ในลิฟต์บนห้างฝั่งธนฯ หนู..ลิฟต์ฝั่งนั้นกลางคืนเขาไม่ใช้กัน!

ประสบการณ์สยองขวัญ
#ห้างนี้มีผี
เล่าโดย : คุณอัน

    เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่ห้างแห่งหนึ่ง แถวฝั่งธน เมื่อสอบปีที่แล้ว บริษัทที่คุณอันอยู่ ได้ไปเปิดร้านกาแฟยังห้างแห่งหนึ่ง และทางบริษัทได้ให้คุณอันไปทำงานประจำยังร้านกาแฟแห่งนี้ ร้านจะอยู่ที่ชั้นสองของห้าง

    และเนื่องจากร้านกาแฟจะอยู่ในส่วนของตัวห่าง เวลาที่จะส่งเงิน จึงไม่สามารถเอาไปเข้าแบงค์เองได้ ต้องผ่านห้างก่อนเท่านั้น วิธีการที่จะเอาเงินไปส่งให้แคชเชียร์ของห้าง จะต้องเดินไปขึ้นลิฟท์ที่หน้าห้าง เพื่อไปที่ชั้นเก้า ระยะเวลาที่จะต้องส่งเงิน จะอยู่ที่ประมาณสามทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม

    วันนั้นเป็นวันแรกที่ร้านเพิ่งเปิดทำการ หลังจากที่ปิดยอดเสร็จแล้ว คุณอันต้องเดินไปขึ้นลิฟท์ที่หน้าห้าง บริเวณนั้นก็จะมีพนักงานห้าง และคนอื่นๆที่จะต้องไปส่งเงินอยู่หลานคน มีทั้งใส่ชุดฟอร์มของห้าง และของร้านต่างๆ

    ลิฟท์หน้าห้างจะมีอยู่สองตัว ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แต่คุณอันสักเกตเห็นว่า คนจะมายืนต่อคิวกันที่ลิฟท์ทางฝั่งขวาหมด ทั้งๆที่ลิฟท์ทางฝั่งซ้ายลงมารออยู่ชั้นล่างแล้ว แต่กลับไม่มีใครเดินเข้าไปใช้

    ถึงคุณอันจะงงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงวิ่งเข้าลิฟท์ทันที เพราะต้องรีบขึ้นไปส่งเงิน วันที่สอง เวลาประมาณเกือบๆสี่ทุ่ม ได้เวลาที่คุณอันจะต้องขึ้นไปส่งเงิน พอไปถึงที่หน้าลิฟท์ ก็เห็นเหมือนกับวันแรก

    ไม่มีใครเข้าไปใช้ลิฟท์ทางฝั่งซ้าย แต่ไปยืนรอลิฟท์กันทางฝั่งขวาหมดทุกคน ในใจคุณอันคิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ไม่ต้องยืนรอนาน จึงวิ่งเข้าลิฟท์ทางฝั่งซ้ายทันที คุณอันกดที่ชั้นเก้าเหมือนเดิม

    เชือกสลิงดึงลิฟท์ขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ชั่นสี่ แล้วประตูก็ค่อยๆเลื่อนเปิดออก คุณอันมองออกไปที่หน้าลิฟท์ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ จึงกดปุ่มปิดลิฟท์ แต่ประตูกลับค้างไม่ยอมปิด

    ในขณะที่คุณอันกำลังพยายามกดปิด อยู่ๆก็มีพนักงานผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาในลิฟท์ ทำให้คุณอันตกใจเล็กน้อย เพราะตอนแรกก็ไม่ได้เห็นว่ามีใครยืนรอลิฟท์อยู่ แล้วประตูลิฟท์ก็ค่อยๆเลื่อนปิด คุนอันจึงถามว่า “ส่งเงินที่ชั้นเก้าใช่มั้ยคะ” แต่หนักงานหญิงกลับยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะหันมามองคุณอัน

    ลิฟท์ค่อยๆเลื่อนขึ้นอย่างเงียบเชียบ จนไปถึงชั้นเก้า ประตูเลื่อนเปิดออก คุณอันยืนกดปุ่มเปิดประตูลิฟท์ค้างไว้ เพื่อรอให้ผู้ร่วมทางเดินออกไปก่อน แต่พนักงานหญิงกลับยืนนิ่ง สายตาเหม่อลอย แสดงใบหน้าเรียบเฉย

    คุณอันถามว่า “ออกมั้ยคะพี่” ไร้การโต้ตอบใดๆอีกเช่นเคย นอกจากสีหน้าเรียบเฉยที่ไร้ชีวิตชีวา คุณอันจึงเดินออกจากลิฟท์ด้วยความสงสัย ว่าเธอคนนั้นเป็นอะไร ทำไมถึงไม่ยอมคุยกันกับเราด้วย

    หลังจากที่เดินออกมาจากลิฟท์ได้สามถึงสี่ก้าว เสียงประตูลิฟท์ที่กำลังเลื่อนปิด ก็ดังขึ้นข้างหลัง คุณอันจึงหันกลับไปมอง ก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนนิ่งไม่ขยับตัว จนประตูลิฟท์ปิดลง รปภ ที่ประจำอยู่หน้าลิฟท์ก็มองคุณอันแบบแปลกๆ

    ถึงคุณอันจะยังไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์นี้ แต่ก็ต้องรีบเข้าไปส่งเงินก่อน จากนั้นก็เดินมารอลิฟท์ที่จุดเดิม รปภ หน้าลิฟท์ก็ถามคุณอันว่า “หนูเห็นอะไรเหรอ” คุณอันตอบว่า “หนูเห็นพี่คนนึงเค้าอยู่ในลิฟท์ แต่เค้าไม่ยอมออก” รปภ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ยิ้มตอบคุณอันเบาๆ

    ตกอีกวันหนึ่ง คุณอันเจอกับลุง รปภ ที่ชั้นล่างของห้าง รปภ ถามคุณอันว่า “หนู เมื่อคืนเห็นอะไร” คุณอันนึกย้อนไปถึงเมื่อคืน ตอนที่ขึ้นไปส่งเงิน จึงบอกกับ รปภ ว่า “หนูเห็นแคชเชียร์คนนึงค่ะ เค้าแปลกๆอ่ะค่ะ เค้าไม่พูดกับหนู” รปภ ก็บอกว่า “อืมม เหรอ ทีหลังก็ขึ้นอีกฝั่งนะ”

    ด้วยความสงสัย คุณอันจึงไปถามหัวหน้าที่คุมอยู่ในโซนชั้นที่คุณอันทำงานอยู่ หัวหน้าเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่ห้างแห่งนี้เปิดมาได้ประมาณสองปี มีแคชเชียร์คนนึงขึ้นไปส่งเงินในเวลาดึก แต่ รปภ ที่คุมลิฟท์อยู่ไม่รู้ จึงได้สับสวิตช์ไฟของลิฟท์ลง

    ทำให้แคชเชียร์ขาดอากาศหายใจตายอยู่ในลิฟท์ สภาพศพค่อนข้างหน้ากลัว ตาเหลือก อ้าปากค้าง ฉีกเงินกระจุยกระจาย จนเล็บหลุดออกเป็นแผ่นๆ ข้างฝาลิฟท์มีแต่รอยเลือด เหมือนกับว่าพยายามใช้มือที่เปื้อนเลือด ตบไปรอบๆลิฟท์ ผนักงานที่ทำงานอยู่ที่นั่น จะไม่มีใครกล้าใช้ลิฟท์ตัวนี้ ในเวลากลางคืน

    หลังจากที่คุณอันรู้เรื่องนี้เข้า ก็รู้สึกขนลุกตั้งทันที ภาพของผู้หญิงที่เจอในลิฟท์ ผุดขึ้นมาในหัว คิดว่าดีเท่าไหร่แล้วที่เค้าไม่ออมาให้เห็นในสภาพอื่น แต่ก็ยังพยายามไม่คิดมาก เพราะยังต้องทำงานอยู่ที่นี่ แต่เลื่อนมาใช้ลิฟท์อีกตัวแทน เพราะนึกภาพที่ข้างฝาลิฟท์ที่เต็มไปด้วยรอยมือเปื้อนเลือด ก็แทบไม่อยากจะเดินเข้าใกล้

    หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ คุณอันขึ้นไปส่งเงินปกติ เห็นผู้ชายวัยกลางคนกับเด็กอายุประมาณหกขวบ ถือเบียร์สองขวด เดินขึ้นลิฟท์มาด้วย

    วันนั้นคุณอันขึ้นไปส่งเงินช้า ส่วนมากคนอื่นๆจะส่งเงินกันเสร็จหมดแล้ว คุณอันก็เกิดความสงสัย ว่าสองพ่อลูกคู่นี้จะไปที่ไหน ถ้าจะไปที่โรงหนัง ต้องไปขึ้นลิฟท์อีกที่หนึ่ง พอลิฟท์เปิดที่ชั้นเก้า

    สองพ่อลูกก็เดินออกจากลิฟท์ แล้ววกไปขึ้นบันไดข้างๆโต๊ะของ รปภ คุณอันก็มองตามอย่างงงๆ ว่าสองคนนั้นกำลังจะไปไหน แล้วทำไม รปภ ถึงไม่ห้าม รปภ ก็หันมามองหน้าคุณอันแล้วพูดว่า “เห็นเหรอ” คุณตอบว่า “ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะลุง”

    รปภ ตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก เค้าก็มาแบบนี้ทุกวันแหละ ไปส่งเงินเถอะ” คุณอันได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกใจไม่ค่อยดี แต่ก็ต้องรีบเข้าไปส่งเงินก่อน หลังจากส่งเงินเสร็จแล้ว คุณอันก็ออกมาถามทันทีว่ามันคืออะไร

    รปภ จึงเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว มีพนักงานแคชเชียร์ของที่นี่คนหนึ่ง ลาออกจากงาน แล้วหนีไปอยู่กับแฟนใหม่ สามีจึงหอบลูกมาตามหา แต่พอทราบว่าแฟนขอตนเองได้ลาออกจากที่นี่ไปแล้วก็รู้สึกเครียด ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน

    จึงซื้อเบียร์มานั่งดื่มรอแฟนที่นี่ทุกวัน จนวันหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ซื้อเบียร์แอบขึ้นไปนั่งกินบนดาดฟ้ากับลูก แล้วจับลูกกระโดดลงไปข้างล่างด้วยกัน รปภ บอกอีกว่าผู้ชายคนนี้กับลูกจะต้องมาในเวลาเดิมทุกวัน บางวันก็เห็น บางวันก็ไม่เห็น ถ้าวันไหนเห็นเข้า ก็ทำทีว่ามองไม่เห็น

    และอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงสงกรานต์พอดี เป็นวันที่คุณอันรู้สึกเพลียมาก เนื่องจากคนเยอะ ประกอบกับที่ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน ช่วงคนเริ่มซาๆ จึงขอน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ขึ้นไปนั่งทานข้าวที่ชั้นสาม บนชั้นสามก่อนจะเข้าห้องอาหาร จะเป็นโซนขายเสื้อผ้าเด็ก และของเล่นเด็ก

    ระหว่างที่คุณอันกำลังเดินผ่าน ก็เห็นเด็กผู้ชายคนนึง นั่งเล่นอยู่คนเดียว ด้วยความที่คุณอันเป็นคนรักเด็ก คิดในใจว่าเด็กคนนี้น่ารักจัง หลังจากทานอะไรเสร็จก็ลงมาที่ร้านต่อ จนเวลาล่วงไปถึงสองทุ่ม เป็นวันที่คุณอันรู้สึกเหนื่อยมาก แต่ยอดขายกลับไม่ดีเท่าที่ควร

    ช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า คุณอันก็ได้เดินไปเข้าห้องน้ำ คนยืนต่อคิวกันเข้าห้องน้ำกันเยอะมาก เพราะเป็นช่วงสงกรานต์ แต่คุณอันสังเกตเห็นห้องหนึ่งที่ไม่มีคนใช้ เพราะประตูมันปิดไม่สนิท จึงลองผลักประตูเข้าไปดู

    ปรากฏว่าเห็นเข้ากับเด็กผู้ชายตัวสีดำๆ นั่งยองๆอยู่บนฝาชักโครก คุณอันตกใจ รีบปล่อยมือถอยหลังออกห่างจากประตูห้องน้ำ แต่ด้วยความที่กำลังเหนื่อย จนทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่ากลัว จึงพูดขึ้นในใจว่า “พี่เหนื่อย ขอพี่ฉี่ก่อนได้มั้ย ถ้าอยากกินขนมอะไรอ่ะ ไปเรียกลูกค้าเข้าร้านพี่ ถ้าได้หมื่นนึงอ่ะ พี่จัดชุดใหญ่ให้เลย”

    คุณอันค่อยๆผลักประตูเข้าไปช้าๆ ฝาชักโครกที่มันปิดอยู่ ตอนนี้กลับเปิดอ้าขึ้นเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยกลัว แต่ก็ยังรู้สึกระแวงอยู่หน่อยๆ ดีที่มีคนในห้องน้ำเยอะ คุณอันจึงเข้าไปทำกิจด้วยอาการขนลุกตั้ง แต่วันนั้น ยอดขายได้เกินหมื่นจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะไม่น่าเชื่อ จึงจัดชุดใหญ่ให้ตามที่เคยบอกไว้

    คุณอันอยากรู้ประวัติของเด็กคนนั้น จึงไปถามคนในแผนกกีฬาที่อยู่ข้างๆ ได้ความว่า มีเด็กคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แต่จะอยู่แค่ในแผนกของเล่น ถ้าผนักงานในแผนกคนไหน ทุจริตหรือขโมยของแม้แต่ชิ้นเดียว เด็กคนนี้จะตามไปถึงที่บ้าน จนอยู่ทำงานที่นี่ต่อไม่ได้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

22/05/2020

มันตามมาจากแบริ่ง! โบกแท็กซี่กี่คันก็ไม่จอด..เพราะมีผีมาด้วย

ประสบการณ์สยองขวัญ
#มาถึงบ้าน
เล่าโดย : คุณนัด

    เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่ง แถวย่านศรีนครินทร์ เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา คุณนัทเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นคุณนัดต้องอยู่ที่มหาลัยจนดึกเกือบจะทุกวัน เพราะต้องอยู่ทำกิจกรรมที่คณะ

    วันนั้นเวลาประมาณสี่ทุ่ม คุณนัทขึ้นบีทีเอสจากบริเวณมหาลัยมาลงแบริ่ง ช่วงนั้นมีฝนตกลงมาปรอยๆ รู้สึกขนลุกแปลกๆ เหมือนมีใครเดินตามหลังอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่หันไปดูหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบใคร หรืออาจเป็นเพราะช่วงนั้นไม่มีผู้อืนอยู่เลย บรรยากาศเย็นๆ เหงาๆชอบกล จึงทำให้จิตนาการไปเอง

    คุณนัทเดินลงไปโบกแท็กซี่ ให้ไปส่งยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง รถแท็กซี่ค่อยๆออกตัวไปกลางถนน เนื่องจากถนนในเวลานั้น เปียกไปด้วยน้ำฝนที่เทลงมาไม่ขาดสาย

    ในจังหวะที่รถวิ่งตรงไปตามถนน อยู่ดีๆ มีรถจากเลนขวาพุ่งเข้ามาปาดหน้า ในระยะกระชั้นชิด จนทำให้รถแท็กซี่ที่คุณนัดนั่งอยู่ต้องเบรคกระทันหัน ล้อรถถูกับกับพื้นถนนเสียงดังลั่นจนรู้สึกแสบหู

    คุณนัดใจหายแวบ แต่ยังคงตั้งสติได้ เนื่องจากไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน คนขับแท็กซี่หันควับมามองทางเบาะหลัง ที่คุณนัดนั่งอยู่ แล้วเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่สักอย่าง

    คุณนัทคิดว่าคนขับคงกำลังจะหาของอะไรสักอย่าง จึงเปิดแฟลชมือถือช่วยส่องแถวๆที่วางเท้า แต่คนขับกลับพูดขึ้นว่า “น้อง แล้วผู้หญิงที่ขึ้นมากับน้องอ่ะ” คุณนัดได้ยินเช่นนั่นก็รู้สึกงง หมายถึงใครกันแน่

    จึงตอบกลับไปว่า “เฮ้ยพี่ ผมขึ้นมาคนเดียว พี่ตลกแล้ว” คนขับทำหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “น้องพี่เห็นจริงๆ เห็นตั้งแต่ที่เค้าเดินตามน้องลงบันไดเลื่อนแล้ว” คุณนัดเริ่มใจเสีย พยายามพูดเพื่อยืนยันว่า “ยังไงผมขึ้นมาคนเดียวแน่นอนพี่”

    คนขับเริ่มทำสีหน้าหวาดๆ แล้วพูดว่า “น้องพี่สาบาน พี่เห็นจริงๆ พี่มองกระจกหลัง ผู้หญิงคนนั้นยังนั่งพิงไหล่น้องอยู่เลย” คุณนัดขนลุกซู่ พยายามคิดว่าคนขับกำลังอำเล่นหรือว่าอะไรกันแน่

    สุดท้ายคนขับก็บอกกันคุณนัดว่า ไปส่งไม่ได้จริงๆ และขอให้คุณนัทลงจากรถทันที และจะไม่เก็บค่าโดยสาร คุณนัทก็ต้องจำใจ ลงจากรถแต่โดยดี แล้วไปโบกรถคันอื่นเข้าบ้านแทน

    หลักจากนั้นประมานสี่วัน วันนั้นคุณนัดไม่มีเรียน และที่บ้านออกไปทำธุระที่ต่างจังหวัด จึงได้อยู่บ้านคนเดียว ด้วยความที่เบื่อๆเซงๆ คุณนัดเดินไปหั่นผลไม้มาทานเล่น จนเวลาล่วงเข้าช่วงดึก

    คุณนัดจึงวางจานผลไม้ที่เหลือไว้ข้างหน้าต่างในห้องครัว แล้วเดินขึ้นไปทำกิจวัตรต่างๆที่ชั้นบน จนเวลาล่วงเข้าตีสอง ในขณะที่กำลังนอนเล่นมือถืออยู่ คุณนัทได้ยินเสียงดัง “ตึ้ง!!” มาจากชั้นล่าง

    คุณนัดตกใจ ดีดตัวขึ้นลุกนั่ง ในใจคิดว่ากลัวจะเป็นโจร รีบเดินไปคว้าบีบีกัน แล้วค่อยๆย่องลงมาที่ชั้นหนึ่ง แล้วกดสวิทช์ไฟให้บ้านมันสว่างทั้งหลัง ด้านขวาจะเป็นโซนรับแขก ส่วนด้านซ้ายจะเป็นห้องครัว คุณนัดกวาดสายตามองไปจนทั่วห้องรับแขก แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

    จึงย่องเข้าไปในห้องครัว จังหวะนั้นเอง คุณนัดได้ยินเสียงแหบๆของผู้หญิงพูดว่า “กูหิว กูกินได้มั้ย” คุณนัทตกใจ หันควับไปมองทางต้นเสียง ภาพที่คุณนัทเห็นคือ ผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะใบหน้าขาวซีด ตัดกับผมสีดำยาว ยืนจับเหล็กดัดหน้าต่างอยู่ข้างนอก ใช้ปากกัดแทะเหล็ดดัด เหมือนพยายามจะเข้ามาในบ้านให้ได้ ลูกกะตาสีดำจ้องมาที่คุณนัทตาไม่กระพริบ ปากกัดลงกับซี่ของเหล็กดัด เสียงดังครึกๆ

    คุณนัดขนลุกซู่ไปทั้งตัว หัวใจแทบหยุดเต้น ร้องตะโกนลั่นบ้าน รีบวิ่งขึ้นห้อง แล้วเหวี่ยงประตูปิดดังลั่นบ้าน พร้อมกับลงกลอนอย่างแน่นหนา ยืนหายใจหอบอยู่หลังประตูด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ภาพอันน่าสยดสยองที่พึ่งเห็นเมื่อครู่ ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่ในหัวจนตัวสั่นระริก

    จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดัง “แคร่ง!!” มาจากชั้นล่าง ทำให้คุณนัทสะดุ้งจนตัวโก่ง รีบดีดตัวออกห่างจากประตู พุ่งขึ้นที่นอนแล้วคลุมโปงทันที ในหัวคิดฟุ่งซ่านว่าเสียงที่ดังนั่นมันคือเสียงอะไร มันเกิดจากอะไร ใครเป็นคนทำ หรือว่าสิ่งนั้นมันจะเข้ามาในบ้านได้แล้ว

    คืนนั้นคุณนัทนอนตัวสั่นทั้งคืน จนนอนแทบไม่ได้ รุ่งเช้า คุณนัดค่อยๆเดินย่องลงมาชั้นล่าง พยายามระวังตัวสุดขีด มองไปที่หน้าต่างเหล็กดัดห้องครัว

    ภาพที่เห็นเมื่อคืนยังคงติดตา จนต้องเบือนหน้าหนี คุณนัดรีบขับรถไปทำบุญที่วัดที่ใกล้บ้านที่สุด ระหว่างขากลับ คุณนัดคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะแน่ใจว่าไม่ได้ไปทำอะไรให้ใคร

    คุณนัทขับรถมาจนใกล้จะถึงหมู่บ้าน ช่วงที่รถกำลังติด คุณนัทเหลือบมองออกไปนอกรถ ก็เห็นถาดอาหารถาดหนึ่ง ซึ่งมีธูปปักอยู่ด้วย วางอยู่ข้างทางฟุตบาท ทำให้คุณนัดฉุดคิดขึ้นมาได้ นึกย้อนไปถึงเช้าของวันนั้น วันที่คนขับแท็กซี่ทักว่าเห็นผู้หญิงตามคุณนัทอยู่

    คุณนัทต้องรีบเดินทางไปที่คณะ เพราะดันตื่นสาย จนวิ่งไปเตะถาดอาหารถาดนั้นจนคว่ำ แต่ด้วยความที่คุณนัทไม่ได้สนใจ รีบวิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปซะก่อน คุณนัทคิดว่าสิ่งนี้ น่าจะเป็นสาเหตุ ให้ผู้หญิงคนนั้นตามมาจนถึงที่บ้าน

    คุณนัทเลี้ยวรถเข้าไปซื้อกับข้าวในร้านอาหารตามสั่งทันที แล้วกลับมายังที่ตรงนั้น วางข้าวกล่องลงบนฟุทบาต ยกมือขึ้นพนม พูดในใจว่า “ผมขอขมานะ กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผม ผมไม่ได้เจตนาจริงๆ ขอร้องอย่าตามผม ขอให้จบลงที่ตรงนี้” และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

Admin

20/05/2020

“ชมร่างอาจารย์ใหญ่” เวลาดูให้ยืนข้างๆ มันขวางทางสัมภเวสีกินน้ำเหลือง

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ “คุณก้อน” ได้โฟนอินเข้าไปเล่าประสบการณ์สุดระทึกของตนเอง ผ่านทางรายการเดอะช็อคในตอนที่มีชื่อว่า “อาจารย์ใหญ่” โดยเป็นเหตุการณ์ครั้งที่คุณก้อนได้เดินทางเข้าไปเยี่ยมชมร่างของอาจารย์ใหญ่ในโรงพยาบาลด้วยตนเอง เนื่องจากช่วงนั้นกำลังศึกษาเกี่ยวกับการทำกรรมฐานด้วยการเพ่งพิจารณาเพื่อปลงสังขาร แต่ด้วยความที่ไม่มีความรู้ถูกต้อง ทำให้การปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองครั้งนี้ เป็นเหตุมาสู่ความน่ากลัวขนลุกขนพอง….

เรื่องผีเดอะช็อค | อาจารย์ใหญ่ โดย คุณก้อน

เรื่องราวต่อไปนี้เกิดเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมมีอาชีพเป็นข้าราชการ ในขณะเดียวกันผมก็สนใจศึกษาในด้านธรรมะ จชกระทั่งวันหนึ่งก็ตัดสินใจที่จะทำกรรมฐานด้วยวิธีการพินิจร่างไร้วิญญาณ เพื่อเป็นการปลงและขัดเกลาจิตใจ

ตอนนั้นผมอาศัยอยู่แถวปากคลองตลาด ในวันหยุดวันหนึ่ง ผมตัดสินใจเดินข้ามฝั่งไปยังโรงพยาบาลที่ถือว่าเก่าแก่และมีประวัติยาวนานแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ในขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นไปบนตึก จมูกก็ได้กลิ่นของฟอร์มาลินลอยฟุ้งจนเตะจมูก แน่นอนว่าเป้าหมายของผมก็คือ ห้องที่เก็บร่างอาจารย์ใหญ่เอาไว้ซึ่งอยู่บนชั้นสองของอาคารหลังนี้

เมื่อเข้าไปแล้วจะพบว่าด้านในจะมีตู้กระจกใบใหญ่ถูกตั้งขึ้นไว้ 2 ตู้ ภายในบรรจุร่างอาจารย์ใหญ่ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเพศหญิง ซึ่งซีกหนึ่งของร่างนั้น ชั้นหนังกำพร้าได้ถูกลอกออก ทำให้มองเห็นชั้นกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ ซึ่งคงถูกนำมาใช้ในการศึกษาอนาโตมี่ของนักเรียนแพทย์มาก่อน ไม่ห่างกันนั้นจะมีอีก 1 ตู้วางนอนเอาไว้ ซึ่งบรรจุร่างอาจารย์ใหญ่เพศหญิงอีกท่าน แต่แขนข้างขวาถูกแยกออกมาวางไว้ข้างๆกัน

ผมใช้เวลาอยู่ราว 20 นาทีในการเพ่งพินิจพิจารณาร่างที่บัดนี้ไร้ซึ่งวิญญาณของผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคน มีลมหายใจเหมือนเราๆท่านๆ แต่มีความเสียสละบริจาคร่างกายของตนเพื่อใช้ในการศึกษาด้านการแพทย์เพื่อความก้าวหน้าของมนุษย์ทุกคน กระผมภาวนาขอให้วิญญาณของท่านได้รับผลบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

จากนั้นก็ผละออกจากตรงนั้นและไปพบโหลดองทารกใกล้ๆกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินกลับลงมาที่ชั้นล่าง สายตาของผมมองทอดยาวไปตามทางเดินที่ร้างซึ่งผู้คน แม้ว่าที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีคนไข้เข้าออกเนืองแน่นทุกวัน แต่ดูเหมือนที่อาคารหลังนี้จะแตกต่างออกไป มันทำให้ผมรู้สึกเย็นเยียบในความวังเวงจนขนลุก

ผมออกเดินไปตามทางที่ทอดยาว กระทั่งสังเกตเห็นว่าทางด้านซ้ายมือมีเตียงเรียงอยู่ชิดติดข้างกำแพง ภายในนั้นมีอะไรอยู่ไม่ทราบได้ เพราะถูกผ้าคลุมสีขาวปิดไว้อย่างมิดชิด ทีแรกผมคิดว่าจะลองแง้มผ้าขึ้นมาดู แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนใจ อาจจะด้วยความกลัวหรือความรู้สึกแปลกๆในใจบางอย่างที่รบกวนอยู่ และคิดว่าคงพอแล้วสำหรับวันนี้

คืนนั้นวันศุกร์ ผมมีธุระต้องเดินทางไปที่วัดในจังหวัดระยองที่บ้านค่าย วัดจะอยู่บนภูเขา พอถึงที่วัดผมก็นอนพักผ่อนแล้วได้ฝันว่ามีผู้หญิงกวักมือเรียก ผมจึงเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น แล้วก็เดินจูงมือผมไปด้วยมือด้านขวา กระทั่งสายตาผมก็สังเกตเห็นว่าข้อมือของผู้หญิงคนนี้ขาดหายไป

ผมมาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงระฆังเช้าของวัดตอนเช้า เลยเล่าความฝันให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อฟังแล้วก็นิ่ง ท่านพูดแค่ว่า “ให้หมั่นภาวนานะ” ผมได้ยินแบบนั้นก็ใจไม่ดี

วันอาทิตย์ผมก็เดินทางกลับกรุงเทพ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ระหว่างที่ผมทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ ในช่วงพักเที่ยงหลังจากทานข้าวเสร็จก็คิดจะงีบหลับสักประเดี๋ยว แต่ระหว่างที่กำลังนอนอยู่ ผมรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น และเหมือนอากาศมันหนักๆ

หูก็ได้ยินเสียงลมพัดอื้ออึง ในขณะที่ขยับตัวไม่ได้และเหมือนได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ แต่ก็จับใจความไม่ได้เพราะเสียงลมพัดอยู่ในหูแรงมาก ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ จนสักพักก็จับใจความเสียงที่คุยกันได้ความว่า

“เอามันไปเลย”

ผมได้ยินแล้วขนลุกวาบไปทั้งตัว อยากจะวิ่งหนีแต่ก็ขยับไปไหนไม่ได้ ตาก็มองไม่เห็นรับรู้ได้แต่เสียง มีความรู้สึกเหมือนใจจะขาดให้ได้ ผมจึงคิดถึงคำพูดของหลวงพ่อว่าให้ภาวนา จึงพยายามใจเย็นให้ได้มากที่สุด

ผ่อนลมหายใจแล้วภาวนาสักพัก เหมือนมีอะไรบางอย่างมากลิ้งอยู่ที่กระหม่อม และมีความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างอุ่นๆไหลลงมาจากกระหม่อมไปจนทั่วร่างกาย แล้วเสียงทุกอย่างก็สงบลงจนรู้สึกขยับตัวได้

ผมจึงเดินทางไปวัดที่ระยองอีกครั้งแล้วเล่าเหตุการณ์ที่พบมาให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านบอกว่า

“มันเป็นอาการของคนกำลังจะตายโดยไม่มีสติ อาการจะเป็นแบบนี้…ให้จำเอาไว้” 

หลังจากนั้นมาผมก็ไม่กล้าไปที่โรงบาลแห่งนั้นอีกเลย กระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสฟังเทปการเดินธุดงค์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดํา ท่านพูดถึงการวิปัสสนากรรมฐานว่า…. เวลาเดินธุดงค์ตามป่านั้น หากไปพบเจอศพต้องทำอย่างไร วิธีการพิจารณาควรทำอย่างไร จึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวผมเองทำไปมันไม่ถูกต้อง

เวลาไปเจอร่างของผู้ไร้วิญญาณ…อย่ายืนค้ำหัวหรือยืนต่อหน้าตรงๆ แต่ให้ยืนเยื้องๆไปทางซ้ายหรือขวา และให้ยืนเหนือลม เพราะถ้าเราได้กลิ่นของศพจะทำให้เรารู้สึกพะอืดพะอม และอยากอาเจียน การแสดงอาการเหล่านี้ต่อหน้าร่างพวกเขา ถือเป็นการไม่ให้เกียรติคนตายโดยไม่รู้ตัว

ยิ่งไปกว่านั้น…การที่เราไปยืนตรงๆต่อหน้าศพ มันจะเป็นการไปขวางทางของพวกอสูรกายก็ดี หรือเหล่าเปรตที่จะเข้ามาดูดกินน้ำเหลือง

หลังจากนั้นตอนที่ได้ไปวัดที่ระยองอีก ก็ได้ไปเล่าเรื่องที่พบมาให้หลวงพี่ที่วัดฟังด้วย พอหลวงพี่ได้ฟังก็อยากจะไปดูด้วย โดยให้ผมพาไป ผมก็เลยจำเป็นต้องกลับไปอีก ทั้งๆที่ไม่อยากเข้าไปแล้ว

แต่ครั้งนี้มีน้องของผมไปด้วยกับพระลูกวัดตามไปด้วยอีกหนึ่งคน รวมเป็นสี่คน พอไปถึงที่โรงพยาบาลก็เหมือนเดิมกลิ่นฟอร์มาลีนลอยฟุ้งอยู่ทั่วโรงพยาบาล ผมและน้องพร้อมกับหลวงพี่อีกสองรูปก็ขึ้นไปดูห้องอาจารย์ใหญ่

สักพักก็ลงมาข้างล่าง ผมก็ถามน้องว่าได้กลิ่นฟอร์มาลีนมั้ย น้องก็ตอบว่าได้กลิ่นแรงมาก แล้วก็ถามหลวงพี่ แต่หลวงพี่ทั้งสองรูปบอกว่าไม่ได้กลิ่นฟอร์มาลีนเลย ผมจึงคิดว่านี่คงจะเป็นการให้เกียรติพระภิกษุสงฆ์ของเหล่าอาจารย์ใหญ่ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มาเรื่องผี : เดอะช็อค 13

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

11/04/2020

บ้านเก็บศพ…ตำนานหลอนบ้านหรูย่านบางแวกที่สร้างให้ผีอยู่

อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณเคยได้ยินเรื่องเล่าผีนี้ เรื่องราวชวนขนลุกนี้ ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า เรือนหอคนตาย ที่ว่านี้ มีอยู่ที่ไหนกันแน่ บ้างก็ว่าแถวพระรามเก้า บ้างก็ว่าอยู่แถวลาดพร้าว บ้างก็ว่าอยู่ในหมู่บ้านใหญ่ย่านรังสิต บ้างก็ว่าอยู่แถวชลบุรี สมุทรปราการ… อย่างไรก็ตามคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการผีชื่อดังอย่าง “เดอะช็อค” เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม เมื่อหลายปีที่ผ่านมาให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน โดยคุณมาร์ค เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะ ๆ ให้ฟังว่า…

คุณมาร์คเล่าให้ฟังว่า… ตอนนั้นเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณป้าก็ตกลง

สำหรับบ้านดังกล่าว เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ร่มรื่นมาก มีต้นไม้เต็มไปหมด ส่วนป้าแม่บ้านก็ให้ตนไปรับ-ส่ง ทุกวันพระ ซึ่งตนก็ไม่ถามไถ่ถึงเหตุผล รู้แค่เพียงว่าบ้านหลังนี้มีชายหญิงคู่หนึ่งอาศัยอยู่ เพราะเวลาที่เขาไปรับ-ส่ง ป้าแกทีไร ก็จะเห็นชายหญิงคู่นั้นมักมายืนมองอยู่ตรงหน้าต่างเสมอ ๆ

วันนึงคุณมาร์คนั่งคุยกับเพื่อนวินมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน ก็ถามไถ่กันตามปกติว่า แม่บ้านลูกค้าประจำของตนเนี่ย ตนไปส่งเขาที่ไหนบ้าง เมื่อตนบอกไปว่าส่งที่บ้านหรูหลังดังกล่าว เพื่อน ๆ ก็บอกว่าบ้านหลังนี้น่ะ เขาเก็บศพไว้บนบ้าน..!! ส่วนตนก็ไม่เชื่อเพราะบ้านหลังนั้นเหมือนบ้านที่มีคนอยู่ปกติ แถมยังมีแม่บ้านเข้า-ออก ไปทำความสะอาดอีกด้วย

จนกระทั่งวันหนึ่ง…คุณมาร์คก็ไปส่งป้าแม่บ้านบ้านอีกเช่นเคย ทีนี้ป้าแกเกิดวานให้ตนช่วยยกของหน่อย ขอเวลาตนเพียงแป๊บเดียวเท่านั้น..ตนก็เลยเข้าไปช่วย พอเข้าไปในบ้านหลังนั้น ก็พบเฟอร์นิเจอร์หรูหรามากมาย ดูสะอาดเรียบร้อยเหมือนมีคนอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วแม่บ้านก็บอกให้ตนช่วยยกของขึ้นชั้นสอง ซึ่งเมื่อยกเสร็จแม่บ้านก็ลงไปหยิบของ โดยบอกกับตนว่า รออยู่ข้างบนแป๊บนึงนะ และอย่าเปิดห้องใดๆเลยน่ะ..เพราะเป็นห้องของเจ้านาย

พอแม่บ้านลงไปปุ๊บ คำที่เพื่อนวินมอเตอร์ไซค์บอกไว้ว่า “บ้านนี้เก็บศพไว้ในบ้าน” ก็ผุดขึ้นมาในหัวปั๊บ..เพราะอยากพิสูจน์ให้เพื่อน ๆ รู้ว่าบ้านนี้มันไม่มีอะไร 
แต่พอตนกำลังจะเดินไป ก็เหลือบไปเห็นผู้หญิง-ผู้ชาย คู่หนึ่ง เดินอยู่บริเวณห้องโถงข้าง ๆ และหายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ต่อมาเมื่อตนเห็นว่าผู้หญิง-ผู้ชายคู่นั้นเดินเข้าไปแล้ว ก็ตรงไปยังห้องที่แม่บ้านห้ามเข้าทันที

เมื่อตนบิดลูกบิดดัง…แกร๊ก และผลักประตูเข้าไป ก็พบว่าในห้องนั้นมีเตียงนอนขนาดใหญ่ และตู้เสื้อผ้า เหมือนห้องนอนปกติ แต่เมื่อตนกำลังปิดประตู จู่ ๆ หางตาซ้ายตนก็เหลือบไปเจอ โลงแก้ว…ข้างในบรรจุร่างไร้ลมหายใจของสองชายหญิงที่ตนเห็นเป็นประจำตรงหน้าต่างดังกล่าว ซึ่งศพอยู่ในชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวนอนอยู่ข้างๆกันในโลงนั้น.!! 
ตนตกใจมาก แต่ก็โวยวายไม่ได้ เพราะป้าแม่บ้านเตือนแล้วว่าห้ามเปิด ตนจึงค่อย ๆ เดินลงบันไดไป …ด้วยอาการช็อก และกลัวขั้นสุดยืนแทบไม่ไหวมันจะร่วงตกบันไดเลยทีเดียว แล้วพอตนหันไปที่ประตูห้องนั้น ก็เห็นผู้หญิง ผู้ชายดังกล่าว ยืนอยู่หน้าห้องอีก ในสภาพตัวตัวซีด ๆ ตนจึงรีบก้าวลงไปอีกขั้น พอหันมาอีกครั้ง ก็เจอสองคนนั้นยืนอยู่ตรงทางลงบันได..!!

คุณมาร์ค เล่าต่อไปว่า คราวนี้ตนก็สติกระเจิงวิ่งลงบันไดทันที และสวนกับป้าแม่บ้านอย่างไว..ขณะที่ป้าแม่บ้านจับแขนตนเอาไว้ทัน แล้วก็ดุตนว่า บอกว่าแล้วว่าอย่าเปิดๆ เจอเข้าแล้วใช่มั้ย เห็นแล้วเป็นอย่างไงล่ะ..!! แล้วอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ ซึ่งตนก็พยักหน้า ๆ แต่ก็บอกว่า “ป้าไปคุยกันนอกบ้านดีกว่า ตนอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”

เมื่อออกมานอกบ้าน ตนก็ถามแม่บ้านว่าทำไมเขาถึงเก็บร่างไรวิญญาณของคู่รักไว้ในบ้าน ทำไมไม่ประกอบพิธีทางศาสนา ป้าแม่บ้านก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังว่า…

สามีภรรยาคู่นี้แต่งงานกันใหม่ ๆ และบ้านหลังนี้ก็เป็นเรือนหอของพวกเขา จากนั้นเขาก็ไปฮันนีมูนกัน แต่ขากลับพวกเขาประสบเหตุรถชน ทำให้เสียพร้อมกันทั้งคู่ ซึ่งญาติๆ ของทั้งคู่ทำใจไม่ได้ อีกทั้งครอบครัวฝ่ายชายยังฝันว่า ผู้ชายไม่อยากไปไหน อยากอยู่บ้านหลังนี้ ถึงเวลาก็จะมีคนเข้ามาฉีดศพ มีแม่บ้านผลัดเปลี่ยนมาทำความสะอาดแทบทุกวัน ส่วนตนมีหน้าที่เอากับข้าวมาให้ทุกวันพระ..

ในความเป็นจริง อาจจะยังไม่มีใครระบุแน่นอนว่าเป็นที่ใดกันแน่ บางทีมันอาจเป็นเพียงตำนานเมือง หรือว่าแท้จริงแล้ว เรือนหอคนตายนี้จะไม่ได้มีเพียงแค่หลังเดียว!? อย่างไรก็ตาม นี่คือสุดยอดเรื่องลี้ลับชวนขนหัวลุกที่ยังคงรอคอยการพิสูจน์ จากผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า แล้วคุณผู้อ่านล่ะ รู้กันหรือเปล่า ว่าบ้านหลังนี้ จริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหนกัน?

อย่างไรก็ตาม นี่คือส่วนหนึ่งของเสียงจากสมาชิกผู้ใช้พันทิป ที่เคยมีประสบการณ์หรือรู้จักบ้านหลังนั้นออกมาแลกเปลี่ยนเรื่องราว และความคิดเห็นกัน

ผู้ใช้หมายเลข 1995120 บอกว่า…มันเป็นเรื่องที่แม้แต่เขาเองก็ไม่ทราบที่มาที่ไปชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่เขายืนยันได้ คือบรรยากาศที่วังเวงของบ้านหลังนี้ ทุกทีที่ผ่านไปเจอ

สมาชิกผู้ใช้ชื่อ Silly Cow บอกเอาไว้ว่า ย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้วตอนที่ตนยังเล็ก อาศัยอยู่ในละแวกนั้น เวลาที่จะกลับบ้าน เธอก็จะต้องนั่งรถผ่านบ้านหรูหลังดังกล่าว และป้าของเธอก็มักจะเล่าเรื่องความเป็นมาของบ้านหลังนี้ให้ฟังอยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่า…มันเป็นเรื่องเล่าที่มีมานาน และดูเหมือนคนแถวนั้นจะรู้จักกันดี

สมาชิกอีกท่านบอกว่า ตนเองมีโอกาสได้เห็นบ้านหลังนี้ตั้งแต่เริ่มสร้างเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากบ้านของเธออยู่ไม่ห่างจากบ้านต้นเรื่องมากนัก เมื่อก่อนเคยมีคนอยู่อย่างมีความสุข กระทั่งผ่านไปไม่นานนัก ก็แทบไม่พบเจอคนในนั้นอีกเลย มีเพียงแม่บ้านดูแลเท่านั้น กลางคืนจะมืดสนิท แต่บางครั้งเธอจะแอบเห็นว่า…มีหน้าต่างบานหนึ่งจากห้องที่มีผ้าม่าน เปิดอยู่!

สมาชิกท่านนี้เล่าว่า สมัยหลายสิบปีก่อนตนผ่านบ่อยๆ และก็มีข่าวลือเรื่องเล่าทำนองนี้มาตั้งแต่ยุคนั้น ปัจจุบันดูเหมือนจะยังคงมีคนมาบูรณะซ่อมแซมดูแลบ้านอยู่เสมอ ซึ่งตนเองก็มีรูปของบ้านหลังดังกล่าว แต่เนื่องจากจะเป็นการผิดมารยาท จึงไม่สามารถลงให้ชมกันได้

จากเรื่องเล่าดังกล่าว ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ ถ้าหากใครที่อยู่แถวย่านพุทธมณฑล หรือผู้ที่เคยเห็นบ้านดังกล่าวมา ช่วยมาแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆฟังกันหน่อยซิ..

ขอขอบคุณที่มา : กระทู้ผีพันทิป ใครรู้จักเรื่องราวและที่มาบ้านเก็บศพ บางแวก โดย สมาชิกพันทิป TuaKaPiAk

อ่านเรื่องผี เดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> กดที่นี่

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

10/04/2020

รวมฮิต 10 เรื่องเล่าผีติดเทรนด์ทวิตเตอร์

มีผู้ใช้สมาชิกพันทิปล็อกอินหนึ่ง ได้รวบรวเรื่องเล่าสยองขวัญจากโลกอินเตอร์เน็ตอย่างทวิตเตอร์ ซึ่งมีคนนำมาเล่าเรียงให้ได้ฟังกัน แม้เราจะไม่อาจทราบที่มาที่ไปหรือกระทั่งว่าเรื่องราวเหล่านั้นจริงแท้แค่ไหน แต่เราบอกได้เลยว่า เรื่องเล่าผีเหล่านี้ พร้อมที่จะมาเขย่าขวัญคุณให้หลุดกระเจิงแล้ว คุณพร้อมแล้วใช่มั้ย?

เรื่องเล่าผี | วิญญาณตามติด

ย้อนไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ฝ้ายเป็นลูกคนเดียวและอยู่กับครอบครัวที่ต่างจังหวัด ตอนเล็กๆฝ้ายมีอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น คือมีผีเข้าอยู่เป็นประจำ อาการคืออยู่ดีๆ ก็จะวูบไป ขนลุกไปทั้งตัว แล้วเหมือนมีคนมายืนลูบหลัง ก่อนหมดสติแล้วจำอะไรไม่ค่อยได้ พอเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกไม่เชื่อ หาว่าพูดไปเรื่อยเปื่อย พักหลังอาการฝ้ายหนักขึ้น เดินไปที่ระเบียง กลางถนน บางครั้งก็ร้องได้คนเดียว และทำไปแบบไม่รู้สึกตัวเลย จนมีคนมาดึงไว้ทันตลอด จนแม่เริ่มเชื่อ

แม่พาไปหาคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ไปทำพิธีปัดรังควาญ เอาสายสิญจน์มาพัน สวดคาถา พรมน้ำมนต์ใส่ แรกๆ ก็ดีขึ้น สักพักก็เป็นอีก วนๆอยู่แบบนี้เป็นปี จนวันหนึ่งฝ้ายไปเล่นบ้านเพื่อนที่ห่างจากหมู่บ้านออกไป ไปกับเพื่อนแค่สองคน ไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย ฝ้ายไปเจอกับลุงของเพื่อน ที่เป็นคนมีคาถามีของ แกจ้องฝ้ายแล้วเรียกไปหา แล้วถามว่า “รู้ตัวหรือเปล่าว่ามีวิญญาณตามอยู่” แล้วบอกว่า

“ให้แม่ไปทำบุญด้วยนะ เค้าแค้นที่หนูได้เกิด แต่เค้าไม่ได้เกิด เป็นเด็กผู้ชาย เค้าจะเอาหนูไปอยู่ด้วย”

ฝ้ายรีบวิ่งกลับบ้านไปถามแม่

“แม่…หนูมีพี่ชายใช่มั้ย แม่ทำอะไรพี่เขาใช่ไหม?”

แม่ก็หน้าซีด กระชากแขนแล้วด่าว่าไปรู้มาจากไหน แม่ดุแล้วอาละวาดเลย

“เออ! ยายเมิงให้กรุทำ คิดว่ากรุอยากทำเหรอ ตอนนั้นท้องโตตั้งหกเจ็ดเดือนแล้ว แล้วเมิงไปรู้มาจากไหน ใครบอก เรื่องนี้ไม่เคยมีใครรู้ ”

ฝ้ายก็เล่าไป แล้วแม่ก็นั่งร้องไห้ไม่พูดไม่จา กระทั่งเช้ามาแม่ก็ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล

เรื่องเล่าผี | เนื้อคู่

เอ บี ซี เป็นเพื่อนกัน ตามประสาสาว ที่ไปได้ยินได้ฟังอะไรมาก็จะเอามาเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะความเชื่อต่างๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน บี ได้เอาเรื่องการปอกเปลือกแอปเปิ้ลหาเนื้อคู่ โดยเค้าเล่ากันมาว่า หากใครอยากเห็นหน้าเนื้อคู่ ตอนเที่ยงคืนให้จุดเทียนแล้วนั่งหน้ากระจก แล้วปอกเปลือกแอปเปิ้ลแบบฝรั่งคือถอยมีดเข้ามาหาตัวโดยไม่ให้เปลือกแอปเปิ้ลขาด

เอทำท่าไม่เชื่อ แต่พอกลับไป เอกลับลองทำดู พอเที่ยงคืนก็ปอกแอปเปิ้ลไปเรื่อยๆ แต่ด้วยความไม่ถนัด ทำให้เผลอโดนมีดบาดมือ เอเลยอารมณ์เสีย แล้วไปนอน

คืนนั้นเอฝันว่ามีผู้ชายร่างใหญ่โต มาฟีทเจอริ่งกับเธอ แต่เธอก็ดูรักผู้ชายคนนั้นมาก ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นน่ากลัว และหลังจากนั้นเธอก็จะฝันแบบนี้ทุกครั้ง จนเพื่อนเริ่มเห็นความปกติ เอซูบผอมและโทรมมา เพื่อนเลยถามว่าไปทำอะไรมา เอยอมเล่าให้ฟัง ด้วยความเป็นห่วง เพื่อนจึงบอกให้เอไปทำบุญ แต่เอก็ไม่มีเวลาไป จนปล่อยเวลาล่วงเลยไป จนเอเสียชีวิตในที่สุด

จิตที่ยังหลงเหลือของเอยืนมองร่างตัวเองที่นอนถ่างขาอยู่บนเตียง ลักษณะเหมือนคนกำลังโจ๊ะพรึมๆกัน เอมองร่างตัวเองอย่างเศร้าสร้อย แต่อยู่ๆ ก็มีผู้ชายมาจูงเอออกไปในภพภูมิที่ดี เขาคงเป็นเนื้อคู่ของเอ

เรื่องเล่าผี | โต๊ะเครื่องแป้ง

เข็มเป็นคนชอบซื้อของโบราณมาแต่งบ้าน วันหนึ่งเข็มได้โต๊ะเครื่องแป้งโบราณมา เข็มชอบมากก็เลยเอามาไว้ในห้องนอน โดยตั้งไว้ที่ปลายเตียง แล้วเข็มก็เห็นว่าหวีของตัวเองจะมีผมพันอยู่เยอะผิดปกติ ทั้งๆที่แกะออกอยู่ทุกวัน จนวันหนึ่งเข็มตัดสินใจไม่หวีผม แต่เอาเส้นผมทุกเส้นออกจากหวี วันต่อมาก็ยังมีเส้นผมพันหวีอยู่เหมือนเดิม เข็มเริ่มแปลกใจ

จนกระทั่งคืนหนึ่ง เข็มฝันไปว่าตัวเองตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วมีผู้หญิงใส่ชุดไทยมานั่งหันหลังให้ที่ปลายเตียง พอมองไปที่กระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง ก็เห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นไม่มีตาดำ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยหวีผมที่ยาวมากของเธอ เช้ามาเข็มเล่าเรื่องนี้ให้แฟนฟัง แฟนเป็นห่วงเข็มจึงมานอนด้วย และได้เอากระดาษหนังสือพิมพ์ไปปิดประจกโต๊ะเครื่องแป้งนั้น แล้วถอดพระที่ตัวเองใส่อยู่ให้เข็มใส่

คืนนั้นทั้งคืนเข็มนอนหลับสบาย แต่พอตื่นเช้ามากลับไม่เจอแฟนนอนอยู่ด้วย จึงเดินออกจากห้องไป มองเห็นแฟนนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่มุมบ้าน แฟนเข็มเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณนั่งหวีผมอยู่ปลายเตียงและค่อยหันหน้ามามองเแฟนเข็ม โดยที่ตัวไม่ได้ขยับ เรียกว่าหันมาแต่หัว และตากลวงโบ๋ ไม่มีลูกกะตา เข็มจึงเอาโต๊ะเครื่องแป้งนั้นไปถวายวัด

เรื่องเล่าผี | บ่อน้ำ

ตอนที่ปอนด์เป็นเด็ก ปอนด์ได้มีโอกาสได้ไปงานวัด โดยตอนใกล้จะค่ำ เพื่อนๆ ก็ชวนกันเล่นซ่อนแอบ โดยปอนด์ก็ได้เป็นคนไปแอบ เพื่อนคนที่หาก็หันหน้าเข้าต้นไม้แล้วนับก่อนออกตามหาเพื่อน ปอนด์เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งไปทางหลังวัด แล้วลงไปในบ่อน้ำที่ถมดินแล้ว ปอนด์จึงตามลงไป แล้วบอกให้น้องผู้หญิงคนนั้นปิดฝาบ่อไว้ เพื่อนจะได้หาไม่เจอ แล้วก็บอกว่าเพื่อนคงตามไม่เจอแล้ว แล้วก็ถามน้องผู้หญิงคนนั้นว่าชื่ออะไร เธอก็บอกว่าชื่อทับทิม สองคนคุยกันไปเรื่อยๆ จนปอนด์เผลอหลับไป

ตื่นมาอีกทีก็มืดสนิท ปอนด์จึงพูดว่า มืดแล้วเพื่อนๆคงหาเราไม่เจอแล้วแหละออกไปกันเถอะ แต่ไม่มีเสียงตอบ ปอนด์จึงเปิดฝาบ่อขึ้นก็พบว่าตัวเองอยู่ในบ่อคนเดียว จึงรีบออกจากบ่อไป พอวิ่งเข้าไปที่วัดก็ได้ยินเสียงพ่อแม่เรียก แม่หันมาเห็นปอนด์ก็วิ่งเข้ามากอด แล้วถามว่าไปไหนมา ปอนด์ก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง สรุปคือปอนด์หายไปสองวันสองคืนเลยทีเดียว แล้วหลวงพ่อก็บอกให้ทุกคนเดินไปที่ป่าช้าหลังวัด แล้วไปหยุดที่โกศเก็บกระดูกของน้องผู้หญิงที่ชื่อทับทิม ปอนด์เห็นก็ร้องไห้จ้า หลวงพ่อบอกว่าทับทิมตกบ่อน้ำนั้นตายมาหลายปีแล้ว ทางวัดจึงถมบ่อแล้วปิดฝาไว้

เรื่องเล่าผี | ทางผีผ่าน

วารีกับเพื่อนสามคนได้หัวข้อทำรายงาน โดยจะไปถ่ายทำวิดีโอประกอบกันที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งไปกันตอนกลางคืน ตอนนั้นก็สามทุ่มกว่า ทางไปวัดค่อนข้างลำบากเพราะเป็นวัดป่า ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง วารีไปกับเพื่อนสี่คน เป็นผู้หญิงทั้งหมด วารีนั่งหน้าคู่กับคนขับ อีกสองสาวนั่งหลัง พอดีวารีเห็นร้านค้าข้างทาง โดยมีลุงแก่ๆ ยืนอยู่ จึงบอกเพื่อนที่ขับรถให้จอดถามทาง ลุงคนนั้นทำหน้าแปลก แล้วถามย้ำว่าจะไปวัดกันเหรอ ให้ขับตรงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจอแยกให้เลี้ยวขวา ก็ไม่มีใครเอะใจอะไร สาวๆก็คุยกันเพลินตลอดทาง

จนไปถึงสี่แยกมีป้ายเขียนว่าทางไปวัดโดยชี้ไปทางซ้าย สาวๆก็ลืมคำที่ลุงบอกว่าให้เลี้ยวขวา ก็เลี้ยวไปทางซ้าย ตลอดทางก็เป็นป่ารกทึบ วารีมองเห็นผู้หญิงใส่ชุดดำเดินอยู่ข้างหน้า ก็คิดจะให้คนขับจอดถามทาง เพราะก็ขับมาไกลมากแล้ว ไม่ถึงสักที แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะคิดว่าผู้หญิงชุดดำนั้นคงมางานศพ และคงใกล้ถึงวัดแล้ว พอขับเลยผู้หญิงคนนั้นไป เพื่อนสองคนข้างหลังก็กรี๊ดขึ้น จนวารีย์ตกใจหันไปมอง เห็นเพื่อนก้มหน้ากอดกันแน่น ตนก็เริ่มใจไม่ดี และหันไปอีกทีเห็นผู้หญิงชุดดำคนเดิมยืนอยู่ข้างทางและมองมาที่วารีย์ตลอดเวลา วารีย์ไม่กล้าบอกคนขับเพราะกว่าสติแตก จึงเงียบไป

พอสักพัก มองเห็นพระองค์หนึ่งกวักมือเรียกเข้าไปในวัด เพื่อนวารีย์เล่าให้พระฟังว่า หันไปมองข้างหลังรถเห็นเงานคนสองคน เกาะหลังรถอยู่เลยกรี๊ด ส่วนวารีย์เองก็เล่าให้ฟัง แต่คนขับรถบอกว่าตัวเองไม่รู้สึกตัวตั้งแต่เจอลุงคนนั้นแล้ว ขับรถต่อมาได้ยังไงก็ไม่รู้ พระรูปนั้นจึงบอกว่าทางที่มาเป็นทางผีผ่าน มีวิญญาณอยู่เยอะแยะ ใครหลงเข้ามาไม่รอดสักราย ยังดีที่พวกเรามีของดีในรถ เราตัดสินใจนอนในรถเพราะเดี๋ยวก็เช้า พอเช้ามาก็ไปตามหาพระรูปเมื่อคืน แต่ปรากฏว่าทุกคนยืนยันว่าไม่มีพระที่ลักษณะแบบนั้น

เรื่องเล่าผี | ผมต่อ

แตนเรียนอยู่ปีหนึ่ง โดยพักอยู่หอกับเพื่อน พอดีวันหนึ่งแตนกลับบ้านนอก แล้วฝนตกไฟดับ แม่เลยจุดเทียน แล้วตอนที่แตนนอนอยู่แมวมาชนเทียนนั้นล้มใส่ผมแตน ทำให้ต้องตัดผมสั้น ตัวแตนไม่ได้เป็นอะไรมากมายกับการไว้ผมสั้น แต่แม่ของแตนไม่ชอบ จึงพาแตนไปต่อผมที่ร้านแต่งหนึ่ง ต่อผมมาแตนก็ชอบมาก เพราะยาวหอม พริ้วสวย แตนกลับมาสระผม ตอนที่สระเหมือนผมหลุดติดมือมาหลายกระจุก แต่พอดูดีๆมันก็ไม่ได้หลุด แล้วบางทีตอนสระผมก็รู้สึกว่าเหมือนมีมืออีกมือมาช่วยสระอยู่ตลอด แต่แตนไม่คิดอะไร คิดแค่คงเพราะยังไม่ชิน

จนกระทั่งไปนอน แตนก็รู้สึกเหมือนมีคนมากระตุกผมอยากแรง จนเพื่อนถามว่าแตนละเมอเหรอทำไมกระตุก คืนต่อมาก็เป็นอีก คราวนี้กระตุกแรงมากจนเจ็บร้าวหนังหัว แต่แตนก็พยายามคิดว่า คงเป็นเพราะนอนทับผม คืนที่สามแตนต้องสระผมอีก คราวนี้ผมที่ต่อมาหลุดออกมาจริงๆ สองสามช่อ จนแตนตัดสินใจแล้วว่าจะไปเอาออก เพราะเริ่มรู้สึกไม่ดี จนกลางดึก ได้ยินเสียงเพื่อนกรี๊ดด แตนตกใจตื่น เพื่อนเล่าว่า ตอนที่นอนอยู่ เหมือนมีคนมานอนกั้นกลางระหว่างแตนกับเพื่อน แต่เพราะสายตาสั้นเลยไม่แน่ใจไปหยิบแว่นตามาใส่ ก็ไม่เห็นใคร จึงลุกไปเข้าห้องน้ำ พอเดินไปเข้าห้องน้ำ ก็เห็นร่างผู้หญิงคนนึง กำลังดึงผมออกจากท่อรูระบายน้ำ แล้วเอามาแปะๆที่หัวตัวเองที่ผมสั้นเกรียน เหมือนโดนตัดแบบไม่เรียบร้อย แล้วพึมพำ ว่า “ผมของกรุ… นั่นผมกรุ” เพื่อนรู้ว่าไม่ใช่คนเลยกรี๊ด

พอเช้า แตนรีบพาเพื่อนไปหาแม่ และพากันไปวัด หลวงพ่อบอกว่าไปเอาของเขามา รู้ไหมเค้าไม่ได้เต็มใจให้ …

Admin

07/04/2020

อีเจี๊ยบรีบด่วน! เพื่อนโทรมาบอกให้หนี.. ผีกำลังไปหาที่บ้าน

เป็นเรื่องของคนชื่อเจี๊ยบ น้องสาวของเพื่อนคนนึง ซึ่งมีประสบการณ์ที่ได้ไปพบเจอเรื่องราวที่ชวนสะพรึงขนหัวลุกราวกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์เขย่าขวัญ เมื่อเธอรอเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่บ้านตัวเอง แต่พอเพื่อนมาถึงก็มีพฤติกรรมแปลกๆไป กระทั่งมีเพื่อนคนอื่นในกรุ๊ปไลน์เด้งแชทมาบอกว่า เพื่อนคนที่มาหาเจี๊ยบเสียแล้ว ขณะเดินทางไปหา ซึ่งคุณแคร์ได้เอาเรื่องราวมาถ่ายทอดเล่าให้ฟังในรายการเดอะช็อค

จากเรื่อง : มาตามนัด เล่าโดย : คุณแคร์ จาก : the shock radio

เจี๊ยบเรียนอยู่ที่กทม. ปิดเทอมทีก็จะกลับบ้านที่ลำปาง ซึ่งเจี๊ยบจะมีเพื่อนที่บ้าน 2 คน ชื่อดาวกับใหม่ วันนึงเจี๊ยบชวนเพื่อน 2 คนนี้มานอนที่บ้านตน เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้าน โดยที่บ้านของเจี๊ยบจะอยู่นอกเมือง ห่างออกไปจากตัวอำเภอ แล้วเจี๊ยบก็นั่งดูทีวีรอเพื่อน แต่แล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมนานนักยังไม่มาเลย จากตัวอำเภอมานี่ปกติ เพียง 30-40 นาทีก็ถึงแล้ว แต่นี่ผ่านไปกว่า 2 ชม.แล้ว กลับยังไม่มีใครโผล่มาเลย

ตอนนั้นฟ้าเริ่มมืดแล้ว เจี๊ยบตัดสินใจหยิบมือถือมาจะโทรตามเพื่อน แต่ปรากฎว่าแบตหมดเลยเอาไปชาร์จ ขณะกำลังชาร์จ..ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านดัง ปึงปังๆๆ และเป็น ‘ดาว’ ที่มาถึงก่อน เธอยืนตัวเปียกโชกอยู่เพราะข้างนอกฝนตกหนัก เจี๊ยบก็เลยถามถึงใหม่..เพื่อนอีกคนที่ยังมาไม่ถึง

“แล้วใหม่ล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอดาว”

ดาวบอกเพียงว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ขี่รถมาคนละคัน กะมาเจอกันที่นี่”

เจี๊ยบก็เริ่มเป็นห่วงว่าใหม่ทำไมช้าจัง จนกระทั่งดาวกุมท้อง แล้วบอกขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ปวดท้องมากเลย ไม่ไหวแล้ว พอดาวไปเข้าห้องน้ำ เจี๊ยบก็เดินไปเปิดมือถือที่ชาร์จทิ้งไว้ แต่สิ่งที่เจี๊ยบเจอผิดคาดไปหน่อย… มีมิสคอลกับข้อความไลน์จากใหม่เด้งเข้ามาเยอะมาก จู่ๆใหม่โทรเข้ามาพอดีกัยที่เจี๊ยบรอรับสาย

สิ่งที่ได้ยินคือเสียงใหม่ร้องห่มร้องไห้ แล้วก็พูดออกแนวตำหนิเล็กน้อยว่า…

“เจี๊ยบๆ.. ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ปิดเครื่องทำไม เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

เจี๊ยบบอกไปว่าเผอิญแบตหมดพอดี พึ่งจะชาร์ต แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่…

“ดาวตายแล้วนะ !”

สิ่งที่ใหม่พูดทำเอาเจี๊ยบหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า “ตลกแล้ว อย่ามาโกหก ดาวมาถึงก่อนเมิงอีก” ทำเอาใหม่ในสายอึ้งๆไปเลย จนกระทั่งใหม่บอกให้เจี๊ยบเข้าไปเช็คไลน์ที่ส่งไป ว่าดาวถูกรถชน ดาวเสียแล้วจริงๆ เจี๊ยบเริ่มไม่มั่นใจว่าเรื่องไหนจริงหรือล้อเล่น

ในระหว่างนั้นเจี๊ยบเดินออกไปดูหน้าบ้าน ปรากฎว่าไม่มีมอเตอร์ไซค์ของดาวจอดอยู่ ส่วนตัวดาวเองก็มาแบบตัวเปล่า ไม่มีสัมภาระอะไรมาด้วยเลย แม้แต่เท้ายังเข้ามาเท้าเปล่า มีแต่รอยเท้าเปียกน้ำเดินตรงไปยังห้องน้ำ ตอนนั้นเจี๊ยบยืนตัวเย็นเฉียบ จู่ๆก็มีเสียงดาวเรียกเจี๊ยบ ดังออกมาจากห้องน้ำ…

เจี๊ยบไม่ได้ขานตอบ… พอเจี๊ยบไม่ตอบ ก็มีเสียงประตูห้องน้ำเปิดออกมา ความกลัวเข้ามาแทนที่ เจี๊ยบตัดสินใจวิ่งหนีออกจากบ้านตัวเองอย่างเร็ว แล้วข้ามถนนไปอีกฝั่งนึง ซึ่งบ้านแถวๆบ้านของเจี๊ยบนั้น แต่ละหลังห่างเป็นกิโล ถูกคั่นด้วยที่นาล้อมรอบ เจี๊ยบก็ข้ามถนนไปแอบตรงร่องถนนอีกฝั่ง คอยแอบมองบ้านตัวเอง เห็นแต่แสงไฟทีวีที่เปิดอยู่ และดาวที่กำลังเดินหาเจึ๊ยบไปมาอยู่ในบ้าน เจี๊ยบเริ่มคิดว่าตัวเองคิดถูก มันไม่น่าจะชอบมาพากลเสียแล้ว ตอนนั้นอยากรู้ก็อยากรู้แต่ก็กลัวเกินกว่าจะเข้าไปพิสูจน์ เพราะมันมืดแล้วด้วย ตัวเองก็อยู่คนเดียว รองเท้าก็ไม่ได้ใส่ ออกจากบ้านมามีเพียงแค่โทรศัพท์เครื่องเดียว เลยตัดสินใจวิ่งไปบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด วิ่งไปกว่ากิโลนึงก็โทรหาเพื่อนให้มารับ ก่อนจะเปิดไลน์ดูในระหว่างรอ

ในไลน์ที่ใหม่ส่งมา…มีรูปศพในผ้าห่อ มีรูปญาติๆของดาวยืนรุมล้อม เจี๊ยบเลยเชื่อสนิทใจแล้ว เรียกว่าจนด้วยหลักฐาน กระทั่งเพื่อนมารับ ใหม่พาเพื่อนผู้ชายมาด้วยหลายคน ขี่มอเตอร์ไซค์มา ก็เลยพาเจี๊ยบกลับไปเอาข้าวของในบ้านเจี๊ยบ เพื่อจะไปค้างกันที่บ้านใหม่ แต่พอไปถึง เปิดไฟ… ก็เห็นเป็นรอยเท้าเปียกน้ำโชกเดินไปมาทั่วบ้าน บางส่วนเริ่มแห้งเป็นคราบ

คืนแรกผ่านพ้นไป เจี๊ยบไปนอนกับใหม่ที่บ้านซึ่งอยู่ในตัวอำเภอ ที่บ้านจะมีพ่อ แม่ และหลานใหม่อายุ 3-5 ขวบชื่อน้องพิม อยู่ด้วยกันหลายคนจนอุ่นใจ

ญาติๆของดาวกำลังยุ่งอยู่กับงานศฺพของดาว ซึ่งในคืนถัดมานี้ ใหม่กะเจี๊ยบกำลังนั่งดูทีวี น้องพิมก็เดินไปที่ประตูมุ้งลวดหน้าบ้าน แล้วน้องพิมกอดตุ๊กตาของเธอ แล้วยืนคุยอยู่คนเดียว พอใหม่ถามว่า “น้องพิมคุยกับใครคะ” น้องก็บอกว่า..

“คุยกับพี่ดาวค่ะ พี่ดาวถามว่าเข้าบ้านได้ไหม”

“!! แล้วน้องพิมตอบไปว่า..ยัง ง.. ไงคะ”

“เข้าได้ค่ะ…เข้ามาเลยค่ะพี่ดาว !!”

ทันทีที่น้องพิมพูดจบ..ประตูมุ้งลวดก็เด้งเปิดออกเอง !!

ใหม่กะเจี๊ยบรีบวิ่งอุ้มน้องพิมขึ้นไปข้างบนบ้าน เจี๊ยบก็พูดกับใหม่ว่า “ดาวมันตามมาจริงหรอ!.. มันจะตามมาทำไม? หรือน้องพิมพูดเล่น”

ไม่ทันขาดคำน้องพิมที่ใหม่อุ้มในแขน… ก็ หัน คอ มา ถลึง ตา ใส่ พูด เสียง แข็ง ว่า . ..

“ก็เมิงทิ้งกรุไงงงงง !!”

ตกใจแทบล้มทั้งยืนจนใหม่เกือบโยนน้องพิมทิ้งเสียแล้ว… ใบหน้าที่หันมาเป็นหน้าที่ดาวชอบทำตอนยังมีชีวิต คือถลึงตาเวลาคุยกับเพื่อน ไม่ใช่หน้าน้องพิมเลย แล้วน้องพิมก็หันกลับไปเล่นตุ๊กตาในมือปกติ ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบแว้บเดียวจริงๆ แล้วก็พากันไปนอนห้องพ่อกับแม่แล้วเล่าให้ฟัง คืนนั้นก็ผ่านไปได้อีกคืน

จนคืนถัดมา ในขณะที่กำลังจะนอน เจี๊ยบได้ยินเสียงใหม่เรียก “เ จี๊ ย บ.. เ จี๊ ย บ…บ บ” เลยหันหลังมามอง ว่าใหม่เรียกหรือเปล่า?

แต่ปรากฎว่าไม่เจอใหม่หรือใครทั้งสิ้น เลยเปิดประตูออกมาหาต้นเสียง เสียงเรียกยังคงดังมาจากชั้นล่าง… เจี๊ยบมองลงไปจากบันได เปิดไฟ แต่ส่องลงไปไม่ถึงชั้นล่าง เหมือนมีอะไรคล้ายหมอกดำๆบังแสงอยู่ครึ่งนึงของบันได เจี๊ยบกะว่าจะเดินลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันก้าวลงไป..ก็มีมือมาจับไหล่ไว้ !!

ใหม่นั่นเองที่มารั้งเจี๊ยบไว้ก่อน บอกว่า “เจี๊ยบอย่าลงไป กรุก็ได้ยิน” แล้วทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครอยู่ข้างล่าง

ยังไม่ทันพูดกันต่อก็มีมือของใครบางคนยื่นออกมาจากมุมมืดของบันได กวักเรียกเหมือนจะให้ใหม่กับเจี๊ยบลงไปแล้วก็หดหายกลับไปในความมืด สองคนตกใจมากรีบวิ่งเข้าไปในห้องพ่อแม่ เช้ามาลงมาดูเห็นเก้าอี้โต๊ะกินข้าวมีตัวนึงที่ถูกดึงออกมา มีรอยเหมือนมีคนตัวเปียกๆนั่ง และมีรอยเท้าเปียกน้ำที่แห้งเป็นคราบ..เดินวนทั่วบ้าน

หลังจากเสร็จงานศพ เจี๊ยบก็กลับกรุงเทพทันที ใหม่ก็ไม่ได้ผ่านทางนั้นอีก แต่มีชาวบัานบอกเห็นวิญญาณผู้หญิงวิ่งตามรถบ่อยๆ คือวันนั้นที่ดาวมาหาเจี๊ยบที่บ้าน แต่ฝนตกและเริ่มมืด ตรงนั้นมีทางแยก ตัวดาวขี่รถไม่ได้มองทาง พอเจอแยกก็ประสานกับรถ 6 ล้อ แล้วโดนทับท้องแตก ดับคาที่ ซึ่งมันสอดคล้องกับที่ดาวบอกเจี๊ยบว่าปวดท้องพอดี

ขอบคุณที่มา : ‘มาตามนัด’ คุณแคร์ เรื่องผีเดอะช็อค

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

06/04/2020

ปอบยั่วสวาท..ยายแก่ที่ตีซี้สาวสวยแล้วสิงร่างไปโจ๊ะพึมๆผู้ชาย

เรื่องผี the shock เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งเช่นกัน เรื่องเล่าของคุณพลอย ที่มีโอกาสได้แวะกลับไปเยี่ยมเยียนคุณพ่อที่ต่างจังหวัด โดยไม่นึกไม่ฝันว่าการกลับบ้านหนนี้จะต้องพบเจอกับเรื่องราวที่น่ากลัวและยากลำบากสำหรับตัวเธอเองที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต แค่การพูดคุยไม่กี่คำกับคนแปลกหน้า จะทำให้เธอเกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ผสมผสานกับเรื่องราวความเชื่อเกี่ยวกับ “ผีปอบ” ที่บอกเลยว่าจะทำให้ขนหัวลุกพร้อมๆกันทุกเส้น

เรื่องผี the shock “ต้องรีบออก” จากคุณพลอย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัว “คุณพลอย” เจ้าของเรื่องเอง ตอนนั้นพลอยมีโอกาสได้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้านในจ.ศรีสะเกษ โดยที่ไปถึงช่วงราวๆบ่ายสามโมง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศรีษะเกษจะอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน แต่คนในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ได้พูดภาษาอีสานกัน หากแต่จะใช้ “ภาษาส่วย” ซึ่งถือเป็นภาษาท้องถิ่นในแถบนั้น

หลังจากที่มาถึงได้ไม่นาน หลานสาวก็ชวนพลอยไปเที่ยวตลาดในหมู่บ้านกัน แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวนั้นอยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่าชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็จำเป็นต้องมีความเคร่งครัดมากพอสมควร คุณพ่อจึงได้แนะนำว่าให้กลับก่อนมืดค่ำ เพราะชาวบ้านแถวนี้เอง หากตกเย็นแล้วก็ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านกัน พลอยก็รับคำอย่างว่าง่าย

พลอยกับหลานสาวใช้เวลาเดินเที่ยวเล่นอยู่ในตลาดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพากันกลับบ้าน แต่ขณะที่กำลังจะออกจากตลาด ก็มีหญิงชราที่ในมือถือตระกร้าไม้สานใบหนึ่งไว้เดินผ่านมาทางพวกเธอ ก่อนที่จะใช้มืออีกข้างสะกิดแขนพลอยพร้อมบ่นพึมพำพลางพยักเพยิดไปทางของในตระกร้า แต่พลอยไม่รู้ภาษาส่วยจึงทำได้แค่ยิ้มให้ยายคนดังกล่าว พอยายเห็นว่าไม่ใช่คนในพื้นที่เลยเปลี่ยนมาใช้ภาษากลางแทน ซึ่งคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านก็ใช้กันเป็นภาษาที่สอง

ขณะที่กำลังจะเดินออกจากตลาดเพื่อกลับบ้าน ก็ไปเจอกับยายคนหนึ่งเดินถือตะกร้ามาแล้วก็สะกิดแขน แล้วพูดออกมาเป็นภาษาส่วย ซึ่งพลอยฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยิ้มให้กับยายคนนั้น ยายเลยพูดเป็นภาษากลางว่า…

“หนูเอ้ยย ช่วยยายซื้อหน่อยนะ ยายเหลือไม่เยอะแล้วลูก”

“ยายเอาถั่วกับลูกกระบกมาขาย ยายขายไม่แพงหรอก ถุงละแค่ 10 บาทเอง ถือว่าช่วยคนเฒ่าคนแก่นะ”

แม้บทสนทนาจะดูเหมือนกับยายมีเจตนาเพียงจะขายของให้ได้ แต่ในขณะที่ยายกำลังพูดเจื้อยแจ้วอยู่นั่น กลับมีพฤติกรรมแปลกๆ คือยายคล้องตะกร้าไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง แต่อีกมือหนึ่งก็เอาแต่จับและลูบไล้แขนของพลอยไม่ยอมปล่อย มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว และจู่ๆยายก็พูดขึ้นมาว่า…

“ผิวหนูนี่เนียนนุ่มน่าดูเลยเนาะ … หนูไม่ใช่คนแถวนี้ใช่มั้ย”

“เปล่าค่ะยาย หนูเพิ่งมาจากกทม. เผอิญว่าได้มาเรื่องแถวอุบล เลยหาเวลาแวะมาเยี่ยมคุณพ่อกับแม่เลี้ยงที่นี่น่ะค่ะ”

อย่างไรก็ตาม ยายคนนั้นก็ยังคงลูบไล้แขนของพลอยอยู่ตลอดเวลาที่พูดคุยกัน จนพลอยเองยังอดที่จะรู้สึกอึดอัดแปลกๆไม่ได้ เลยช่วยยายแกซื้อถั่วมา 2 ถุง ก่อนที่ยายแก่จะถามต่อว่า

“แล้วบ้านที่ว่าน่ะ อยู่ไหน…”

มาถึงจุดนี้ เป็นฝ่ายพลอยเองที่เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว รู้จักกันรึก็ไม่ใช่ แต่ยายคนนี้ดูพยายามตีสนิทชิดเชื้อมากพิกล ตอนนั้นพลอยอดคิดไม่ได้ว่าจะเจอมิจฉาชีพเข้าให้แล้ว หากแต่ความจริงกลับเป็นอะไรที่น่ากลัวและสะพรึงกว่านั้น หลานสาวที่ดูเหตุการณ์อยู่จึงตัดสินใจสะกิดเตือนพลอย ว่าไม่ต้องไปต่อความยาวคุยกับยายแกแล้ว รีบกลับบ้านกันดีกว่า

“อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกลนี่แหละค่ะ” หลังตัดบทจากยายแก่ได้ ก็รีบพากันกลับบ้านในทันที

ในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง หลังจากทานข้าวและอาบน้ำอาบท่า ก่อนเตรียมตัวจะเข้านอน พลอยใช้เวลากับการเล่นมือถืออยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจขึ้น เพราะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างผิดปกติที่มุ้งนอน อะไรที่ว่ามันดูคล้ายกับใบหน้าของคน ที่กำลังโน้มตัวลงมาพาดมุ้ง จนหย่อนลงมาเกือบจะถึงแขนทางด้านซ้ายของเธอ และด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว พลอยเผลอทำมือถือหลุดออกจากมือ จนไม่ทันได้สังเกตว่า…มีบางอย่างมาสัมผัสที่แขนของเธอเข้าให้แล้ว

กว่าพลอยจะรู้ตัวก็ตอนที่รู้สึกถึงความเย็นวาบที่บริเวณแขน ราวกับมีใครเอาน้ำแข็งเย็นเยียบมาถูแขนเธอไปมา แต่เนื่องด้วยความมืดทำให้เธอมองไม่เห็นต้นเหตุของความเย็นที่ว่า อย่างไรก็ตามยังคงมีแสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์แลปท็อปสว่างพอให้เห็นรอบๆตัว หลังสายตาเริ่มชินกับความมืด พลอยก็ตระหนักแล้ว…ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด กระทั่งเคลื่อนแสงไจากจอไปจับกับสิ่งนั้น พลอยช็อคทั้งยืนจนแทบสิ้นสติเพราะสิ่งที่กำลังเห็นตรงหน้า มีใครบางคนกำลังลงลิ้น…เลียที่แขนนุ่มเนียนของเธออย่างเอร็ดอร่อย !! นั่นทำให้โสตประสาทของเธอสั่งการให้ร้องกรี๊ดอย่างดังที่สุดโดยไม่ต้องคิด กระทั่งพ่อกับแม่เลี้ยงที่นอนอยู่ชั้นบน ต้องวิ่งลงมาดูทันที

“พ..พ่อคะ! คะ..ใครก็ไม่รู้…มันเป็นใครก็ไม่รู้ โผล่หน้าเข้ามาในมุ้ง ทำเหมือนจะม..มากัดแขน แล้วมันก็แลบลิ้นมาเลียแขนหนู!!”

ฝ่ายพ่อก็เลยบอกให้แม่เลี้ยงดูสิว่ามันคืออะไร ก็พบว่าที่มุ้งก็มีรอยน้ำเหมือนน้ำลายและที่แขนก็มีรอยน้ำเหมือนน้ำลายเช่นกัน พอเห็นดังนั้นแม่เลี้ยงก็ไปเคาะประตูเรียกยายที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ยายเลยเอาผ้าขาวม้าพาดคอแล้วเดินออกไปนอกบ้านแล้วพูดภาษาส่วยพร้อมกับจุดธูป จากนั้นก็ให้แม่เลี้ยงเอาธูปไปปักที่มุมบ้านทั้งสี่มุม แล้วให้พ่อเอาไม้ไปเคาะตามเสารั้วบ้านขณะที่ยายเดินไปพร้อมกับพ่อ

ยายก็พูดเป็นภาษาส่วย ฝ่ายแม่เลี้ยงหลังจากเอาธูปไปปักที่มุมบ้านเสร็จแล้วก็พาพลอยขึ้นบ้านไปไหว้พระและเอาตะกรุดมาให้ใส่ ส่วนยายก็ขึ้นไปสวดมนต์ หลังสวดมนต์เสร็จก็เอาสายสิญจน์มาคล้องที่คอ ข้อแขนและขาทั้งสองข้าง แล้วบอกให้พลอยเข้านอน ฝ่ายพลอยซึ่งกำลังเสียขวัญก็ขอที่จะกินยานอนหลับ แต่แม่เลี้ยงบอกว่า

“ต้องนอนแบบที่ถ้าไปปลุกแล้วต้องรู้สึกตัว ถ้าหลับแบบไม่รู้สึกตัวเขาจะมาเอาพลอยไปได้” !

ในที่สุดคืนนั้นพลอยก็ร้องไห้จนเหนื่อยแล้วเผลอหลับไป

พอตื่นขึ้นมาประมาณเจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ยายก็บอกพลอยว่า “อย่าพึ่งออกจากบ้าน” เพราะไม่รู้ว่าเขาไปรึยัง แล้วไปตามหมอธรรมมาทำพิธีให้ตอนเที่ยง และให้พลอยเอาไข่ไก่ดิบไปให้เขา เพื่อทำพิธี ฝ่ายแม่เลี้ยงก็จะออกไปหาของมาทำกับข้าวกินตอนเที่ยง ขณะนั้นมีรถขายผักมาจอดขายของอยู่อีกฟากหนึ่งของสนามฟุตบอลที่อยู่บริเวณหน้าบ้าน แม่เลี้ยงก็เลยเดินผ่านสนามฟุตบอลเพื่อที่จะไปซื้อของ

ขณะที่แม่เลี้ยงเดินไปได้ประมาณครึ่งสนามก็หันหน้ากลับไปมองที่พลอย เหมือนแกจะตะโกนถามว่า จะเอาอะไรมั๊ยลูก คุณพลอยก็พยายามจะฟังว่าแกพูดอะไร จู่ๆก็ล้มลงที่กลางสนาม สักพักก็ลุกขึ้นมา ตาขวางใส่ แล้ววิ่งตรงอย่างเร็วไปหาพลอย น้าข้างบ้านที่กำลังตั้งท้องอยู่เห็นดังนั้น ก็รีบเข้ามาขวางแม่เลี้ยงไว้ ฝ่ายพ่อกับน้าเขยพอเห็นก็รีบเข้าไปช่วยกันจับแม่เลี้ยงเอาไว้ แล้วแม่เลี้ยงก็ตะโกนออกมาเป็นภาษาส่วยในลักษณะเหมือนการด่าทอ ตอนนั้นพลอยก็ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เพราะฟังไม่รู้เรื่อง ฝ่ายน้าสะใภ้ก็บอกว่า…

“หนู! รีบไปเอาเสื้อผ้า เอาของที่จำเป็น แล้วสตาร์ทรถไปเดี๋ยวนี้ !”

ฝ่ายพลอยที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไปเอาของบนบ้าน จากนั้นก็ขี่รถออกจากบ้านพร้อมกับน้าสะใภ้ไปยังรีสอร์ทแห่งหนึ่งของญาติ แล้วน้าสะใภ้ก็บอกให้ พลอยอยู่ที่นี่ซักพักก่อน พอซักประมาณบ่ายสามโมงพ่อก็โทรมาหาแล้วก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า รู้มั๊ยว่าที่แม่เลี้ยงตะโกนน่ะ พูดว่าอะไร…

“กรุจะเอาเมิง กรุจะเข้าเมิง กรุจะสิงเมิง กรุจะเข้าหุ่นเมิง เอาตัวมัน… ถ้ากรุเข้าได้ กรุจะไปนอนกับผู้ชาย! ถ้าเมิงไปหาผู้ชายมานอนไม่ได้ กรุจะกินเมิงแทน !”

“กรุจะเข้า กรุจะเข้าาาา !!!”

พลอยเลยถามกลับว่าแม่เลี้ยงเป็นอะไรไป… พ่อเลยบอกว่าคนที่มาเข้าสิงเนี่ย..เขามาเฝ้าตั้งแต่เมื่อคืน แต่คนในบ้านเราสวดไล่เขาตั้งแต่เมื่อคืน

“กรุเฝ้าตั้งแต่เมื่อคืนแต่บ้านพวกเมิงสวดไล่กรุ จนถึงตอนเช้า..ถ้ากรุยังเข้าหามันไม่ได้ กรุถึงจะเข้าอินี่! ผ่านอินี่ไปหามันนนน”

อาศัยร่างแม่เลี้ยงเพื่อที่จะผ่านเจ้าที่เจ้าทางแล้วจะมาเข้าพลอย!

“กรุเลียมันแล้ว… รูมันไม่เปิด กรุเข้ามันไม่ได้ !”

แต่พ่อก็บอกว่าสบายใจได้ เพราะตอนนี้หมอธรรมทำพิธีให้แล้ว พร้อมกับบอกว่าพลอยน่ะไปสัมผัสไปให้เขาจับ ยายคนนี้จะมาตีสนิทกับผู้หญิงต่างถิ่นที่ผิวพรรณดี หน้าตาดี แล้วเขาก็จะมาสิงจากนั้นก็จะไปนอนกับผู้ชาย ให้มีอะไรกันกับผู้ชาย จนเสร็จกิจแล้ว..ตอนเช้าเขาก็จะออกไป แต่ถ้าหากมีญาติพี่น้องรู้ว่าโดนมันเข้า… ยายคนนั้นก็จะกินข้างในคนที่ถูกสิงแทน !!

มีประวัติผู้หญิงต่างถิ่นมาเสียที่นี่แล้วถึง 4 ราย และก็มีอีกไม่รู้กีคนที่ถูกเข้าสิงแล้วไปนอนกับผู้ชายแบบไม่มีสติอีก และก็มีคนบอกว่าคนที่จะโดนเข้าก็จะเป็นคงที่ธาตุอ่อน ดวงตก เขาก็จะเข้าได้ แต่โชคดีที่ตอนนั้นคุณพลอยดวงไม่ตกเขาเลยเข้ามาได้ ส่วนประวัติของยายคนนี้ก็คือ เมื่อก่อนนั้นยายจะเป็นคนที่ทำคุณไสยให้กับผู้หญิงทำให้มีเสน่ห์ให้คนหลงรัก แต่ก็ไม่มีลูกหลานคนไหนมาสืบทอดต่อ จนมันย้อนกลับเข้าตัวเอง ทำให้แกยังคงหมกหมุ่นเรื่องแบบนี้อยู่ พอเวลามีงานเทศกาลต่างๆ ยายคนนี้ก็จะแต่งตัวสวยๆออกจากบ้าน แต่จะไม่มีใครเห็นยายที่งานเลย และก็จะมีข่าวว่ามีหญิงสาวหมู่บ้านอื่นถูกลักไปหรือถูกรุมโซมตลอด

หลังจากนั้น พ่อของคุณพลอยก็ให้คุณพลอยกลับไปที่บ้านพักที่จ.อุบลเลย เพราะกลับมาที่บ้านพ่อไม่ได้แล้ว พอวันรุ่งขึ้นคุณพลอยตื่นม ารอยที่โดนเลียนั้นก็เป็นสีม่วงช้ำ เหมือนคนโดนทุบโดนตี เป็นอยู่ 10 กว่าวันรอยนี้ถึงจะหายไปหลังจากเหตุการณ์นี้คุณพลอยก็ไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกเลย

ขอบคุณที่มาเรื่องเล่าผี : ต้องรีบออก โดยคุณพลอย the shock 13 FM

อ่านเรื่องเล่า เรื่องผีเดอะช็อค เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

03/04/2020

เที่ยวป่าช้าดูรูปผีบนโกศ “คนนี้สวย…ถ้าได้ดมคงดี”

เรื่องผี the shock เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่ “คุณหรั่ง” ได้ประสบพบเจอมาด้วยตนเอง ซึ่งเรื่องราวที่คุณหรั่งนำมาเล่าในรายการเดอะช็อคที่ชื่อตอนว่า “เรื่องเล่าจากความฝันนั้น” ต้องบอกเลยว่าแปลกพิศดารและชวนขนลุกอย่างที่ไม่มีเรื่องไหนเหมือน เพราะมีจุดเริ่มต้นมาจากกิจกรรมของพวกเขาที่ต้องบอกว่ามีรสนิยมแปลกอยู่ไม่น้อย นั่นคือการ “เที่ยวชมรูปผี” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันน่ากลัวที่กำลังตามมาโดยไม่รู้ตัว

เรื่องผี the shock “เรื่องเล่าจากความฝัน” – คุณหรั่ง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณหรั่งเจ้าของเรื่อง และเพื่อนร่วมก๊วนอีก 2 คน พวกเขามีกิจกรรมที่หากใครได้ยินเป็นต้องแปลกใจกันทุกคน กิจกรรมที่ว่านั้นคือ…การเที่ยวชมรูปผี! แม้ว่าความจริงแล้ว คุณหรั่งกับเพื่อนจะไม่เชื่อในเรื่องผีๆสางๆก็ตามที ความหมายของรูปผีที่ว่านี้ก็คือ รูปเล็กๆของคนตายที่มักจะติดอยู่บนโกศเก็บกระดูก หรือตามช่องกำแพงในวัดซึ่งทุกคนคงคุ้นเคยกันดีเวลาไปทำบุญให้ญาติพี่น้องที่จากไป แต่จะมีสักกี่คนที่จะมีจุดประสงค์ในการรับชมภาพเหล่านั้นเพื่อความเพลิดเพลินเริงใจ

เวลาที่กลุ่มของคุณหรั่งไปวัดใดก็ตาม แต่ละคนก็จะแยกย้ายกันเดินชมไปตามเรื่องราว เดินซอกแซกเข้าไปตามเมรุ ตามโกศที่เรียงรายกันเป็นแถว ราวกับไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แล้วรับชมภาพศิลปะ พวกเขาไม่เพียงแต่ดูเฉยๆ ยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันจากเรื่องราวที่เหลืออยู่ของคนในภาพ เป็นต้นว่าวันชาตะ มรณะ แล้วคุยกันว่า “เออ…คนนี้อายุสั้นเนอะ เสียตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ไม่น่าเลย” อย่างนั้นอย่างนี้

กระทั่งวันหนึ่งซึ่งพวกเขาก็นัดออกมาทำกิจกรรมสุดพิศดารกันเหมือนทุกที “เดียร์” หนึ่งในเพื่อนร่วมก๊วนไปหยุดกึก ก่อนจะยืนจ้องรูปภาพบนโกศหลังหนึ่งอยู่นานสองนาน จนเพื่อนๆนึกสงสัยเลยเดินเข้าไปหา รูปภาพขนาด 2×4 นิ้วสีขาวดำที่ถูกฝังอยู่ในปูน แสดงใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่ง คุณหรั่งเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนถึงหยุดยืนดูอยู่นาน เพราะผู้หญิงผมยาวดำขลับในรูปมีใบหน้าสะสวยมากๆคนหนึ่ง

ข้อมูลใต้ภาพแสดงให้เห็นว่า เธอคนนี้เสียตอนยังเป็นวัยรุ่น ปีพ.ศ.มรณะคือ 2509 อย่างไรก็ตาม…จู่ๆเดียร์ก็พูดทักขึ้นมาว่า “สวยจริงๆว่ะ” ก่อนที่จะเอื้อมือเข้าไป แล้วใช้นิ้วลูบไล้ที่แก้มของหญิงสาวในรูป คำพูดของเดียร์ฟังดูพิกลขึ้นทุกทีเมื่อเขาบอกต่อว่า…

“คนนี้นะ กรุขอแค่ได้ดมผมสักที กรุก็ยอมทุกอย่างแล้ว…”

ก่อนที่จะทิ้งนามบัตร ซึ่งระบุชื่อที่อยู่ของตัวเอง แม้กระทั่งเบอร โทรศัพท์ครบ ไว้มุมหนึ่งของโกศหลังนั้น ราวกับว่าแลกไลน์หรือแลกเฟสกับสาวสวยที่เจอกันโดยบังเอิญในสวนสาธารณะก็ไม่ปาน ตอนนั้นคุณหรั่งก็ไม่ได้คิดอะไร โดยไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นสาเหตุที่นำพาเรื่องวุ่นวายมาสู่เขาและเพื่อน

ในคืนเดียวกันนั้นเอง ขณะที่เดียร์กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวของตนที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งบนชั้นที่ 4 โดยที่เปิดระตูห้องทิ้งไว้แล้วปิดเพียงประตูเหล็กดัดชั้นใน เพื่อให้เห็นวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนจากระเบียง ระหว่างที่ใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่พักึ่งก็เกิดรู้สึกง่วงขึ้นมา เลยล้มตัวลงนอนบนเตียง ก่อนจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งเขาฝัน…

เดียร์ฝันว่าตัวเองนั่งอยู่บนตียงเดียวกันกับเมื่อสักครู่ ก่อนที่จู่ๆจะมีเสียงจากโทรศัพท์ดัง กริ๊งงงง ขึ้นในห้อง เขาจึงลุกเข้าไปรับสายทันที ทุกอย่างดูสมจริงมาก…ราวกับว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เขาตื่นอยู่จริงๆ อย่างไรก็ตาม ปลายสายไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่เดียร์กลับรู้ได้ในทันที

“สวัสดีค่ะ หนูเองนะ พี่จำได้ไหม…?”

“จำได้สิ พี่กำลังรออยู่เลย…” เดียร์เล่าให้ฟังภายหลังว่า ตัวเองก็แปลกใจไม่น้อยที่เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในความฝัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกดีใจมากพอที่จะไม่ยอมตื่น

“หนูขอ…ขึ้นไปหาพี่ ได้ไหมคะ?”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ มาสิ…ขึ้นมาเลย”

เดียร์ในความฝันยังไม่วายที่จะตระเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเข้าห้องน้ำล้างหน้า จัดแต่งทรงผม ราวกับว่าเขาเตรตัวจะไปออกเดท อย่างไรก็ตาม เธอไม่ปล่อยให้เขารอนานจนเกินไป ในที่สุดก็มีเสียงรองเท้าดัง “ต๊อก..แต๊ก” พร้อมกับกลิ่นหอมพิศวงที่ลอยตามลม มาหยุดอยู่ที่ประตูหน้าห้อง ทันใดนั้นเอง…ก็มีใบหน้าสะสวยของสาวน้อยคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาดู แต่ก็ไม่มีทีท่าจะเปิดเข้ามา คล้ายกับรอการ “เชิญ” เข้าไปข้างในจากเจ้าของห้องก่อน เดียร์ก็รีบออกปากชักชวนให้เข้ามาทันที

“ให้หนู…เข้าไปได้ใช่มั้ยคะ แน่นะคะ?”

“ได้สิ น้องเข้ามาเลย”

คอนโดของเดียร์มีทั้งหมด 3 ตึก โดยเดียร์อาศัยอยู่ที่ตึกแรก ชั้นที่ 4 แต่ละชั้นจะมีอยู่ 8 ห้อง
เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป จะเจอกับห้องโถง เมื่อเดินเข้าไปทางขวามือก็จะเป็นห้องนอนและห้องน้ำ

เดียร์เล่าว่า……

หลังจากกลับห้องมาในคืนนั้น ขณะที่เขากำลังเล่นอินเตอร์เนตอยู่ในห้องโถง
สมัยนั้นอินเตอร์เน็ตจะเป็นแบบเชื่อมต่อกับโมเด็ม ที่จะมีเสียงดังเวลาเชื่อมต่อ (คนยุคนั้นน่าจะนึกเสียงออกนะคะ)
เขาเปิดประตูห้องทิ้งไว้ เหลือไว้แต่ประตูลูกกรงที่เป็นมุ้งลวด อีกด้านก็เปิดม่านหน้าต่างไว้ให้เห็นวิวด้านนอก
หลังจากเล่นไปได้สักพัก เดียร์ก็รู้สึกเพลียมากและเผลอหลับไป
เขาฝันว่า มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแล้วเขาก็ลุกเดินไปรับ ปลายสายพูดกับเขาว่า

“ฮัลโหล ฮัลโหลพี่…..หนูเอง จำได้มั๊ย?”

ในตอนนั้นเขารู้ตัวทันทีว่าเขาเองนั้นฝันไป แต่ก็ไม่วายที่จะตอบกลับปลายสายไปว่า … “จำได้”

“พี่…หนูขึ้นมาได้ไหม?”
“ขึ้นมาเลย…ขึ้นมาสิ”

หญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง โดยที่มีเดียร์ยืนรอรับรับอยู่ และพาไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ในห้องโถง แทบไม่เชื่อสายตา เธอเป็นหญิงงามคนเดียวกันกับที่เคยอยู่ในรูปบนโกศเมื่อกลางวัน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นตัวจริงๆเต็มๆตาและใกล้ชิดขนาดนี้ เดียร์ยอมรับว่าเธอดูสวยยิ่งกว่าในรูป โดยเฉพาะผมยาวดำเป็นมันที่กำลังโชยกลิ่นหอมอ่อนออกมา จนเดียร์แทบอยากเอาจมูกไปสูดดมใกล้ๆ แต่ความเป็นสุภาพบุรุษก็ยับยั้งใจเขาเอาไว้ก่อน

“พี่…ไปหรือยัง?”  เธอถามเขาขึ้นมา
“ไปไหนเหรอ?”  เขาตอบรับด้วยความสงสัย
“เข้าห้องไงพี่………………..”  (เธอหมายถึงห้องนอนนะคะ)
“ไปสิ ไปๆ”

เขาลุกขึ้นพร้อมกับดึงมือเธอจะพาเธอไปที่ห้องนอน แต่ก่อนที่จะไปนั้นเขาขอปิดคอมพิวเตอร์ก่อน
เขาเดินกลับไปปิดคอมพิวเตอร์….และเดินกลับมาหาเธอ

“เอ้ย….เดี๋ยวพี่เดินไปหยิบน้ำก่อน”

มันเป็นเรื่องปกติของเดียร์ที่ว่าที่หัวนอนของเขาจะต้องมีน้ำดื่มตั้งไว้ที่หัวเตียง
เขาจับมือของเธอเพื่อจะพาเธอไปที่ห้องนอน ตอนนั้นเธอเดินตามหลังเขา
….แต่แล้วก็มีความคิดขึ้นมาว่าควรจะเอาหนังสือไปด้วยมั๊ย

“เออ…เอาหนังสือไปอ่านด้วยมั๊ย เดี๋ยวพี่เดินไปเอาหนังสือก่อน…” เขาถามออกมาโดยที่ไม่ได้หันหน้าไปมองคนที่เดินตามมาเลยสักนิด

“เมิงงงจะเข้านอนได้หรือยัง!”    

เดียร์รู้สึกกลัวขึ้นมา สายตาเขาเหลือบไปเห็นที่ประตูห้อง
เขาเห็นผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่ง ชายคนนั้นถามเขาขึ้นมาว่า

“หนุ่ม….รู้จักเขาด้วยเรอะ?”

เพื่อนผมจึงหันไปมองที่ประตู ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร 
จู่ๆก็มียายคนหนึ่ง โผล่ออกมายืนข้างๆผู้ชายคนนั้น…และยายก็พูดกับเขาว่า

“หนุ่ม…ให้เขาออกไป…อย่าให้เขาเข้ามา!”

แต่ว่าเพื่อนผมใจก็กล้าๆกลัว แต่ก็ยังไม่ได้หันไปมองเธอที่เขาจูงมือมา
ทันใดนั้นเองผู้หญิงคนนั้นก็ผลักเขาเข้าไปยังห้องนอน
เขาตกใจมากจึงรีบล็อคประตู แต่ด้วยความที่ล็อคลูกบิดเสีย เขาจึงทำได้แค่ใส่กลอนที่เป็นสายยูเท่านั้น
เขาเอาตัวของเขาเองดันประตูไว้….เขารู้สึกเหนื่อยมาก จนสุดท้ายก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา

ความฝันนั้นทำเขาเหนื่อยมากจริงๆ เขาจึงลุกขึ้นไปเพื่อหยิบน้ำดื่มที่ตู้เย็น
ในความมืดของห้องนั้น เขาลุกขึ้นมาจากเตียง….เดินไปที่ประตู มือกำลังจะปลดสายยู………..

เอ้ย…..แต่เมื่อกี๊เขาหลับอยู่ที่โซฟาข้างนอกนี่นา!

เขาจำได้เป็นอย่างดีว่าเขานอนหลับอยู่ที่โซฟา…เขาแค่ฝันว่ามาที่ห้องนอน… ใช่สิ เขานอนที่โซฟา
ตอนนั้นมือหนึ่งของเขายังคงจับลูกบิดประตูไว้ แต่จู่ๆประตูก็เหมือนกับว่ามีแรงกระแทกจากข้างนอก
แรงกระทุ้งนั้นรุนแรงคล้ายๆกับว่าพยายามจะเปิดประตูให้ได้ แต่ว่าดันติดสายยูที่คล้องเอาไว้จึงเปิดไม่ได้

“เปิดได้หรือยังห๊ะ เปิดได้หรือยัง” เสียงจากด้านนอกของประตูตะโกนถามเขา

เขามั่นใจแล้วว่าตอนนั้นเขาไม่ได้ฝัน เขากระโดดกลับไปยังเตียงนอน
ห้องนอนของเขาเปิดม่านทิ้งไว้ เมื่อมองออกไป เขาเห็นยายแก่ๆคนนั้นนั่งอยู่ที่ตรงระเบียงแคบๆที่ไว้วางคอมเพรสเซอร์แอร์

“อย่าเปิดนะ อย่าเปิดนะ!”

นี่ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่กับเขา 
ซ้ายก็น่ากลัว….ขวาก็ใช่ย่อย…. เขาจึงตัดสินใจที่จะอยู่กลางห้อง คลุมโปง.. จนเผลอหลับไป

————————————————————————————–

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา

ในตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเดียร์
วันนั้นพวกผมนั่งเล่นกันอยู่ที่ชั้นหนึ่งของคอนโดกับเพื่อนๆอีกสองคน

ป้าที่อยู่ชั้น 6 แกคนเป็นชอบร้องคาราโอเกะครับ
แกสั่งทีวีใหม่มาส่งที่คอนโด แต่คนส่งของส่งให้แกได้แค่ที่ชั้นล่าง พวกผมเลยอาสาที่จะช่วยยกขึ้นไปให้
ทีวีที่แกสั่งมาใหญ่เกินไปที่จะขนเข้าไปในลิฟต์ พวกผมเลยต้องช่วยกันแบกขึ้นบันใดมาทีละชั้นจนถึงชั้น 6

พอเปิดประตูเข้าไปที่ห้องของป้า จู่ๆเดียร์ก็ปล่อยทีวีของป้าตกลงมากระแทกเข้าที่เท้าของเขาจนเลือดนองพื้น

ผมกับเพื่อนอีกคนก็งง จนสุดท้ายแล้วเราแหงนหน้าขึ้นไปมองก็เจอกับรูปผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในกรอบรูปสีชมพู
ท่าทางของป้าแกดูโกรธไม่น้อย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอยู่ดีๆเกิดอะไรขึ้น
ป้าเห็นเรามองรูปอยู่แบบนั้น ป้าแกจึงเล่าว่า

“ผู้หญิงในรูปน่ะเหรอ……เค้าเป็นน้องสาวป้าเอง”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรืออย่างใด 
รูปผู้หญิงที่โกศศพคนนั้น เป็นรูปเดียวกับที่อยู่ในรูปที่ห้องป้า……และเธอเป็นน้องสาวแท้ๆของป้าคนนี้

“จะเอาสักใบมั๊ยล่ะ” ป้าถามพวกเดียร์ว่าอยากได้รูปน้องสาวไหม แต่เดียร์ก็รีบปฏิเสธไป

หลังจากเหตุการณ์นั้นเอง…เดียร์ก็จึงเริ่มเราเหตุการณ์ให้พวกเราฟัง

——————————————————————————————–

เดียร์ตัดสินใจที่จะย้ายออกจากคอนโดนั้น แต่ระหว่างที่หาที่อยู่ใหม่เขาก็เลยตัดสินใจกลับไปอยู่บ้าน
สามวันให้หลังจากที่เดียร์ย้ายกลับบ้านไป แม่ของเดียร์ก็โทรมาหาเพื่อนคนหนึ่งของผมและแจ้งข่าวว่า

“เดียร์ตายแล้วนะ”

ทุกคนต่างไม่เชื่อความรู้สึกตัวเองว่าเดียร์ตายแล้วจริงๆ เพราะพวกเราเพิ่งเห็นกันอยู่ไม่กี่วันนี่เอง
ผมไปที่งานศพของเดียร์ ก็ได้มีโอกาสเจอกับเพื่อนของเดียร์ที่ทำงานอยู่มูลนิธิ และเพื่อนคนนี้ก็เป็นคนไปเก็บศพของเดียร์เอง

เพื่อน: เดียร์มันตายน่าสงสารมากเลยนะ
ผม: ทำไมอ่ะ มันตายยังไงเหรอ
เพื่อน: ก็ตอนมันตายอ่ะ ตามันเหลือก มือมันหงิก แต่ที่น่าแปลกก็คือ มันอ่ะอมรูปผู้หญิงเอาไว้ 
         แล้วก็อมเหรียญห้าใหญ่ (เหรียญสมัยก่อน) เอาไว้ 1 เหรียญ

ด้วยความที่สงสัย หลังจากงานศพของเดียร์ เราจึงติดต่อไปยังเพื่อนที่ทำงานมูลนิธิเพื่อขอดูรูปที่เดียร์อมไว้
และแน่นอนครับ…..รูปใบนั้นมันเป็นรูปของเธอ…รูปที่เราเห็นที่หน้าศพ…รูปที่เราเห็นในกรอบรูปสีชมพูในห้องป้า

เราติดต่อไปยังป้า บอกป้าว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นและเราขอดูรูปในห้องป้าหน่อยได้มั๊ย?…

Admin

17/03/2020

ประสบการณ์หลอนคนแต่งหน้าศพ ถูกผีท้วงว่า “ทำไมไม่กรีดตาให้”

ขอเกริ่นก่อนว่า “คุณกิ๊บ” เจ้าของเรื่องเล่าในคราวนี้ เป็นผู้ที่มีวิถีชีวิตเกี่ยวข้องกับ “ศพ” มาตั้งแต่เยาว์วัย เนื่องจากตัวคุณพ่อของเธอเองก็มีทหน้าที่การงานที่ต้องผ่าชันสูตรศพอยู่แล้ว และเป็นตัวคุณพ่อนั่นเองที่ชักนำเธอเข้าสู่วงการ “แต่งหน้าศพ” เพราะเดิมทีกิ๊บมีฝีมือและความใฝ่ฝันที่อยากทำงานด้านเสริมสวย ซึ่งคุณพ่อเธอก็แนะนำว่า งานทางสายนี้ก็เงินดีมิใช่น้อย รายได้ดีกว่างานเสริมสวยตามร้านทั่วไป อีกทั้งยังฝากฝังให้ได้ ก็เลยจับพลัดจับผลูจากที่ตั้งใจแต่งหน้าคน…ก็มาสู่การแต่งหน้าคนที่ไม่หายใจแล้ว

หลังทดลองรับงานดู คุณกิ๊บก็มีความเชี่ยวชาญขึ้นเรื่อยๆ โดยเธอจะรับทำแต่เพียงในโรงพยาบาลเท่านั้น และแล้วก็มีหนึ่งเคสที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลย่านรังสิต ร่างไร้วิญญาณที่กิ๊บต้องไปแต่งหน้าให้นั้น เป็นร่างของนักศึกษาสาวที่คิดสั้นจนเลือกที่จะปลิดชีวิตตัวเองด้วยการผูกคอ อันเนื่องมาจากปัญหาส่วนตัวกับแฟนหนุ่ม ซึ่งเวลาที่ต้องทำงานแต่งหน้านั้น ก็จะมีตัวคุณกิ๊บเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในห้อง ไม่มีใครอื่น โดยที่ตอนนั้นก็เป็นช่วงเย็นราวๆ 4-5 โมงเย็น

เวลาที่คุณกิ๊บจะแต่งหน้าให้นั้น ตัวเธอจำเป็นจะต้องขึ้นไปนั่งบนเตียงด้านข้างร่างที่จะทำการแต่ง แม้ว่าจะมีการเตรียมเก้าอี้สูงให้ แต่มันไม่ถนัดเนื่องจากจะทำให้มีระยะห่างพอสมควร วันนั้นก็เช่นกัน ขณะคุณกิ๊บนั่งอยู่ด้านข้างของนักศึกษารายนั้น ก็เริ่มจ้องมองดูเค้าโครงหน้าก่อนแต่ง และพบว่าเธอคงเคยเป็นคนที่สวยเอาเรื่องทีเดียว พลางจินตนาการว่าก่อนที่เธอจะเสียจะมีบุคลิคเป็นอย่างไร ดูท่าเธอคงจะเป็นสาวสวยเปรี้ยว คุณกิ๊บจึงแต่งให้เข้ากับบุคลิกด้วยเครื่องสำอางสีเข้ม

สิ่งที่คุณกิ๊บเลือกหยิบออกมาจากกล่องเครื่องสำอางพกพาของเธอคือลิปสติกสีแดงสดแท่งหนึ่ง คาดว่าจะให้ลุคสวยเปรี้ยวอย่างที่คุณกิ๊บต้องการ หลังจากจัดแจงบรรจงทาลงไปที่ริมฝีปากซีดเผือดของร่างนักศึกษาจนเสร็จ กิ๊บ…ก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูดังว่า….

“แดงกว่านี้อีก…ได้มั้ย?”

กิ๊บสะดุ้งตกใจก่อนจะรีบกวาดสายตาไปทั่วห้องที่ยังคงว่างเปล่า ย้ำให้หังอีกครั้งว่าในห้องนั้นมีเพียงตัวเธอเองกับร่างไร้วิญญาณของนักศึกษาสาวเท่านั้น แต่อย่างประมาทกิ๊บจนเกินไป! เธอถือว่าเชี่ยวชาญในด้านนี้ ประสบการณ์ก็มีอยู่มากโข เธอรู้ดีว่าใน “สถานการณ์แบบนี้” ควรทำอย่างไร…และสิ่งที่เธอทำนั่นก็คือ…

“ด..ได้ค่ะ เดี๋ยวทำให้ใหม่นะคะ…”

กิ๊บคุยกับร่างนักศึกษาเงียบๆคนเดียว และแล้วเคสนั้นก็ได้ผ่านพ้นไป… อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เธอต้องเจอกับเรื่องชวนขนหัวลุก งานของเธอนั้นไม่เป็นเวล่ำเวลาเหมือนคนอื่นเขา เป็นต้นว่าหากมีเคสอุบัติเหตุเข้ามาเวลาตี 1-2 เธอก็ต้องรุดมาจัดแจงให้ ซึ่งปกติแล้ว หลัง 2 ทุ่มไปเจ้าหน้าที่คอยดูแลห้องดับจิตก็ไม่ค่อยอยู่กับที่กับทาง เดี๋ยวหายไปเข้าห้องน้ำมั่ง พักเบรคมั่ง มีครั้งนึงที่กิ๊บกำลังจะเข้าไปทำงานของตัวเอง ก็เจอเข้ากับหญิงสาวในเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ที่อยู่ด้านหน้าเดินเลี้ยวหายไปในห้องดับจิต กิ๊บเข้าใจว่าเธอคนนั้นคงเข้าห้องผิด เลยร้องเรียกด้วยความหวังดีเดี๋ยวจะตกใจกลัวว่า

“น้องคะ ห้องนั้นเป็นห้องดับจิตนะคะ! เข้าไม่ได้ค่ะ”

แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆจากหญิงคนนั้น ก่อนที่เธอจะเดินลิ่วหายไปในมุมมืดของห้องดับจิต กิ๊บพยายามเดินไล่ตามไปแล้วเปิดไฟในห้อง แต่…กลับไม่พบหญิงชุดดำหรือคนเป็นๆสักคนอยู่ในห้องนั้น!

เป็นไปได้ยังไง? เราว่าเราเห็นชัดๆไม่ได้ตาฝาดแน่นอน อย่างไรก็ตามกิ๊บเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าแปลกใจก่อนจะทำถ้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง และพาเธอไปหน้าตู้เก็บศพใบหนึ่งก่อนจะเลื่อนๆออกมาให้ดู สิ่งที่กิ๊บเห็นคือ…ร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวในเสื้อยืดสีดำ ในขณะที่ช่วงท่อนร่างแหลกเละราวถูกอะไรบางอย่างทับ แต่ยังคงเหลือร่องรอยของกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน!

สิ่งที่เห็นทำเอาคุณกิ๊บถึงกับสะอึก แม้ว่างานอย่างคุณกิ๊บจำเป็นต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างดี แต่การมาเจอซึ่งหน้าแบบนี้ บางทีก็รับมือไม่ทันเหมือนกัน ขณะเดียวกันคุณพ่อของเธอก็ถามขึ้นว่า… “ที่เจอน่ะ ใช่คนนี้ไหม” “คนนี้แหละที่จะให้แต่งหน้าให้คืนนี้” !! ต้องยอมรับว่าแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังหลอนไม่หาย แต่ด้วยหน้าที่ก็นำเป็นต้องทำ บางทีเขาคงมาตามเราไปช่วยแต่งหน้าให้เขาเร็วๆก็ได้มั้ง!!?

จะว่าไปแล้วงานอย่างคุณกิ๊บนั้น ก็ไม่สามารถเลือกที่รักมักที่ชังได้ พูดอีกอย่าก็คือ ไม่ว่าเขาหรือเธอเหล่านั้น…จะมาในสภาพแบบไหน ก็ต้องทำให้ได้ทำให้ดีเท่านั้น ดังเช่นเคสหนึ่งที่เป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าซีกนึงยุบลงไปอันเนื่องมาจากการวิวาทกับคู่กรณีที่เป็นแฟนหนุ่ม ถูกทุบด้วยถังดับเพลิง… คุณกิ๊บพิจารณามองดูอยู่หลายมุม ก็พยายามจะตบแต่งให้สวยเท่าที่จะทำได้ แต่ส่วนที่ถูกทุบจนยุบตัวลงไป ก็ำทอะไรไม่ได้มากนัก กิ๊บจึงเว้นอายไลเนอร์ในบริเวณข้างนั้นไว้

อย่างไรก็ตาม ในค่ำคืนนั้นกิ๊บรู้สึกได้เลยว่า เหมือนกับมีคนอื่นนอกจากเธอกับร่างตรงหน้า ยืนข้างๆเธอราวกับจะกำกับการทำงานของเธอ จนกิ๊บต้องเผลอหันไปมองซ้ายที่ขวาทีบ่อยๆ แล้วในขณะที่กิ๊บนั่งแต่งหน้าอยู่บนเตียงเดียวกันกับร่างนั้น จู่ๆเตียงก็สั่นเบาๆขึ้นมาเองเสียอย่างนั้น ดังกริ๊กๆกรั๊กๆ ราวกับมีใครไปเขย่าขาเตียงก็ไม่ปาน ทำเอากิ๊บต้องผงะ โดดโหยงลงมาทันที ก่อนที่เหงื่อกาฬจะพากันไหลออกมาท่วมตัว แม้จะอยู่ในห้องที่แอร์เย็นจนควรเรียกได้ว่าหนาว

อย่างที่กล่าวไปแล้ว คุณกิ๊บคือ “ผู้เชี่ยวชาญ” เธอรู้ว่าต้องทำอย่างไร เธอพนมมือขึ้นมาก่อนจะสงบสติอารมณ์แล้วทักขึ้นว่า…

“หากมีอะไรต้องการจะบอก ก็ขอให้บอกกันดีๆ บอกแบบนี้กิ๊บไม่รู้…”

หลังจากนั้นกิ๊บก็ตั้งมั่นทำงานของตัวเองต่อไป ในขณะที่จะเปิดกล่องเครื่อมือหยิบเครื่องสำอางชิ้นอื่นๆมาแต่งต่อ จู่ๆอายไลเนอร์แท่งหนึ่งก็กระโจนกลิ้งออกมาตกลงไปบนพื้น “แกร๊งง!” เสียงแท่งพลาสติกกระทบพื้นห้องดับจิตเงียบสงัด ก้องกังวาลไปทั่ว

“อ๋อ เข้าใจแล้ว อยากได้อายไลเนอร์เหรอ? เขียนให้ได้นะ แต่จะออกมาสวยหรือไม่นั้น เราไม่รู้”

“เพราะเราก็เห็นๆกันอยู่… ว่าตอนนี้สภาพร่างของคุณเป็นยังไง แต่ถ้าจะให้เขียน เราก็เขียนให้ได้ค่ะ…”

กิ๊บก้มลงหยิบแท่งสีดำขลับบนพื้นขึ้นมาบรรจงเขียนให้ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก กระทั่งแล้วเสร็จสิ้น กิ๊บก็เดินออกไปหาญาติของศพที่ยืนรออยู่หน้าห้อง ก่อนจะแจ้งให้ทราบว่างานเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นจึงขอตัวกลับ

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นั้น หลังกิ๊บกลับบ้านและเข้านอน ในขณะที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น จู่ๆก็รู้สึกชาไปทั้ตัว ขยับร่างกายไม่ได้ดังใจนึก กิ๊บพยายามจะลืมเปลือกตาขึ้มากวาดสายตาเพื่อมองไปรอบๆห้อง มีแต่เพียงความมืดมิด ความรู้สึกหวั่นๆต่ออะไรบางอย่าง เริ่มแทรกเข้ามาในช่องว่างของจิตใจ กระทั่งมีเสียงกระซิบแผ่วเบาดังอยําข้างหูกิ๊บ…

“ที่สั่นเตียง… ไม่ใช่ว่าเพราะว่าโกรธอะไร…”

“แต่ทำไม…ถึงไม่จุดธูปบอกกัน..ก่อน…”

“ชั้น…ชอบเขียนอายไลเนอร์…มากกก ทำไม…คุณถึงสะเพร่าแบบนี้…”

ตามปกติแล้วเวลาที่กิ๊บจะแต่งหน้าให้ ไม่ว่าเคสไหนๆก็ไม่เคยจุดธูปบอกกล่าว หรือขอขมาลาโทษใดๆทั้งสิ้น เพราะกิ๊บเองถือว่าตนมาช่วยเขาเหล่านั้นแท้ๆ และก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร กระทั่งหลังจากเหตุการณ์นี้มา กิ๊บจึงจุดธูปบอกกล่าวก่อนทุกครั้ง โดยจะบอกทั้งก่อนที่จะเริ่มแต่ง และหลังจากที่แต่งแล้วเสร็จ จนเป็นธรรมเนียมปฎิบัติของเธอไปซะแล้ว และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

จากเรื่อง : “คนแต่งหน้าศพ” คุณกิ๊บ the shock

Admin

05/03/2020

เรื่องผีเดอะช็อค | บ้านนายทหารผีดุ ขนาดเจ้าที่ยังอยู่ไม่ได้

เรื่องผีเดอะช็อคเรื่องนี้ เป็นเรื่องจากสายของ “คุณดิว” ซึ่งนำประสบการณ์การอาศัยอยู่ในบ้านที่เรียกได้ว่า “อาถรรพ์แรง” มากๆ อย่างไรก็ตามฉากหลังเรื่องเล่าของคุณดิวนั้น กลับเกิดขึ้นในครั้งที่เขายังคงเข้ารับการฝึกเป็นพลทหารอยู่ที่ค่ายแห่งหนึ่ง และได้รับความไว้วางใจให้มาเป็นผู้ดูแลบ้านที่ไม่มีคนอยู่หลังหนึ่ง ความเงียบสงบที่อยู่ตรงหน้าคุณดิวเปรียบเทียบได้กับคลื่นลมในวันที่ทะเลสงบจนผิดปกติ ก่อนที่สึนามิจะเข้าถาโถมเขาจนไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้

เรื่องผีเดอะช็อค “เจ้าที่ยังถอย” – คุณดิว

เหตุการณ์เรื่องเล่าผีนี้เกิดขึ้นกับคุณดิว ในสมัยที่ถูกเกณฑ์เข้ารับการฝึกเป็นพลทหารตามกฎหมายที่ชายไทยทุกคนล้วนต้องผ่านกันมาแล้ว เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2556 คุณดิวได้รับโอกาสถูกเลือกไปเป็นทหารรับใช้ให้กับนายทหารสัญญาบัตินายหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นเจ้านายของตน นั่นทำให้คุณดิวไม่ต้องเข้ารับการฝึกหรือปฏิบัติหน้าที่ตามกิจวัตรประจำวันของพลทหารทั่วไปอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ณ ที่นั้นแล้วต้องบอกเลยว่า ไม่ว่าใครก็คงนึกอิจฉาคุณดิวด้วยกันทั้งนั้น เพราะย่อมสบายกว่าทนตากแดดตากลมเป็นแน่

คุณดิวกับเพื่อนทหารเกณฑ์อีกคนหนึ่ง ถูกมอบหมายให้ไปเฝ้ายามรวมถึงมำความสะอาดดูแลบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งบ้านหลังที่ว่านี้เป็นของนายทหารผู้เป็นเจ้านายของเขาเอง โดยบ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นบ้านไม้ที่มีใต้ถุนสูง และแม้ว่าจะเป็นบ้านของนายทหารยศสูง แต่ก็ไม่มีคนพักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน นั่นเป็นสาเหตุให้คุณดิวถูกส่งไปดูแล เพราะแถวนั้นก็มีข่าวคราวเรื่องโจรขึ้นบ้านอยู่เหมือนกัน เมื่อวันนั้นมาถึง เป็นจ่าสิบเอกผู้ใต้บังคับบัญชาของนายทหารเจ้าของบ้านที่ถูกส่งมาเป็นคนนำทางไปยังสถานที่เป้าหมาย อย่างไรก็ตาม พอมาย้อนนึกดูถึงท่าทางของจ่าในวันนั้น ก็คงเหมือนกับลางบอกเหตุว่าความน่ากลัวอันดำมืดที่ซ่อนตัวในบ้านหลังนั้น ค่อยๆคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ…

ที่ต้องว่าอย่างนั้นก็เพราะ แทนที่จ่าจะไปส่งคุณดิวกับเพื่อนที่หน้าบ้านหลังดังกล่าว กลับส่งทั้งคู่ลงหน้าปากซอยแล้วให้เดินเข้าไปเองเป็นระยะทางกว่า 2 กม. โดยที่ก็ไม่ได้ชี้แจงถึงเหตุผลอะไร คุณดิวเองก็นึกไม่ถึงว่าสาเหตุจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับบ้านหลังนี้ คิดเอาเองว่าบางทีจ่าแกคงตั้งใจจะแกล้งเล่นกระมัง กระทั่งค่ำคืนแรกก็ผ่านพ้นไปได้อย่างเป็นปกติเรียบร้อย หลังจากคุณดิวและเพื่อนหาข้าวปลาทานกันเสร็จก็จัดแจงปูที่หลับที่นอนเพื่อค้างคืนแรก แต่แล้วในคืนถัดมานั้นเอง ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติเกิดขึ้น…

ในคืนที่ 2 นั้นระหว่างที่นอนกันอยู่ จู่ๆก็มีเสียงดัง “ปึกกๆ ๆ ๆ…” ดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดในยามราตรี เสียงนั้นฟังดูคล้ายกับมีใครสักคนกำลังเดินเอามือเคาะกับไม้กระดานไปรอบๆตัวบ้าน และเนื่องจากบ้านเป็นไม้ทำให้เสียงที่ว่าก้องกังวาลไปทั่ว คุณดิวลุกขึ้นมาฟังอยู่พักหนึ่งก็อดจะนึกดีไม่ได้เลยว่า “ไม่น่าจะใช่เสียงคนซะแล้ว” เนื่องจากในที่นี้มีเพียงเขากับเพื่อนพลทหารสองคนเท่านั้น คุณดิวนึกขึ้นได้ว่าตอนที่มาถึงบ้านหลังนี้ยังไม่ได้ยกมือขอขมาลาไหว้กับเจ้าที่เจ้าทาง บางทีท่านอาจจะออกมาทักทายก็ได้ อย่างไรก็ตามเสียงที่ว่าดูเหมือนจะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คุณดิวจึงพยายามปลุกเพื่อนที่หลับอยู่ขึ้นมาด้วยการจะเดินไปเปิดสวิตซ์ไฟบนผนังที่อยู่ห่างออกไปทางประตู

แต่ขณะที่กำลังลุกจะเดินเข้าไปนั่นเอง สายตาของคุณดิวก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง อะไรที่ว่านั้นเป็นเงาของชายคนหนี่งในชุดเสื้อยืดสีเขียวเข้มกับกางเกงขาสั้นสีดำสนิท นั่งห่างออกไปไม่ไกลนักอยู่ใต้สวิตช์ไฟที่ว่าพอดี สิ่งนี้ทำให้คุณดิวราวกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ เขาไม่แม้แต่จะสามารถยกขาที่ทำอยู่เป็นปกติได้ เรียกว่าจะถอยกลับก็ไม่ได้ จะเดินต่อก็ไปไม่ถึง ระหว่างนั้นเหงื่อกาฬก็เริ่มซึมออกมาตามหน้าผาก สายตาก็ยังคงจ้องกับเงานั้นราวต้องมนต์สะกด คุณดิวอยากตะโกนเรียกเพื่อนจะแย่ แต่กลายเป็นว่าเสียงถูกกลืนหายไปในลำคอ

คืนที่สามคุณดิวไม่สามารถที่จะข่มตาหลับได้ หลังเผชิญหน้ากับเงาปริศนาเมื่อคืนก่อน คุณดิวจำเป็นต้องอาศัยยานอนหลับ โดยจัดเต็มไปถึง 3 เม็ด กะว่าเอาให้หลับแบบไม่รู้เรื่องกันไปเลย หรือที่บางคนอาจจะเรียกว่าใบวาร์ปก็ว่าได้ กระพริบตาอีกทีก็เช้าแล้วทำนองนั้น ภาระจึงไปตกอยู่ที่เพื่อนพลทหารที่ต้องอยู่เผชิญกับสิ่งลี้ลับอยู่คนเดียว ขณะที่เขานอนดูหนังแผ่นผ่านทางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ความบันเทิงเดียวที่มีให้ทำคร่าเวลาในบ้านหลอนยามค่ำคืนอยู่นั้น ก็รู้สึกคอแห้ง จึงลุกขึ้นไปตักน้ำในกระติกที่อยู่มุมหนึ่งห่างออกไปขึ้นดื่ม แต่จังหวะที่จะลุกขึ้นเดินกลับมานอนต่อนั่นเอง สิ่งที่แทบไม่เชื่อสายตาก็ปรากฎขึ้น…ผู้หญิงแปลกหน้าในชุดคลุมท้องยาวในใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธแค้นราวจะระเบิดออกมา

“พวกเมิงออกไปปป !…ที่นี่ของกรุ !!”

เรียกว่าหาความเป็นมิตรไม่ได้เลยแม้กระพรี้เดียว! เช้าวันถัดมาคุณดิวถึงรู้เรื่อง เลยรีบต่อสายหาจ่าที่มาส่งเขาทันที แล้วจัดแจงเล่าทุกเหตุการณ์ที่พบเจอมาในช่วง 3 วัน “จ่าพวกผมไม่ได้ตาฝาดนะ หรือจ่ามาอยู่กับพวกผมมั้ยล่ะ?” แต่คำตอบของจ่าที่ไม่มีใครคาดคิดคือ “เอางี้นะ เดี๋ยวจะนิมนต์พระไปตั้งศาลพระภูมิให้แล้วกัน…” แสดงว่าที่บ้านหลังนี้ต้องมีประวัติจริงๆ

หลังจากคุยกับจ่าเสร็จ คุณดิวซึ่งนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านก็ไม่ทราบว่าอะไรดลอกดลใจ ให้แหงนหน้ามองข้างบน และสิ่งที่พบก็ทำให้เขาถึงกับผงะ! มีเท้าคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างบนบ้านตอนนี้ คุณดิวมองเห็นผ่านรอยห่างของแผ่นไม้กระดาน จากนั้นเขารีบมองหาเพื่อนไปรอบๆ และก็ปเจอเข้ากับเพื่อนซี่งกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ใต้ต้นไม้ ไม่หางไปจากเขานัก ถ้างั้น…แล้วตอนนี้ใครยืนอยู่บนบ้าน? อย่างไรก็ตามความหวังเดียวของเขาก็มาถึง มีพระกับร้านศาลพระภูมิมาตั้งศาลให้ที่บ้านทันก่อนจะพบคล่ำ 2 พลทหารใจชื้นขึ้นเป็นลำดับ อย่างน้อยๆพวกเขาก็ไม่ได้สู้เพียงลำพังแล้ว

อย่างไรก็ตามความอดทนต่อความกลัวของคนนั้นมีจำกัด สถาณการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย ในค่ำคืนนั้นเองเวลาราวๆ 5 ทุ่ม คุณดิวนั่งดูหนังกันที่โน๊ตบุ๊คตัวเดิม จู่ๆก็มีเสียงดัง “โผล๊ะ” ก่อนจะตามด้วยเสียง “โครมม!!” มาติดๆ คุณดิวเลยเดินตามเสียงออกมาดูถึงบริเวณหน้าบ้าน และก็พบว่า…บัดนี้ ศาลพระภูมิที่พี่งตั้งเสร็จหมาดๆ ตอนนี้กลายเป็นซากไปแล้ว สภาพคือเสาปูนแท่งใหญ่หักออกครึ่ง ส่วนศาลไม้ก็หล่นลงมากองกับพื้น เศษไม้และธูปเทียนบูชากระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะเย็นเยียบดังลอยตามลมออกมา “หึหึๆๆ… ฮิฮิๆๆ…” ตอนนั้นคุณดิวรู้สึกแล้วว่าความสยองขวัญได้คืบคลานมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ดูจากสภาพศาลคาดว่าเจ้าที่ก็คงจะรีบหนีไปแล้วเป็นแน่แท้!

แต่เรื่องราวยังไม่จขแค่นั้น คุณดิวรู้สึกว่าเสียงหัวเราะเย้ยหยันอยู่ใกล้กว่าที่คิด พอหันไปมองที่ฟูกนอนของเขาก็เจอกับเหตุการณ์บางอย่างที่เหนือคำบรรยาย ฟูกนอนที่เคยเรียบตึงตอนนี้มันมีรอยกดแปลกๆที่มองไม่เห็น แต่ดูคลายกับรอยเท้าปรากฎขึ้นตรงนั้นตรงนี้บ้างเป็นจังหวะไปทั่ว ราวกับว่ามีใครบางคนเดินขึ้นไปเหยียบย่ำไปมาอยู่บนนั้นจนสาแก่ใจ เพียงแต่ไม่เห็นตัว ทิ้งไว้เพียงแค่ร่องรอย คุณดิวเลยรีบปลุกเพื่อนให้ลุกขึ้นมาช่วยกันท่องบทสวดมนต์ที่พอจะนึกออก แต่ทันทีที่เริ่มต้นบทแรก และเพียงแค่ท่อนแรกว่า “อิติปิโส….” ก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาขัดพวกเขา

“ตอนนั้นกรุก็สวดแบบพวกเมิงนี่แหละ… แ ต่ ก็ ไ ม่ ร อ ด ด ด !!”

ทันทีที่มีเสียงแขกไม่ได้รีบเชิญเข้ามาแทรก คุณดิวกับเพื่อนก็รีบคว้าโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ก่อนจะรีบวิ่งลงมาจากตัวเรือนบ้านโดยมิได้นัดหมายหรือให้สัญญาณโดยพร้อมเพรียงกัน! แม้กระทั่งรั้วเหล็กดัดสูงตระหง่านตรงหน้าก็ไม่อาจขวางทางพวกเขา ก่อนที่จะกระเสือกกระสนวิ่งออกมาจากซอยอีกกว่า 2 กม. เรียกว่าผลลัพธ์จาการฝึกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ได้นำมาประยุกต์ใช้จริงก็วันนี้!

พลทหารทั้ง 2 นาย นั่งอยู่บริเวณหน้า 7-11 ปากซอยจนกระทั่งเช้า จึงได้โทรศัพท์ไปหาจ่าคนเดิมแล้วอธิบายสถานการณ์ล่าสุด อย่างไรก็ตามทางจ่ากลับไม่ได้มีคำตอบหรือปฏิกิริยาใดๆกลับมา แม้ว่าจะพึ่งได้รับฟังเหตุการณ์สยองขวัญในบ้านไม้หลังนั้นมา ถ้าหากไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในเรื่องที่คุณดิวเล่ามา ก็คงจะเป็นเพราะว่า…ตัวจ่านั่นแหละที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? คุณดิวสุดดจะอดทนจึงประชดประชันอย่างเด็ดขาดเลยว่า “ให้จ่ามานอนเฝ้าแทนพวกผมแล้วกัน เดี๋ยวผมยกเงินเบี้ยเลี้ยงประจำเดือนให้จ่าหมดเลยเอ้า…”

อย่างไรก็ตามแม้จะถูกท้าทายหรือจูงใจด้วยเงินตรงหน้า จ่าก็รีบปฏิเสธทันทีว่าไม่เอาด้วยหรอก… แต่ถึงจะพยายามถามเอาความจริงจากจ่าก็ดูเหมือนจะไม่ได้ความเช่นกัน จ่าปิดปากเงียบสนิท ไม่เผยอะไรให้คุณดิวได้รู้เลย และแม้ว่าจะพยายามสอบถามจากคนในละแวกนั้นก็ไม่ได้คำตอบอีกเช่นกัน กระทั่งคุณดิวกับเพื่อนไปนั่งร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง เลยคะยั้นคะยอให้ป้าแม่ค้าเล่า ทีแรกแกก็ปฏิเสธอยู่เหมือนกัน แต่พอคุณดิวจ่ายเงินจ้างสองร้อยบาทและกำชับว่า หากตนรู้แล้วจะไม่ไปเล่าให้ใครฟัง ป้าถึงยอมเปิดปากเล่า…

“บ้านไม้หลังที่พวกหนุ่มไปอยู่น่ะ เจ้าของเขาเป็นนายทหารยศสูง อันที่จริงแกปลูกบ้านหลังนั้นให้ลูกสาวแก แต่ตอนหลังลูกสาวแกไปเรียนต่อที่กรุงเทพแล้วดันท้องกลับมาบ้าน โดยที่ฝ่ายผู้ชายก็ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร แถมกลับมาก็ยังตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอีก คนแถวนี้ก็ซุบซิบนินทาไปทั่วเลย กระทั่งเธอคิดสั้นจนตัดสินใจผูกคออยู่บนขื่อในบ้านหลังนั้นนั่นแหล๊…”

จากเท่าที่จับใจความ คุณดิวก็ทราบว่าจุดที่หญิงสาวคนนั้นเคยผูกคอ คือจุดเดียวกันกับที่ที่คุณดิวปูฟูกนอนอยู่ใต้ขื่อนั่นพอดิบพอดี! ภายหลังจากเหตุการณ์น่าเศร้า…บ้านหลังนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีคนเข้าไปอยู่อาศัย เพียงแต่ยังมีข้าวของเครื่องใช้อยู่ดังเดิม นั่นทำให้บ้านหลังนี้เป็นที่หมายตาของขโมยขโจร และครั้งหนึ่งที่เคยมีขโมยแอบย่องเข้าไปเพื่อหวังจะยกเค้าบ้านหลังนี้ แต่ 4-5 วันถัดมา…คนเก็บขยะที่ผ่านมาได้กลิ่นเหม็นเน่า โชยคลุ้งออกมาจากบ้านหลังที่ว่า จึงถือวิสาสะเข้าไปดู ก็พบเข้าดีบศพของชายผู้เป็นหัวขโมยนอนดับอยู่บนบ้าน ในสภาพท่าทางที่หลอนจนแทบไม่เชื่อสายตา เพราะร่างนั้นนอนพนมมือเบิกตาโพรงอยู่ ราวกับจะสวดภาวนา ขอขมาลาโทษ หรือถูกมัดตราสังอย่างไรอย่างนั้น !!

หลังจากนั้นคุณดิวพอจะได้ข้อสรุปว่า…ผีผู้ชายตนแรกที่เขาเป็นผู้พบในค่ำคืนที่ 2 คงจะเป็นวิญญาณของหัวขโมยที่แอบขึ้นบ้านหลังนี้เข้ามา ก่อนที่จะไปเจอกับผีผู้หญิง ผู้ซึ่งเป็นลูกสาวนายทหาร หัวขโมยคนนั้นคงจะพยายามท่องบทสวดมนต์เพื่อขับไล่ภูติผี เหมือนอย่างที่คุณดิวเคยทำ “อิติปิโส…แต่ก็ไม่รอด” คำพูดในคืนนั้นยังคงก้องในโสตประสาท บ้านนี้ของแรงขนาดที่ว่าแม้จะขอขมาหรือสวดมนต์ก็ยังไม่รอด… หรือแม้แต่เจ้าที่ศาลพระภูมิยังอยู่ไม่ได้ ภายหลังพอนายทหารเจ้าของบ้านอาถรรพ์ที่ว่านี้ทราบเรื่อง ก็ยังบอกอีกแน่ะว่า “โชคดีแล้วนะที่เจอแค่นี้” !! และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ขอบคุณที่มา : ‘เจ้าที่ยังอยู่ไม่ได้’ เล่าโดย : คุณดิว จาก The Shock

อ่านเรื่องผี the shock เรื่องอื่นๆ >> คลิก

กลับสู่หน้าแรก สยองสแควร์

Admin

16/02/2020
1 2 3 4