก พบว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียง

แต่พอฉันเปิดประตูกว้างขึ้น ฉันพบว่าเขายืนอยู่ตรงมุมห้องและหันหน้าเข้ากำแพง มันเป็นภาพที่น่ากลัวมาก พอฉันถามเขาว่าทำอะไรอยู่ เขาหันกลับมาแล้วยิ้มพร้อมกับทาบนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากตัวเองแล้วพูดว่า “ชู่ววว” 

ฉันจึงถามเขาอีกครั้งว่าทำอะไร เขาก็ตอบกลับมาว่า “อย่ามายุ่งกับพวกเรา นี่คือบทลงโทษของเจ้าหนู”

คอนเนอร์

สมัยที่ลูกชายฉันอายุ 3 ขวบ เขาลงมาจากห้องนอนในตอนเช้าและเล่าเรื่องเกี่ยวกับเรือที่ล่มในแม่น้ำเทมส์เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว (ฉันก็จำไม่ค่อยได้) แต่ขณะที่เขาเล่า เขาจำชื่อต่างๆ ได้อย่างละเอียด นั่นทำให้พวกเราหัวเราะกันก๊าก จาสามีของฉันต้องถามออกไปว่าเขารู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร เขาตอบว่า “คอนเนอร์เล่าให้ผมฟัง”

จากนั้นเราก็เสิร์ชดูรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์เรือล่มในครั้งนั้น ปรากฏว่ามันตรงกับที่ลูกชายเราเล่าเป๊ะๆ เมื่อเราถามหนูน้อยก็ได้คำตอบว่า คอนเนอร์เป็นคนที่ชอบมาเล่าเรื่องให้ลูกชายของเราฟังในตอนกลางคืน

มันกำลังมา

ขณะที่ลูกสาวคนโตของฉันมีอายุได้ราว 2-3 ขวบ เธอจะมีเพื่อนในจินตนการของเธออยู่สองคนคือ โดโด้และดีดี้ เธอเล่นกับพวกเขาตามปกติ มีการพูดคุย และนำเรื่องของโดโด้กับดีดี้มาเล่าให้ฉันฟังบ้างในบางครั้ง

และแล้ววันหนึ่ง ขณะที่เธอมีอายุประมาณ 3 ขวบนั่นแหละ ขณะที่ฉันเดินเข้าไปในห้องเธอ เธอก็เล่นคุยโทรศัพท์ด้วยโทรศัพท์ของเล่นอยู่ เธอพูดว่า “ถือสายรอเดี๋ยวนะ”

แล้วหันมาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแห้งเย็นว่า “ปีศาจกำลังมา”

แม่รู้มั้ย?

ขณะที่ลูกสาวของฉันกำลังเปิดแมกกาซีนดูภาพต่างๆ จู่ๆ เธอก็หยุดไว้ที่หน้าหนึ่งของหนังสือ หน้านั้นเป็นภาพของหญิงจากยุคราวๆ 1950s หรือไม่ก็ 1960s จากนั้นเธอก็พูดว่า “แม่ดูสิ คนนี้คือแม่..ก่อนที่แม่จะตายยังไงล่ะ”

ตอนนั้นลูกฉันอายุ 3 ขวบเองนะ…

ลูกชายของผมเมื่อตอนห้าขวบพูดว่า

ลูกชาย: พ่อๆ ผมจะกินพ่อล่ะนะ

ผม: หืมมมมม

ลูก: ช่าย ผมจะหั่นพ่อเป็นชิ้นๆ

ผม: ….

เมื่อตอนหลานสาวของฉันอายุได้ 7 ขวบ

เธอถามพวกเราว่า ทำไมเราต้องเก็บพวกคุณย่าคุณยายที่ตายไปแล้วไว้บนห้องใต้หลังคา!?

แล้วเธอก็หัวเราะ….

ฉันเคยถามลูกชายของเพื่อนว่าเขากำลังขุดอะไรอยู่

เขาตอบมาว่า “ศพไง… ทำไม…? คุณไม่เคยเห็นร่างคนตายเหรอ”

ระหว่างที่เรากำลังปิกนิกกันที่สวน

ตอนนั้นเองลูกชายของฉันก็จับมือฉันไว้แน่น แน่นมากๆ แล้วบอกฉันด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ครับ พอแม่ตาย ผมจะทำตุ๊กตาของคุณแม่ขึ้นมา เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป… นั่นสินะ ตุ๊กตาจะทำจากหนังของคุณแม่ แล้วก็ตาด้วย แต่คงไม่เอาเครื่องใน” 

กำลังเดินเล่นในป่ากับลูกชายวัยเจ็ดขวบ

ระหว่างที่เดินในป่าเงียบๆ นั่นเอง จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “ป่าแห่งนี้กำลังเรียกหาเหยื่อสังเวยอยู่”

ฉันต้องเดินทางไปทำงานข้างนอกบ่อยๆ ก็เลยวิดีโอคอล เพื่อคุยกับลูก

คืนหนึ่งในตอนที่เขาอายุได้สี่ขวบ จู่ๆ เขาก็ถามฉันที่กำลังพักในโรงแรมคนเดียวว่า “คนที่อยู่ในห้องกับแม่ นั่นใครเหรอ” พอฉันถามว่าเขาหมายถึงใครเหรอ ลูกชายของฉันก็บอกว่า มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ข้างหลังฉัน

ฉันกำลังเดินในสุสานกับลูกสาวระหว่างกลับบ้าน

ลูกสาวของฉันที่ไปที่ฮวงซุ้ยอันหนึ่งแล้วบอกว่า “แม่ๆ ผู้ชายใส่แจ็คเก็ตแดงข้างๆ บ้านหินนั่นใครเหรอ” ฉันหันไปดูตามนั้นแต่ก็ไม่เห็นมีใคร “เขาโบกมือให้หนูด้วยล่ะ” ว่าแล้วเธอก็โบกมือให้อะไรสักอย่างที่อยู่ตรงนั้นแล้วก็หันมาบอกฉันว่า “แม่ๆ เขากำลังจะเดินมาคุยกับหนูด้วย”

วิ่งสิคะ รออะไรอยู่!

ตอนที่ผมกำลังซื้อของอยู่นั้น ผมก็พบกับแม่ลูกคู่หนึ่ง

เธอดึงแขนเสื้อของคุณแม่แล้วบอกว่า “หนูเห็นล่ะ คุณแม่ หนูเห็นล่ะ” พอเห็นแบบนั้นแม่ของเธอจึงตอบกลับไปอย่างใจเย็นว่า “เห็นอะไรเหรอลูก” เด็กสาวพูดต่อว่า “ทุกสิ่งทุกอย่าง หนูเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง” 

มันก็ดูไม่เกี่ยวกับผมอยู่หรอก จนกระทั่งเธอหันมามองผมแล้วบอกว่า “ผู้ชายคนนี้จะต้องตายในสักวัน…”

น้องที่ฉันรับเลี้ยงดูแล ชวนฉันไปเล่นในชั้นใต้ดิน

เมื่อไปถึงเขาก็บอกว่า “เมื่อพวกเขาเอาคุณยัดใส่กล่อง จะไม่มีใครได้ยินเสียงของคุณ แล้วข้างล่างนี้ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของคุณเหมือนกัน” แล้วก็กัดฉัน

สิ่งที่รอทุกคนอยู่ และไม่มีใครหนีพ้น

หนูน้อย : พวกเราจะต้องตายสักวัน

ฉัน : ฉันรู้ มันเป็นส่วนหนึ่งของชี…

หนูน้อย : แต่เธอจะต้องตายวันพรุ่งนี้!!

Kelly ไงจะใครล่ะ

ขณะที่ลูกสาวของผมมีอายุ 3 ขวบเธอมีเพื่อนในจินตนาการที่ชื่อว่า Kelly ซึ่งอาศัยอยู่ในตู้เสื้อผ้า เธอบอกว่า Kelly จะนั่งมาบนเก้าอี้โยกยามที่เธอนอนหลับ บางครั้งก็เล่นกับเธอ รวมถึงทำอะไรต่างๆ ร่วมกันมากมาย

สองปีให้หลัง เมื่อผมและภรรยากำลังดูหนังเรื่อง Amityville (ภาคที่ Ryan Renolds แสดง) จังหวะที่ผีสาวในหนังโผล่หน้าพร้อมดวงตาสีดำไปทั้งดวง ลูกสาวของเราก็เดินมาเห็นพอดี แทนที่เธอจะกลัว เธอกลับพูดออกมาว่า “นั่นดูเหมือนกับ Kelly ไม่มีผิด”

“Kelly ไหนลูก?” เราถาม เธอจึงตอบว่า “ก็ Kelly ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าเราไงคะ” 

บ้านเรามีแม่คนเดียวนะลูก…

ลูกคนเล็กของฉันจู่ๆ ก็พูดกับฉันขึ้นมาว่า “หนูอยากเจอแม่อีกคนจังเลย” แถมยังบอกกับฉันอีกว่าแม่อีกคนเป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ เลยด้วย

ก็พี่เลี้ยงน่ะสิ

สมัยยังเล็กๆ ลูกพี่ลูกน้องของฉันถูกพบว่าลงไปอยู่อีกด้านของประตูกั้นบันได เธออยู่ด้านล่างนั่น ฉันจึงตะโกนถามว่า “เธอลงไปได้ยังไงน่ะ?” เธอตอบว่า “พี่เลี้ยงอุ้มฉันลงมายังไงล่ะ”

แต่บังเอิญว่าพี่เลี้ยงของบ้านเราตายไปตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้ว และตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เลยว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันลงบันไดและข้ามประตูกั้นไปได้ยังไง

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก …

Admin

12/04/2020

“ชมร่างอาจารย์ใหญ่” เวลาดูให้ยืนข้างๆ มันขวางทางสัมภเวสีกินน้ำเหลือง

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ “คุณก้อน” ได้โฟนอินเข้าไปเล่าประสบการณ์สุดระทึกของตนเอง ผ่านทางรายการเดอะช็อคในตอนที่มีชื่อว่า “อาจารย์ใหญ่” โดยเป็นเหตุการณ์ครั้งที่คุณก้อนได้เดินทางเข้าไปเยี่ยมชมร่างของอาจารย์ใหญ่ในโรงพยาบาลด้วยตนเอง เนื่องจากช่วงนั้นกำลังศึกษาเกี่ยวกับการทำกรรมฐานด้วยการเพ่งพิจารณาเพื่อปลงสังขาร แต่ด้วยความที่ไม่มีความรู้ถูกต้อง ทำให้การปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองครั้งนี้ เป็นเหตุมาสู่ความน่ากลัวขนลุกขนพอง….

เรื่องผีเดอะช็อค | อาจารย์ใหญ่ โดย คุณก้อน

เรื่องราวต่อไปนี้เกิดเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมมีอาชีพเป็นข้าราชการ ในขณะเดียวกันผมก็สนใจศึกษาในด้านธรรมะ จชกระทั่งวันหนึ่งก็ตัดสินใจที่จะทำกรรมฐานด้วยวิธีการพินิจร่างไร้วิญญาณ เพื่อเป็นการปลงและขัดเกลาจิตใจ

ตอนนั้นผมอาศัยอยู่แถวปากคลองตลาด ในวันหยุดวันหนึ่ง ผมตัดสินใจเดินข้ามฝั่งไปยังโรงพยาบาลที่ถือว่าเก่าแก่และมีประวัติยาวนานแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ในขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นไปบนตึก จมูกก็ได้กลิ่นของฟอร์มาลินลอยฟุ้งจนเตะจมูก แน่นอนว่าเป้าหมายของผมก็คือ ห้องที่เก็บร่างอาจารย์ใหญ่เอาไว้ซึ่งอยู่บนชั้นสองของอาคารหลังนี้

เมื่อเข้าไปแล้วจะพบว่าด้านในจะมีตู้กระจกใบใหญ่ถูกตั้งขึ้นไว้ 2 ตู้ ภายในบรรจุร่างอาจารย์ใหญ่ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเพศหญิง ซึ่งซีกหนึ่งของร่างนั้น ชั้นหนังกำพร้าได้ถูกลอกออก ทำให้มองเห็นชั้นกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ ซึ่งคงถูกนำมาใช้ในการศึกษาอนาโตมี่ของนักเรียนแพทย์มาก่อน ไม่ห่างกันนั้นจะมีอีก 1 ตู้วางนอนเอาไว้ ซึ่งบรรจุร่างอาจารย์ใหญ่เพศหญิงอีกท่าน แต่แขนข้างขวาถูกแยกออกมาวางไว้ข้างๆกัน

ผมใช้เวลาอยู่ราว 20 นาทีในการเพ่งพินิจพิจารณาร่างที่บัดนี้ไร้ซึ่งวิญญาณของผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคน มีลมหายใจเหมือนเราๆท่านๆ แต่มีความเสียสละบริจาคร่างกายของตนเพื่อใช้ในการศึกษาด้านการแพทย์เพื่อความก้าวหน้าของมนุษย์ทุกคน กระผมภาวนาขอให้วิญญาณของท่านได้รับผลบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

จากนั้นก็ผละออกจากตรงนั้นและไปพบโหลดองทารกใกล้ๆกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง สายตาของผมมองทอดยาวไปตามทางเดินที่ร้างซึ่งผู้คน แม้ว่าที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีคนไข้เข้าออกเนืองแน่นทุกวัน แต่ดูเหมือนที่อาคารหลังนี้จะแตกต่างออกไป มันทำให้ผมรู้สึกเย็นเยียบในความวังเวงจนขนลุก

ผมออกเดินไปตามทางที่ทอดยาว กระทั่งสังเกตเห็นว่าทางด้านซ้ายมือมีเตียงเรียงอยู่ชิดติดข้างกำแพง ภายในนั้นมีอะไรอยู่ไม่ทราบได้ เพราะถูกผ้าคลุมสีขาวปิดไว้อย่างมิดชิด ทีแรกผมคิดว่าจะลองแง้มผ้าขึ้นมาดู แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนใจ อาจจะด้วยความกลัวหรือความรู้สึกแปลกๆในใจบางอย่างที่รบกวนอยู่ และคิดว่าคงพอแล้วสำหรับวันนี้

คืนนั้นวันศุกร์ ผมมีธุระต้องเดินทางไปที่วัดในจังหวัดระยองที่บ้านค่าย วัดจะอยู่บนภูเขา พอถึงที่วัดผมก็นอนพักผ่อนแล้วได้ฝันว่ามีผู้หญิงกวักมือเรียก ผมจึงเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น แล้วก็เดินจูงมือผมไปด้วยมือด้านขวา กระทั่งสายตาผมก็สังเกตเห็นว่าข้อมือของผู้หญิงคนนี้ขาดหายไป

ผมมาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงระฆังเช้าของวัดตอนเช้า เลยเล่าความฝันให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อฟังแล้วก็นิ่ง ท่านพูดแค่ว่า “ให้หมั่นภาวนานะ” ผมได้ยินแบบนั้นก็ใจไม่ดี

วันอาทิตย์ผมก็เดินทางกลับกรุงเทพ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ ในช่วงพักเที่ยงหลังจากทานข้าวเสร็จก็คิดจะงีบหลับสักประเดี๋ยว แต่ระหว่างที่กำลังนอนอยู่ ผมรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น และเหมือนอากาศมันหนักๆ

หูก็ได้ยินเสียงลมพัดอื้ออึง ในขณะที่ขยับตัวไม่ได้และเหมือนได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ แต่ก็จับใจความไม่ได้เพราะเสียงลมพัดอยู่ในหูแรงมาก ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ จนสักพักก็จับใจความเสียงที่คุยกันได้ความว่า

“เอามันไปเลย”

ผมได้ยินแล้วขนลุกวาบไปทั้งตัว อยากจะวิ่งหนีแต่ก็ขยับไปไหนไม่ได้ ตาก็มองไม่เห็นรับรู้ได้แต่เสียง มีความรู้สึกเหมือนใจจะขาดให้ได้ ผมจึงคิดถึงคำพูดของหลวงพ่อว่าให้ภาวนา จึงพยายามใจเย็นให้ได้มากที่สุด

ผ่อนลมหายใจแล้วภาวนาสักพัก เหมือนมีอะไรบางอย่างมากลิ้งอยู่ที่กระหม่อม และมีความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างอุ่นๆไหลลงมาจากกระหม่อมไปจนทั่วร่างกาย แล้วเสียงทุกอย่างก็สงบลงจนรู้สึกขยับตัวได้

ผมจึงเดินทางไปวัดที่ระยองอีกครั้งแล้วเล่าเหตุการณ์ที่พบมาให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านบอกว่า

“มันเป็นอาการของคนกำลังจะตายโดยไม่มีสติ อาการจะเป็นแบบนี้…ให้จำเอาไว้” 

หลังจากนั้นมาผมก็ไม่กล้าไปที่โรงบาลแห่งนั้นอีกเลย กระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสฟังเทปการเดินธุดงค์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดํา ท่านพูดถึงการวิปัสสนากรรมฐานว่า…. เวลาเดินธุดงค์ตามป่านั้น หากไปพบเจอศพต้องทำอย่างไร วิธีการพิจารณาควรทำอย่างไร จึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวผมเองทำไปมันไม่ถูกต้อง

เวลาไปเจอร่างของผู้ไร้วิญญาณ…อย่ายืนค้ำหัวหรือยืนต่อหน้าตรงๆ แต่ให้ยืนเยื้องๆไปทางซ้ายหรือขวา และให้ยืนเหนือลม เพราะถ้าเราได้กลิ่นของศพจะทำให้เรารู้สึกพะอืดพะอม และอยากอาเจียน การแสดงอาการเหล่านี้ต่อหน้าร่างพวกเขา ถือเป็นการไม่ให้เกียรติคนตายโดยไม่รู้ตัว

ยิ่งไปกว่านั้น…การที่เราไปยืนตรงๆต่อหน้าศพ มันจะเป็นการไปขวางทางของพวกอสูรกายก็ดี หรือเหล่าเปรตที่จะเข้ามาดูดกินน้ำเหลือง

หลังจากนั้นตอนที่ได้ไปวัดที่ระยองอีก ก็ได้ไปเล่าเรื่องที่พบมาให้หลวงพี่ที่วัดฟังด้วย พอหลวงพี่ได้ฟังก็อยากจะไปดูด้วย โดยให้ผมพาไป ผมก็เลยจำเป็นต้องกลับไปอีก ทั้งๆที่ไม่อยากเข้าไปแล้ว

แต่ครั้งนี้มีน้องของผมไปด้วยกับพระลูกวัดตามไปด้วยอีกหนึ่งคน รวมเป็นสี่คน พอไปถึงที่โรงพยาบาลก็เหมือนเดิมกลิ่นฟอร์มาลีนลอยฟุ้งอยู่ทั่วโรงพยาบาล ผมและน้องพร้อมกับหลวงพี่อีกสองรูปก็ขึ้นไปดูห้องอาจารย์ใหญ่

สักพักก็ลงมาข้างล่าง ผมก็ถามน้องว่าได้กลิ่นฟอร์มาลีนมั้ย น้องก็ตอบว่าได้กลิ่นแรงมาก แล้วก็ถามหลวงพี่ แต่หลวงพี่ทั้งสองรูปบอกว่าไม่ได้กลิ่นฟอร์มาลีนเลย ผมจึงคิดว่านี่คงจะเป็นการให้เกียรติพระภิกษุสงฆ์ของเหล่าอาจารย์ใหญ่ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มาเรื่องผี : เดอะช็อค 13

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

11/04/2020

บ้านเก็บศพ…ตำนานหลอนบ้านหรูย่านบางแวกที่สร้างให้ผีอยู่

อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณเคยได้ยินเรื่องเล่าผีนี้ เรื่องราวชวนขนลุกนี้ ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เรือนหอคนตาย ที่ว่านี้ มีอยู่ที่ไหนกันแน่ บ้างก็ว่าแถวพระรามเก้า บ้างก็ว่าอยู่แถวลาดพร้าว บ้างก็ว่าอยู่ในหมู่บ้านใหญ่ย่านรังสิต บ้างก็ว่าอยู่แถวชลบุรี สมุทรปราการ… อย่างไรก็ตามคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการผีชื่อดังอย่าง “เดอะช็อค” เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม เมื่อหลายปีที่ผ่านมาให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน โดยคุณมาร์ค เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะ ๆ ให้ฟังว่า…

คุณมาร์คเล่าให้ฟังว่า… ตอนนั้นเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณป้าก็ตกลง

สำหรับบ้านดังกล่าว เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ร่มรื่นมาก มีต้นไม้เต็มไปหมด ส่วนป้าแม่บ้านก็ให้ตนไปรับ-ส่ง ทุกวันพระ ซึ่งตนก็ไม่ถามไถ่ถึงเหตุผล รู้แค่เพียงว่าบ้านหลังนี้มีชายหญิงคู่หนึ่งอาศัยอยู่ เพราะเวลาที่เขาไปรับ-ส่ง ป้าแกทีไร ก็จะเห็นชายหญิงคู่นั้นมักมายืนมองอยู่ตรงหน้าต่างเสมอ ๆ

วันนึงคุณมาร์คนั่งคุยกับเพื่อนวินมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน ก็ถามไถ่กันตามปกติว่า แม่บ้านลูกค้าประจำของตนเนี่ย ตนไปส่งเขาที่ไหนบ้าง เมื่อตนบอกไปว่าส่งที่บ้านหรูหลังดังกล่าว เพื่อน ๆ ก็บอกว่าบ้านหลังนี้น่ะ เขาเก็บศพไว้บนบ้าน..!! ส่วนตนก็ไม่เชื่อเพราะบ้านหลังนั้นเหมือนบ้านที่มีคนอยู่ปกติ แถมยังมีแม่บ้านเข้า-ออก ไปทำความสะอาดอีกด้วย

จนกระทั่งวันหนึ่ง…คุณมาร์คก็ไปส่งป้าแม่บ้านบ้านอีกเช่นเคย ทีนี้ป้าแกเกิดวานให้ตนช่วยยกของหน่อย ขอเวลาตนเพียงแป๊บเดียวเท่านั้น..ตนก็เลยเข้าไปช่วย พอเข้าไปในบ้านหลังนั้น ก็พบเฟอร์นิเจอร์หรูหรามากมาย ดูสะอาดเรียบร้อยเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วแม่บ้านก็บอกให้ตนช่วยยกของขึ้นชั้นสอง ซึ่งเมื่อยกเสร็จแม่บ้านก็ลงไปหยิบของ โดยบอกกับตนว่า รออยู่ข้างบนแป๊บนึงนะ และอย่าเปิดห้องใดๆเลยน่ะ..เพราะเป็นห้องของเจ้านาย

พอแม่บ้านลงไปปุ๊บ คำที่เพื่อนวินมอเตอร์ไซค์บอกไว้ว่า “บ้านนี้เก็บศพไว้ในบ้าน” ก็ผุดขึ้นมาในหัวปั๊บ..เพราะอยากพิสูจน์ให้เพื่อน ๆ รู้ว่าบ้านนี้มันไม่มีอะไร 
แต่พอตนกำลังจะเดินไป ก็เหลือบไปเห็นผู้หญิง-ผู้ชาย คู่หนึ่ง เดินอยู่บริเวณห้องโถงข้าง ๆ และหายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ต่อมาเมื่อตนเห็นว่าผู้หญิง-ผู้ชายคู่นั้นเดินเข้าไปแล้ว ก็ตรงไปยังห้องที่แม่บ้านห้ามเข้าทันที

เมื่อตนบิดลูกบิดดัง…แกร๊ก และผลักประตูเข้าไป ก็พบว่าในห้องนั้นมีเตียงนอนขนาดใหญ่ และตู้เสื้อผ้า เหมือนห้องนอนปกติ แต่เมื่อตนกำลังปิดประตู จู่ ๆ หางตาซ้ายตนก็เหลือบไปเจอ โลงแก้ว…ข้างในบรรจุร่างไร้ลมหายใจของสองชายหญิงที่ตนเห็นเป็นประจำตรงหน้าต่างดังกล่าว ซึ่งศพอยู่ในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวนอนอยู่ข้างๆกันในโลงนั้น.!! 
ตนตกใจมาก แต่ก็โวยวายไม่ได้ เพราะป้าแม่บ้านเตือนแล้วว่าห้ามเปิด ตนจึงค่อย ๆ เดินลงบันไดไป …ด้วยอาการช็อก และกลัวขั้นสุดยืนแทบไม่ไหวมันจะร่วงตกบันไดเลยทีเดียว แล้วพอตนหันไปที่ประตูห้องนั้น ก็เห็นผู้หญิง ผู้ชายดังกล่าว ยืนอยู่หน้าห้องอีก ในสภาพตัวตัวซีด ๆ ตนจึงรีบก้าวลงไปอีกขั้น พอหันมาอีกครั้ง ก็เจอสองคนนั้นยืนอยู่ตรงทางลงบันได..!!

คุณมาร์ค เล่าต่อไปว่า คราวนี้ตนก็สติกระเจิงวิ่งลงบันไดทันที และสวนกับป้าแม่บ้านอย่างไว..ขณะที่ป้าแม่บ้านจับแขนตนเอาไว้ทัน แล้วก็ดุตนว่า บอกว่าแล้วว่าอย่าเปิดๆ เจอเข้าแล้วใช่มั้ย เห็นแล้วเป็นอย่างไงล่ะ..!! แล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ ซึ่งตนก็พยักหน้า ๆ แต่ก็บอกว่า “ป้าไปคุยกันนอกบ้านดีกว่า ตนอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”

เมื่อออกมานอกบ้าน ตนก็ถามแม่บ้านว่าทำไมเขาถึงเก็บร่างไรวิญญาณของคู่รักไว้ในบ้าน ทำไมไม่ประกอบพิธีทางศาสนา ป้าแม่บ้านก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังว่า…

สามีภรรยาคู่นี้แต่งงานกันใหม่ ๆ และบ้านหลังนี้ก็เป็นเรือนหอของพวกเขา จากนั้นเขาก็ไปฮันนีมูนกัน แต่ขากลับพวกเขาประสบเหตุรถชน ทำให้เสียพร้อมกันทั้งคู่ ซึ่งญาติๆ ของทั้งคู่ทำใจไม่ได้ อีกทั้งครอบครัวฝ่ายชายยังฝันว่า ผู้ชายไม่อยากไปไหน อยากอยู่บ้านหลังนี้ ถึงเวลาก็จะมีคนเข้ามาฉีดศพ มีแม่บ้านผลัดเปลี่ยนมาทำความสะอาดแทบทุกวัน ส่วนตนมีหน้าที่เอากับข้าวมาให้ทุกวันพระ..

ในความเป็นจริง อาจจะยังไม่มีใครระบุแน่นอนว่าเป็นที่ใดกันแน่ บางทีมันอาจเป็นเพียงตำนานเมือง หรือว่าแท้จริงแล้ว เรือนหอคนตายนี้จะไม่ได้มีเพียงแค่หลังเดียว!? อย่างไรก็ตาม นี่คือสุดยอดเรื่องลี้ลับชวนขนหัวลุกที่ยังคงรอคอยการพิสูจน์ จากผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า แล้วคุณผู้อ่านล่ะ รู้กันหรือเปล่า ว่าบ้านหลังนี้ จริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหนกัน?

อย่างไรก็ตาม นี่คือส่วนหนึ่งของเสียงจากสมาชิกผู้ใช้พันทิป ที่เคยมีประสบการณ์หรือรู้จักบ้านหลังนั้นออกมาแลกเปลี่ยนเรื่องราว และความคิดเห็นกัน

ผู้ใช้หมายเลข 1995120 บอกว่า…มันเป็นเรื่องที่แม้แต่เขาเองก็ไม่ทราบที่มาที่ไปชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่เขายืนยันได้ คือบรรยากาศที่วังเวงของบ้านหลังนี้ ทุกทีที่ผ่านไปเจอ

สมาชิกผู้ใช้ชื่อ Silly Cow บอกเอาไว้ว่า ย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้วตอนที่ตนยังเล็ก อาศัยอยู่ในละแวกนั้น เวลาที่จะกลับบ้าน เธอก็จะต้องนั่งรถผ่านบ้านหรูหลังดังกล่าว และป้าของเธอก็มักจะเล่าเรื่องความเป็นมาของบ้านหลังนี้ให้ฟังอยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่า…มันเป็นเรื่องเล่าที่มีมานาน และดูเหมือนคนแถวนั้นจะรู้จักกันดี

สมาชิกอีกท่านบอกว่า ตนเองมีโอกาสได้เห็นบ้านหลังนี้ตั้งแต่เริ่มสร้างเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากบ้านของเธออยู่ไม่ห่างจากบ้านต้นเรื่องมากนัก เมื่อก่อนเคยมีคนอยู่อย่างมีความสุข กระทั่งผ่านไปไม่นานนัก ก็แทบไม่พบเจอคนในนั้นอีกเลย มีเพียงแม่บ้านดูแลเท่านั้น กลางคืนจะมืดสนิท แต่บางครั้งเธอจะแอบเห็นว่า…มีหน้าต่างบานหนึ่งจากห้องที่มีผ้าม่าน เปิดอยู่!

สมาชิกท่านนี้เล่าว่า สมัยหลายสิบปีก่อนตนผ่านบ่อยๆ และก็มีข่าวลือเรื่องเล่าทำนองนี้มาตั้งแต่ยุคนั้น ปัจจุบันดูเหมือนจะยังคงมีคนมาบูรณะซ่อมแซมดูแลบ้านอยู่เสมอ ซึ่งตนเองก็มีรูปของบ้านหลังดังกล่าว แต่เนื่องจากจะเป็นการผิดมารยาท จึงไม่สามารถลงให้ชมกันได้

จากเรื่องเล่าดังกล่าว ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ ถ้าหากใครที่อยู่แถวย่านพุทธมณฑล หรือผู้ที่เคยเห็นบ้านดังกล่าวมา ช่วยมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆฟังกันหน่อยซิ..

ขอขอบคุณที่มา : กระทู้ผีพันทิป ใครรู้จักเรื่องราวและที่มาบ้านเก็บศพ บางแวก โดย สมาชิกพันทิป TuaKaPiAk

อ่านเรื่องผี เดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

10/04/2020

เรื่องเล่าผี | ทศกัณฐ์หนุ่มที่ยังขึ้นแสดง..แม้วันที่ตัวตาย

เรื่องเล่าผีวันนี้ เป็นเรื่องราวที่ผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ “หาญ ใจสิงห์” ได้นำมาถ่ายทอดลงในโลกโซเชียล โดยเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่รันทดของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ในชมรมนาฏศิลป์ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มที่ถูกชักชวนให้เข้าร่วมชมรมจากสาวที่หมายปอง แม้ว่าตนต้องสวมบทตัวร้ายก็เต็มใจ และแม้กระทั่งหมดล้มหายใจ…เขาก็ไม่เคยลืมเธอคนนั้น

หนุ่มนาฏศิลป์ที่ศรัทธาในหน้าที่ บทบาท และความรัก

เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ ผมได้รับฟังมาจากรุ่นน้องอีกทีหนึ่ง ในสมัยที่ผมยังเป็นสิงห์นักดื่ม และร่วมก๊วนตั้งวงกินดื่มกับเพื่อนๆ ในค่ำคืนนั้นเองขณะที่พวกเราตั้งวงกันอยู่บนโต๊ะม้านั่งใต้ต้นไทรต่นใหญ่ที่มีรากงอกย้อยรุงรัง ใต้ต้นไทรที่ว่านั่นมีหุ่นจำลองนางรำ กุมาร ฤาษีต่างๆที่มักใช้ในการตั้งไว้ในศาล มาทิ้งระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด จู่ๆน้องคนที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็นิ่งจ้องบางสิ่งบางอย่างลึกเข้าไปในกองหุ่นชำรุดเหล่านั้น ผมทักถาม น้องมันก็ชี้ให้ผมดู…สิ่งที่มันกำลังสนใจอยู่คือหุ่นจำลองรูปหนุมานและพญายักษาทศกัณฐ์

“พี่หาญเชื่อเรื่องผีมั้ย?”

นั่นคือจุดเริ่มต้น ตอนนั้นนาฬิกาข้อมือผมบอกเวลา 5 ทุ่ม 15 นาที คำพูดเมื่อกี้กูจะเรียกความสนใจจากเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆด้วยเช่นกัน ผมตอบกลับไปสั้นๆว่า “พี่เชื่อนะ” ก่อนที่น้องคนนั้นจะออกปาก เล่าเรื่องผีที่บาดลึกจิตใจจนฟังจบแล้วต้องน้ำตาซึมกันเลยทีเดียว ไว้ว่า…

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน สมัยผมยังอยู่ม.ปลาย ถ้าจะให้ระบุชัดเจนกว่านั้นก็คือตอนมัธยมศึกษาปีที่ 4 นักเรียนจำเป็นต้องเลือกกิจกรรมชมรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา ผมมีเพื่อนซี้กันอีก 2 คนคือ กอล์ฟ กับ ยิม ด้วยความที่เป็นผู้ชายวัยรุ่น พวกเรากะจะเข้าร่วมชมรมที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นชายทั่วไปอย่างชมรมดนตรีสากล ไม่ก็ชมรมกีฬาเท่ๆอย่างบาสเก็ตบอล คงไม่มีใครนึกฝันว่าสุดท้ายชมรมที่พวกผมเลือกเข้าจะเป็นชมรมนาฏศิลป์

สาเหตุก็ง่ายๆ เป็นเพราะว่าเพื่อนผมแอบชอบสาวคนนึงเหมือนกันอยู่ เพียงแค่ชมพู่สาวสวยประจำชมรมนาฏศิลป์มาชวนทั้งคู่เข้าชมรม เนื่องจากปีนั้นคนขาด เพื่อนผมก็รีบตอบรับเข้าร่วมแบบที่ไม่ต้องคิดเลยทีเดียว เรียกว่ากะทำคะแนนให้ได้ใจกันไปเต็มๆ แถมตะได้ใกบ่ชิดกับเธอมากขึ้นอีก โอกาสดีๆแบบนี้หากไม่คว้าไว้คงต้องเสียใจทีหลังแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ตกกะไดพลอยโจนไปกับเขาด้วย

พอเข้าไปในชมรมจึงได้รู้ว่าเขาสอนการเล่นโขน มีครูมาสอนหัดเล่นหัดแสดงตลอด เพื่อที่จะออกแสดงในงานเลี้ยงรุ่นพี่ในท้องเรื่องรามเกียรติ์ โดยให้กอล์ฟเป็นพระราม ยิมเป็นทศกัณฐ์ ผมเป็นหนุมานแล้วชมพู่เป็นนางสีดา ทั้งหมดมาฝึกซ้อมด้วยกันหลังเลิกเรียนทุกวัน

วันเวลาผ่านไป ผมได้รู้ว่าชมพู่แอบมีใจให้กับกอล์ฟ ส่วนยิมนั้นก็รู้แต่ยังไม่ละความพยายาม มันพยายามตามตื้อ ซื้อดอกไม้มาให้ ชวนไปกินไอติมตลอด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชมพู่เปลี่ยนใจได้เลย ทั้งสองชอบพอกัน เวลาซ้อมเข้าพระเข้านางกันช่างดูหวานสวยงาม ผมสังเกตเห็นยิมร้องไห้ภายใต้หัวโขนทศกัณฐ์อยู่เสมอ

ใกล้จะถึงวันแสดงมากขึ้นเท่าไหร่ ยิมนั้นก็ดูคล้ายใจสลายมากขึ้นเท่านั้น ก่อนวันแสดงจริงสองวัน ครูบอกให้ซ้อมดึกเสียหน่อยเพื่อความสวยงามและสมจริง ช่วงพักกินข้าวชมพู่กับกอล์ฟนั่งเคียงคู่หยอกล้อ ผมหันไปมองยิมที่นั่งก้มหน้าตาแดงก่ำ ไม่มีอาการใดๆ นอกจากหยดน้ำตาที่ไหลลงในจานข้าว ผมเอามือตบไหล่ถามแผ่วเบาว่าไหวไหม งานจะเริ่มวันสองวันนี้แล้วนะ ยิมพยักหน้าให้ แล้วลุกหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น

วันต่อมา ทั้งหมดได้มาซ้อมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้แปลกตรงที่ยิมไม่ถอดหัวทศกัณฐ์ออกเลย มันไปนั่งที่ศาลาริมน้ำหลังโรงเรียน ผมเดินตามเจอ แล้วจะเรียกไปกินข้าว

“เฮ้ยยิม! ครูให้เรียกไปกินข้าวว่ะ”

“เออ ไปเถอะ กรุไม่ค่อยหิว”

“เมิงเป็นอะไรมากป่าววะ?”

“กรุถามหน่อย เมิงว่าไอ้เรื่องรามเกียรติ์มันมีจริงไหมวะ?”

“ไม่รู้สิ กรุว่ามันเป็นนิยายคล้ายๆ ไซอิ๋วมั้ง ทำไมถามงี้วะ”

“ทำไมทศกัณฐ์ต้องแพ้พระรามด้วยวะ?”

“ก็พระรามคือคนที่สีดารักไง”

“ถึงทศกัณฐ์เป็นยักษ์แต่มันก็รักสีดาไม่น้อยกว่าพระรามนะ”

“มันก็ใช่ แต่เดี๋ยวก่อน เมิงกำลังสื่อถึงอะไรไหม เรื่องของชมพู่ใช่ไหม”

…ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงความเงียบงันเข้ามาแทนที่

ผมตบไหล่ยิมบอกทำใจเถอะ ยังไงเธอก็มีใจให้กอล์ฟ คนมันไม่ใช่ต่อให้ดีกับเขาแค่ไหนเขาก็ไม่เอา แล้วยิมก็บอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดชมพู่ ว่าจะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ ผมถามว่าจะไปตอนนี้เลยเหรอ ยิมพยักหน้าแล้วบอกว่าไปทั้งชุดนี้แหละ เดี๋ยวขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ผมเลยแซวว่า ถอดออกด้วยนะหัวโขนน่ะ เดี๋ยวใครเห็นทศกัณฐ์ขี่มอไซค์จะตกใจแย่ ยิมลุกเดินไปสตาร์ทรถก่อนขับออกไป

เดินกลับไปแล้วก็นั่งเล่นอยู่ม้าหินอ่อนหน้าโรงเรียน เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง ดูนาฬิกาที่ฝาผนังบอกว่าสี่ทุ่มครึ่งก็สงสัย ทำไมเจ้ายมมันไม่กลับมาสักที หรือมันจะไปกินเหล้าเพราะกลุ้มใจ

ผมกำลังจะเดินไปบอกครู แต่ก็มีเสียงรถขี่เข้ามาพอดี หันกลับไปกลายเป็นยิมถือถุงมาหนึ่งถุง ยื่นให้ผม ตัวมันมีแต่น้ำบอกว่าไปเปลี่ยนชุดก่อน ผมเห็นว่ามันมาแล้วก็เออออไป พอถึงตอนนอนก็เห็นยิมนอนคลุมโปงอยู่คิดว่าไม่สบายหรือเปล่า ไม่ทันได้ถามก็หลับเสียก่อน

ตื่นมาตีห้า ปรากฏว่ายิมหายไปแล้ว ทุกคนไปแต่งตัวเพื่อที่จะซ้อมใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนแสดงในอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมในชุดหนุมานเดินหายิมปรากฏว่าไม่เจอ กอล์ฟมาเรียกบอกว่าครูให้มาตามไปไหว้พ่อแก่ ผมบอกยังไม่เจอยิมเลย กอล์ฟบอกจะเจอได้ไง มันนั่งใส่ชุดทศกัณฐ์รออยู่ในห้องแล้ว ผมเลยเดินตามไป

พอถึงห้องก็ไปไหว้พ่อแก่เสร็จถามยิมว่าไปไหนมา ยิมว่าแอบเอาของขวัญไปให้ชมพู่ แต่ว่าชมพู่รับไปไม่มีแม้คำขอบใจ ไม่ยิ้มให้ด้วยซ้ำ เลยบอกไปว่าอย่าคิดมากเลยจะแสดงแล้ว

พอถึงเวลาแสดง ผมสังเกตว่ายิมแสดงดีมากจริงๆ ยิ่งบทเศร้านี่หดหู่ใจตาม ตอนจบที่พระรามยิงธนูมาโดนแต่ยังยืนหยัดอยู่ได้ ครั้นหนุมานไปเอากล่องดวงใจที่ทศกัณฐ์ถอดไว้แล้วมาทำลาย มันแกล้งเดินไปขาดใจล้มฟุบลงไป แล้วจบการแสดง ผ้าม่านก็ค่อยๆ ปิดลง พอทุกคนเดินลงจากเวที ผมมองหายิมมันหายไปอีกแล้ว…

ไม่ถึงห้านาที มีรถมูลนิธิคันหนึ่งวิ่งเข้ามา บอกว่ามีนักเรียนชื่อนี้ นามสกุลนี้ไหม? ครูอาจารย์ กอล์ฟและชมพู่ก็ไปดู ปรากฏว่าเป็นชื่อจริงของยิม! เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น

พี่มูลนิธิบอกว่า น้องคนนี้เสียแล้วนะ เหมือนจะขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วยความเร็ว ทางก็มืดหรืออย่างไรไม่รู้ น้องเขาขี่ไปอัดกับท้ายรถสิบล้อที่จอดอยู่ข้างทาง ดับอนาถคาที่เลย มอเตอร์ไซค์กระเด็นไปใต้ท้องรถ ส่วนร่างน้องกระเด็นกลิ้ง ลงไปติดอยู่ในร่องน้ำข้างทาง

ทุกคนถึงกับหน้าเสียและตกตะลึงหมด ผมถามว่าแล้วคนขับรถสิบล้อไม่รู้หรือพี่

“แกไม่รู้สิ แกดื่มมาก่อนไง เลยจอดนอน พอตื่นมาตอนเจ็ดโมงลงไปชิ้งฉ่องข้างรถ มองเห็นมอเตอร์ไซค์เลยกวาดสายตาดู ถึงได้เจอร่างไร้วิญญาณของน้องคนนี้นอนหงิกงออยู่ แกสร่างทันทีเลยรีบมาแจ้งพี่นี่แหละ แล้วที่พี่รู้ว่าอยู่โรงเรียนนี้เพราะพี่ถอดชุดโขนที่น้องเขาใส่อยู่ เลยเห็นชื่อที่ปักบนเสื้อนักเรียนน้องเขาไง”

ชมพู่ถามด้วยน้ำเสียงสั่น ว่าใส่ชุดยักษ์ไหมคะพี่ แล้วเสียเมื่อไหร่ พี่เขาตอบมาว่า ใส่ชุดเหมือนทศกัณฐ์นี่ล่ะ แล้วดูเหมือนจะเสียตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

ทั้งหมดได้แต่ยืนน้ำตาไหล ผมถึงกับร้องไห้ออกมา ส่วนชมพู่บอกว่าแล้วที่พวกเราเห็นยิมนอนอยู่ ที่แสดงด้วยกันเมื่อกี้คืออะไร วิญญาณยิมใช่ไหม? ผมบอกชมพู่ว่าเมื่อเช้ายิมบอกว่าเอาของขวัญวันเกิดมาให้เธอนี่นา แต่เธอไม่ยิ้มไม่ขอบใจมันเลย

ชมพู่สะอื้นไห้ บอกว่าเธอบอกยิมแล้ว ว่าอย่าพยายามอีกเลย เหมือนทศกัณฐ์ต่อให้รักมั่นสีดาแค่ไหนอย่างไรก็พ่ายพระรามอยู่ดี คงรู้ว่าที่เธอพูดหมายความว่าไงนะ แล้วเธอก็เห็นว่ามีน้ำหยดออกมา ภายใต้หัวโขนทศกัณฐ์นั้น เขาคงเศร้าใจมาก ผมคิดได้แค่ว่าสงสารยิมมาก หวังว่ามันคงไม่ได้จะคิดสั้น แต่น้ำตาจากความเสียใจที่มันรินไหล คงทำให้มองอะไรไม่ชัด จึงเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น

หลังจากวันนั้นมา ทั้งผม กอล์ฟและชมพู่ ก็ขอออกจากชมรมนาฏศิลป์ เพราะทำใจไม่ได้ที่ได้เห็นหัวโขนทศกัณฐ์ เรื่องราวมีเท่านี้ครับ

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : ผู้ใช้เฟสบุ๊ค หาญ ใจสิงห์

อ่านเรื่องผีน่ากลัว เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

08/04/2020
1 4 5 6 12